แต่งนิยายสักหนึ่งเรื่อง
เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า

ถ้าชีวิตนี้
ได้แต่งนิทานสักหนึ่งเรื่อง
เขียนเพลงสักหนึ่งเพลง
เขียนกวีสักหนึ่งบท

ก็คงนอนตายตาหลับได้แล้ว


(นิทาน หรือนิยาย หรือเรื่องสั้นก็ไม่รู้ จำได้ว่ามันมีสี่อย่างนะ นานจนลืมรายละเอียดล่ะค่ะ)
ทำไมถึงได้เป็นผู้ชายโรแมนติกขนาดนี้นะ
ขนาดว่าเราช่างฝัน เรายังไม่กล้าฝันอะไรที่
pure romantic แบบนี้เลย
ทั้งที่เราเองก็ฝันแบบเด็กไม่รู้จักโลก ว่าอยากเป็นนักเล่านิทาน
แต่สาบานได้ ว่ามันไม่ใช่ฝันที่โรแมนติค
หวานเจื้อย..ขนาดนั้น

จำได้ว่า สมัยที่ยังเรียนอยู่
เพื่อนคนนี้เคยวิ่งลอดอุโมงค์จากคณะอีกฟากถนนมาหา
พร้อมต้นฉบับ "เอกสารประกอบการเดินทาง"
...จะไปดูดาว

โรแมนติกอีกแล้ว

จำไม่ได้ว่า เราคอมเมนต์ไปว่าอะไร

รู้สึกปลื้มจริงๆ ที่เพื่อนให้เกียรติวิจารณ์งานของเขา
ที่เค้าคิดว่าเราเก่ง ทั้งที่เราเองไม่ค่อยจะทำอะไร
ไม่ขยัน ขนาดที่ว่า จะลุกขึ้นมาจัดทริปไปดูดาว
แล้วยังเขียนหนังสือรายละเอียดนุ่มนวลกว่าแสงดาว
ประกอบการเดินทางให้อีกเสร็จสรรพ

ก็เคยบอกแล้วไงคะ
ว่าเราไม่มีความมุ่งมั่นขนาดนั้น

สมัยก่อนไม่มีเลย แต่เดี๋ยวนี้กำลังจะเริ่มฝึกฝนตัวเองใหม่

เพื่อนคนเดียวกันนี้อีกนั่นแหละ ที่เรียกให้เราตามไปทริป หลายๆทริป
ไปเกี่ยวข้าว ดำนา เก็บดอกบัว ดูหิ่งห้อย
เพราะเวลาเดินผ่านกำแพงเมืองแถวๆ อยุธยา จะได้ใช้เราท่องกลอนบทนั้น บทนี้ ที่เคยฟัง
ให้คนอื่นๆที่ตามมาร่วมทางด้วยกัน

เพื่อนคนนี้นี่แหละ ที่ทำให้เราทั้งอิจฉา ทั้งอายแสนอาย
เพราะเขาเป็นคนอ่านมาตั้งแต่เราเขียนงานชิ้นแรก
เพราะเขาบอกตลอดมาว่าเราทำได้ แต่เราก็ไม่เคยทำ

เขาอุตส่าห์เอาป้ายใหญ่เท่าบ้านมาให้วันรับปริญญา
บอกว่าฉันเป็นนักกิจกรรมที่มีอนุสาวรีย์ในหัวใจ
และเป็นนักเขียนที่เพื่อนจะคอยติดตามอ่าน

ผ่านไปหลายปี
เพื่อนคนนี้กลายเป็นบก.หนังสือไปแล้วค่ะ
แอบอ่านเบื้องหลังชีวิต ในบทสัมภาษณ์ที่ไหนไม่รู้
เขาว่าที่พี่บก.คนแรกชวนมาทำนิตยสารประจำยุคสมัยเล่มนั้น
ก็เพราะ"เอกสารประกอบการเดินทาง" ฉบับที่เค้าวิ่งเอามาให้เราดูหน้าคณะนั่นล่ะ

ชีวิตคนเรานี่ก็เหมือนนิยายเนาะ

ผ่านไปหลายปี
จำได้เลือนๆว่าเพื่อนเคยโทรมาบอก
ว่าได้ทำทุกอย่างที่เคยอยากทำแล้ว
..ตายตอนนี้ก็คงได้แล้ว

ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเราจำฝังใจ
(หรือแอบอิจฉาเข้าไส้) จนเก็บเอาบัญญัติหลายประการนั้นมาฝันด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่

เรายังไม่เคยแต่งนิยายจบเลยสักเรื่อง
แต่ก็เขียนกลอนไปแล้วหลายบท
เพลงที่เราแต่ง ค่ายใหญ่เท่าฟ้าเอาไปดองไว้ (ไม่รู้ปีหน้าจะได้ฟังไหม)
ส่วนความฝันที่อยากเป็นนักเล่านิทาน
ตอนนี้เราก็พักไว้ก่อน


แต่นิสัยลุ่มๆดอนๆของเราหายไปแล้วนะ
เพลงที่เราแต่ง เราทำจนเสร็จ
งานที่เราเริ่ม เราก็สานต่อ
ทางที่เราจะเดิน ถึงยากแค่ไหน เราก็ค่อยๆก้าวไปของเรา

เรานั่งทำงานนานๆต่อกันทุกคืนได้แล้ว

โดยไม่ล้าจนพับงานเก่าขึ้นงานใหม่ไปเรื่อยๆ

(สำหรับคนที่จะเขียนหนังสือ และทำงานวิชาการ แล้วพบว่าอยู่ดีๆตัวเองก็รักษาสมาธิให้ต่อเนื่องไม่ได้ มันเหมือนหมดอนาคตเลยนะ)

เราเอางานออกมาให้คนวิจารณ์ได้แล้ว
โดยไม่กลัวว่า ใครจะไม่ชอบ
ทั้งงานเขียน และงานวิจัยเลยล่ะ
ค่อยรู้สึกว่าอยู่ในโลกใบเดียวกับคนอื่นๆหน่อย

เรากินข้าวคนเดียวก็ได้
ร้องไห้.. ก็ไม่นาน
ไม่ใช่คนอ่อนไหว ที่เพื่อนๆต้องเป็นห่วงอีกต่อไปแล้ว

กลับเมืองไทยคราวนี้
เราจะไปนอนดูดาว
เพราะว่าทริปที่เพื่อนจัด จนแล้วจนรอด โชคชะตาก็ไม่ให้เราได้ไป

................................................
................................................


แล้วเพื่อนๆที่นี่
คิดถึงเพื่อนเก่ากันบ่อยไหมคะ?



Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 23:36:31 น.
Counter : 609 Pageviews.

1 comments
  
"มีหนังสือบางเล่มให้เราอ่าน
มีนิทานบางเรื่องให้เราฝัน
มีบทเพลงบางเพลงรำพึงรำพัน
เข้าใจกันได้บ้างบางเรื่องราว"









(นี่ คุณเพื่อนโรแมนติค ไอ้กลอนที่เธอจำขี้ปากฉันไปเขียนหน้าปกเอกสารฉบับนั้น มันผิดไปวรรคนึงนะ รู้แล้วก็แก้ซะ เกรงใจคนแต่งเค้า)
โดย: dararye วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:22:32:07 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dararye
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



เกิดเชียงใหม่ ไปเรียนกรุงเทพ พอทำงานก็ชีพจรลงเท้า เดินทางได้สักพัก ก็ชักรู้สึกว่าโลกนี้ที่จริงแล้วไม่มีขอบเขต
เริ่มทำบล็อคอย่างจริงจัง เพราะรู้ตัวว่าต้องร่อนเร่ไปอีกไกล เผื่อว่าใครคิดถึงจะได้ตามหากันเจอ ชื่อนี้เป็นนามปากกาเดียวกับใน bookcyber ค่ะ ยิ้มก็อันเดิมนะ >>>> @^__^@

พฤศจิกายน 2549

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
19
20
22
23
26
28
30
 
 
All Blog