|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เวทนาของปุถุชน ต่างจากของอริยสาวก (ในแง่ของปฏิจจสมุปบาท)
เวทนาของปุถุชน ต่างจากของอริยสาวก (ในแง่ของปฏิจจสมุปบาท)
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับแล้ว ย่อมเสวยซึ่งเวทนา อันเป็นสุขบ้าง อันเป็นทุกข์บ้าง อันมิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! แม้อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ก็ย่อมเสวยซึ่งเวทนา อันเป็นสุขบ้าง. อันเป็นทุกข์บ้าง อันมิใช่ทุกข์ มิใช่สุขบ้าง.
.......... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อเป็นเช่นนั้น ในระหว่างอริยสาวกผู้มีการสดับกับปุถุชนผู้ไม่มีการสดับดังที่กล่าวมานี้ อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน อะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อะไรเป็นเหตุที่แตกต่างกันระหว่างอริยสาวกผู้มีการสดับจากปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ?
..........ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลวิงวอนว่า
.........."ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึง. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เป็นการชอบแล้วหนอ ขอให้อรรถแห่งภาษิตนั้น จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเองเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้" ดังนี้.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับแล้ว อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ย่อมเศร้าโศก ย่อมกระวนกระวาย ย่อมร่ำไรรำพัน เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ถึงความมีสติฟั่นเฟือน เขาย่อมเสวยซึ่งเวทนาทั้ง เวทนาทั้ง ๒ ฝ่าย คือ เวทนาทั้งทางกายและทางจิต.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุรุษพึงยิงบุรุษด้วยลูกศร แล้วพึงยิงซ้ำซึ่งบุรุษนั้นด้วยลูกศรที่สองอีก บุรุษผู้ถูกยิงด้วยลูกศรสองลูกอย่างนี้ ย่อมเสวยเวทนาทางกายด้วย ทางจิตด้วย,แม้ฉันใด;
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับแล้วก็เป็นฉันนั้น คือ เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่,ย่อมเศร้าโศก ย่อมกระวนกระวายย่อมร่ำไรรำพันเป็นผู้ทุกอกร่ำไห้ ถึงความมีสติฟั่นเฟือนอยู่; ชื่อว่าเขาย่อมเสวยซึ่งเวทนาทั้งสองอย่าง คือทั้งทางกายและทางจิต. เขาเป็นผู้มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนานั้นนั่นเอง. ปฏิฆานุสัย อันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา, ปฏิฆานุสัยอันนั้น ก็ย่อม นอนตามซึ่งบุคคลนั้นผู้มีปฏิฆะด้วยทุกขเวทนา. บุคคลนั้นอันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ย่อมจะพอใจซึ่งกามสุข. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับแล้ว ย่อมไม่รู้ชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนาเว้นแต่กามสุขเท่านั้น (ที่เขาคิดว่าจะระงับทุกขเวทนาได้). เมื่อปุถุชนนั้นพอใจยิ่งอยู่ซึ่งความสุข, ราคานุสัยอันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, ราคานุสัยอันนั้นย่อมนอนตามซึ่งปุถุชนนั้น. ปุถุชนนั้น ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งเวทนา ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง. เมื่อปุถุชนนั้นไม่รู้ชัดอยู่ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และ ซี่งอุบายเป็นเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง ดังนี้แล้ว, อวิชชานุสัยอันใด อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนา, อวิชชานุสัยอันนั้น ย่อมนอนตามซึ่งปุถุชนนั้น. ปุถุชนนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนาย่อมเป็นผู้ติดพัน(ในเวทนา)เสวยเวทนานั้น;ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น; ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ยังเป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ติดพันแล้วด้วยชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย; เรากล่าวว่า เป็นผู้ติดพันแล้วด้วยทุกข์ ดังนี้
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ส่วนอริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่กระวนกระวาย ย่อมไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ไม่ถึงความมีสติฟั่นเฟือน; ย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือเวทนาทางกาย,หามีเวทนาทางจิตไม่.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุรุษพึงยิงบุรุษด้วยลูกศรแล้ว ไม่พึงยิงซ้ำซึ่งบุรุษนั้นด้วยลูกศรที่สอง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาจากลูกศรเพียงลูกเดียว, แม้ฉันใด;
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ก็ฉันนั้นคือเมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่,ย่อมไม่เศร้าโศกไม่กระวนกระวาย ไม่ร่ำไรรำพันไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงซึ่งความมีสติฟั่นเฟือน; อริยสาวกนั้น ชื่อว่าย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือเวทนาทางกาย หามีเวทนาทางจิตไม่ อริยสาวกนั้น หาเป็นผู้มีปฏิฆะ เพราะทุกขเวทนานั้นไม่. ปฏิฆานุสัย อันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา, ปฏิฆานุสัยอันนั้น. ก็ย่อมไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้นผู้ไม่มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา.อริยสาวกนั้นอันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ก็ไม่พอใจซึ่งกามสุข.ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?
.......... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ย่อมรู้ชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา ซึ่งเป็นอุบายอื่นนอกจากกามสุข.เมื่ออริยสาวกนั้นมิได้พอใจซึ่งกามสุขอยู่, ราคานุสัยอันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, ราคานุสัยอันนั้นก็ไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งเวทนา ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อยซึ่งโทษอันต่ำทราม และซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง.เมื่ออริยสาวกนั้น รู้ชัดอยู่ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และซี่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง ดังนี้แล้ว, อวิชชานุสัยอันใดอันเกิดจากอทุกขมสุข-เวทนา, อวิชชานุสัยอันนั้น ก็ย่อมไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น.อริยสาวกนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนาย่อมไม่เป็นผู้ติดพัน(ในเวทนา)เสวยเวทนานั้น; ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น;ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกผู้มีการสดับนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย; เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยทุกข์ ดังนี้.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ส่วนอริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่กระวนกระวาย ย่อมไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ไม่ถึงความมีสติฟั่นเฟือน; ย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือเวทนาทางกาย,หามีเวทนาทางจิตไม่.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุรุษพึงยิงบุรุษด้วยลูกศรแล้ว ไม่พึงยิงซ้ำซึ่งบุรุษนั้นด้วยลูกศรที่สอง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาจากลูกศรเพียงลูกเดียว, แม้ฉันใด;
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ก็ฉันนั้นคือเมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่,ย่อมไม่เศร้าโศกไม่กระวนกระวาย ไม่ร่ำไรรำพันไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงซึ่งความมีสติฟั่นเฟือน; อริยสาวกนั้น ชื่อว่าย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือเวทนาทางกาย หามีเวทนาทางจิตไม่ อริยสาวกนั้น หาเป็นผู้มีปฏิฆะ เพราะทุกขเวทนานั้นไม่. ปฏิฆานุสัย อันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา, ปฏิฆานุสัยอันนั้น. ก็ย่อมไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้นผู้ไม่มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา.อริยสาวกนั้นอันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ก็ไม่พอใจซึ่งกามสุข.ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ย่อมรู้ชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา ซึ่งเป็นอุบายอื่นนอกจากกามสุข.เมื่ออริยสาวกนั้นมิได้พอใจซึ่งกามสุขอยู่, ราคานุสัยอันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, ราคานุสัยอันนั้นก็ไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งเวทนา ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อยซึ่งโทษอันต่ำทราม และซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง.เมื่ออริยสาวกนั้น รู้ชัดอยู่ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และซี่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง ดังนี้แล้ว, อวิชชานุสัยอันใดอันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนา, อวิชชานุสัยอันนั้น ก็ย่อมไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น.อริยสาวกนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนาย่อมไม่เป็นผู้ติดพัน(ในเวทนา)เสวยเวทนานั้น; ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น;ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกผู้มีการสดับนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย; เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยทุกข์ ดังนี้.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกันเป็นเหตุที่แตกต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้มีการสดับ จากปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ดังนี้.
Create Date : 22 กันยายน 2553 |
Last Update : 22 กันยายน 2553 13:37:31 น. |
|
6 comments
|
Counter : 565 Pageviews. |
|
|
|
โดย: billabong11 วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา:14:47:15 น. |
|
|
|
โดย: อะไรกัน IP: 192.168.1.129, 61.7.133.52 วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา:19:04:50 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:11:17:18 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ถ้าไงรบกวนเพิ่มเติมด้วยครับ มือใหม่หัดฟังธรรมมะครับ