|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัญญาหก
สัญญาหก
..........ภิกษุ ท.! สัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? หมู่แห่งสัญญาหกเหล่านี้คือ สัญญาในรูป, สัญญาในเสียง, สัญญาในกลิ่น, สัญญาในรส, สัญญาในโผฏฐัพพะ, และสัญญาในธรรมารมณ์.
..........ภิกษุ ท.! นี้ เรียกว่า สัญญา.
ความหมายของคำว่า "สัญญา"
..........ภิกษุ ท.! คนทั่วไปกล่าวกันว่า "สัญญา" เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า?
..........ภิกษุ ท.! เพราะกิริยาที่หมายรู้ได้พร้อมมีอยู่ในสิ่งนั้น(เช่นนี้แล ) ดังนั้น สิ่งนั้นจึงถูก เรียกว่า สัญญา . สิ่งนั้น ย่อมหมายรู้ได้พร้อมซึ่งอะไร ? สิ่งนั้น ย่อมหมายรู้ได้พร้อม ซึ่งสีเขียวบ้าง, ย่อมหมายรู้ได้พร้อม ซึ่งสีเหลืองบ้าง, ย่อมหมายรู้ได้พร้อมซึ่งสีแดงบ้าง, และย่อมหมายได้พร้อมซึ่งสีขาวบ้าง (ดังนี้เป็นต้น ).
.......... ภิกษุ ท .! เพราะ กิริยาที่หมาย รู้ได้พร้อมมีอยู่ใน สิ่งนั้น (เช่นนี้แล ) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า สัญญา.อุปมาแห่งสัญญา
..........ภิกษุ ท .! เมื่อเดือนท้าย แห่งฤดูร้อน ยังเหลืออยู่, ในเวลาเที่ยงวันพยับแดด ย่อมไหวยิบยับ . บุรุษผู้มีจักษุ (ตามปกติ) เห็นพยับแดดนั้นก็เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย. เมื่อบุคคลนั้นเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่, พยับแดดนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป. ภิกษุ ท.! ก็แก่นสารในพยับแดดนั้นจะพึงมีได้อย่างไร, อุปมานี้ฉันใด;
..........ภิกษุ ท .! อุปไมย ก็ฉันนั้นคือ สัญญา ชนิด ใดชนิดหนึ่ง มีอยู่จะเป็นอดีตอนาคตหรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตามเลวหรือประณีตก็ตามมีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม; ภิกษุสังเกตเห็น (การบังเกิดขึ้นแห่ง) สัญญานั้น ย่อมเพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายเมื่อภิกษุนั้นสังเกตเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่, สัญญานั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป.
..........ภิกษุ ท.!ก็แก่นสารในสัญญานั้น จะพึงมีได้อย่างไร.หลักที่ควรรู้เกี่ยวกับ สัญญา
..........ภิกษุ ท.! ข้อที่เรากล่าวว่า "พึงรู้จักสัญญา, พึงรู้จักเหตุเป็นแดนเกิดของสัญญา, ถึงรู้จักความเป็นต่างกันของสัญญา, พึงรู้จักผลของสัญญา,พึงรู้จักความดับไม่เหลือของสัญญา, และพึงรู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของสัญญา" ดังนี้นั้น, เรากล่าวหมายถึงอะไรเล่า ?
..........ภิกษุ ท.! ข้อนั้น เรากล่าวหมายถึง สัญญาหกเหล่านี้ คือ สัญญาในรูป สัญญาในเสียง สัญญาในกลิ่น สัญญาในรส สัญญาในโผฏฐัพพะ และสัญญาในธรรมารมณ์.
..........ภิกษุ ท.! เหตุเป็นแดนเกิดของสัญญา เป็นอย่างไรเล่า?
..........ภิกษุท! ผัสสะ (การประจวบกันแห่งอายตนะภายใน และภายนอก และวิญญาณ ) เป็นเหตุเป็นแดนเกิดของสัญญา.
..........ภิกษุ ท.! ความเป็นต่างกันของสัญญา เป็นอย่างไรเล่า?
..........ภิกษุท.! สัญญาในรูปก็เป็นอย่างหนึ่ง, สัญญาในเสียงก็เป็นอย่างหนึ่ง, สัญญาในกลิ่นก็เป็นอย่างหนึ่ง, สัญญาในรสก็เป็นอย่างหนึ่ง, สัญญาในโผฏฐัพพะก็เป็นอย่างหนึ่ง, และสัญญาในธรรมารมณ์ก็เป็นอย่างหนึ่ง,
..........ภิกษุ ท .!นี้ เรียกว่า ความเป็นต่างกันของสัญญา.
..........ภิกษุ ท .! ผลของสัญญา เป็น อย่างไรเล่า?
..........ภิกษุ ท .! เรากล่าวสัญญา ว่า มีถ้อยคำที่พูดออกมานั้นแหละ เป็นผล, เพราะบุคคลย่อมพูดไปตามสัญญา โดยรู้สึกว่า "เราได้มีสัญญาอย่างนี้ ๆ" ดังนี้.
..........ภิกษุ ท.!นี้ เรียกว่า ผลของสัญญา.
..........ภิกษุ ท.! ความดับไม่เหลือของสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
..........ภิกษุท.! ความดับไม่เหลือของสัญญา มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของผัสสะ.
..........ภิกษุ ท.! อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นทางดำ เนินให้ถึงความดับไม่เหลือของสัญญา, ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ; การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ; ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ....
..........ภิกษุ ท .! คำใด ที่เรากล่าวว่า "พึงรู้จัก สัญญา, พึงรู้จักเหตุเป็นแดนเกิดของสัญญา, พึงรู้จักความเป็นต่างกันของสัญญา, พึงรู้จักผลของสัญญา, พึงรู้จักความดับไม่เหลือของสัญญา, และพึงรู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของสัญญา" ดังนี้นั้น, เรากล่าวหมายถึงความข้อนี้แล.
สัญญามีธรรมดาแปรปรวน
..........ภิกษุ ท.! สัญญาในรูปเป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;ภิกษุ ท.! สัญญาในเสียง เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
..........ภิกษุ ท.! สัญญาในกลิ่น เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
..........ภิกษุ ท.! สัญญาในรส เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
..........ภิกษุ ท.! สัญญาในโผฎฐัพพะ เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวนมีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
..........ภิกษุ ท.! สัญญาในธรรมารมณ์ เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวนมีความเป็นโดยอย่างอื่นได้ แล.
การเกิดของสัญญาเท่ากับการเกิดของทุกข์
..........ภิกษุ ท.! การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การเกิดโดยยิ่ง และความปรากฏของสัญญาในรูป สัญญาในเสียง สัญญาในกลิ่น สัญญาในรส สัญญาในโผฏฐัพพะ และสัญญาในธรรมารมณ์ ใด ๆ นั่นเท่ากับ เป็นการเกิดขึ้นของทุกข์, เป็นการตั้งอยู่ของสิ่งซึ่งมีปรกติเสียดแทงทั้งหลาย, และเป็นความปรากฏของชราและมรณะ แล.
ข้อควรกำหนดเกี่ยวกับ สัญญา
..........ภิกษุ ท.! สุข โสมนัส ใดๆ ที่อาศัย สัญญา แล้วเกิดขึ้น, สุขโสมนัส นี้แล เป็นรสอร่อย (อัสสาทะ) ของสัญญา; สัญญาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ด้วยอาการใด ๆ, อาการนี้แล เป็นโทษ(อาทีนพ) ของสัญญา; การนำออกเสียได้ ซึ่งความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ในสัญญา การละเสียได้ ซึ่งความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ในสัญญา ด้วยอุบายใด ๆ, อุบายนี้แล เป็น เครื่องออกพ้นไปได้ (นิสสรณะ)จากสัญญา.สัญญาขันธ์โดยนัยแห่งอริยสัจสี่
..........ภิกษุ ท .! สัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
..........ภิกษุ ท .! หมู่แห่งสัญญาหกเหล่านี้ คือ สัญญาในรูป, สัญญาในเสียง, สัญญาในกลิ่น,สัญญาในรส, สัญญาในโผฏฐัพพะ, และสัญญาในธรรมารมณ์.
..........ภิกษุท.! นี้ เรียกว่า สัญญา. ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา มีได้ เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ; ความดับไม่เหลือแห่งสัญญา มีได้ เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็น ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสัญญา, ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ; การพูดจาชอบการทำ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ; ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
Create Date : 14 ธันวาคม 2553 |
|
8 comments |
Last Update : 14 ธันวาคม 2553 19:02:23 น. |
Counter : 1295 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อะไรกัน IP: 192.168.1.58, 61.7.133.73 14 ธันวาคม 2553 19:22:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: พธู 15 ธันวาคม 2553 19:04:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 17 ธันวาคม 2553 23:33:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 20 ธันวาคม 2553 11:10:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 21 ธันวาคม 2553 12:29:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 23 ธันวาคม 2553 12:08:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: อะไรกัน !!! IP: 110.77.226.35 29 ธันวาคม 2553 19:12:17 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
...คือผมอ่าน ในหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องของ (คุณธรรมของความเป็นพระโสดาบัน) และพิจรณาโดยละเอียดดูแล้ว โดยรวมก็เข้าใจ แต่สงสัยอยู่ 2-3 ข้อ น่ะครับ ก็คือว่า...
1. อยากถาม เกี่ยวกับเนื้อหาของสูตรนึง ผมอ่านแล้วแต่ดันหาไม่เจอ ที่มีเนื้อหา ประมาณว่า (กรรม หรือ วิบากกรรม ไม่ใช่ตนเองกระทำ ไม่ใช่ผู้อื่นกระทำ ไม่ใช่ทั้งตนและผู้อื่นกระทำ แต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เช่น เมื่อมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้) อะไรประมาณนี้ น่ะครับ ก็คือ พระโสดาบัน เห็นความเป็น ปฏิจจสมุปบาท แบบนี้ หมายความว่าเป็นพื้นฐาณของ เหตุปัจจัย ที่เป็นเหตุเป็นผลกันในลักษณะนี้...
...แต่ที่สงสัยคือ เหตุปัจจัย(เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี) นั้น มันจะเชื่อมโยงกับ กรรมและการไห้ผลของกรรม ด้วยใช่ไหมครับ เช่นยกตัวอย่าง...เดินทางไปที่ไหนสักแห่ง เกิดปวดฉี่ จอดรถ ออกมาฉี่ ข้างทางหรือในป่า และแถวนั้น มีศาลเจ้า หรือเจ้าที่ อยู่ ซึ่งก็ อาจจะเป็นพวก เทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา ทั้งหลาย ที่อาจจะเป็นเป็น มิจฉาทิฏฐิ หรืออาจจะเป็นพวก เปรต อสุรกาย ที่เป้น มิจฉาทิฏฐิ มาแกล้ง ทำไห้เราปวดท้อง เพราะเราไปฉี่แล้วไม่ยกมือไหว้ คือเป็นการไปลบหลู่โดยไม่รู้ตัว ทำไห้ เทวดา หรือเปรต อสุรกาย ที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ เกิดโกรธ แกล้งทำไห้เรา ปวดท้อง หรือป่วยเป็นนั่นเป็นนี่ ต่างๆนานา...
...เพราะฉะนั้น อยากถามว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่ก็ได้ยินได้ฟังกันมา แต่ตรงนี้ ผมเรียบเรียงเรื่องราวขึ้นเอง จากการที่ได้ยินมาประมาณนี้นะครับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แค่เรื่องเล่า...แต่เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติอีกเยอะแยะ ลักษณะแบบพวกนี้ ก็มีจริง ถูกต้องไหมครับ...เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า พระโสดาบัน จะมีสัมมาทิฏฐิ ที่ว่า กรรมไม่ใช่ผู้อื่นบันดาล นั้น แต่เพราะ มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงมีสิ่งนี้...นั้น...
...มันก็จะเชื่อมโยงกันในลักษณะที่ว่า...ถ้า ณขณะนั้น ยังไม่ถึงคราวที่ อกุศลวิบากกรรม ที่เราเคยทำมาในอดีต ถึงคราวส่งผลแล้วนั้น เทวดาก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถูกไหมครับ เพราะมันอยู่ที่ อกุสลวิบากกกรรม ของเราที่เคยทำมา ถึงคราวส่งผลหรือยัง แต่ถ้าถึงคราวส่งผลพอดี และ มีเทวดา เปรต อสุรกาย มาแกล้งเราพอดี เราก็จะได้รับอกุศลวิบากกกรรม ใช่ไหมครับ แต่จะอยู่บนความเข้าใจที่ถูกต้องที่ว่า เป็น (กัมมัสสกตาญาณ) นั่นเอง และอยู่บนพื้นฐานของ กฏอิทัปปัจยตา อีกทีนึงซึ่งเชื่อมโยงกันหมด แบบนี้ ถูกต้องใช่ไหมครับ...
...และในส่วนของ กุศลวิบากกรรม ในฝ่ายดี เช่น ณขณะนั้น ถึงคราวที่ กุศลวิบากกรรม ที่เราเคยทำมาในอดีต แก่รอบ ถึงคราวส่งผล และขณะนั้นเราไป ขูดต้นโพธิ์ หาเลขหรือเขย่าติ้ว ขอหวย รางวัลที่ 1 เทวดาก็อาจจะสงเคราะไห้เรา เห็นเลขที่ขูด หรือเขย่าติ้วได้เลข ที่ถูกรางวัลที่ 1 ก็เป็นไปได้ใช่ไหมครับ 55555 แต่ทั้งหมด ต้องอยู่บนพื้นฐาณของกรรม และ การไห้ผลของกรรม ของเราด้วย ว่าประจวบพร้อมกันหรือเปล่า และต้องอยู่บนความเข้าใจ ที่ว่า (เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี) อีกนั่นแหละ ถูกต้องไหมครับ...
...สรุปก็คือผมกำลังคิดว่า แบบนั้นก็เป็นไปได้ ในเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรม จะเป็น ผลของกรรมดีหรือกรรมชั่ว ที่เคยทำมาในอดีต ถึงคราวส่งผล ต้องเป็นพื้นฐาณ ส่งผลมาก่อน และ พอเราไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทวดามิจฉาทิฏฐิก็สามารถแกล้ง ทำไห้เราป่วย หรือ ไปขูดต้นไม้หาเลขไปซื้อหวย เทวดาสัมมาทิฏฐิ ก็สามารถ จะบันดาลไห้เราเห็นเลข รางวัลที่1 ถูกรางวัลได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขึ้นอยู่กับกรรมของเราเป็นพื้นฐานผลักดันมาก่อน ถูกต้องไหมครับ และก็เชื่อมโยงไปในหลักของ กฏ อิทัปปัจยตา และ ปฏิจจสมุปาท ด้วย...จึงจะไม่เป็น ศีลลัปพตปรามาส ซึ่งเป็นคุณสมบัติ พระโสดาบัน ...เพราะฉะนั้นที่ผมอธิบายมาทั้งหมดนี้ ถ้าเข้าใจแบบนี้ ก็จะไม่เป็น ความงมงาย ใช่ไหมครับ....???
2. อยากถามความหมายของเนื้อหา ในสูตร นึงที่ว่า...
###############
(ผล แห่ง ความ เป็น โสดา บัน)
ภิกษุ ท . ! อานิสงส์ แห่ง การ ทำให้ แจ้ง ซึ่ง โสดา ปัตติ ผล ๖ อย่าง เหล่า นี้ มี อยู่ หก อย่าง เหล่า ไหน เล่า ? หก อย่าง คือ :
(เป็น บุคคล ผู้ เที่ยง แท้ ต่อ สัท ธรรม)
(เป็น บุคคล ผู้ มี ธรรม อัน ไม่รู้ เสื่อม)
(ทุกข์ ดับ ไป ทุก ขั้น ตอน แห่ง การ กระทำ ที่ กระทำ แล้ว)
(เป็น บุคคล ผู้ ประกอบ ด้วย อสา ธารณ ญาณ ( ที่ ไม่ ทั่วไป แก่ พวก อื่น )
(เป็น บุคคล ผู้ เห็น ธรรม ที่ เป็น เหตุ)
(และ เห็น ธรรม ทั้ง หลาย ที่ เกิด มา แต่ เหตุ)
ภิกษุ ท . ! เหล่า นี้ แล อานิสงส์ ๖ ประการ แห่ง การ ทำให้ แจ้ง ซึ่ง โสดา ปัตติ ผล
###############
...ไม่เข้าใจ อานิสงส์ ข้อที่ 3 ที่ว่า [ทุกข์ ดับ ไป ทุก ขั้น ตอน แห่ง การ กระทำ ที่ กระทำ แล้ว] หมายความว่าอะไรครับ....พระโสดาบันยังดับ ทุกข์ ไม่ได้แบบ พระอรหันต์ นี่ครับ แล้ว [ทุกข์ ดับ ไป ทุก ขั้น ตอน แห่ง การ กระทำ ที่ กระทำ แล้ว] หมายความว่ายังไงหรือครับ...???
3. อยากถ้ามความหมาย อีกสูตร นึงคือ...
###############
(ลักษณะ แห่ง ผู้ เจริญ อินทรีย์ ขั้น อริยะ)
อานนท์ ! บุคคล ผู้ มี อินทรีย์ อัน อบรม แล้ว ใน ขั้น อริยะ เป็น อย่างไร เล่า ?
อานนท์ ! ใน กรณี นี้ ความ พอใจ , ความ ไม่ พอใจ , ความ พอใจ และ ไม่ พอใจ เกิด ขึ้น แก่ ภิกษุ เพราะ เห็น รูป ด้วย ตา ฟัง เสียง ด้วยหู ดม กลิ่น ด้วย จมูก ลิ้ม รส ด้วย ลิ้น ถูก ต้อง สัมผัส ด้วย ผิว กาย รู้ แจ้ง ธรรมา รมณ์ ด้วย ใจ . ภิกษุ นั้น
ถ้า เธอ หวัง ว่า จะ เป็น ผู้ อยู่ อย่าง มี ความ รู้สึก ว่า ไม่ ปฏิกูล ใน สิ่ง ที่ เป็น ปฏิกูล ดังนี้ เธอ ก็ อยู่ อย่าง ผู้ มี ความ รู้สึก ว่า ไม่ ปฏิกูล ใน สิ่ง ที่ เป็น ปฏิกูล นั้น ได้
ถ้า เธอ หวัง ว่า จะ เป็น ผู้ อยู่ อย่าง มี ความ รู้สึก ว่า ปฏิกูล ใน สิ่ง ที่ ไม่ ปฏิกูล ดังนี้ เธอ ก็ อยู่ อย่าง ผู้ มี ความ รู้สึก ว่า ปฏิกูล ใน สิ่ง ที่ ไม่ ปฏิกูล นั้น ได้
ถ้า เธอ หวัง ว่า จะ เป็น ผู้ อยู่ อย่าง มี ความ รู้สึก ว่า ไม่ ปฏิกูล ทั้ง ใน สิ่ง ที่ เป็น ปฏิกูล และ ไม่ เป็น ปฏิกูล ดังนี้ เธอ ก็ อยู่ อย่าง ผู้ มี ความ รู้สึก ว่า ไม่ ปฏิกูล ทั้ง ใน สิ่ง ที่ เป็น ปฏิกูล และ ไม่ ปฏิกูล นั้น ได้
ถ้า เธอ หวัง ว่า จะ เป็น ผู้ อยู่ อย่าง มี ความ รู้สึก ว่า ปฏิกูล ทั้ง ใน สิ่ง ที่ ไม่ ปฏิกูล และ สิ่ง ที่ เป็น ปฏิกูล ดังนี้ เธอ ก็ อยู่ อย่าง ผู้ มี ความ รู้สึก ว่า ปฏิกูล ทั้ง
ใน สิ่ง ที่ ไม่ ปฏิกูล และ สิ่ง ที่ เป็น ปฏิกูล นั้น ได้
และ ถ้า เธอ หวัง ว่า จะ เป็น ผู้ อยู่ อย่าง เว้น ขาด จาก ความ รู้สึก ว่า ปฏิกูล และ ไม่ ปฏิกูล ทั้ง สอง อย่าง เสีย แล้ว อยู่ อย่าง ผู้ อุเบกขา มี สติสัมปชัญญะ ดังนี้ เธอ ก็ อยู่ อย่าง ผู้ อุเบกขา มี สติสัมปชัญญะ ใน สิ่ง เป็น ปฏิกูล และ ไม่ ปฏิกูล ทั้ง สอง อย่าง นั้น ได้
อานนท์ ! อย่าง นี้ แล ชื่อ ว่า บุคคล ผู้ มี อินทรีย์ อัน เจริญ แล้ว ใน ขั้น อริยะ
###############
...ข้อนี้ก็เคย ฟัง พระอาจาร์ คึกฤทธิ์ บอกว่า คุณสมบัติ พระโสดาบัน ข้อนึงก็คือ สามารถ มอง สิ่งที่ ปฏิกูล ให้ ไม่ปฏิกูล ก็ได้ มองสิ่งที่ ไม่ปฏิกูล ให้ ปฏิกูล ก็ได้ หรือมองทั้ง สิ่งที่ปฏิกูลและสิ่งที่ไม่ปฏิกูล ไห้เป็น อุเบกขา ก็ได้ ...ก็งง ครับ แค่พระโสดาบัน จะทำได้ขนาดนั้นเลยหรือครับ หรือหมายความว่า กดข่มใว้ เหมือนกับว่า ทิ้งความเพลินอะไรประมาณนั้นหรือเปล่าครับ แต่อาจจะไม่ได้หมายความว่า ทำจิตไห้เป็นแบบนั้นได้เลย ถ้างั้นก็ เป็นพระอนาคามีสิครับ เพราะ ผมก็ยัง งงว่า เช่น ไปมอง อุจจาระ ไห้เป็นของดี สวยงาม แบบนี้หรือครับ หรือไปมอง ของสวยงามไห้เป็นอุจจาระ เป็นปฏิกูล หรือว่า มองเป็นอุเบกขาเลย งั้นเราก็ไปคิดเอาเองไม่ใช่หรือครับ หรือว่า ความหมายคือยังไงกันแน่ โปรดช่วยไล่ตัว กังขา ไห้หน่อยนะครับ...???
4. อยากรู้ว่า ในการ เจริญอานาปานสติสมาธิ นั้น พระพุทธองค์ ได้บอกเกี่ยวกับ ว่า ให้ทำลมหายใจให้ละเอียด จะเข้าฌาณได้ง่ายกว่า อะไรประมาณนี้ไหมครับ หรือต้องการออกจากฌาณที่ 4 อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว ก็ไห้ พยายามทำลมหายใจไห้หยาบลง อะไรประมาณนี้ ใช่ พุทธวจณ ไหมครับ เพราะ ได้ยินมาจากที่อื่น ครับ แต่ผมเดาเอาว่าไม่น่าจะใช่หรือเปล่า เพราะ พยายามทำลมไห้ละเอียด จิตก็ปรุงแต่งอีกแล้ว ใช่ไหมครับ 555....????
...แต่ว่าจริงๆแล้ว พวก คำบริกรรมนิมิต ต่างๆ เช่น พุท โธ ก็เข้าฌาณสูงๆได้เหมือนกัน แต่ผมว่า อาจจะช้ากว่า แค่รู้ลม ใช่หรือเปล่าครับ เพราะจิตไปคิดปรุงแต่งคำบริกรรมอยู่ส่วนนึง แต่ก็ไปได้ถึงฌาณ4 ได้เหมือนกัน ใช่ไหมครับ.....???