|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
วิกฤติขาดน้ำภาคตะวันออก ปัญหาการทำงานของรัฐบาล
วิกฤติขาดน้ำภาคตะวันออก ปัญหาการทำงานของรัฐบาล
25 กรกฎาคม 2548 15:18 น. รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่อุตสาหกรรมภาคตะวันออกกำลังเข้าสู่จุดวิกฤติในขณะนี้ ความจริงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้ล่วงหน้า แต่เป็นปัญหาสะสมที่รู้กันมานานแล้วในหมู่โรงงานเอกชนในพื้นที่ คือ ปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่มีสูงกว่าปริมาณน้ำเข้า ทำให้มีการใช้ "น้ำต้นทุน" ที่อยู่ก้นอ่างเก็บน้ำไปเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่มีผู้บริหารในภาครัฐสนใจ
การบริหารทรัพยากรน้ำเพื่ออุตสาหกรรมในภาคตะวันออกอยู่ในความดูแลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งให้สัมปทานผูกขาดแก่บริษัทบริหารและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ โดยอาศัยอ่างเก็บน้ำสามแห่งในพื้นที่เป็นหลัก
ปัญหาขาดแคลนน้ำในขณะนี้ มีสาเหตุเฉพาะหน้าจากภาวะฝนแล้งอย่างรุนแรง ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงอย่างมากจากปริมาณกว่า 200 ล้านลูกบาศก์เมตร แห้งขอดเหลือเพียง 33 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เอามาใช้ได้จริงเพียง 13 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นน้ำก้นอ่างต่ำกว่าระดับท่อที่มีอยู่
อัตราการใช้น้ำของอุตสาหกรรมตะวันออกคือวันละ 500,000 ลูกบาศก์เมตร แต่ปัจจุบันเนื่องจากขาดแคลนน้ำ จึงได้ลดปริมาณการใช้ลงมาเรื่อยๆ ถึงกระนั้น น้ำที่เหลืออยู่ก็พอใช้ไปถึงเพียงสิ้นเดือน ก.ค.นี้เท่านั้น และหากไม่มีปริมาณน้ำใหม่มาเพิ่ม โรงงานนับร้อยแห่ง รวมทั้งโรงงานขนาดใหญ่ เช่น โรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี ก็จะต้องหยุดการผลิต ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง เพราะอุตสาหกรรมภาคตะวันออกปัจจุบันผลิตมูลค่าสูงถึง 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี
แล้วบรรดาผู้คนในรัฐบาลทำอะไรบ้าง?
บุคคลแรกๆ ที่ได้รับการร้องเรียนจากภาคเอกชน ซึ่งผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรมได้เดินทางลงไปดูพื้นที่ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย.แล้วกลับมารายงานต่อนายกรัฐมนตรี แต่ข้อมูลกลับไม่ปรากฏต่อนายกรัฐมนตรี มีเพียงรายงานว่า ไม่มีปัญหาขาดแคลนน้ำ กระทั่งภาคเอกชนออกมาร้องเรียนอย่างเปิดเผยในปลายเดือน มิ.ย. แต่นายกรัฐมนตรีก็ยังคงได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ถึงกับต่อว่าผู้ร้องเรียนว่า เอาแต่อยู่โรงงานดูน้ำจากท่อประปา ไม่ไปดูน้ำที่อ่างเก็บน้ำ รองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งถึงกับทุบอกตัวเองประกาศเอาตำแหน่งเป็นประกันว่า น้ำไม่ขาดแคลน
เมื่อ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเดินทางลงไปดูพื้นที่ด้วยตนเองจึงปรากฏความจริงว่า ได้เกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำจริง และสั่งการให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการทำฝนเทียมและขุดเจาะบ่อบาดาล ให้ได้น้ำเพิ่ม 2 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่ถึงบัดนี้ ปริมาณน้ำก็ได้เพิ่มเพียง 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น และยังต้องบำบัดสารคลอไรด์ก่อนนำไปใช้อีกด้วย
ล่าสุด บรรดาโรงงานในพื้นที่ได้ดิ้นรนหาทางออกกันเองโดยไม่หวังพึ่งรัฐบาล ด้วยการวางแผนบรรทุกน้ำจากภาคกลางเข้ามาทางเรือถ้าน้ำในพื้นที่หมดลง วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก เท่ากับเป็นการเผาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ได้น้ำมาป้อนโรงงาน ซึ่งก็คือ วิกฤติถึงขั้นน้ำแพงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว!
เมื่อการขุดเจาะบ่อบาดาลไม่เข้าเป้า ก็หาแพะมารับบาปด้วยการสั่งย้ายอธิบดีกรมทรัพยากรบาดาล ทั้งๆ ที่กรมนี้เพิ่งจะเข้ามารับแก้ปัญหาในขั้นสุดท้ายเท่านั้น
แล้วรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรองนายกรัฐมนตรีคนนั้นล่ะ ความรับผิดชอบอยู่ที่ไหน?
ปัญหาทั้งหมดนี้สะท้อนถึงวิธีการทำงานของรัฐบาลที่เป็นปัญหาเสียเอง
การบริหารทรัพยากรน้ำไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำกันวันต่อวันหรือปีต่อปี แต่ต้องเป็นการบริหารระยะยาวหลายปี มีการวางแผนล่วงหน้า โดยมีหลักการกระจายน้ำจากพื้นที่ส่วนเกินไปยังพื้นที่ขาดแคลนในจังหวะเวลาที่พอดี ซึ่งก็คือ ต้องมีฐานข้อมูลปริมาณน้ำและความต้องการใช้น้ำในอดีตและปัจจุบัน จำแนกตามพื้นที่ ฤดูกาล ลักษณะการใช้ และผู้ใช้อย่างละเอียด รวมทั้งมีการคำนวณถึงภาวะในอนาคต แล้วมีโครงการต่างๆ มารองรับ
เช่น สร้างอ่างเก็บน้ำและระบบท่อเพิ่มเติมในพื้นที่ที่จำเป็น ฉะนั้น การบริหารทรัพยากรน้ำจึงต้องมีเจ้าภาพเพียงรายเดียวที่มีฐานข้อมูล กำลังคน และงบประมาณอย่างพอเพียง
แต่ปัจจุบัน การบริหารจัดการน้ำถูกกระจายไปสู่หน่วยงานต่างๆ จำนวนมากหลายกรม หลายกระทรวง โดยไม่มีฐานข้อมูลที่เป็นเอกภาพ ไม่มีใครรู้จริงว่า ในแต่ละปี ประเทศไทยมีปริมาณน้ำเท่าใด กระจายในพื้นที่ใดบ้าง ลักษณะการใช้และผู้ใช้เป็นอย่างไร ในปีหน้าและปีต่อๆ ไปแต่ละพื้นที่จะมีน้ำพอใช้หรือไม่ แล้วควรจะมีโครงการผันน้ำอย่างไรและที่ใดบ้าง
แต่ที่ไม่อาจให้อภัยได้คือ แม้แต่ภาคตะวันออก ซึ่งทั้งรัฐบาล การนิคมอุตสาหกรรม และอีสท์วอเตอร์ ต่างมีข้อมูลที่ค่อนข้างดี รู้กันมานานแล้วว่า จะมีปัญหาขาดแคลนน้ำในที่สุด ก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ดีพอจนเกิดเป็นวิกฤติในวันนี้จนได้
สาเหตุเพราะในรัฐบาล รัฐมนตรีมักจะไม่ทำงานระยะยาว แต่มุ่งสร้างผลงานระยะสั้นให้เป็นข่าว เพราะนายกรัฐมนตรีเองก็ทำงานแบบการตลาด หวังสร้างภาพพจน์และผลงานระยะสั้น สร้างหัวข้อข่าวไปเรื่อยๆ ปรับคณะรัฐมนตรีทุก 3-4 เดือน ใครที่ทุ่มเททำงานสำคัญในระยะยาว เช่น วางแผนบริหารน้ำทั้งระบบช่วง 4 ปีข้างหน้า ก็จะถูกมองว่า ไม่มีผลงาน ไม่เป็นข่าว และอาจถูกปรับออกจากตำแหน่งในเวลาไม่กี่เดือน
ยิ่งกว่านั้น นายกรัฐมนตรีเองมีแนวโน้มที่ไม่รับฟังความเห็นที่แตกต่าง ทั้งหมดนี้ เป็นผลให้บุคคลใกล้ชิดรอบตัวและบรรดารัฐมนตรี ไม่มีใครกล้ารายงานข่าวร้ายหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีการปิดข่าวและข้อมูลไม่ให้ความจริงเข้าถึงนายกรัฐมนตรี นำมาซึ่งการออกความเห็นและการตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้ง
ปัญหาขาดน้ำในภาคตะวันออกครั้งนี้ น่าจะเป็นบทเรียนที่สำคัญอีกบทหนึ่ง สำหรับรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำรัฐบาลที่จะเข้าใจว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและปัญหาขณะนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว และวิธีการทำงานเดิมที่ใช้มา 4 ปีแรกเริ่มไม่ได้ผล
Create Date : 31 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2549 23:31:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 320 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|