ความดับลงแห่งกองทุกข์ มีได้เพราะการดับไปแห่งความเพลิน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

มหาปุริสลักขณะ ๓๒ ประการ




มหาปุริสลักขณะ ๓๒ ประการ


.........ภิกษุ ท. ! มหาบุรุษ (คือพระองค์เองก่อนผนวช) ผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักขณะ ๓๒ ประการ ย่อมมีคติเป็นสอง หาเป็นอย่างอื่นไม่ คือ:-ถ้าเป็นฆราวาส ย่อมเป็นจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม มีแว่นแคว้นจดมหาสมุทรทั้งสี่เป็นที่สุด มีชนบทอันบริบูรณ์ ประกอบ ด้วยแก้ว ๗ ประการ. แก้ว ๗ ประการ ย่อมเกิดแก่มหาบุรุษนั้นคือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว และปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗. มีบุตรผู้กล้าหาญ มีแววแห่งคนกล้าอันใคร ๆ จะย่ำยีมิได้ ตามเสด็จกว่า ๑๐๐๐. หนึ่งมหาบุรุษนั้นชนะแล้วครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นที่สุดโดยรอบ, ไม่มีหลักตอเสี้ยนหนาม มั่งคั่ง เบิกบาน เกษม ร่มเย็น ปราศจากเสนียดคือโจร, ทรงครอบครองโดยธรรมอันสม่ำเสมอ มิใช่โดยอาญาและศาสตรา. ถ้า ออกบวชจากเรื่อน เป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกื้อกูลด้วยเรือน ย่อมเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกิเลสเครื่องปกปิดอันเปิดแล้ว ในโลก.

..........ภิกษุ ท.! มหาปุริสลักขณะ ๓๒ ประการนั้น เหล่าไหนเล่า? คือ:-

๑. มหาบุรุษ มีพื้นเท้าสม่ำเสมอ.
๒. มหาบุรุษ ที่ฝ่าเท้ามีจักรเกิดแล้ว, มีซี่ตั้งพัน พร้อมทั้งกงและดุม.
๓. มหาบุรุษ มีส้นเท้ายาว.
๔. มหาบุรุษ มีข้อนิ้วยาว.
๕. มหาบุรุษ มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนละมุน.
๖. มหาบุรุษ มีลายฝ่ามือฝ่าเท้าดุจตาข่าย.
๗. มหาบุรุษ มีข้อเท้าอยู่สูง.
๘. มหาบุรุษ มีแข้งดุจแข้งเนื้อทราย.
๙. มหาบุรุษ ยืนไม่ย่อตัวลง แตะเข้าได้ด้วยมือทั้งสอง.
๑๐. มหาบุรุษ มีองคชาตตั้งอยู่ในฝัก.
๑๑. มหาบุรุษ มีสีกายดุจทอง คือมีผิวหนังดุจทอง.
๑๒. มหาบุรุษ มีผิวหนังละเอียด ละอองจับไม่ได้.
๑๓. มหาบุรุษ มีขนขุมละเส้น เส้นหนึ่ง ๆ อยู่ขุมหนึ่ง ๆ.
๑๔. มหาบุรุษ มีปลายขนช้อนขึ้น สีดุจดอกอัญชัน ขึ้นเวียนขวา
๑๕. มหาบุรุษ มีกายตรงดุจกายพรหม.
๑๖. มหาบุรุษ มีเนื้อนูนหนาในที่ ๗ แห่ง (คือหลังมือหลังเท้าบ่าคอ).
๑๗. มหาบุรุษ มีกายข้างหน้า ดุจราชสีห์.
๑๘. มหาบุรุษ มีหลังเต็ม (ไม่มีร่องหลัง).
๑๙. มหาบุรุษ มีทรวดทรงดุจต้นไทย กายกับวาเท่ากัน.
๒๐. มหาบุรุษ มีคอ กลมเกลี้ยง.
๒๑. มหาบุรุษ มีประสาทรับรสอันเลิศ.
๒๒. มหาบุรุษ มีคางดุจคางราชสีห์.
๒๓. มหาบุรุษ มีฟัน ๔๐ ซี่บริบูรณ์.
๒๔. มหาบุรุษ มีฟันเรียบเสมอ.
๒๕. มหาบุรุษ มีฟันสนิท (ชิด).
๒๖. มหาบุรุษ มีเขี้ยวสีขาวงาม.
๒๗. มหาบุรุษ มีลิ้น (ใหญ่และยาว) เพียงพอ.
๒๘. มหาบุรุษ มีเสียงดุจเสียงพรหม พูดเหมือน นกการวิก.
๒๙. มหาบุรุษ มีตาเขียวสนิท (สีนิล).
๓๐. มหาบุรุษ มีตาดุจตาวัว.
๓๑. มหาบุรุษ มีอุณาโลมหว่างคิ้ว ขาวอ่อนเหมือนสำลี.
๓๒. มหาบุรุษ มีศีรษะรับกับกรองหน้า.

..........ภิกษุ ท. ! นี้เป็นมหาปุริสลักขณะ ๓๒ ประการ ของมหาบุรุษ.




 

Create Date : 31 มกราคม 2554
21 comments
Last Update : 31 มกราคม 2554 17:03:36 น.
Counter : 1062 Pageviews.

 

คุณ นนท์ !!! ใครไม่รู้ครับ ชื่อ ภัทรพล ส่งสื่อธรรมะ มาไห้ผมครับ ไม่รุ้จักครับ รู้จักแต่ ขอทานใหญ่ 5555....ตลกจริงๆ ระบุ ชื่อผู้รับว่า ( เก่ง อะไรกัน ) แม่ผมออกไปรับ งงเลย ทำไมนามสกุล อะไรกัน ...ฮ่าฮี่ฮ่า...ฮี่ฮี่ฮี่..0_o......เสียงร้อง (((ฮี่ฮี่ฮี่)))...นี่เป็นเสียงร้อง ของ ม้าอาชาไนย นะครับ เพราะผมไม่ใช่ กระจอกๆ 5555.....

#################

...ขอ ขอบคุณ คุณ กัลยานนท์ มากเลยครับ...(((อมตธรรม))) ได้ทำการ เดินทาง มาถึงจุดหมายปลายทางอีกคราวนึง แล้ว อย่างเป็นทางการ ครับ หนังสือ ปฐมธรรม ดีจริงๆด้วยครับ...และทั้งหมด เป็นสิ่งที่วิเศษสุด อันหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ ที่จะทำให้เราอ่านแล้วนำไปประพฤติ ปฏิบัติ(รู้พร้อมเฉพาะ ถึงพร้อมเฉพาะ) และนำไปสู่ (((อมตธรรม))) นั่นเอง...และ เงินที่ คุณ พุทธโฆษนนท์ เสียค่าส่งมาแบบด่วนพิเศษ ก็ขอให้ คุณ ธรรมโฆษนนท์ ได้บรรลุ อมตธรรม แบบ ด่วนพิเศษ ไปด้วยนะครับ...

...แต่นี่ ไม่ใช่ เรื่องธรรมดา เพราะ (การให้ธรรมะเป็นทาน ขะนะการให้ทั้งปวง) นี้ทำไห้ผู้อ่าน จะชนะกิเลส ในใจได้ในอีกไม่ช้าด้วย จึงได้มีส่วนผลักดันไห้ ปุถุชน พัฒนา ไปสู่ อริยชน ได้อีกอย่างน้อย 1 ตน นะครับ..อนุโมทนา สาธุ ครับ...เดี๋ยววันนี้ ผมจะไป เจริญ สมถะวิปัสนา แบบ เน้นๆ สักวันละ 10 ชั่วโมง ติดต่อกันไป ที่สำนักปฏิบัติธรรม ไกล้บ้าน สัก ประมาณ อาทิตย์นึง เอาหนังสือไปอ่านด้วยพอดีเลย เดี๋ยวมีข้อสงสัยตรงไหน จะจดใว้มาถามอีกทีต่อไปนะครับ......ขออนุโมทนา ใน กุศลเจตนา ที่คุณ ม้าอาชานนท์ ได้กระทำแล้ว โดยการ ให้ธรรมะเป็นทาน ด้วยนะครับ.....

(((...และขอบคุณ คุณ ...กัลยานนท์ พุทธโฆษนนท์ ธรรมโฆษนนท์ ม้าอาชานนท์ ( เฮ้อออ เหนื่อย ชื่อยาวจริงๆ 555 )...ด้วยนะครับ ที่ไม่เป็น บุรุษ คนสุดท้าย ของพระตถาคต...)))

กัลยาณมิตตสูตรที่ ๑ (มิตรดีเป็นนิมิตแห่งอริยมรรค)

[๑๒๙] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้นสิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง สิ่งที่เป็นเบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่าจักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘จักทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.

[๑๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีมิตรดี ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.

#################

 

โดย: อะไรกัน@อนุโมทนา !!! IP: 192.168.1.57, 110.77.226.183 1 กุมภาพันธ์ 2554 14:11:05 น.  

 

นตฺถิ พาเล สหายตา
ความเป็นเพื่อนไม่มีในคนพาล

อยู่อย่างมีความสุข ด้วยการไม่คบคนพาล...นะคะ



ปอป้า ขอลาบล๊อก
เดินสายปฏิบัติธรรมและท่องเที่ยว เป็นเวลา ๕ วัน..นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 1 กุมภาพันธ์ 2554 15:26:50 น.  

 



สวัสดีค่ะ ลุงนนท์





 

โดย: พธู 1 กุมภาพันธ์ 2554 15:38:08 น.  

 



สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะ ลุงนนท์




 

โดย: พธู 2 กุมภาพันธ์ 2554 13:23:35 น.  

 

อกฺโกเธน ชิเน โกธํ
พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ

มีความสุขในชีวิตด้วยการระงับความโกรธได้ตลอดไป..นะคะ



กลับมาแล้ว ด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง เนื่องจากป่วยตลอดทริป..ค่ะ
แต่ก็ได้ปฏิบัติธรรม ทำบุญ ไหว้พระ สนทนาธรรมกับพระสงฆ์ตามความปรารถนาทุกอย่าง

ที่สำคัญ มีโอกาสได้ไปกราบสังขารธาตุของหลวงตามหาบัวด้วย
กราบและทำบุญเผื่อเพื่อนบล็อกทุกท่านด้วย...นะคะ

 

โดย: พรหมญาณี 7 กุมภาพันธ์ 2554 11:37:24 น.  

 

น ทีฆมายุง ลภเต ธเนน
คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์

มีความสุขกับการรู้จักใช้ทรัพย์ที่มีอยู่ ตลอดไป..นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 8 กุมภาพันธ์ 2554 12:28:39 น.  

 






ธุค่ะ ลุงนนท์

 

โดย: พธู 8 กุมภาพันธ์ 2554 22:00:44 น.  

 

สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เป็นอยู่อย่างรู้เท่าทันวัฏฏ ตลอดไป..นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 9 กุมภาพันธ์ 2554 10:05:15 น.  

 

อสาธุง สาธุนา ชิเน
พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดีของตน

มีความสุขกับการทำดีทั้งกาย วาจา และใจ ตลอดไป..นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 13 กุมภาพันธ์ 2554 17:05:24 น.  

 



สุขสันต์ในวันแห่งความรักนะคะ ลุงนนท์
อบอุ่น อิ่มเอิบใจ ไปกับความรักที่แวดล้อมอยู่ค่ะ





 

โดย: พธู 14 กุมภาพันธ์ 2554 16:59:28 น.  

 

เป็นสุขกับสถานะอันเหมาะสมของตน ตลอดไป..นะคะ

ขออินเทรนด์...แฮ็ปปี้วาเลนไทม์ ด้วยคน..ค่ะ

ฝันดี ราตรีสวัสดิ์...ค่ะ


 

โดย: พรหมญาณี 14 กุมภาพันธ์ 2554 21:02:47 น.  

 

...ช่วงนี้ เน้น ปฏิบัติ อย่างเดียว 10 ชั่วโมงต่อวันเลย เอาหนังสือไปก็ไม่ได้อ่าน เลยครับ เพราะปฏิบัติแบบ ติดลมบน 55...แต่ฟังบ้าง และ ตอนนี้ กำลังสมาธิเริ่มก้าวหน้าขึ้นทีละหน่อยๆครับ เดินจงกรม ลืมตา อยู่ในฌาณที่ 3 อย่างหยาบ ไปด้วยได้เลยครับ ไม่จะเป็นต้องนั่งหลับตา แต่ กำลังสะสมลูกพลังอยู่ ตือ ฌาณที่ 3 ระดับกลาง แต่ยังไม่สามารถ ทรงลูกพลังนั้นได้ ตลอดแบบสมบูรณ์ แต่ละครั้งที่ได้ จะอยู่ได้แค่ ประมาณ 3 นาที แล้วก็หมดฤทธิ์ ครับ 5555...แต่คาดว่า ไม่เกิน 30 ลูก ก็จะสามารถทรงใว้ได้ แบบสมบูรณ์ ครับ แต่ตอนนี้ ได้ ประมาณ 5-6 ลูกแล้วครับ...และจะได้เรื่อยๆ...

...อยากถามข้อสงสัยสัก 5-6 ข้อ คุณนนท์จะเพิ่มหัวข้อเรื่องไหม่หรือยังครับ เพราะจะได้อยู่บนๆ ครับ 555...แอบอยู่ข้างล่างไป เดี๋ยวคุณนนท์ไม่เห็นอีก....0_o...

 

โดย: อะไรกัน IP: 118.174.192.117 16 กุมภาพันธ์ 2554 21:21:20 น.  

 

(((...มีข้อสงสัยอยากถามดังนี้นะครับ...)))

1...อยากถามเนื้อความที่ว่า...

[เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึง
รู้เหตุนั้นได้นอกจากตถาคต ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคลเพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตนเราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ]

...อยากรู้ว่า ถ้าเราไป ถือประมาณในบุคคล ทำนายทายทัก หรือกล่าวว่า เธอได้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว แบบนี้ใช่ไหมครับ ...แล้ว สงสัยว่า มันจะ มาทำลายคุณวิเศษของเราเองได้ยังไงครับ เพราะถึงแม้ว่า สาวกจะมีคุณวิเศษ ย้อนอดีตชาติของผู้อื่นได้จำนวนจำกัด ก็บอกไปตามที่รู้ ก็ไม่เห็นจะทำลายคุณวิเศษ ของตนเอง ยังไงเลยครับ แล้วคุณวิเศษ ในที่นี้ หมายถึง คุณวิเศษ อะไร ถึงจะถูกทำลายได้และทำลายแบบไหนครับ ...???...

2...อยากถามเกี่ยวกับ ข้อความที่ว่า (ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง) มันแปลว่าอะไรครับ ไม่เข้าใจ มันจะแทรกอยู่ในเนื้อความเหล่านี้ ผมยกตัวอย่างมาแค่นิดเดียวนะครับ ก็คือ...

#################
[๒๕๗] ดูกรผู้มีอายุ ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นควรหรือที่จะกล่าวว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง บรรพชิตทั้งสองนั้นกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ควรจะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นหรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง.

ดูกรผู้มีอายุ ข้อนั้นเรารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เราจึงมิได้กล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจาร สงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่.
#################

...คือจะมีอธิบายแทรกอยู่ใน ญาณทั้ง4ขั้น และ วิชชา ๘ ในทุกข้อเลยครับ จะมีซ้ำๆประโยคแบบเดียวกันแบบนี้ หมายความว่าอะไร (ชีพ) คือ จิตใจ และ (สรีระ) คือ ร่างกาย หรือครับ แล้วประโยคที่ว่า (ภิกษุใดรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ควรจะกล่าวว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้นหรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง.) มันหมายความว่าอะไรหรือครับ ???...

3...เมื่อวานฟัง พระอาจารณ์ ตอบเกี่ยวกับคำว่า (สัมภเวสี) คำนี้ไม่ใช่ พุทธวจณ หรือครับ พิมพ์หาไม่เจอ แต่อธิบายว่า เป็นช่วงเวลาของจิตที่ยังหาที่เกิดไม่ได้หรือ เป็นแต่นาม อะไรประมาณนี้ หรือว่าผมฟังผิดก็ไม่รู้ คุณ นนท์ รู้ไหมครับ แต่ที่ผมเคยรู้มาก่อนนี้ คือ คำว่า (สัมภเวสี) แปลว่า ผู้ที่ยังจะต้องเวียนไหว้ตายเกิดอยู่ เราก็เป็น(สัมภเวสี) ชนิดนึง ผู้ที่ไม่ใช่ (สัมภเวสี) ก็คือ พระอรหันต์ คือไม่ต้องเวียนไหว้ตายเกิดอีกต่อไป แบบนี้ไม่ใช่หรือครับ...???

4...อยากถามเนื้อความที่ผมตัดตอนมา ที่ว่า...

[ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำหนัดในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้ เพราะละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณอันไม่มีที่ตั้ง ไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิ หลุด
พ้นไป เพราะหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.]

...คือสงสัยเนื้อความที่ว่า (เพราะหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น)...คือ พอจิตหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ งงว่า อะไรดำรงอยู่ครับ ตัวจิต หรือ วิมุติญาณทัสนะ หรือครับ หรือว่าทั้ง 2 อย่าง แล้วอะไรจึงยินดีพร้อม อะไรจึงไม่สะดุ้ง หมายถึง (จิตใจ) ที่เป็น สังขตธรรม หรือว่า (วิมุติญาณทัสนะ) ที่เป้น อสังขตธรรม ครับ...???

5...พิมพ์หาพระสูตร ไม่เจอ ที่พระพุทธองค์ เปรียบวิญญาณ เหมือน แสงตกกระทบฉาก เช่น ถ้าแสงส่องมา ถ้าไม่มีประตู จะกระทบอะไร ก็กระทบ น้ำ กระทบ ดิน และถ้าไม่มีอะไรเลย ก็ไม่มีแสงเพราะหาที่กระทบไม่ได้ ก็คือเปรียบเหมือน วิญญาณ หาที่ตั้งไม่ได้ ก็คือไม่สามารถปรุงแต่งรูปนามขึ้นมาได้ จิตย่อมหลุดพ้น...และมรรควีธี ละความเพลินก็คือว่า พอจิตเรามันน้อมไปหาอารมณ์ และพอเราดึงจิตกลับมาบ่อยๆ จน วิญญาณ ไม่สามารถ ปรุงแต่ง รูปนาม ขึ้นมาได้ ย่อมหลุดพ้น...

...ตรงนี้หมายความว่า จิตมัน หาที่เกาะไม่ได้เพราะเราทำบ่อยๆ ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เราจึงเริ่มเบื่อ และ ไม่สนใจอารมณ์ ทำไห้ จิต ไม่สามารถ ปรุงแต่ง รูปนาม ขึ้นมาได้ แบบนี้หรือครับ แล้วเป็นช่วงเวลาเท่าไหร่ แค่นิดเดียวคือหลุดพ้นแบบนี้เลยหรือครับ แล้วทำไม จิตจึงไม่สามารถ ปรุงแต่ง รูปนาม ขึ้นมาได้ ??? มันง่ายจะตาย เพราะจิต ก็ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เยอะแยะเต็มไปหมด มีแต่เราจะตามจิตที่มันปรุงแต่งไม่ทันเอง ต่างหาก แล้วหลุดพ้นแบบนี้ คือ จิตเรามันต้อง เบื่อหน่ายคลายความกำหนักมาพอสมควรแล้วใช่ไหมครับ จึงจะผลักดันไห้เป็นลักษณะนั้นได้ คือ (จิตไม่สามารถ ปรุงแต่ง รูปนาม ขึ้นมาได้ ก็หลุดพ้นเลย)...???

6...ขอนี้คุณนนท์ ไม่ยอมบอกผมหรือครับ 555 เมื่อวานนี้ เพิ่งเจอ !!! พระสูตร ที่ พระพุทธองค์ เปรียบอุปมา อาการของ การได้ฌาณ ขั้นต่างๆ คุณ นนท์ ไม่เห็นบอกผมเลยครับ !!! หรือว่า ยังไม่เคยอ่าน 555 แต่ผมเพิ่งเห็น น่ะครับ พระสูตรนี้ มีซ้ำกันอยู่หลายเล่มด้วยครับ มีเนื้อความว่า...

########################
รูปฌาน ๔

[๑๒๗] เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์
เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุขเมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น.

เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจารมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด
จะพึงใส่จุรณ์สีตัวลงในภาชนะสำริด แล้วพรมด้วยน้ำ หมักไว้ ตกเวลาเย็นก้อนจุรณ์สีตัวซึ่งยางซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด ย่อมไม่กระจายออก ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่าทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

[๑๒๘] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิต
ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข
เกิดแต่สมาธิอยู่ เธอทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง.

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึกมีน้ำปั่นป่วน ไม่มีทางที่น้ำจะไหลมาได้ ทั้งในด้านตะวันออกด้านใต้ ด้านตะวันตก ด้านเหนือ ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มตามฤดูกาล แต่สายน้ำเย็นพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้นแล้ว จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแหละให้ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆแห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมด ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้องฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

[๑๒๙] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุข
ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอทำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขอันปราศจากปีติไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง

ดูกรมหาบพิตรเปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวงหรือดอกบัวขาว บางเหล่าซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ดอกบัวเหล่านั้น ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นตลอดยอด ตลอดเง่า ไม่มีเอกเทศไหนๆแห่งดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ทั่วทุกส่วน ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใดภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

[๑๓๐] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ
ทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่งคลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตรนี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
########################

...คือผมยังหาไม่หมด เกี่ยวกับการบรรยายอาการของฌาณแต่ละขั้น ซึ่งอาจจะมี สูตรอื่นอีกนะครับ ไม่รู้เหมือนกัน แต่พออ่านสูตรนี้แล้ว ก็ทำไห้ไขว้เขวอีกแล้วครับท่าน !!! เพราะ ที่เคยบอกว่า ฌาณที่ 1 แค่ละอกุศลได้ แต่จะยังไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย ก็ขัดกับ พระสูตรนี้ไหมครับ คุณนนท์ช่วยอ่านแล้วพิจรณาดูไห้หน่อยนะครับว่า เป็นยังไงกันแน่ ก็คือว่า...

6.1...คือดูตั้งแต่ ปฐมฌาน จะกล่าวว่า [เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่าน] เห็นไหมครับ บอกว่า ทำกายให้ (ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่าน) จะมี 3 คำนี้ตลอดไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ ปฐมฌาน ไปเลย คุณ นนท์ คิดว่าไงครับ และที่ (เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน) บอกตามตรง ผมไม่รุ้เลยว่า (สรงสนาน) คืออะไร แต่ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็น 5555 แต่ประเด็นอยู่ที่ (ตกเวลาเย็นก้อนจุรณ์สีตัวซึ่งยางซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด ย่อมไม่กระจายออก)...และ...(ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง )...เห็นไหมครับ ที่ว่า (ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว) ก็คือ จะมีผลทางกาย ทำไห้ (ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่าน) และเปรียบเหมือนมี สภาวะหรือพลังบางอย่าง มาฉาบทาที่ตัวเราอย่างที่ผมเคยบอกไปว่าผมได้แบบนั้น และก็มีคำว่า (แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว) ร่างกาย เห็นไหมครับ...ตกลงตรงนี้ เป็นยังไงครับ เริ่ม งง ขึ้นมาอีกแล้ว 5555 แล้วที่บอกว่า ฌาณที่ 1 ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจาก ละอกุศล และไม่รำคาญในเสียง แต่นี่มันมากกว่านั้นนะครับ หรือว่าผมเข้าใจผิดยังไงก็ ช่วย พิจรณาดูให้หน่อยนะครับ 5555....???

...และ ทุติยฌาน เปรียบเหมือนเรา อยู่ในห้วงน้ำลึก และ สายน้ำเย็นพุขึ้นจากตัวเรา และ ทำให้มีความ (ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่าน) คือผมจะตีความแบบนี้น่ะครับ...

...และ ตติยฌาน เปรียบเหมือน ดอกบัว ก็คือ ตัวเรา แช่นิ่งอยู่ในน้ำเย็น ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นตลอด...อันนี้ใช่เลยครับ แต่ของผม มีมากกว่านี้ คือ มีลูกพลังมาถาโถมเข้าใส่ตัวเรา คือได้สูงสุดแบบนี้อยู่...

...และ จตุตถฌาน เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่งคลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง...

...สรุปก็คือ ผมสงสัย ฌาณที่ 1 น่ะครับ ว่า ผมเข้าใจถูกไหมว่า อาการพวกนี้ มันก็เริ่มมีมาตั้งแต่ ฌาณที่ 1 แล้ว หรือว่า ไม่ใช่ และถ้าไม่ใช่ งั้น ทำไม ปฐมฌาน พระพุทธองค์ จึงอธิบายว่า...

[เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก]

[ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง]

[ตกเวลาเย็นก้อนจุรณ์สีตัวซึ่งยางซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด ย่อมไม่กระจายออก]


...ตกลงเป็นยังไงครับ ขอความกระจ่างด้วยนะครับ....??????????...0_o...งงติ๊บ...!!!

 

โดย: อะไรกัน@งงติ๊บ!!! IP: 118.174.192.117 16 กุมภาพันธ์ 2554 21:51:43 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณนนท์..

ขออนุญาติเรียกตามพู..นะคะ

ปอป้า มารายงานตัวว่า หนังสือและแผ่นซีดี ได้รับแล้ว
ด้วยความขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง..ค่ะ

หนังสือ ขนาดเล่มกำลังพอเหมาะ เหมาะแก่การพกติดตัวไปไหน ๆ ด้วย..ดีมากเลยค่ะ
ส่วนแผ่นซีดี เดี๋ยวคืนนี้ จะให้ลูกเอามาลงไอพ็อต เอาไว้พกพาติดตัวไปฟังได้ทุกที

ขอกุศลผลบุญนี้ น้อมนำให้คุณนนท์เจริญธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น
และสำเร็จธรรมในชาติภพนี้ด้วย..เทอญ

ขอบคุณอีกครั้ง..ค่ะ



 

โดย: พรหมญาณี 17 กุมภาพันธ์ 2554 12:35:19 น.  

 

อ้าว โอ้โห ขออนุโมทนาด้วยครับ คุณ พรหมญาณี ก็ได้รับ อมตธรรม เหมือนกัน...ZZZZZZZZZZ

 

โดย: อะไรกัน !!! IP: 118.174.191.25 17 กุมภาพันธ์ 2554 13:33:52 น.  

 

น มิยฺยมานํ ธมฺมนฺเวติ กิญจิ
ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้

ขอเชิญปฏิบัติบูชาร่วมกันกับปอป้า..นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 18 กุมภาพันธ์ 2554 12:26:38 น.  

 




ตามมี้มาค่ะ






 

โดย: พธู 18 กุมภาพันธ์ 2554 21:18:39 น.  

 

ตอบ คุณอะไรกัน

1.[เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้นอกจากตถาคต ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคลเพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตนเราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ]

...อยากรู้ว่า ถ้าเราไป ถือประมาณในบุคคล ทำนายทายทัก หรือกล่าวว่า เธอได้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว แบบนี้ใช่ไหมครับ ...แล้ว สงสัยว่า มันจะ มาทำลายคุณวิเศษของเราเองได้ยังไงครับ

ตอบ พระพุทธองค์ ตรัสว่า เธอทั้งหลาย อย่าประมาณในบุคคล ผู้ที่ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตนเอง ตรงนี้ ก็ ไม่มีคำตอบโดย พุทธวจน หรอกครับว่า ทำไมถึงจะทำลายคุณวิเศษของตนเอง แต่พอจะคาดเดาได้ว่า การ จะประมาณในบุคคล หรือ การรู้วาระจิตของผู้อื่นจิตเราจะต้องส่งออกไปเพื่อรู้จิตของคนอื่นซึ่ง ถ้าจิตส่งออกมากๆก็จะไม่มีสติเรียกว่า วิญญาณฟุ้งไปในภายนอก สมาธิก็จะเริ่มถดถอยแล้วคุณวิเศษต่างๆก็น่าจะเสื่อมไปทีละเล็กละน้อย

อีกประการนึง ก็ คิดว่า สาวก มีความสามารถ ที่มีขีดจำกัด พอ ทำนายทาย อะไรก็แล้วแต่ อาจจะมีข้อผิดพลาด พอทายผิด ก็ ขาดความเชื่อมั่นในคุณวิเศษของตนเอง ก็ จะ เลิกฝึกฝนต่อ เพราะ คิดว่า ที่ ตนฝึกมา มัน ใช้การอะไรไม่ได้ คิดว่าประมาณนี้ครับ

2. ...อยากถามเกี่ยวกับ ข้อความที่ว่า (ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง) มันแปลว่าอะไรครับ ไม่เข้าใจ มันจะแทรกอยู่ในเนื้อความเหล่านี้ ผมยกตัวอย่างมาแค่นิดเดียวนะครับ ก็คือ...

ตอบ คือ ชีพ ก็ คือ ชีวิต หรือ จิต ส่วน สรีระ ก็ คือ รูป หรือ กาย ในกรณีนี้ ก็ น่าจะหมายถึง เมื่อเจริญสมาธิ วิปัสสนา ก็จะเห็นตามที่เป็นจริง ว่าชีพ ก็ อย่างหนึ่ง คือ จิตก็ อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง คือ กาย ก็อย่างหนึ่ง คือกายกับจิต ก็ แยกกัน เห็นตามที่เป็นจริงว่า กายก็ไม่ใช่เรา จิตก็ ไม่ใช่เรา ประมาณนี้ ครับ คือ จะรู้ชัดตามที่เป็นจริง ไม่เห็นผิดว่า จิตก็เป็นเรา กายก็ ของเรา แบบนี้ ครับ

3...เมื่อวานฟัง พระอาจารณ์ ตอบเกี่ยวกับคำว่า (สัมภเวสี) คำนี้ไม่ใช่ พุทธวจณ หรือครับ พิมพ์หาไม่เจอ แต่อธิบายว่า เป็นช่วงเวลาของจิตที่ยังหาที่เกิดไม่ได้หรือ เป็นแต่นาม อะไรประมาณนี้ หรือว่าผมฟังผิดก็ไม่รู้ คุณ นนท์ รู้ไหมครับ แต่ที่ผมเคยรู้มาก่อนนี้ คือ คำว่า (สัมภเวสี) แปลว่า ผู้ที่ยังจะต้องเวียนไหว้ตายเกิดอยู่ เราก็เป็น(สัมภเวสี) ชนิดนึง ผู้ที่ไม่ใช่ (สัมภเวสี) ก็คือ พระอรหันต์ คือไม่ต้องเวียนไหว้ตายเกิดอีกต่อไป แบบนี้ไม่ใช่หรือครับ...???

ตอบ สัมภเวสี เป็นพุทธวจนอยู่ ครับ คาดว่า เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่จิต กำลังวิ่งไปหาภพ คือสถานที่เกิด ก็ คือ ช่วงที่จิต วิ่งไปหาที่เกิดนี่แหละ คือ สัมภเวสี ตราบใดที่จิตยังวิ่งไปเกิด ก็ยังเป้นสัมภเวสีอยู่ ส่วนผู้ไม่ใช่สัมภเวสี คือ พระอรหันต์ ก็ถูกต้องแล้วครับ

4. .คือสงสัยเนื้อความที่ว่า (เพราะหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น)...คือ พอจิตหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ งงว่า อะไรดำรงอยู่ครับ

ตอบ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วจิตจึงดำรงอยู่ครับ คือ เมื่อ วิมุติญาณทัศนะ แยกตัวออกจากวิญญาณแล้ว ตัววิญญาณก็ ยังไมได้หายไปใหน ก็ ยังเกิดดับอยู่เหมือนเดิม แต่วิมุติญาณทัศนะ ไม่ได้ไปเกิดดับตามตัววิญญาณแล้ว เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วจิตจึงยังดำรงอยู่ ครับ ไม่ทราบตรงนี้ พอจะเข้าใจใหม ครับ ถ้ายัง งงอยู่ก็ ถามมาใหม่นะครับ

5ที่พระพุทธองค์ เปรียบวิญญาณ เหมือน แสงตกกระทบฉาก เช่น ถ้าแสงส่องมา ถ้าไม่มีประตู จะกระทบอะไร ก็กระทบ น้ำ กระทบ ดิน และถ้าไม่มีอะไรเลย ก็ไม่มีแสงเพราะหาที่กระทบไม่ได้ ก็คือเปรียบเหมือน วิญญาณ หาที่ตั้งไม่ได้ ก็คือไม่สามารถปรุงแต่งรูปนามขึ้นมาได้ จิตย่อมหลุดพ้น... ตรงนี้หมายความว่า จิตมัน หาที่เกาะไม่ได้เพราะเราทำบ่อยๆ ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เราจึงเริ่มเบื่อ และ ไม่สนใจอารมณ์ ทำไห้ จิต ไม่สามารถ ปรุงแต่ง รูปนาม ขึ้นมาได้ แบบนี้หรือครับ

ตอบ เข้าใจถูกต้องแล้วครับ ถ้าเราละนันทิ บ่อยๆ พอจิตมันปรุงปุ๊บ เราทิ้ง มันไปจับอะไรเราก็ ทิ้งปล่อย พอมันจับหรือเข้าไปรับรู้อะไรแล้วเราไม่สนใจมัน เราไม่ปรุงต่อ คือเราก็จะเห็นว่า จิตมัน จับอะไรไม่ได้เลย จับแล้วมันก็ดับ จับแล้วมันก็ดับอีก อีกหน่อยวิมุติญาณทัศนะ มันก็จะมีความรู้เกิดขึ้นว่า จิตไม่ใช่เรา มันเกิดดับตลอด ยึดอะไรไมได้เลยยึดปุ๊บเดียวมันก็ดับ อีกหน่อย มันก็ปล่อยตัววิญญาณได้เอง

6 ...คือผมยังหาไม่หมด เกี่ยวกับการบรรยายอาการของฌาณแต่ละขั้น ซึ่งอาจจะมี สูตรอื่นอีกนะครับ ไม่รู้เหมือนกัน แต่พออ่านสูตรนี้แล้ว ก็ทำไห้ไขว้เขวอีกแล้วครับท่าน !!! เพราะ ที่เคยบอกว่า ฌาณที่ 1 แค่ละอกุศลได้ แต่จะยังไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย ก็ขัดกับ พระสูตรนี้ไหมครับ คุณนนท์ช่วยอ่านแล้วพิจรณาดูไห้หน่อยนะครับว่า เป็นยังไงกันแน่ ก็คือว่า...

ตอบ ปฐมฌาน ก็ เครื่องวัด มันประกอบกันหลายอย่างครับ ไม่ใช่ว่า อกุศลดับอย่างเดียว ก็ ต้องประกอบด้วยวิตก วิจาร ปิติ และสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่ ด้วย ครับ จึงจะถือเป็นปฐมฌาน

6.1 สรุปก็คือ ผมสงสัย ฌาณที่ 1 น่ะครับ ว่า ผมเข้าใจถูกไหมว่า อาการพวกนี้ มันก็เริ่มมีมาตั้งแต่ ฌาณที่ 1 แล้ว หรือว่า ไม่ใช่ และถ้าไม่ใช่ งั้น ทำไม ปฐมฌาน พระพุทธองค์ จึงอธิบายว่า... [เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก]

ตอบ จริงๆ แล้ว ก็ ถูกแล้วนี่ครับ ปฐมฌาน คือ ต้องประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข ส่วนที่ดับไป คือ อกุศล
ทุติยฌาน ประกอบด้วย ปิติ สุข ที่ดับไป คือ วิตกวิจาร
ตติยฌาน มี สุข ที่ดับไปคือ ปิติ
ส่วน จตุถฌาน ประกอบด้วย อุเบกขา ส่วนที่ดับไปคือสุข
ส่วนคำว่า สรงสนาน คือ สรงน้ำ หรือ อาบน้ำ ครับ

คำตอบน่าจะตอบให้หมดแล้วนะครับ พักนี้ งานยุ่งๆเลยมาตอบช้าไปหน่อย ถึงจะมาช้าแต่ก็มาชัวส์ครับ อิอิ อนุโมทนาด้วยครับ

 

โดย: จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส 19 กุมภาพันธ์ 2554 4:02:24 น.  

 

สวัสดี ครับ ปอป้า สวัสดี ครับน้องพู อนุโมทนาสาธุ ขอให้มีความเจริญในธรรมเช่นกันนะครับ

 

โดย: จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส 19 กุมภาพันธ์ 2554 4:03:51 น.  

 

ความดีอันใดที่ตั้งใจจะทำ จงรีบกระทำเสีย
เพราะช่วงชีวิตของคนเรานั้น สั้นนักหนา

มีความสุขในวันพักผ่อนอันแสนสบาย..นะคะ



อนุโมทนาในทุกบุญกุศลด้วย..ค่ะ...

 

โดย: พรหมญาณี 20 กุมภาพันธ์ 2554 12:34:01 น.  

 

สวัสดีครับ พี่นนท์ __/\\__

 

โดย: Taman IP: 223.207.194.50 3 ตุลาคม 2554 10:53:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ดูกรภิกษุทั้งหลาย : บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯ
Friends' blogs
[Add จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.