Group Blog
 
 
ตุลาคม 2559
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 ตุลาคม 2559
 
All Blogs
 
3.1การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิโดยอ.คณานันท์ทวีโภคUPDATE 27102559





  3.1การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิโดยอ.คณานันท์ทวีโภคUPDATE 27102559

...

ชื่อไฟล์=การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิโดยอ.คณานันท์ทวีโภคUPDATE 27102559
สาธุ
ขอขอบพระคุณ สาธุขออนูโมทนาบุญทุกประการเทอญ

การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิ โดย อ.คณานันท์ ทวีโภค
//board.palungjit.org/f4/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4-153175.html#post1571265
12-10-2008, 02:48 PM 
การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิ
รวบรวมจากกระทู้
" วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
  ธรรมะของสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและ นับสืบเนื่อง
ในพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นเป็นเนื้อนาบุญอันทรงค่าหาประมาณค่าไม่ได้นั้น
พระอริยะสงฆ์ทั้งหลายท่านได้สืบต่อพระบวรพุทธศาสนาจนมาถึงกาลปัจจุบันนี้ก็เพื่อ
" ประสงค์ให้หมู่มวลมนุษย์ และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ได้หลุดพ้นจากกองกิเลส กองทุกข์ทั้งในภพนี้ จนถึงภพหน้า
ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุด "
เราในฐานะพุทธบริษัทสี่จึงสมควรรักษาประพฤติธรรมะเพื่อถ่ายทอดจากจิตสู่จิต
จากรุ่นสู่รุ่น เป็นการรักษาพระบวรพุทธศาสนาและเป็นพยานแห่งผลในการปฏิบัติอัน
กระจ่างแก่ใจของตนเอง สิ้นสงสัยในคุณพระพุทธคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ยิ่งมี
ผู้ปฏิบัติธรรมได้ตรงตามสัมมาทิฐิมากขึ้นเท่าไรพระบวรพุทธศาสนา
ก็ยิ่งเจริญงอกงามรุ่งเรืองมากขึ้นเพียงนั้นเช่นกัน
• การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิ * พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ *
• การพัฒนาวิธีคิด และ กระบวนการคิด *3*
• รวมสาระความรู้จากกระทู้ " วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ "
• วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ < เชิญคลิกได้เลยค่ะ
• ลงชื่อรอรับหนังสือ วิชชาที่จะทำให้อยูรอดฯ ฉบับพื้นฐานค่ะ
ขอพระธรรมอันพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพุทธประสงค์ จงหลั่งชโลมดวงจิตของสาธุชนทุกท่าน " ผู้ตั้งมั่นในกุศลธรรมความดีมี พระไตรรัตนคมน์
จงก้าวหน้าใน ผล แห่งการปฏิบัติเจริญในธรรม "
แห่งพระศาสนา ขององค์พระสมณโคดมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้ธรรมมาพิสมัยได้โดยง่าย
ธรรมใดที่เป็นธรรมโลกุตระเครื่องหลุดพ้นก็ขอจงมีจิตรู้แจ้งแทงตลอดด้วย ทิพย์ญาณ อันพิสุทธิ์ บรรลุธรรม ได้โดยง่ายด้วยเทอญ -------------------------------------------------------
อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 16-01-2009 เมื่อ 09:47 PM
12-10-2008, 03:14 PM   Sawiiika 
ก่อนอื่นใดขอให้ทุกท่านปฏิบัติดังนี้ค่ะ chdhornทีมพลังจิตสากล
ก่อนอื่นใดขอให้ทุกท่านปฏิบัติดังนี้ค่ะ
1 ให้ทุกท่านจับลมหายใจสบายๆ สักพัก จนกว่าท่านจะรู้สึก เบาสบาย โล่ง โปร่ง
ไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น...ไม่ว่าจะเป็นลม 1 ฐาน ลม 3 ฐานหรือลมเป็นสายไร้ฐานก็ได้ค่ะ
2 จับภาพพระให้แจ่มใสที่สุด เท่าที่แต่ละท่านจะทำได้ สำหรับท่านที่ไม่เคยปฏิบัติในแนวทางการจับภาพพระ หรือไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน...
ขอให้ท่านนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ที่ท่านชอบที่สุด
จำได้แม่นยำชัดเจนที่สุดแทนค่ะ ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ
3. น้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว นึกน้อมยอมรับ 
ขอให้ข้าพเจ้าเป็น สัมมาทิฐิ ไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน
หากเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้ามีจิตเป็น มิจฉาทิฐิ ... เห็นชื่อเสียงประโยชน์สุขส่วนตน สำคัญกว่า
งานการเผยแพร่พระพุทธศาสนา-วัฒนธรรม-อารยธรรมไทย-สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
แล้วล่ะก็ ขอให้ข้าพเจ้าไม่สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ และ ต้องเลิกทำไปในที่สุดด้วยเถิด
แต่ถ้าหากข้าพเจ้ามีจิตเป็นสัมมาทิฐิ ...มีเจตนาที่บริสุทธิ์ที่จะทำการนี้ ไม่คิดดัดแปลงแก้ไขพระสัทธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ คำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ซึ่งมีองค์ หลวงปู่ปาน และองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเจริญทั้งทางโลก ทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรมเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน และ มีพระนิพพานเป็นหลักชัยด้วยเถิด
เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และครูบาอาจารย์ทั้งหลายพร้อมๆ กัน โดยมีองค์หลวงปู่ปานวัดบางนมโค และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด... แต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็นึกกราบพระเพียงแค่องค์เดียวไปก่อนค่ะ
4 กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า
" ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้ง
ล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัยอันมีองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายด้วยกายกรรมก็ดีวจีกรรมก็ดี มโนกรรม
ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็น อดีตก็ดี...ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่
ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆพระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน
ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่ บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
" ก้มลงกราบพระบาททุกๆ พระองค์อีกครั้ง
5. น้อมนึกถึงศีล ที่คุณเองถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 หรือ ศีล 8 ก็ตาม
โดยปกติ เวลาที่ใช้ชีวิตประจำวันคุณอาจถือศีล 5 อยู่แต่คุณสามารถอาราธนาถือศีล 8ได้โดยกำหนดถือเฉพาะในช่วงเวลาที่คุณกำลังทำสมาธิอยู่ได้ เมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จคุณก็กลับมาถือศีล 5 ตามเดิม
ไม่เสียทั้ง ทางโลก และ ทางธรรม ค่ะ โดยน้อมนึกว่า...
" ณ ขณะนี้ ศีล 5 (8) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์บริบูรณ์ดีทุกประการ ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใดไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร (รักษาพรหมจรรย์) ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... ( ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่ ) "
6. หลังจากนั้นให้คุณน้อมนึก อโหสิกรรม ให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินคุณมา
"ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม - เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิตมนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดีมโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี ในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดีไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น และ ขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวลมีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมและมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ "
7. น้อม นึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่คุณเคยสร้างมาดี
แล้วให้มารวมตัวกัน ที่ดวงจิตของคุณ นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว
พร้อมกับอธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของคุณ ดังนี้
" ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์จนมาถึงปัจจุบันนี้ รวมถึงงานการแปล เผยแพร่ และสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา - วัฒนธรรมไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และกุศลผลบุญที่จะทำต่อไปในอนาคต ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้ทุกๆท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ''
ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเรา
แผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา
" ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดีวจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้น และ ขอได้โปรดอย่าขการ เผยแพร่ และสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา - วัฒนธรรมไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่ข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจทำนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ"
8 ท้ายที่สุดให้คุณน้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ความดีงามทั้งหลายที่คุณเคยสร้างมาดีแล้วอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลายพรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของคุณให้มารวมตัวกัน นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราวพร้อมกับ อธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌาน
" ข้าพเจ้าขอน้อม ถวายส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหาร 4 อันมี เมตตา กรุณามุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมี...องค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษี เป็นที่สุด อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ทุกๆ ท่าน พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราชและท่านพญายมราช เป็นที่สุด
ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆองค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้และขอได้โปรดมา เป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล ผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ

น้อมนึกให้เห็นว่าในมือคุณมี ดอกบัวแก้ว สว่างไสวแพรวพราวซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของคุณ
มารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้ว น้อมถวายแด่ทุกๆพระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน
'' ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้ง พรหมวิหาร 4 อันมี เมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อม อภัยทาน ให้แก่ เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาลอนันตจักรวาลนี้ ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดีมิใช่ญาติก็ดี ขอให้ทุกๆท่าน จงมาร่วมกันอนุโมทนา และ รับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
ขอให้ทุกๆ ท่านมีดวงตาเห็นธรรมและ เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลันเทอญ
"
" เมื่อตั้งจิต ตั้งกำลังใจ ไว้ดีแล้ว ก็มาศึกษาการปฎิบัติธรรม
ที่รวบรวมจากกระทู้ วิชชาที่จะทำให้อยูรอดจากยุคสมัยภัยพิบัติ กันเลยค่ะ "
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 04:16 AM
12-10-2008, 03:43 PM   Sawiiika 
18-07-2006, 05:58 PM kananun  หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
ผมจะเริ่มให้ข้อมูลทางด้าน วิทยาศาสตร์ทางจิต ที่อีกหลายๆคนจะนำไปใช้ และ ฝึกฝน
เพื่อที่ จะใช้ช่วยตัวเอง และ ผู้อื่น ก่อนอื่นผมขอบอกไว้ก่อนว่าวิชา และ อภิญญาสมาบัติ ที่ผมจะ แนะนำนั้น ผมเรียนรู้จาก วิชชามโนมยิทธิ ครับ รวมกับวิชาที่ผมได้ศึกษามาอีกหลายสายรวมทั้งสาย อาจารย์ในดง และ วิชชาธรรมกาย สาย วัดปากน้ำ
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจ
และต้องการเรียนรู้ได้นำไปใช้ปกป้องตนเอง และ ครอบครัวและใช้รักษาช่วยเหลือผู้อื่นให้ปลอดภัย ทั้งกาย และ จิต ครับ วิชชา และ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ผมเป็นเพียงผู้ส่งมอบ เป็นหน้าที่ ๆ ผมต้องทำเพื่อบำเพ็ญบารมี ครับแต่
ความวิเศษ และ ศักดิ์สิทธิ์เป็น เพราะ พุทธานุภาพ ของพระเบื้องบน เป็นหน้าที่ที่ผมจะช่วย ติดอาวุธ ให้หมู่เพื่อนพุทธภูมิ ไว้บำเพ็ญบารมี ครับ
ระดับหน้าที่ของผู้รับไว้ดังนี้
1. รับได้ในระดับที่ จะช่วยให้ตนเองไปสู่ภพภูมิที่ดี
2. รับได้ในระดับที่ จะใช้ปกป้องคุ้มครองตนเองให้ ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และ เป็นพุทธบริษัทช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป
3. รับได้ในระดับที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองตนเอง และ ครอบครัวบริวารให้ปลอดภัย และ เป็นการ
สืบสกุลสัมมาทิฐิ รักษาพระพุทธศาสนาต่อไป
4. รับได้ในระดับ พุทธภูมิ ผู้ตั้งความปรารถนา
บำเพ็ญบารมี สืบต่ออายุพระศาสานาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการอธิฐาน
ลงมาเกิดใน มิคสัญญี ยุคนี้เพื่อช่วยมวลหมู่สรรพสัตว์ เพื่อสร้างบารมี ครับ
ใครจะรับได้มากแค่ไหนขึ้นกับฟ้า และ ปุพเพกตปุญญตา ครับซึ่งไม่แน่ บางคนเริ่มที่ระดับตำแต่
อาจจะทะลุระดับพรวดพราดขึ้นไปอย่างง่ายๆก็ได้ครับ บางคนอาจอยู่ระดับสูงแต่ยำอยู่กับที่ครับ
ระดับสมาธิในปัจจุบัน
1. มีจิตใจใฝ่ความดี ชอบทำบุญ แต่ทำสมาธิไม่เป็น ศีลรักษาได้บางข้อ
2. ตั้งใจรักษาศีล ทำสมาธิได้บ้าง แต่ไม่ค่อยนิ่ง
3. ทำบุญรักษาศีลได้ทำสมาธิได้ดีนั่งได้นานๆแต่เสวยแต่สุขจากสมาธิ ไม่สามารถนำพลังจากสมาธิไปใช้ประโยชน์ได้
4. นำพลังสมาธิไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง เช่นอธิฐานง่ายๆ รักษาโรคให้ผู้อื่น แต่ยังไม่มีญาณทัศนะ
5. มีสมาธิ ญานทัศนะ และ สามารถใช้พลังสมาธิทำประโยชน์ได้
6. มีสมาธิ ญานทัศนะ วิปัสนา เต็มที่ ได้ อภิญญาสมาบัติ
7. มีสมาธิ ญาณทัศนะ วิปัสสนาฯ เต็มที่ ได้ อภิญญาสมาบัติ มีกำลังใจเป็น พระอริยโพธิสัตว์ สมบูรณ์ ครับ
" ในขณะที่ถ่ายทอดนี้ผมก็ เรียนรู้ ไปพร้อมกับทุกๆคนด้วย"
♥♥♥
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 04:24 AM
12-10-2008, 03:47 PM   Sawiiika  สมาชิก
ขอให้ท่านถามใจตัวเองดูดังต่อไปนี้ครับ_______________
18-07-2006, 08:51 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
ขอให้ท่านถามใจตัวเองดูดังต่อไปนี้ครับ
1. เชื่อใน สวรรค์ นรก หรือไม่
2. เชื่อใน กรรม ผลของกรรม บาปบุญ คุณโทษหรือไม่
3. เชื่อใน
คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ว่ามีจริงหรือไม่
4. เชื่อใน พระคุณ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์
ผู้ประสิทธิ ประสาทวิชาหรือไม่
5. เชื่อใน ผลของการปฏิบัติและ มรรคผล นิพพาน หรือไม่
หากแม้น มีความลังเลสงสัยไม่เชื่อข้อใดข้อหนึ่ง ไม่อยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้เนื่องจากเป็น
ข้อกำหนดมีแรงครูกำกับ อยู่ ส่วนผู้ที่ไม่มีความสงสัยในทุกข้อ ผมขอแสดงความยินดีด้วย
ขอโมทนา และ ขอให้ ท่านได้ " อธิฐานรักษาไว้ " ให้ได้ทุกชาติตราบเข้าสู่พระนิพพาน ครับ
ส่วนท่านที่ยังสงสัยอยู่ ไม่ต้องตกใจครับ ศึกษาธรรมะ ให้มากๆขึ้นก็จะเข้าใจและหมดสงสัยใน
สัมมาทิฐิ เองครับ เหตุผลที่ให้เช็คตรงนี้เพื่อให้ทุกท่าน ตั้งเข็มทิศให้ตรงตั้งแต่ต้น ครับ เพราะ
พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้ารวมทั้งพระโพธิสัตว์ท่าน สอนให้คนไปนิพพาน พรหม สวรรค์
เข้าถึง ไตรสรณคมน์ และ เป็น สัมมาทิฐิ ครับ และ เมื่อหมดสงสัยแล้วก็กลับมาศึกษาต่อได้ครับ
สำหรับท่านที่ ปรารถนาพุทธภูมิ ผมขอถามคำถามพิเศษอีกข้อครับ ว่า
ท่านปรารถนาพุทธภูมิเพราะอะไรครับ.. ?
เพราะ จะได้เป็นผู้เลิศ ประเสริฐที่สุดทั้งไตรภพ หรือ ปรารถนา เรียบง่าย แค่ ต้องการช่วยสรรพสัตว์
ให้ หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ถ้าท่านปรารถนาในข้อแรก ผมขออนุญาตเตือนท่านว่า มีจิตใจที่ดีแต่ท่าน
วางกำลังใจไว้ผิด ที่ทราบ เพราะผมเคยผิดมาแล้ว และ เพื่อนพุทธภูมิของผมหลายคนก็พลาดตรงนี้
และ ถูกมารครอบงำจิตใจ จนกลาย เป็น มิจฉาทิฐิ โดยเอาความอิจฉาริษยามาเป็นเครื่องล่อให้ อิจฉา
พุทธภูมิผู้บารมี สูงกว่าตนเอง เป็นความเข้าใจผิด
เช่นเดียวกับ พญามาราธิราช ที่มีต่อพระพุทธองค์ นี้เป็นประการที่ หนึ่ง ส่วนประการที่สอง เมื่อท่าน
ปรารถนาพุทธภูมิเพื่อตนเองท่านจะเหนื่อยในการสร้างบารมี และ ขอลาพุทธภูมิไปในที่สุด
สำหรับท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิเพื่อช่วย โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นห้วงแห่งความทุกข์แล้ว ทุกครั้ง
ที่ท่านได้โปรดสรรพสัตว์ทุกๆครั้ง ความปิติอิ่มเอมใจจาก พรหมวิหาร 4 จะเป็น เครื่องหล่อเลี้ยงใจ
ของท่านให้มีกำลังใจในการสร้างบารมีในครั้งต่อๆไปให้ยิ่งขึ้นไปอีก มิติเวลาในชาติของการ
เป็นมนุษย์นั้นอาจยากลำบาก ยาวนาน แต่ใน
" มิติเวลาของความเป็นทิพย์นั้นแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น "
ดังนั้น พรหมวิหาร 4 นี้เป็น อาวุธ และ เครื่องมือในการสร้างบารมีไม่ใช่อภิญญา แต่ อภิญญา เป็นผลแห่ง
การเจริญ พรหมวิหาร 4 จนถึงที่สุด ผมขอโมทนาใน พระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งจิตไว้ดีแล้วโดยประการฉะนี้ครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 04:11 AM
12-10-2008, 03:58 PM   Sawiiika 
18-07-2006, 10:26 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ --------------------------
 ไหว้ครู
สำหรับผู้เป็นสัมมาทิฐิ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิผู้วางกำลังใจไว้ดี แล้ว เรามาไหว้ครูกันก่อนครับ
เตรียม ดอกไม้ 3 สีเทียน ธูป เงิน 9 บาทว่า นะโม 3 จบ วางอารมณ์ใจ ว่าขณะนี้
" ข้าพเจ้ามี ศีลบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ไม่ได้ประพฤติผิดในกามไม่ได้พูดปด ไม่ได้ดื่มสุรา
ศีล 5 ของข้าพเจ้าบริสุทธิ์ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้ด้วยจิตเมตตาเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก พรหมวิหาร 4
ข้าพเจ้าพร้อมบริบูรณ์ข้าพเจ้าขอน้อมจิตยึดถือไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งที่ระลึกตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน
"
จากนั้น เปิดซีดี " คำสมาทานพระกรรมฐาน " ของ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง
ฟัง สมาทานพระกรรมฐาน พระรัตนตรัย.คอม
'' ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และ บำเพ็ญบารมี ด้วยความจริงใจ
หากแม้นข้าพเจ้า มีจิตคิดร้ายนำวิชาไปใช้ในทางที่ผิดต่อ ชาติ ศาสนาพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาแล้วขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เรียนวิชานี้สำเร็จถึงสำเร็จก็ขอให้วิชาที่ได้มาถูกส่งกลับคืนไปจนหมดสิ้นเมื่อข้าพเจ้าผิดสัจจะ แต่หากข้าพเจ้าใช้วิชาในทางที่ถูกที่ควร
ขอให้ข้าพเจ้าจงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ
''

ส่วนดอกไม้ ธูปเทียน ให้นำไปบูชาพระ และนำเงินบูชาครูไปทำบุญใส่บาตรหากไม่มีดอกไม้ธูป
เทียนเงินบูชาครู และการขึ้นครูตอนนี้ให้ รีบทำภายใน 3 วันหากพ้นจาก สามวันไม่บูชาครูแล้ว
มีอาการเจ็บป่วยให้รีบ ขอขมาพระรัตนตรัยบูชาครูและใส่บาตร แล้วจะหายจากอาการป่วย
เหตุผลที่ให้มีการไหว้ครู พระท่านสั่งลงมาให้ทำเป็นเครื่อง แสดงความยอมรับนับถือ
ให้แรงครูผู้ประสิทธิประสาทวิชาสืบต่อกันมาทั้งที่มีกายเนื้อและ ไม่มีกายเนื้อส่งลงมาคุ้มครอง
ศิษย์ได้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในวิชาและชีวิตของศิษย์
นั่นเองถึงตัวผมเองก็ต้องทำเช่นกัน
พร้อมๆกันกับทุกท่านเพราะมี " วิชาที่เบื้องบนประสิทธิประสาท มาให้ " พร้อมกันไปด้วยครับ
ฟัง บวงสรวงและชุมนุมเทวดา ฟัง นมัสการพระรัตนะตรัย ฟัง สมาทานศีล 8
ฟัง ขอขมาพระรัตนะตรัย ฟัง อุทิศส่วนกุศล ฟัง คาถาเงินล้าน
12-10-2008, 04:10 PM   Sawiiika 
19-07-2006, 10:50 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
บทเรียนที่ 1 ลมปราณสัมพันธ์จิตใจกายสัมพันธ์จิต
ถ้าร่างกายแข็งแรง จิตใจก็จะเข้มแข็ง ไปด้วย ผมจะเริ่มปูพื้นฐานให้ตั้งแต่เบสิค
ด้วยภาษา และ คำอธิบาย ที่คนในยุคนี้เข้าใจได้ง่ายมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบพิสูจน์
ยืนยันตามที่ พอ. ชม สุคันธรัตน์ ท่านได้บัญญัติศัพท์ว่าวิทยาศาสตร์ทางจิตไว้ครับ
จิต พลังจิต เป็น พลังงานชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะ และ คุณสมบัติของคลื่นจึงสามารถหักล้าง
เสริมคลื่น และ เหนี่ยวนำได้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อนั่งสมาธิ กับ อาจารย์ที่มีสมาธิสูงจึงสามารถทำให้ศิษย์
และ ผู้ได้รับการถ่ายทอดนั่งได้ดีหรือมีสมาธิสูงขึ้นตามไป เช่นเดียวกับขณะที่ ยูริ เกลเลอร์ นักพลังจิต
ใช้พลังจิตงอช้อน ผู้ชมในห้องส่งและที่บ้านก็สามารถงอ ช้อนได้ด้วยคุณสมบัติพิเศษอีกอย่าง ของ
พลังจิต คือ มีความเร็วสูงสุดเร็วกว่าแสงเดินทางไปได้ใน ทุกมิติ รวมทั้ง มิติของกาลเวลานั่นคือ
เหตุ ผล ในการใช้จิตใน อตีตังสญาณ และ อนาคตังสญาณ คือไป ดูอดีต และ อนาคต ครับ
รวมทั้งการเดินทางไปยังภพภูมิอื่นด้วยจิตครับ
วิธีที่จะฝึกจิตให้มีพลังเป็นพื้นฐาน ที่ง่ายที่สุดที่เหมาะกับทุกจริตก็คือการฝึกจิตด้วย
การหายใจ อานาปานสติ นั้นเองสำหรับขั้นตอนนี้ ผมจะอธิบายความสัมพันธ์
ของสมาธิกับการหายใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้
คนทั่วไปจะหายใจ นาทีละประมาณ 25 - 30 ครั้ง ต่อนาที
คนที่อยู่ใน สภาวะเครียด และ สับสน จะ หายใจติดขัดสั้นๆ ฮักๆนาทีละ 40 -50 ครั้ง
ผู้ที่อยู่ในสมาธิขั้นต้น จะหายใจ ลดลง เหลือ 12- 25 ครั้งสามารถ ใช้สมาธิรักษาโรคง่ายๆได้
ใช้ อธิฐาน ง่ายๆได้ครับ ทำให้มีการเต้นของหัวใจและ เมตาโบลิซึม ลดลง
ผู้ที่อยู่ในสมาธิขั้นกลาง ลมหายใจละเอียดช้าลงเหลือ6-12ครั้ง
ใช้สมาธิรักษาผู้อื่นได้ มีความเป็นทิพย์ตามสมควรผู้ที่เข้าสมาธิขั้นสูง จะหายใจช้าลงสั้นลงเหลือแค่
เมล็ดถั่ว ต่อครั้ง และ มีการ หายใจผ่านผิวหนังสามารถใช้ รักษาโรคได้มากขึ้นจิตมั่นคงตั้งมั่น ใน
การอธิฐาน ใช้ อภิญญา บ้างที่บอกว่าหายใจผ่านผิวหนังนั้นเพราะผมได้พิสูจน์มาแล้วโดยเข้า
สมาธิใต้น้ำจะรู้สึกได้ถึงการติดขัดเล็กน้อยของอากาศที่ผิวหนังส่วนการเข้าฌานลึกๆ
ร่างกายจะไม่หายใจ เลย 3 วัน 7 วัน ผมยังทำไม่ได้จึงขอละไว้ก่อนครับ
เมื่อทราบความสัมพันธ์ของลมหายใจกับสมาธิแล้วเราจะใช้ลมหายใจเป็น I n d i c a t o r
ชี้วัดระดับของสมาธิที่เราต้องการครับ ระดับที่เราต้องการ คือ " ลมสบาย "
" อารมณ์ใจที่เบาสบาย
เพื่อให้เข้าถึงความเป็นทิพย์ของจิตครับ "

การฝึกอานาปานสติเบื้องต้นครับ
ลองทำดูครับ ส่วนท่านที่ทำได้แล้วคิดว่ารู้ แล้ว ก็ลองทวนดูครับ
เพราะ พุทธภูมิ ท่านต้องสอนให้ได้ทุกระดับ ทุกลีลา ทุกอาการครับ
1.จับลม 1 ฐาน เริ่มจากนั่งสบาย ๆ มือใหม่ หลับตา ปล่อยลมหายใจ ตามสบาย เราเป็นผู้
ติดตามลมหายใจเมื่อหายใจเข้าภาวนา พุทธ หายใจออกภาวนา โธ วางอารมณ์ใจเบา ๆ สบาย ๆ
จับ ความรู้สึก ที่ ลมหายใจกระทบปลายจมูกนั่งจับลมหายใจจนรู้สึกโล่งเบาสบาย
ตามดูลม และคำภาวนา
อย่างเดียวยังไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นถ้าใจอยากหยุดภาวนาก็ปล่อยหยุดจับลมอย่างเดียวครับ
เมื่อทำได้สำเร็จแล้ว อธิฐานกำกับ ครับว่า
"ขอให้ข้าพเจ้า ได้และเข้าถึง อานาปานสติ ลม 1 ฐานทุกครั้งที่ต้องการทุกชาติไปจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ"
2. จับลมสบาย 3 ฐาน ลักษณะ การฝึกเหมือนกันแต่มีเพิ่มเติมในการจับลมหายใจ สามจุด คือ
จมูก อก ท้องทั้ง การหายใจเข้าหายใจออก ครับ สมาธิจะมีสติตามลมได้ละเอียดขึ้นครับทำจนใจสบายแล้วจึง อธิฐานกำกับว่า
"ขอให้ข้าพเจ้า ได้และเข้าถึง อานาปานสติ ลม3ฐานนี้ ได้ทุกครั้งที่ต้องการทุกชาติไปจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ"
3. จับลมหายใจตลอดสาย ให้เหมือนกับ เส้นไหมพลิ้วผ่านจมูก
ผ่านอกผ่านท้องพลิ้วออกไปผ่านอกผ่าน จมูก ออกไปแล้วย้อนกลับไปต่อเนื่องไม่สิ้นสุดทำจนรู้สึก
ใจสบายเบาโล่ง แล้วจึงอธิฐานกำกับว่า
" ขอให้ข้าพเจ้าได้และเข้าถึง อานาปานสติ ลมปราณตลอดสาย
นี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการในทุกๆชาติตราบเข้าถึงซึ่งนิพพานด้วยเทอญ
"
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 05:20 AM
12-10-2008, 04:14 PM   Sawiiika 
เมื่อได้ขั้นนี้แล้วท่านสามารถไปประยุกต์วิชชาใช้ได้ ดังนี้
1. ดึงลมปราณจากธรรมชาติมาเสริมพลังลมปราณของตนเอง ได้โดย การอธิฐานขอกับ พระธรณี
และ ธรรมชาติ และ ใช้จิตใจชักนำลมปราณจากธรรมชาติเข้ามา ฟอกธาตุเสริมปราณ ของเรา
ในช่วงหายใจเข้า และ ชะล้างธาตุที่เป็นโทษ และ โรคภัยไข้เจ็บออกไปใน จังหวะหายใจออก
ลองไปฝึกดูครับ ส่วนท่านที่ได้ มโนมยิทธิ ลองฝึกขั้นก้าวหน้าดูครับ
2. อาราธนาบารมี  พระให้เมตตา ดึงปราณจากพระนิพพานลงมาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจของเรา
โดยมีลักษณะเป็น ละอองเพชรใสระยิบ ระยับแพรวพราว เข้าไปในร่างกายของเรา
ฟอกธาตุ ขันธ์ของเราให้ใสบริสุทธิ์ปราศจากกิเลศ
จิตคุณจะสัมผัสได้เลยว่า อาทิสมานกาย
ของคุณ ใสขึ้น สว่างขึ้น ครับ แล ะเป็นคำตอบที่ว่าเหตุใด อัฐฐิ ของ พระอรหันต์ท่านจึง ใสเป็นแก้ว
เพราะ อารมณ์ และ สภาวะแห่ง พระนิพพาน ที่ท่านได้ สัมผัส ล้างธาตุขันธ์กายหยาบให้มี
ความบริสุทธิ์ ครับ ลองไปฝึกฝนให้ชำนาญในแต่ละระดับของแต่ละคนนะครับ
หลักอยู่ที่การวางอารมณ์ใจให้สบาย ๆ ครับ
เพิ่มเติม ให้ลอง
จับลมอานาปานสติ ใน ทุกอิริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือถ้าจะพิสดารกว่านี้
คือ ผมทดลองฝึกจับลมตอน ออกกำลังกาย ขี่จักรยาน ขึ้นเทรดมิล แล้วก็ตอนว่ายน้ำครับ ที่ให้ฝึกอย่างนี้
มีเหตุผลครับ คือ คุณต้องฝึกให้ได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบท ครับทั้ง หลับตา ลืมตา ไม่ต้องตั้งท่าหลับตานั่ง
สมาธิ เพราะ ในยามคับขับคุณจะเข้าไม่ทัน
อานิสงค์ อีกอย่าง คือ สมาธิ จะมั่นคงไม่คลายตัว
หรือ ขณะออกกำลังกายจะมีพลังไม่เหนื่อย ง่ายครับ ได้แล้ว อย่าลืมอธิฐานกำกับ นะครับ
เหตุผล คือ เป็นการปักหมุดจารึกไว้ในจิต ติดตัวไปทุกชาติครับ
พุทธภูมิ บางท่านบำเพ็ญบารมีมาก็เยอะแต่ วิชชาที่ได้มาในอดีตชาติไม่กลับมารวมตัวในชาตินี้
เพราะทำตกหล่นไว้ไม่ได้อธิฐานกำกับเพื่อนำกลับมาใช้ครับ ส่วนท่านที่ยังทำไม่ได้ทั้งหมดก็ไม่เป็นไรครับ
ส่วนการใช้จิต ดึงลมปราณ และ ธาตุทิพย์จากพระนิพพาน นั้นสามารถอธิฐานจิตดึงมาใช้ได้พร้อมๆกัน
โดยขอให้ ชำระธาตุธรรม รักษาโรค และ เพิ่มพลังลมปราณในกายเนื้อได้พร้อมๆกันครับลองไปฝึกดูครับ
อีกอย่างหนึ่งคือผมขอใช้ ระบบการเรียนรู้แบบปริญญาโท ครับคือ จะไม่ป้อนให้ตรงๆถึงปาก ผมจะ
แนะนำ ให้คุณไปฝึกฝนด้วยตนเอง ในส่วนของ การอธิบายธรรมมะในหัวข้อที่มีในพระไตรปิฎก และหลวงพ่อสอน แล้วผมขอให้ไปค้นคว้าเองเพิ่มเติมเป็นการบ้าน และ ถ้าใครอาสาหาข้อมูลมาพิมพ์ อธิบายเพิ่มเติมให้ เพื่อน คนอื่นได้อ่านได้รู้ ผมถือว่าเป็นการเอื้อเฟื้อในธรรม และ เป็น การพรีเซนต์หน้าชั้น ครับ เช่นช่วย เพิ่มเติมข้อมูลเรื่องการ ปฏิบัติ ฌาน 1 2 3 4 รวมทั้ง อาการ และ อารมณ์ ของหลวงพ่อจากหนังสือ กรรมฐาน 40 กอง ด้วยครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 01:45 PM
12-10-2008, 04:16 PM   Sawiiika  สมาชิก
การฝึกที่ผมแนะนำให้ไปในบทที่ 1 นั้น ผมขออนุญาตชี้แจงเพิ่มเติมครับว่าเป็น วิชชาของพระพุทธเจ้า
ครับ นั่นคือ ฌาน 1 2 3 4 หยาบ และ ฌาน 1 2 3 4 ละเอียด ครับ เพียงแต่ผมอธิบายใน รูปอาการของกาย และ การหายใจครับ เพราะ ต้องการชี้ อารมณ์ ที่ต้องการ ความเป็นทิพย์ ที่หลวงพ่อท่าน
เรียกว่า ฌาน 4 ใช้งาน ครับ แต่ในหนังสือธรรมมะจะใช้การอธิบายจำแนกโดย องค์ของฌานครับ
เป็นเรื่องเดียวกันครับ แต่ทำให้ง่ายขึ้นเพราะ ผมไม่คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า และ หลวงพ่อ เพราะ
พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์พระอริยเจ้า และพระ โพธิสัตว์ทุกพระองค์ท่านสอนคนโดยยึดหลักว่า ..
ถ้ายังไม่มีที่ยึดเหนี่ยวก็สอนให้ได้ ไตรสรณคมน์
ถ้ายังไม่มีศีลก็ ให้มีศีล แม้ข้อเดียวหรือขณะใดขณะหนึ่งก็ยังดี ถ้ายังไม่ได้ ฌาน ก็ให้ได้ฌาน ถ้ายังไม่ได้ สมาบัติ ก็ให้ได้ สมาบัติ ถ้ายังไม่ได้คุณธรรมวิเศษ ก็ให้ได้ คุณธรรมวิเศษ
ถ้ายังไม่ได้มรรคผลนิพพานก็ให้ได้มรรคผลนิพพาน
เพื่อให้เข้าถึง มนุษย์สมบัติ ในชาติปัจจุบัน
เมื่อตายจากโลกนี้ก็ให้ ถึงซึ่งพระนิพพาน ถ้าเข้าถึงพระนิพพานไม่ได้ก็ให้ถึง รูปพรหมโลก และ ฟังธรรมจากจุดนั้น ถ้าเข้าถึง พรหมโลก ไม่ได้ก็ให้ได้ สวรรค์สมบัติ
" ท่านไม่สอนให้คนไป นรก ครับ "
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 01:11 PM
12-10-2008, 04:22 PM   Sawiiika 
20-07-2006, 06:55 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
บทที่ 2. ล้างลมหยาบ จำอารมณ์ละเอียด
ในบทที่แล้วผมแนะนำ การฝึกอาณาปาณะสติโดยการฝึกแบบปกติ ครับ อาการปัญหาที่เกิด
อาจขึ้นของแต่ละคนมีดังนี้ครับ
จิตยังไม่นิ่ง จับลมไม่ได้ตลอดทุกฐาน หรือทุกสายลม
มีความคิดแวบไปแวบมาคอยรบกวน
ไม่เห็นจะมีลมหายใจละเอียด หรือ สั้นเท่าเมล็ดถั่วอย่างที่บอก
ส่วนคนที่ทำได้จะมีอาการดังนี้ครับ
ลม 1 ฐาน ลมหายใจจะนิ่ง เบาสบาย ลมหายใจทิ้งช่วงนานขึ้น อารมณ์ใจเบาสบาย
 
ลม 3 ฐาน จิตรัดตัวขึ้น สติตามลมได้กระชับขึ้นแต่มีอาการสะดุดของจิตในจุดกระทบ ของลมแต่ละจุด แต่จิตจะตัดความสนใจภายนอกได้มากกว่าลมหนึ่งฐาน
ลมตลอดสาย จิตจะเพลิด เพลินกับลมหายใจ มากกว่า ลมหายใจละเอียด และ เนียนกว่า smooth ใจสบายกว่า
ผู้ได้มโนฯ ฝึกจับลมหายใจดึงธาตุทิพย์จากนิพพาน ถ้ามีอารมณ์แนบกับพระนิพพาน มี วิปัสสนาญาณ
เข้มแข็ง มีความฉลาดในธรรม
แค่หายใจเข้าครั้งเดียว อาทิสมานกาย ก็แยกขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานแล้ว ส่วนร่างกายก็ปล่อยมันไปตามเรื่อง ด้วยเหตุที่เป็นกรรมฐาน อานาปานสติควบ อุปสมานุสสติกรรมฐาน
สำหรับท่านผู้ปรารถนามรรคผลนิพพาน สามารถประยุกต์ใช้ได้ เพราะผลการฝึกนี้คือ การตั้งจิตอธิฐาน
" ข้าพเจ้าจะขอไม่คลาดจากพระนิพพานในทุกลมหายใจเข้าออกครับ "
   
ตรงนี้พระท่านเพิ่งบอกผมตอนพิมพ์เองครับ คล้ายกับที่ท่านเคยถามพระอานนท์ว่า
ระลึกถึงความตาย วันละกี่ครั้ง พระอานนท์ท่านว่า 7 ครั้ง แล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
น้อยไป ต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจ แต่เปลี่ยนเป็น
  กำหนดจิตให้
ทุกลมหายใจเข้า-ออก ของเรา เชื่อมต่อกับ พระนิพพาน
ครับ
ส่วน พุทธภูมิ ขอให้ตั้งกำลังใจอธิฐานว่า
" ขอให้ทุกชาติที่ข้าพเจ้า สร้างบารมีขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึง และ เข้าใจสภาวะนิพพาน ได้อย่างถูกต้องตราบบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณมีพระนิพพานเป็นที่สุด "
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 05:38 AM
12-10-2008, 04:36 PM   Sawiiika  สมาชิก
kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
ทคนิค ล้างลมหยาบ จำอารมณ์ละเอียด
ในขั้นนี้จะมีขั้นตอน การอัดลม และ การบังคับลม ครับ ซึ่งขออนุญาตชี้แจงท่านที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ
ก่อนว่าช่วงที่อัดลมและบังคับลมนี้ ใช้ชั่วคราวแล้วทิ้งครับไม่ต้องทำอีก
แต่จุดที่ต้องการคือฌาน 4 ละเอียด และ ฌาน 4 ใช้งาน เพื่อความเป็นทิพย์ของจิต ครับ อุปมาเหมือนเราจะหุงข้าวสวย เราต้องใช้ถ่านเพื่อหุงข้าวให้เป็นข้าวสวยแต่เราจะไม่นำถ่านหรือขี้เถ้านั้นไปใส่จานข้าวแล้วกินด้วยใช่ไหมครับ
หลวงพ่อของเราท่านเลศ และมีเมตตากับเราที่สุดครับ และ แม้ในอดีตผมก็ได้สร้างบารมีและ ใช้พระนาม
ของท่านเป็นอนุสรณ์ เป็น การบูชาพระคุณ ท่านครับ
การฝึกนี้แบ่งเป็น 2 ช่วงครับคือ การกักลม +
เก็บลม ซึ่งเป็นช่วงที่เรา ต้องบังคับลมหายใจ มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับคือมันจะเป็น การอัดเอา
ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ จนเต่งแล้วจึงหยุดให้ เป็นเวลานาน ร่างกาย จะปรับสภาพเมตาโบลิซึ่มม์
และ
ปรับปริมาณการสันดาป ออกซิเจน ให้อยู่ในระดับตำทำให้มีการตัดการทำงานของกายเหลือแต่จิตล้วนๆ
ในช่วงนี้ถ้าลมหายใจหายไปนานๆเป็นนาทีๆก็อย่าตกใจนะครับ ไม่ตายหรอกครับ ที่ต้องบอกเพราะมัน
เป็นสภาวะที่หลายคนไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ถึงบางคนจะนั่งสมาธิมา 20 - 30 ปี ก็ตาม
อันนี้เป็นหลักสูตรเร่งรัดครับคล้ายกับ สมัยก่อน กว่าจะได้มโนฯกันยากเย็น เดี๊ยวนี้ เด็กๆ ฝึกครั้งเดียวก็ได้เลย
เป็นเรื่องที่พระท่านเตรียมการครับ ผมเป็น"ผู้นำสาร"
เอาล่ะครับฝึกกันเลย ทุกครั้งที่ฝึกตั้งกำลังใจว่า
" ขณะที่ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติสมาธินี้ ศีล ของข้าพเจ้า
บริสุทธิ์
ข้าพเจ้ามีความเคารพใน พระรัตนไตร และคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเจริญในธรรมด้วยเทอญ
" พยายามอธิฐานเองทุกครั้งนะครับ แล้ว
1. นั่งสบายๆหายใจเข้าช้าๆลึกๆจนรู้สึกว่าลมหายใจลงไปถึงท้องจนเต็ม
กักลมหายใจไว้สบายๆ
ไม่ใช่กลั้นกันหน้าเขียวหน้าเหลืองนะครับ อุปมาใส่นำจนเต็มแล้วปิดฝา กักไว้ สบายๆ ในใจภาวนา
พุทธโธ ธรรมโม สังโฆ วนไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วก็ปล่อยลมหายใจออก แล้ว สูดลมเข้า
ไปใหม่ช้าๆ ภาวนา ใหม่จนรู้สึกไม่ไหว จะสังเกตได้ว่า เราจะกักและเก็บลมได้นานขึ้น
ผลที่ได้จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของปอด รวมทั้งเพิ่มพลังลมปราณครับ
ทำการกักลมไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10 - 20 ครั้ง
ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ ตัวเรารู้สึกพอเมื่อไหร่ก็พอแค่นั้น

2. เปลี่ยนครับจากที่เราเป็นผู้บังคับลม หายใจ เปลี่ยนมาเป็น ว่า เราเป็นผู้ติดตามลมหายใจ
ทิ้งคำภาวนาได้ในช่วงนี้ เราในที่นี้คือ จิต ครับ ร่างกายมันอยากจะหายใจอย่างไรปล่อยมัน งานของจิตอย่างเดียว
ติดตามดูลมตลอดทั้งสาย ลงไปถึงไหน เราเห็นอาการ หมด สั้นก็รู้ว่าสั้น ยาวก็รู้ว่ายาว
ลมหายใจจะค่อยๆละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น และค่อยๆช้าลงจนแทบหายไปเหลือการหายใจเข้าออก
เพียงแค่เมล็ดถั่ว หรืออย่างหยาบเท่าปลายนิ้วก้อย สภาพร่างกายเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่
จิตใจแช่มชื่นและมีสติเต็มรอบ มีสภาวะเหมือนดวงจิตลอยอยู่อย่างเดียวในที่เว้งว้างว่างเปล่า บางคนลมหายใจหายไปก็ไม่ต้องสนใจปล่อยมัน
สนใจอยู่กับจิตที่หยุดนิ่งนี้ไม่ต้องภาวนาอีก ให้จำอารมณ์ใจ ความรู้สึก และ เสวยสุขในฌานให้เต็มที่ จนพอใจ ซักระยะ แต่อย่าให้นานเกินไป
3.ถอนจิตจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้าช้า ๆ ลึกๆ 3 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ภาวนา พุทธโธ 2 ธัมโม 3 สังโฆ จากนั้น ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ครับ จิตจะค่อย ๆถอนจาก
ฌาน โดยลอยตัวขึ้นมาข้างบน จะมีความรู้สึกเหมือนเรากลับมาสู่โลก จะรู้สึกงง แปลกๆ ครับ การถอนจิตจากฌานต้องจำไว้นะครับ
ห้ามออกจากสมาธิพรวดพลาดเด็ดขาด จะทำให้ กายทิพย์สะเทือน และ ทำให้กลับมาเข้าใหม่ยาก
ยังไม่จบครับ ถอนจิตแล้วอธิฐานกำกับ ครับ
4. ให้ใช้จิตเข้าสู่สภาวะ เดิมที่มีอาการนิ่ง ลมหายใจแค่นิดเดียวหรือไม่หายใจ ใหม่ทันทีครับ
ในสภาพลืมตาครับ ขอให้ทุกท่านจำอารมณ์ใจขณะนี้ไว้ ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า " ลมสบาย " ครับ
แล้วให้ อธิฐาน ในฌานว่า
  " ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งฌานนี้ได้ ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ที่ต้องการเป็นวสี ติดตัวข้าฯทุกชาติ จนถึงซึ่งพระนิพพาน " ครับ ในขณะที่พิมพ์ผมก็เข้าอยู่ครับ
เราเรียนไปด้วยกัน ผมคิดว่าน่าจะทำได้ แทบทุกคนนะครับ นอกจากคนที่ ช่างสงสัย และ วิตกกังวล
เกินไป ไม่เป็นไรลองฝึกใหม่ได้ครับ ส่วนผู้ที่ทำได้ผมขอโมทนาบุญด้วยครับ ต่อไป บอกให้เข้าปุ๊บต้อง
ทำได้ปั๊บนะครับ ไม่ต้องตั้งท่า
หลับตา ลืมตา ทุกอิริยาบถ เข้าได้หมด ไปลองซ้อมดูในอิริยาบทต่างๆ เพราะ ต้องใช้เป็นพื้นในวิปัสสนาญาณ สมาบัติ 8 และ มโนฯ ครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 25-04-2009 เมื่อ 05:50 AM
12-10-2008, 04:44 PM   Sawiiika 
21-07-2006, 06:14 PM kananun หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
บทที่ 3 การชำระล้างจิต และ การพลิกจิตสู่จิตระดับสูง
จากบทก่อนๆ ที่ทุกคนได้ศึกษามา ตอนนี้คุณมี
มีกำลังของสมาธิ มีปัญญาจากวิปัสสนาญาณ
มีบารมีของ พระพุทธเจ้าคอยคุ้มครองจากการอาราธนาจับภาพพระเป็น พุทธานุสติ
คุณรู้จักการ
จับลมหายใจ รู้จักการใช้พลังจิต ดึงปราณ และธาตุทิพย์จากพระนิพพาน
รู้จักการอธิฐานกำกับ
การอธิฐานขอบารมี รู้จัก วสี ความชำนาญ ในการเข้า ออกฌาน กันแล้ว นับว่ามีพื้นฐาน ในการทรงฌาน และ วิปัสณาญาณ ดีพอขั้นตอนต่อไปจะเป็น
การชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์ขึ้น โดยการลด สลาย บรรเทากรรม
ด้านอกุศล ให้ลดลง ด้วย กำลังของสมาธิ และ การอธิฐาน จากนั้นจะ เทคนิค
การอธิฐานมหาโมทนา เพื่อ เป็น การรวมบุญใหญ่เข้าสู่จิตของเราต่อไปเป็น
การอธิฐาน เบิกบุญ เรียกบารมีเก่าให้มารวมตัว
ต่อด้วยฝึก
วิชชาเมตตาอัปปมาณฌาณ ซึ่งคุณจะเข้าใจถึงการแผ่เมตตาอย่างแท้จริง
ส่วนท่านที่ ปรารถนาพุทธภูมิ จะ เพิ่มเติมการอธิฐานสัมมาทิฐิ
เพื่อการ พลิกจิตเข้าสู่ความเป็น พระโพธิสัตว์ ครับ
เมื่อทบทวน และ อธิบายเนื้อหา ไปแล้วก็จะ เริ่มฝึกแล้วนะครับ
1. ขอขมากรรม
ขอให้ทุกคน จับลมสบาย จับภาพพระให้ใสเป็นเพชร แล้ว ตั้งจิตระลึกถึงศีล ว่าขณะที่ฝึกนี้ ศีล ของเรา
บริสุทธิ์ จากนั้นคิดว่า มีตัวเราอีกคนกำลังกราบที่ตักของพระพุทธรูป แล้ว อธิฐาน
ขอให้พระบารมีของพระพุทธองค์ท่านมาสถิตเป็นหนึ่งเดียว กับ พระพุทธรูปในจิตของเรา ด้วยความศรัทธามั่นคง ไม่ลังเล จากนั้น
ขอขมาพระรัตนไตยว่า
''กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิดต่อพระรัตนไตย และ
สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ จะเจตนา และไม่เจตนา จะระลึกได้ หรือ ระลึกไม่ได้ ก็ดี ได้ทำในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี

ข้าพเจ้าขอให้พระรัตนไตย ได้โปรดงดโทษที่จะพึงเกิดแก่
ข้าพเจ้า ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
"
จากนั้น ให้ กายในจิตกราบพระพุทธเจ้าท่าน สำหรับท่านที่ได้มโนฯให้ใช้กำลังใจ
แยกอาทิสมานกาย ตามกำลังสูงสุด คือ
พระวิสุทธิเทพ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า และ พระอริยสงฆ์ บนพระนิพพานแล้ว
อธิฐานขอขมาได้เลยครับ ให้ทุกท่านอธิฐานต่อไปว่า
ขอให้พระพุทธเจ้าท่านเมตตาเป็นประธาน และ
พยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิฐานดังต่อไปนี้

" ข้าพเจ้าขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร และ บรรดาสรรพ
สัตว์ทั้งหลาย ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกิน ละเมิด ต่อท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ทางใจ ก็ดี ในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี และมีเจตนาก็ดีไม่เจตนาก็ดี
ขอให้ท่านเจ้ากรรมนายเวร และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้โปรดอโหสิกรรมงดโทษ ที่พึงเกิดแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
บุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานับแต่ อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และ ที่จะบำเพ็ญต่อไป ในอนาคต ข้าพเจ้าขออุทิศให้ท่านทั้งหลายได้โมทนา และ มีส่วนร่วมในบุญกุศล เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับทุกประการเทอญ
"
การขอขมากรรมนี้จะช่วยให้ การจองเวรกันลดลง หรือ อาจจะ สลายตัว เป็น โมฆะกรรม ได้ และ ส่งผลให้
ชีวิตเราราบรื่น ปลอดโปร่งสะดวกขึ้น เป็นการช่วยลด สภาวะกรรมรวมของโลก ที่จะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติ
ลดลง และในส่วนตัวบางท่านที่มีเจ้ากรรมนายเวร ที่กะว่าจะเช็คบิลท่านใน ภัยพิบัติรอบนี้ อาจจะอโหสิให้
2. ขออโหสิกรรมให้แด่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ยังประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระด้วยใจที่สบายนะครับ แล้ว อธิฐานต่อว่า
" ข้าพเจ้านับแต่นี้จะมีแต่จิตใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยจิตใจที่ดีงาม เปี่ยมไปด้วย ความเมตตาต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใด
ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้กับเขาเหล่านั้นไม่ว่าเขาจะทำกรรม ล่วงเกินข้าพเจ้าไม่ว่าจะเป็นทาง กาย วาจา ใจ ในอดีตก็ดี
ปัจจุบันก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี
ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้กับเขาเหล่านั้น
ขอให้เขาประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร
สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ
"
คำอธิฐานนี้มีผล 2 ประการ คือ 1. เป็นการให้อภัยทานอันเป็นทานสูงสุด ใช้กำลังใจสูงสุดในการให้ครับ
แต่ คุณก็ทำได้ จิตก็จะยิ่งเบาขึ้นครับ 2. คุณทุกคนบนโลกใบนี้นี่แหละครับ ที่เป็นคนทำให้เกิดกรรมแห่ง
การอาฆาตล้างแค้นกันและกันสะสม จนเกิดภัยพิบัติครั้งนี้
แปลกนะครับที่คนเรากลัวเจ้ากรรมนายเวรกัน
เวลาทำบุญกรวดนำอุทิศส่วนกุศลให้ แต่กลับไม่เคยรู้ตัวเลยว่า " เรานี่ละตัวดี เป็นเจ้ากรรมนายเวรของ
ชาวบ้านชาวช่องเขา "เวลาไป โกรธ อิจฉา ริษยา อาฆาตแค้นคนอื่นเขา
การสลายกรรมตรงนี้ส่งผลให้
สภาวะกรรมรวมของโลกเบาบางลงครับ และการที่ตัวเจ้ากรรมนายเวรตัดสินใจลบบัญชีกรรมอโหสิให้
เป็นโมฆะกรรม นั้นเป็นเรื่องที่ ง่ายกว่าการที่จะไปออนวอนขอให้ เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ครับ เพราะบางคนก็ไม่ยอมง่ายๆครับ ต้องใช้เวลาและทำให้บ่อยๆครับ
3. มหาโมทนามัย ประคองจิตให้อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าตั้งจิตให้เบาสบายและมั่นคงอธิฐานว่า
" ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานระลึกถึง บุญกุศล บารมีคุณงามความดี และจิตใจที่ดีงาม ของ
พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย เทพพรหมเทวาทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ตลอดจนความดีของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วมหาอนันต์จักรวาล
ที่ได้บำเพ็ญมา นับตั้ง แต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญประโยชน์ต่อไปในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา
ข้าพเจ้าขอกราบมหาโมทนา
ในบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ด้วยความจริงใจ
ขอให้อำนาจแห่งการมหาโมทนามัยนี้จงส่งผล
เป็นกระแสบุญอันบริสุทธิ์หลั่งไหลสู่ดวงจิต ของข้าพเจ้านับแต่นี้ด้วยเทอญ
"
   
ขอให้ทุกท่านฉลาดในการทำบุญ ฉลาดใน การโมทนา ฉลาดในการ การอธิฐาน
ฉลาดในการ สร้างบารมี ครับ พระท่านให้พรมาครับยังประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระนะครับ
4. เรียกบารมีเก่า อธิฐานต่อไปว่า
" ข้าพเจ้าขอตั้งจิตระลึกถึง บุญบารมี คุณความดี สรรพวิชาและ สายสมบัติ ที่ข้าพเจ้าได้สร้าง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติและได้บำเพ็ญมา ( เพื่อปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณ
มีพระนิพพานเป็นที่สุด )
นับตั้งเเต่ อดีต ปัจจุบัน และจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิษฐิ
ให้ มารวมตัวกัน ณ บัดนี้
เพื่อให้ข้าพเจ้าได้ใช้สร้างบุญ สร้าง บารมี เพื่อความรุ่งเรืองในทั้ง ทาง โลก และ ทางธรรม มีกำลังใจ กำลังบารมีทั้ง 30 ทัศน์  ได้ช่วยตนเองและสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์
ประสพแต่ความสุข พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานด้วยเทอญ
"
ขั้นตอนนี้เป็นการเรียกบารมีเก่าที่เราอาจหลงลืมหรือตกหล่นไปในอดีตชาติให้กลับมาครับ
จะช่วยให้ฝึกวิชาและสมาธิได้ง่ายขึ้น รวมทั้งบุญเก่าด้วยครับให้มาส่งผลเร็วขึ้น
ต่อไปเป็นวิชาสำคัญในการพลิกจิตให้มี สภาวะจิตที่บริสุทธ์ยิ่งขึ้นครับ คือ
5. เมตตาอัปปมาณฌาณ
จับลมสบาย
จิตจับภาพพระพุทธเจ้าให้ใสเป็นเพชร ครับ จากนั้นนึก
กราบขอให้ท่านมาลอยอยู่ เหนือหัว ของเรา แล้ว
กำหนดจิตของเราให้" รู้สึก " ถึง บุญกุศลความดีงาม
ความงดงามแห่งจิตใจ ความชุ่มใจ ความอิ่มเอิบใจ ความปลื้มปิติ ความรัก ที่ บริสุทธิ์ ความตื้นตันใจ
ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ ที่มี ต่อพระเจ้าอยู่หัวในวัน มหาปิติ 60 ปี ให้ความรู้สึกเป็นสุขปิติอิ่มเอิบใจนี้
เติมให้เต็มหัวใจของเรา นึกถึง ภาพดอกไม้ที่ค่อยๆแย้มกลีบด้วยความงดงาม เมื่อจิตใจแย้มยิ้มชื่นบาน
เต็มหัวใจ กายเราก็ยิ้ม เบิกบานมีความสุขอย่างที่สุด เรากำหนดจิตว่า
บุญ คือ ความสุข ที่ข้าพเจ้าปรากฏณ บัดนี้
ข้าพเจ้าขออุทิศความสุข ส่วนกุศลนี้ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั่วอนันตจักรวาล
ขอให้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ประสพแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพาน
อันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ
แล้วค่อย ๆ ทำความรู้สึกว่าตัวเราสว่างมี แสงรัศมีสีทอง อันเป็นรัศมีแห่ง
ความรักที่บริสุทธิ์ ความเมตตาที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีประมาณ ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบสิ้นให้
แสงแห่งความเมตตาอันดีงามบริสุทธิ์นี้ แผ่ส่องสว่างปกคลุมห้องที่เราอยู่นี้ สว่างเรืองรอง
จิตของสรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัส กับ รัศมี นี้ก็ให้มีความสุข สงบ ชุ่มเย็นไปด้วย
จิตเรา ยิ่งเปล่งรัศมีเท่าไหร่
จิตเรา ก็ยิ่ง มีความสุขชุ่มเย็นยิ่งขึ้น แผ่รัศมีสีทอง ระยิบ ระยับ ค่อย ๆ ปกคลุมบ้าน
หรือ อาคารที่เราอยู่ทั้งหลังครับ ค่อย ๆ ทำใจเย็น ๆ
จากนั้นแผ่ปกคลุม อำเภอ จังหวัดที่คุณอยู่ ประคองใจให้ชุ่มเย็นอิ่มเอิบตลอดเวลา
แล้วค่อย ๆ แผ่ให้กว้าง จนคลุมประเทศไทย จนมองเห็นเป็นขวานสีทอง แล้ว
อธิฐานให้ประเทศไทยจงสงบสุขร่มเย็น ผู้คนจิตใจดีงาม
จากนั้น แผ่รัศมีแห่งความสุขนี้ปกคลุมโลกจนเป็น สีทองสว่างไสว อธิฐานว่า
" ขอให้โลกนี้จงสงบสุขร่มเย็น " แล้ว จึงแผ่รัศมีสีทองออกไปทั่วสุริยจักรวาล ไม่มีที่สิ้นสุดจนออกไป ยังอนันตจักรวาล ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ
 จิตเรายิ่งแผ่รัศมีเท่าไหร่ จิตเรายิ่งแย้มยิ้มอิ่มเอิบใจยิ่งให้มากมายเท่าไหร่ จิตเราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนปิติสุขนี้ไว้ตามที่ต้องการครับ ส่วน พุทธภูมิ และ ผู้ที่ได้มโนฯ ให้ประคองจิตไว้แล้ว
แผ่รัศมีแห่งความเมตตานี้จากขอบอนันตจักรวาลเข้ามาสู่ตัว แล้วแผ่ย้อนกลับออกไปใหม่ ครับ
" พุทธภูมินี้จะนำวิชชานี้ไปใช้เมื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าครับ "
ในการใช้ข่ายพระญาณในการตรวจหาบารมีผู้บรรลุธรรมครับ
ห้ามทุกคนใช้หรือลองเล่นเด็ดขาดนะครับเพราะ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
บอกให้ทราบเป็นความรู้ อนุญาตให้ใช้ แผ่เมตตาอัปปมาณฌาณ เท่านั้น
   จากนั้น ขอบารมี พระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์
ขอให้ท่านเปิดอนันตจักรวาลให้เห็นบรรดาสรรพสัตว์ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และ
มีผู้ผิดผู้ หลง ต้องเสวยกรรมให้วัฏฏสงสารเท่าไหร่ ใช้ ปัญญาพิจารณา ต่อไปว่า
" มวลหมู่สัตว์ผู้แหวกว่ายในทะเลทุกข์นั้น มากมายมหาศาล ขณะนี้
จิตของข้าพเจ้าเปี่ยมไปด้วย มหาเมตตาไม่มีประมาณ ต่อมวลหมู่สัตว์
ข้าพเจ้าขอตั้งกำลังใจใหม่ ละมานะทิฐิ ที่สำคัญตนว่าดี สำคัญตน ว่า เลิศ บำเพ็ญพระโพธิญาณเพื่อตนเอง มาเป็น
สัมมาทิฐิ ว่า จะขอสละ ร่างกาย ชีวิต สร้าง บารมี ด้วย เมตตา หวังเพื่อช่วยสรรพสัตว์ ทั้งหลาย
ให้พ้นจากสังสารวัฏเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ "
สำหรับ พุทธภูมิ ที่อธิฐานพลิกจิตนี้สำเร็จ นี้ จะมีอาการ ปิติ นำตาไหล ร้องไห้ด้วยความอิ่มใจ
บางคนก็เหมือนได้ยินเหมือนฟ้าผ่าเสียงดัง บางคน ได้กลิ่นธูป หรือดอกไม้หอม สำหรับท่านที่สำเร็จ
ผมขอน้อมเศียรกราบโมทนา ในความเป็น พระโพธิสัตว์ ของท่าน ด้วยครับ
ตอนนี้ให้ทุกคน
คิดเอาตัวเราในจิตไปกราบพระพุทธเจ้า ครับ แล้ว
ถอนจิตออกจากสมาธิช้า ๆ โดยการหายใจเข้า ลึก ๆ ช้า ๆ ครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sawiiika : 27-04-2009 เมื่อ 02:09 PM

 




Create Date : 27 ตุลาคม 2559
Last Update : 27 ตุลาคม 2559 23:36:34 น. 0 comments
Counter : 3063 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.