....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 15-16

-ตอนที่ 15-


หลังอาหารกลางวัน มัทรีก็เลยต้องวุ่นวายกับการอธิบายเรื่องดอกไม้กับรูปดอกไม้อีกครั้ง รวมไปถึงการสอนให้เด็กๆ วาดตามอย่างให้ได้ หล่อนนั่งอยู่ในวงล้อม นานๆ ก็ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ดวงหน้าจึงเปรอะเปื้อนฝุ่นดิน ชายชุดพื้นเมืองตัวยาวที่สวมอยู่ก็ลากไปมากับพื้นจนมอมแมมไปทั้งตัว ไม่ผิดอะไรกับเด็กๆ ที่รุมล้อมอยู่รอบข้าง

ขณะที่มัทรีกำลังจับมือเด็กหญิงตัวเล็กที่สุดเพื่อสอนให้วาดรูปซ้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เพราะเด็กน้อยอ่อนเยาว์เกินกว่าจะบังคับน้ำหนักมือให้พอเหมาะ มิตูกับเด็กชายที่โตหน่อยก็เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามา โดยที่คนเดินนำหน้าซ่อนอะไรอย่างหนึ่งไว้ข้างหลัง

“อ้าว มิตู เธอเบื่อวาดรูปแล้วเหรอ? หายไปซนที่ไหนมา?” มัทรีเงยหน้าขึ้นมาถาม แต่ไม่ได้คาดหวังคำตอบนอกจากชวนคุยไปอย่างนั้นเอง

มิตูรัวภาษาออกมายาวเหยียดพร้อมรอยยิ้มร่าเริง และเมื่อเขายื่นมือออกมาตรงหน้า มัทรีก็ได้เห็นว่าเขาซ่อนอะไรเอาไว้

เป็นดอกหญ้าสีเหลืองดอกเล็กๆ กำใหญ่ ซึ่งแม้จะไม่ได้สดสวยหรือมีคุณค่าอะไร แต่สำหรับมัทรี หล่อนคิดว่ามันช่างเป็นของกำนัลที่มีค่ามากเหลือเกิน

“สวยจัง มิตู พวกเธอช่วยกันเก็บมาหรือ?” หล่อนรับดอกไม้มาจากมือเด็กชาย ยิ้มกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พวกเขารู้ว่าหล่อนยินดีรับความปรารถนาดีนี้อย่างเต็มใจ

มัทรีค่อยๆ เอาดอกหญ้ามาผูกร้อยเข้าด้วยกัน จำได้ว่าตอนเด็กๆ หล่อนก็ชอบเล่นอยู่กับดินกับหญ้าอย่างนี้ ดังนั้น หล่อนจะลองงัดฝีมือเมื่อครั้งยังเล็กมาใช้กับเด็กกลุ่มนี้ดูบ้าง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หล่อนคิดว่า เด็กชาติไหนๆ ก็ย่อมจะไร้เดียงสาและชอบสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เหมือนกันหมด

ในที่สุด หล่อนก็ทำมงกุฏดอกหญ้าได้อันหนึ่ง จึงบรรจงวางลงบนศีรษะของเด็กหญิงตัวเล็กที่จ้องมองดูอยู่นานแล้ว พอได้ของเล่นชิ้นใหม่ถูกใจก็ยิ้มแต้ หันไปยิงฟันใส่เพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่มองมาด้วยความอิจฉา

มัทรีก็เลยต้องทำมงกฏุดอกหญ้าให้สำหรับเด็กผู้หญิงทุกคน จนกระทั่งดอกหญ้ากำใหญ่ที่มิตูเก็บมาหมดเกลี้ยง

“ดอกไม้หมดแล้วนะมิตู คงจะต้องหามาเพิ่มแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเราก็ได้ไม่ครบกันทุกคน เธอไปเก็บมาจากไหนล่ะ?” มัทรีถามเด็กชายซึ่งจ้องตาแป๋วอยู่ก่อนแล้ว ท่าทางพวกเด็กผู้ชายก็อยากจะได้ของเล่นสวยๆ นี้บ้างเหมือนกัน

พอหล่อนลุกขึ้นยืน เด็กๆ ก็พากันดึงมือบ้าง ดึงชายเสื้อบ้าง แล้วก็พาเดินเลี่ยงออกจากริมแปลงนา ลัดเลาะไปตามเชิงเขาที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่โปร่งๆ จนกระทั่งถึงบริเวณลาดเขาปราศจากต้นไม้ แต่มีต้นหญ้าสีเขียวอ่อนๆ ขึ้นปกคลุม และต้นหญ้าเหล่านั้นก็ออกดอกสีเหลืองๆ ส้มๆ อย่างเดียวกับที่มิตูเก็บมาให้ กระจัดกระจายเต็มลาน

มัทรีระบายยิ้มเต็มใบหน้า ดอกไม้เล็กจิ๋วน่าเอ็นดูกำลังโยกไกวล้อลมอยู่ไหวๆ แม้จะไม่ใช่ดอกไม้สีสวยสคราญอย่างจำพวกทิวลิปหรือลิลลี่ ไม่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจอย่างกุหลาบหรือลาเวนเดอร์ แต่ทุ่งดอกหญ้าแห่งนี้ก็ทำให้ดินแดนอันแสนจะแห้งแล้งทุรกันดารมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้


ตลอดบ่ายนั้นมัทรีเล่นสนุกอยู่กับเด็กๆ จนลืมเวลา กว่าจะรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องกลับแล้วก็เมื่ออากาศเย็นลง และตะวันก็เริ่มคล้อยต่ำสู่ทิวเขาด้านตะวันตก หล่อนจึงลุกขึ้นแล้วพยักหน้าชวนเด็กๆ กลับเข้าไปในหมู่บ้าน

เพราะไม่คุ้นเคยกับเส้นทาง มัทรีก็เลยต้องอาศัยให้พวกเด็กๆ เดินนำ โดยมิตูเป็นคนร้องเพลงหงุงหงิงออกนำหน้า มีดอกหญ้าร้อยเป็นพวงๆ วางอยู่บนศีรษะและห้อยรอบลำคอ ท่าทางเขาถูกอกถูกใจกับการแต่งกายอย่างใหม่นี้มาก ที่ล้อมหน้าล้อมหลังมัทรีเป็นพวกเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กหญิงตัวเล็กที่สุดซึ่งหล่อนออกจะเอ็นดูกว่าใครเพื่อน จึงจับจูงมือกันเดินตลอดเวลา

พอใกล้ถึงบริเวณหมู่บ้าน พวกเด็กผู้ชายที่นำหน้ามาตลอดก็ออกวิ่งแข่งกันจนตัวปลิว เมื่อมองเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งจ้ำอ้าวๆ มุ่งตรงมา เสียงเอะอะอย่างดีใจของเด็กๆ ทำให้มัทรีเงยหน้าขึ้นมอง ยังไม่ทันไร ร่างนั้นก็ฝ่าวงล้อมเข้ามาถึงตัว คว้าข้อมือได้ก็ลากจนตัวปลิว บังคับให้หล่อนเดินตามเขาไปอีกทางหนึ่งโดยไม่สนใจพวกเด็กๆ ที่ได้แต่ยืนมองตามตาปริบๆ

“เดี๋ยวสิ ปล่อยฉันก่อน ฉันเจ็บนะ” มัทรีโวยเบาๆ เมื่อเดินห่างมาได้ระยะหนึ่ง

วินธัยปล่อยมือจากข้อมือเล็กๆ ของหล่อนแล้วหันขวับมาเผชิญหน้า ร่างสูงตระหง่านง้ำเมื่อยืนติดกันในระยะประชิด หญิงสาวจึงถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อตั้งหลัก พออ้าปากจะถามว่าเขาเป็นอะไร มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เอาแต่ลากหล่อนลิ่วๆ ตามหลังมาอย่างนี้ วินธัยก็กระชากเสียงถามขึ้นเสียก่อน

“คุณไปไหนมา?”

“ก็...ไปกับพวกเด็กๆ ไปดูเขาทำไร่กัน” หล่อนตอบง่ายๆ

“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่รึไงว่าอย่าไปไหนตามอำเภอใจ ทำไมคุณถึงขัดคำสั่งผม?”

มัทรีชักสีหน้าทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘คำสั่ง’

“เอ๊ะ! ท่านพันตรีคะ เท่าที่จำได้ ฉันไม่ได้เป็นทหารใต้บังคับบัญชาของคุณนะ”

“ใช่! คุณไม่ใช่ทหารในบังคับบัญชาของผม เพราะถ้าคุณเป็นล่ะก็ ผมสั่งปลดคุณไปนานแล้ว แต่คุณไม่รู้บ้างหรือไงว่าเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน?”

นักข่าวสาวชะงักนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำตอบห้วนๆ ที่มาพร้อมสีหน้าบึ้งตึงของเขา หล่อนลืมจริงๆ นั่นแหล่ะ คงเป็นเพราะความเงียบสงบของที่นี่ที่ทำให้หล่อนวางใจสนิทว่าทหารฝ่ายรัฐบาลคงจะไม่ตามมาพบ จึงได้ลืมสถานการณ์ลำบากของตัวเองไปชั่วขณะ

“เอ้อ ฉันลืมไปจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่...ที่หมู่บ้านนี้ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรไม่ใช่เหรอ คุณเองก็คิดว่ามันปลอดภัยไม่ใช่หรือไง ถึงได้มาพักอยู่ที่นี่” อ้อมแอ้มบอก

“ใช่ แต่ผมไม่อยากให้คุณประมาท นี่ถ้าเราพร้อมออกเดินทางแล้วคุณมาหายไปอย่างนี้ แผนการของเราก็จะผิดพลาดไปหมด”

“เอ้อ...งั้นเราจะออกเดินทางกันแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้างั้นไปกันเลยไหม?” เพราะรู้สึกผิดขึ้นมานิดหนึ่ง หล่อนจึงถามกระตือรือร้น

เค้าหน้าของนายพันตรีหนุ่มกร้านเกรียมลงไปเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความยุ่งยากใจ

“ยังหรอก ผมยังหาม้าหรือพาหนะอย่างอื่นไม่ได้ หมู่บ้านใกล้ๆ นี่ก็ไม่มีอยู่เลย”

“อ้าว งั้นเราก็ยังไปต่อไม่ได้น่ะสิ”

“ใช่! นั่นแหล่ะปัญหา อย่างน้อยที่สุดเราควรออกเดินทางให้ได้เช้าวันพรุ่งนี้ เพราะหากเนิ่นนานกว่านี้ไป พวกรัฐบาลอาจมีเวลาตามหาเราจนเจอ เช้ามืดพรุ่งนี้ผมคงต้องไปที่หมู่บ้านไกลออกไปอีกหน่อย...” ประโยคสุดท้ายเขาพึมพำกับตัวเอง

“โธ่ แล้วคุณจะมาโวยวายกับฉันทำไม ในเมื่อเราก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี”

มัทรีโพล่งออกมา ทำให้วินธัยหันขวับมาจ้องหน้า “นี่ตกลงคุณยังไม่เข้าใจใช่ไหมว่า ถ้าคุณทำอะไรตามอำเภอใจจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง”

“แหม...ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่...ฉันก็ไม่อยากให้คุณเอาแต่ดุฉันอยู่ตลอดเวลา คุณก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันปลอดภัยดี”

“ผมไม่ได้ดุ” เขาว่า “ผมเพียงแต่ ‘เตือน’ คุณจะได้ไม่ทำอะไรโดยที่ผมไม่รู้อีก รู้ไหมว่าผมตามหาคุณเสียทั่วหมู่บ้าน”

น้ำเสียงของเขาจริงจัง และเมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง สีหน้าบึ้งตึงของวินธัยก็ทำให้รู้ว่าเขาหมายความตามที่พูดจริงๆ

เขาตามหาหล่อนด้วยความรู้สึกหงุดหงิดร้อนรนอย่างที่สีหน้าแววตาเขาบอกอยู่นี่หรือเปล่านะ?

และเมื่อนายพันตรีหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ขอร้องเถอะมิสมัทรี ขอให้รู้ตัวไว้ด้วยว่าคุณมีความสำคัญมากขนาดไหน”

มัทรีก็หายใจสะดุด ความรู้สึกวิบไหวชนิดหนึ่งจู่เข้าจับหัวใจหล่อนอีกแล้ว หญิงสาวกะพริบตาจ้องหน้าเขาอย่างค้นคว้า แล้วก็คิดอย่างเข้าข้างตัวเองขึ้นมาว่า

หรือที่เขาดุหล่อนทุกครั้งที่หล่อนทำอะไรโดยไม่บอกไม่กล่าว ก็เป็นเพราะเขาห่วงใย?


“เอ่อ...ฉันขอโทษก็แล้วกัน เอาเป็นว่าต่อนี้ไป ฉันจะไม่ทำอะไรโดยพลการอีกแล้ว ตกลงไหม?” หล่อนหลุดคำพูดออกมาจนได้ หลังจากจ้องคนตรงหน้าอยู่เป็นนาน

“ผมหวังว่าคุณจะทำได้อย่างที่พูด” เขาพูด กอดอกมองดูหล่อนเหมือนไม่ค่อยเชื่อถือ

“เอ้อ...ง่า ฉันสัญญา คุณจะได้ไม่ต้องวุ่นวายเพราะเรื่องของฉันอีกไงล่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณ...เอ่อ เดือดร้อน”

“สำหรับผม มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรหรอก แต่ความเดือดร้อนของประเทศชาติคงเป็นเรื่องที่ผมรับผิดชอบไม่ไหว” วินธัยบอกออกมาเรียบๆ เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยต่อมาว่า

“มิสมัทรี ผมอยากให้คุณตระหนักด้วยว่าคุณเป็นเพียงคนเดียวที่จะช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของพวกเราฝ่ายอัคคาเหนือ ถ้าคุณเป็นอะไรไปในระหว่างนี้ ไม่ว่าจะโดยกรณีใดๆ ก็ตาม จอมพลคาลันก็จะสวมรอยกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของผมหรือทหารอัคคาเหนือทันที ดังนั้น ผมขอร้องให้คุณคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณก่อนเป็นอันดับแรก แม้ว่าโดยหน้าที่แล้ว ผมย่อมจะต้องปกป้องคุณอย่างดีที่สุด แต่ผมก็อยากให้คุณให้ความร่วมมือด้วยเหมือนกัน”

และท้ายที่สุด เขาก็ก้มศีรษะให้หล่อนนิดหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นว่า “โปรดเห็นแก่ความจำเป็นของอัคคาเหนือด้วย”

เท่านี้เองมัทรีก็เข้าใจได้โดยตลอดว่าเขาหมายความว่าอย่างไร และพร้อมๆ กับความเข้าใจนั้น หล่อนก็รู้สึกโง่ไปถนัดที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปได้เป็นตุเป็นตะ

แท้จริงแล้วที่เขาคอยติดตามเป็นห่วงกังวล กลัวหล่อนจะเป็นอันตรายไปสารพัด ก็เป็นเพราะเขาเกรงว่าหากหล่อนเป็นอะไรไป เขาก็จะหมดหลักฐานและพยานยืนยันได้ว่าพวกเขาบริสุทธิ์

หล่อนเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่เขาจะต้องรักษาเอาไว้ ตราบใดที่หล่อนยังอยู่ในดินแดนแห่งนี้...ก็เท่านั้นเอง


“เข้าใจแล้วค่ะ ท่านพันตรี” ในที่สุด มัทรีก็ลงเสียงหนัก เชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือดี “อย่ากังวลไปเลยว่าฉันจะผิดคำพูด ฉันสัญญาแล้วก็เป็นคำไหนคำนั้น คุณเองก็ทำ ‘หน้าที่’ ของคุณให้ดีก็แล้วกัน เพราะถ้าฉันเป็นอะไรขึ้นมา คุณคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่!”

ว่าแล้วก็สะบัดหน้าเดินกลับไปหาเด็กๆ ที่ยังรีรออยู่ โดยไม่มองดูหน้าของคนที่หล่อนพูดด้วยอีกเลย

รู้อยู่หรอกว่าที่ทำลงไปเมื่อครู่นี้น่ะ เป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยทำมา แต่หล่อนก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้เมื่อตระหนักแน่แล้วว่า สำหรับวินธัย หล่อนก็เป็นเพียง ‘ภาระหน้าที่’ ที่เขาต้องแบกรับไว้

พอๆ กับที่ไม่อยากจะยอมรับเหมือนกันว่า ความรู้สึกวุ่นวายใจที่หล่อนเป็นอยู่ในขณะนี้ มาจากความ ‘น้อยใจ’ ชายหนุ่มนั่นเอง



ตะวันตกดินไปแล้ว เมื่อชาน่าห์เรียกมัทรีและสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ เข้ามานั่งล้อมวงรับประทานอาหารมื้อค่ำ หลังเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น มัทรีก็ไม่พบวินธัยอีกเลย จนกระทั่งก่อนเวลาอาหารเล็กน้อย เขาก็กลับเข้ามาพร้อมสามีของชาน่าห์โดยมีห่อผ้าขนาดใหญ่ทำเป็นถุงห้อยอยู่ที่ไหล่ หล่อนเห็นเขาตรวจดูข้าวของในนั้นหลายครั้ง ก่อนจะขยับมาร่วมวง

หล่อนแกล้งเมินหนีไปอีกทางเมื่อเขาเหลียวมาสบตา โชคดีที่ดูเหมือนวินธัยจะมีเรื่องสนทนากับพ่อเฒ่าอัสมาตลอดเวลา เขาจึงไม่ได้ติดใจสงสัยท่าทีประหลาดๆ ของหล่อน

วินธัยเองก็มีเรื่องให้กังวลใจไม่น้อยเพราะเขายังหาสัตว์พาหนะสำหรับเดินทางต่อไปไม่ได้ ตามแผนการเดิมที่วางไว้ เขาตั้งใจจะขอซื้อม้าหรือจามรีสักตัวหนึ่งจากพ่อเฒ่าอัสมาเพื่อให้มัทรีอาศัยนั่งไประหว่างเดินทาง จากหมู่บ้านนี้ ยังต้องไปยังหมู่บ้านอื่นๆ อีกอย่างน้อย 3-4 แห่ง และนับจากนี้พวกเขาจะต้องเดินเท้าไปโดยตลอด สำหรับเขาคงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร แต่สำหรับหญิงสาวชาวไทย หล่อนอาจไม่ทนทานต่อสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศอันทารุณ

“สัมภาระของเจ้าขาดเหลืออะไรอีกบ้างหรือเปล่า? วินธัย” พ่อเฒ่าอัสมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอารี สายตาอ่อนโยนที่มองมาทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ อีกครั้ง

“เรียบร้อยดี ท่านพ่อเฒ่า” วินธัยตอบอย่างสำรวม

“อืม งั้นก็คงจะเหลือแต่ม้าล่ะนะ” พ่อเฒ่าพยักหน้าหงึกหงัก “น่าเสียดายที่วันนี้เจ้าไม่ได้ม้าอย่างที่ตั้งใจ”

“เช้ามืดพรุ่งนี้ ข้าตั้งใจจะออกไปที่หมู่บ้านอีก 2-3 แห่งที่ไกลออกไปอีกหน่อย”

“ลำบากเจ้าจริงๆ แต่ข้าเชื่อว่าโชคคงจะเข้าข้างเจ้าในวันพรุ่งนี้...แล้วมิสมัทรีเล่า เธอต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้างหรือเปล่า เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน ชาน่าห์คงพอจะจัดหาให้ได้ เจ้าลองสอบถามเธอดูซี”

วินธัยเหลียวไปมองมัทรีที่นั่งอยู่ข้างๆ ชาน่าห์ และพอสบตากันหญิงสาวก็เบือนหลบ แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจในปฏิกิริยานั้นนัก ดูเหมือนหล่อนจะคอยหลบเลี่ยงเขามาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น แต่ชายหนุ่มก็วุ่นวายกับธุระอย่างอื่นจนไม่ได้ใส่ใจว่าหล่อนเป็นอะไร

“สำหรับเรื่องเสื้อผ้าคงไม่จำเป็นอะไรนักหรอก ท่านพ่อเฒ่า ตอนนี้น้ำและอาหารเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรก และข้าก็ต้องขอบคุณท่านมากที่ได้จัดหาไว้ให้อย่างเพียงพอ ทั้งๆ ที่ตอนนี้พวกชาวบ้านเองก็ลำบากไม่น้อย”

“วินธัย” พ่อเฒ่าอัสมาเอ่ยเนิบช้า “อย่าได้เกรงใจไปเลย ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเหมือนบ้านของเจ้า ข้าเองก็เห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็กๆ เวลานี้เจ้ากำลังเดือดร้อน และก็เป็นความเดือดร้อนเพื่ออัคคาเหนือของเรา หากเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร ก็ขอให้บอกมา อย่าได้กังวลว่าจะทำให้พวกข้าหรือชาวบ้านคนใดลำบาก เพราะเจ้าก็เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเรา”

นายพันตรีหนุ่มสบตาชายชราด้วยความรู้สึกตื้นตัน เขาก้มศีรษะให้ด้วยความซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเมื่อเงยหน้าขึ้น ทั้งชาน่าห์ สามีของนาง และเด็กน้อยมิตูก็มองดูเขาด้วยความรักใคร่ศรัทธา

จะมีก็แต่มัทรีเท่านั้นที่จ้องมองพวกเขาด้วยแววตาพิศวง เพราะไม่เข้าใจถ้อยคำสนทนาเหล่านั้นแม้แต่คำเดียว


“เอาล่ะ ดื่มชาสักถ้วยแล้วก็แยกย้ายไปนอนเถอะ วินธัย พรุ่งนี้เจ้าต้องออกเดินทางแต่เช้ามืดนี่ ชาน่าห์ ขอชาร้อนๆ ให้พวกเราสักถ้วยเถอะ” ประโยคหลังท่านพ่อเฒ่าเอ่ยปากบอกบุตรสาว

ชาน่าห์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นเพื่อจะไปทำตามคำสั่ง ก็พอดีกับเสียงเอะอะของใครคนหนึ่งดังลั่นมาจากนอกตัวบ้าน พร้อมกับเสียงตบประตูดังลั่น

สามีของชาน่าห์ลุกขึ้นไปปลดกลอน และเมื่อประตูเปิดออก ร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เผ่นพรวดเข้ามา เขาละล่ำละลักบอกความจนฟังแทบไม่ทัน

“แย่แล้ว! ท่านพ่อเฒ่า พวกทหารอัคคาใต้บุกเข้ามาในหมู่บ้านเรา บอกว่าถือคำสั่งจอมพลคาลันมาค้นหาตัวคนร้ายที่ลักพาตัวผู้หญิงต่างชาติ!”

สิ้นประโยคนั้น ทุกคนก็ผุดลุกขึ้นยืน มัทรีก็พลอยลุกไปด้วย หล่อนได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ทีโดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สัญชาติญาณบางอย่างบอกว่าต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา!

เสียงโหวกเหวกดังอยู่ด้านนอก พร้อมกับเสียงเอ็ดอึงของพวกชาวบ้าน ฟังคล้ายอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก และกำลังดังใกล้เข้ามา

“พวกมันมากันกี่คน?” นายพันตรีถามเร็วปรื๋อ “แล้วตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน?”

“มากทีเดียว ท่านพันตรี เกือบ 30 คน ตอนนี้มันคงมาถึงลานกว้างกลางหมู่บ้านแล้ว” ชายคนเดิมตอบกลับมา

วินธัยขมวดคิ้วเคร่งเครียด เสียงพ่อเฒ่าอัสมาเอ่ยมาช้าๆ ว่า “เจ้าหนีไปก่อนวินธัย รีบพามิสมัทรีไปเร็วเข้า ไม่ต้องห่วงทางนี้!”

แต่ชายหนุ่มยังห่วงหน้าพะวงหลัง เขาหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี จนพ่อเฒ่าสำทับมาอีกครั้ง

“รีบไปวินธัย! ไม่ต้องห่วงทางนี้ เจ้ารู้ดีไม่ใช่หรือว่า หน้าที่ของเจ้าคืออะไร?”

วินธัยสบตาท่านพ่อเฒ่า เห็นแววตาของชายชราฉายแสงเด็ดเดี่ยวอย่างที่คนหนุ่มๆ บางคนก็อาจพ่ายแพ้ เขาเข้าใจความหมายนั้นได้ในทันที

ชายหนุ่มทรุดลงคุกเข่า จรดหน้าผากลงกับพื้นอันเป็นการทำความเคารพให้แก่ชายชราอย่างสูงสุด และเมื่อเขาลุกขึ้น สีหน้าอันเรียบเฉยก็กลับคืนมา เขาฉวยห่อผ้าขึ้นสะพายหลัง มัดแน่นเป็นปมไว้ด้านหน้า คว้าข้อมือมัทรีที่ยังยืนงงด้วยไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วตรงไปที่ประตูโดยมีสามีของชาน่าห์คอยดูต้นทางให้

“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?” มัทรีเพิ่งจะได้โอกาสถามเป็นครั้งแรก

“พวกทหารอัคคาใต้มาถึงหมู่บ้านแล้ว เราต้องหนีเดี๋ยวนี้!”

ยังไม่ทันมีใครได้พูดอะไรต่อไป สามีของชาน่าห์ก็หันมาบอกแก่วินธัยว่า พวกทหารอัคคาใต้มาถึงลานหน้าบ้านแล้ว!



ลานดินหน้าบ้านพ่อเฒ่าอัสมาขณะนี้ มีทหารอัคคาใต้ในชุดสีกากีราว 30 นายพร้อมอาวุธครบมือ ยืนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ ที่อยู่ตรงหน้าสุดคือร่างท้วมของพันเอกราดิช ซึ่งประกาศกร้าวว่าตนถือคำสั่งของจอมพลคาลันมาค้นหมู่บ้านนี้เพื่อตามล่าตัวโจรกบฏที่ลักพาตัวนักข่าวชาวไทยแล้วหลบหนีมา

พลทหารคนหนึ่งกำลังตะโกนเรียกผู้นำหมู่บ้านให้ออกมาเจรจากับทางกองทัพ โดยมีชาวบ้านคนอื่นซึ่งถูกต้อนออกมาจากบ้านเรือนของตนยืนตัวสั่นเทาอยู่ในวงล้อมของทหารเพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนีไปได้

หลังจากปล่อยให้ทหารตะโกนเอ็ดอึงอยู่หน้าบ้านได้พักใหญ่ พ่อเฒ่าอัสมาพร้อมด้วยบุตรเขยก็ออกมาจากในบ้าน

“อ้อ ท่านคงเป็นผู้นำหมู่บ้านนี้ใช่ไหม?” พันเอกราดิชถาม พิจารณาดูชายชราตรงหน้าและประเมินว่าไม่น่าจะมีพิษสงใดๆ

“ใช่ ข้าเอง พ่อเฒ่าอัสมา” ชายชราตอบเรียบๆ “พวกท่านและทหารของท่านมีธุระอะไรกับหมู่บ้านเล็กๆ ของเราหรือ?”

“เราได้ข่าวว่าโจรกบฏอัคคาเหนือที่ลักพาตัวนักข่าวชาวไทยมาหลบซ่อนตัวอยู่ในแถบนี้ จึงนำกำลังออกค้นหา ไม่ทราบว่าท่านพอจะทราบเบาะแสบ้างไหม?”

“พวกเราอยู่กันตามบ้านนอกห่างไกลอย่างนี้ ใครเลยจะดั้นด้นมาถึง”

“หมู่บ้านห่างไกลอย่างนี้สิ จึงจะเหมาะกับการซ่อนตัว สายของเรารายงานมาเช่นนี้ หากท่านผู้เฒ่ารู้อะไรระแคะระคาย ก็บอกแก่ทางการมา ค่าหัวของโจรรายนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว”

“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเบาะแสของโจรอะไรที่ท่านว่านั่นเลย”


ขณะที่พ่อเฒ่าอัสมากำลังเจรจากับพันเอกราดิช วินธัยก็พามัทรีปีนออกทางหน้าต่างห้องนอนของชาน่าห์ ตั้งใจจะหลบหนีออกไปโดยไม่ให้พวกทหารล่วงรู้ แต่กระนั้น การจะลอบออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ก็ต้องอาศัยเส้นทางเดียวกับที่พวกเขาผ่านเข้ามา ซึ่งตอนนี้พวกทหารอัคคาใต้เดินตรวจตราขวั่กไขว่กันให้ทั่ว เพียงแค่เขาเคลื่อนไหว พวกมันก็จะรู้ได้ทันที

วินธัยจึงยังคงหลบเงียบอยู่ใต้หน้าต่างบานเดียวกับที่ปีนลงมา ใช้ความมืดรอบด้านอำพรางตัว โดยมีมัทรีซุกร่างอยู่ข้างๆ คอยแอบดูและเงี่ยหูฟังสิ่งที่เกิดขึ้นตรงลานดินหน้าบ้านหลังนั้นอย่างกระวนกระวายใจ


“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านพูดความจริง” พันเอกราดิชหรี่ตามองผู้นำหมู่บ้านวัยชรา “พวกท่านอาจจะซุกซ่อนเขาไว้ก็ได้”

“มีประโยชน์อันใดที่จะทำเช่นนั้น?”

“แน่ล่ะ พวกท่านเป็นชาวอัคคาเหนือเหมือนกัน อาจจะต้องการช่วยเหลือพวกเดียวกันก็เป็นได้”

“ถ้าอย่างนั้นท่านจะถามข้าทำไม ในเมื่อพวกท่านเองก็ปักใจเช่นที่ว่าเสียแล้ว”

พันเอกราดิชขมวดคิ้วเคร่งเครียด สีหน้าบอกชัดว่าไม่พอใจที่เห็นชายชราท่าทางไร้เรี่ยวแรง คนนี้มีท่าทีกระด้างเมินเฉยต่อทหารของกองทัพ ผิดไปจากชาวบ้านทั่วไป ที่เพียงแค่เห็นพวกเขาพร้อมอาวุธในมือก็ตัวสั่นเสียแล้ว

“ข้าอาจจะลองเชื่อที่ท่านพูดดูก็ได้ พ่อเฒ่าอัสมา หากว่าทางหมู่บ้านของท่านจะมีอะไรแลกเปลี่ยนสักเล็กน้อย”

พ่อเฒ่าอัสมาเหยียดริมฝีปากออกนิดหนึ่ง และเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตา พันเอกราดิชก็เห็นอย่างชัดเจนว่า นั่นเป็นรอยยิ้มเยาะ!

“หากท่านจะหมายถึงทรัพย์สินมีค่าล่ะก็ เราไม่มีหรอก ท่านก็เห็นว่าหมู่บ้านนี้แร้นแค้นเพียงใด”

“แน่ใจที่พูดแล้วหรือ? ท่านพ่อเฒ่า” พันเอกราดิชเอ่ยเสียงเย็น

และเมื่อพ่อเฒ่าอัสมายังคงนิ่งเฉยโดยไม่เอ่ยคำใด นายพันเอกก็ออกคำสั่งกับเหล่าทหารที่ยืนอยู่รายรอบทันที

“ค้น!”

ทหารในชุดสีกากีตรงเข้าไปในบ้านแต่ละหลัง แม้แต่บ้านของพ่อเฒ่าอัสมา โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของชาวบ้านที่ร้องโวยวายขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่กล้าขยับตัวเพราะทหารอีกเกือบสิบนายยังถือปืนยืนจังก้าอยู่โดยรอบ พวกทหารที่เข้าไปรื้อค้นในบ้านต่างหยิบฉวยข้าวของเท่าที่จะหาได้ พวกลูกเด็กเล็กแดงและผู้หญิงที่ยังซุกซ่อนอยู่ในบ้านพากันหวีดร้องระงมเมื่อถูกบังคับฉุดลากให้ออกมารวมกลุ่ม

วินธัยกับมัทรีมองภาพความโกลาหลนั้นด้วยความอัดอั้นตันใจ นายพันตรีหนุ่มรู้ดีว่าพ่อเฒ่าอัสมาเจตนาถ่วงเวลา การปล่อยให้พวกทหารบุกเข้าฉกชิงข้าวของและทำพฤติกรรมเยี่ยงโจร อาจช่วยให้พวกมันพอใจและออกจากหมู่บ้านไปไวขึ้น ถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่ได้มีสิ่งของมีค่ามากมายอะไรอยู่แล้ว เท่าที่ดูอยู่จากตรงนี้ ของส่วนใหญ่ที่ติดมือทหารออกมาก็มีแต่ข้าวปลาอาหารและของใช้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

ชายหนุ่มหวังเหลือเกินว่าทุกอย่างจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้...

แต่แล้วทหารนายหนึ่งซึ่งเข้าไปในบ้านพ่อเฒ่าก็พรวดพราดออกมาพร้อมชูอะไรอย่างหนึ่งในมือขึ้น พลางส่งเสียงรายงานผู้บังคับบัญชา

“ท่านพันเอก กระผมพบสิ่งนี้ในบ้านพ่อเฒ่าอัสมาครับท่าน!”

จากมุมอับที่ซุกซ่อนตัวอยู่ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเพ่งมองนักหนา วินธัยก็แน่ใจว่าชุดสีดำสนิทในมือของทหารนายนั้น คือ เครื่องแบบทหารของเขาเอง!


(จบตอนที่ 15)


-ตอนที่ 16-


ทหารอีกสองนายที่ตามหลังมาคุมตัวชาน่าห์และมิตูออกมาด้วย เด็กชายดิ้นรนเต็มกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกเหนี่ยวคอเสื้อ ร่างเล็กๆ นั้นถูกผลักลงกับพื้นต่อหน้าพันเอกราดิช โดยมีชาน่าห์ถลาตามไปกอดไว้

“เราพบเครื่องแบบทหารของอัคคาเหนือในบ้านหลังนี้ครับ ท่านพันเอก ไอ้เด็กนี่มันซ่อนไว้ใต้ที่นอน”

พันเอกราดิชก้าวเข้ามารับชุดสีดำนั้นไปดู เขาหรี่ตาลงนิดหนึ่ง ก่อนหันไปหาพ่อเฒ่าอัสมา

“นี่หมายความว่าอย่างไร? ท่านพ่อเฒ่า ไหนท่านว่าไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับโจรกบฏไงล่ะ ชุดนี่เป็นหลักฐานอย่างดีว่าท่านเคยให้ที่หลบซ่อนแก่มัน”

ชายชราไม่ตอบ หากแต่เป็นมิตูเองที่ตะโกนก้อง

“เขาไม่ใช่โจรกบฏ! พวกแกใส่ร้ายเขา!”

นายพันเอกแห่งอัคคาใต้หันใบหน้ามามอง “อ้อ เป็นไอ้วินธัยจริงๆ สินะ แล้วมันไปทางไหนเสียแล้วล่ะ? เด็กน้อย”

“ข้าไม่มีทางบอกเจ้าหรอก ฝันไปเถอะ!” มิตูตะเบ็งเสียงอย่างไม่กลัวเกรง แม้ว่าคนเป็นแม่จะพยายามปรามให้เงียบ แต่เขาก็ไม่ได้หวาดหวั่นเลยสักนิด

“หึ! กล้าหาญดี แต่น่าเสียดายนะที่คนที่เจ้าพยายามปกป้องเป็นคนขี้ขลาด ทิ้งให้พวกเจ้าต้องเผชิญอันตรายอยู่อย่างนี้”

“เขาไม่ได้ขี้ขลาด! พวกแกนั่นแหล่ะขี้ขลาด พวกแกไม่ใช่ทหาร แต่เป็นโจรชัดๆ!”

พันเอกราดิชจ้องหน้าเด็กชายด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ปากดีนี่! ไอ้หนู ไหนขอดูหน่อยซิว่าคนที่เจ้าพยายามปกป้องจะช่วยอะไรพวกเจ้าได้บ้าง”

แล้วร่างท้วมใหญ่นั้นก็ก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางลาน ค้ำร่างของมิตูที่ขณะนี้ชาน่าห์ดึงมากอดเอาไว้แน่น ยืดตัวขึ้นนิดหนึ่งแล้วประกาศก้อง

“พันตรีวินธัย! ข้ารู้ว่าแกยังอยู่ในหมู่บ้านนี้ ออกมามอบตัวเสียแต่โดยดี ถ้าไม่อยากให้ชาวบ้านเดือดร้อน!”

สิ้นสุดคำประกาศของพันเอกราดิช ทหารที่ยืนรายล้อมอยู่ก็ขยับปืนอย่างข่มขวัญ จ้องปากกระบอกเข้าหากลุ่มชาวบ้านที่ยืนเบียดกันแน่น พวกเด็กๆ ซุกร่างอยู่กับพ่อแม่ด้วยความหวาดกลัว และที่ยังเล็กนักก็เริ่มต้นร้องไห้จ้า



มัทรีเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นได้ถนัด แม้จะไม่รู้ความหมายในคำพูดของพันเอกราดิช หล่อนก็พอเดาได้ว่าจะเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น แต่พอขยับตัวจะลุก วินธัยก็กระชากแขนไว้ทันที

“คุณจะทำอะไร?” เขาถามเสียงลอดไรฟัน

“คุณไม่เห็นเหรอ? พวกมันกำลังจะทำร้ายชาวบ้าน ฉันยอมไม่ได้หรอก!”

“แต่ถ้าคุณออกไป ก็เท่ากับตายเท่านั้น!”

“แล้วคุณจะปล่อยไว้แบบนี้รึไง?”

วินธัยบดกรามแน่น ในสมองอื้ออึงด้วยความโกรธแค้นผสมปนเปกับความยุ่งยากลำบากใจ เขาจะทำอะไรได้ในสภาวะเช่นนี้? คะเนจำนวนทหารฝ่ายตรงข้ามแล้วก็มองไม่เห็นหนทางที่จะเอาชนะได้เลย

หากเขายังคงนิ่งเฉย ก็แน่ใจได้เลยว่าพันเอกราดิชจะไม่หยุดอยู่แค่คำขู่แน่ เรื่องที่หวังจะให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยไม่เสียเลือดเนื้อดูจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

แต่หากเขาและมัทรีปรากฏตัวขึ้น ก็เท่ากับว่าเดินเข้าไปหาเงื้อมมือของมัจจุราช ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า ทั้งเขา ทั้งนักข่าวสาวชาวไทย และอัคคาเหนือก็คงถึงจุดจบคราวนี้เอง!



พันเอกราดิชกวาดตามองไปรอบๆ ลานกว้าง พยายามเพ่งมองไปในเงามืดที่แสงตะเกียงส่องไม่ถึง คิดว่าวินธัยและนักข่าวสาวจะก้าวออกมาจากความมืดในนาทีใดนาทีหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบงัน มีก็แต่เพียงเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากพวกชาวบ้านที่กอดกันกลมด้วยความหวาดกลัว

“หึ! ดูเหมือนอดีตหัวหน้าหน่วยจู่โจมนักรบทมิฬแห่งอัคคาเหนือจะไม่ได้กล้าหาญอย่างที่เคยได้ยินเลยนะ หนำซ้ำยังขี้ขลาดตาขาวปล่อยให้ชาวบ้านตาดำๆ เป็นฝ่ายปกป้องตัวเองเสียอีก”

แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงหัวเราะเยาะดังลั่น แต่ก็ต้องหยุดลงทันควัน เมื่อมิตูตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด

“หุบปากนะเจ้าอ้วนสกปรก! เขาไม่ได้ขี้ขลาดตาขาวอย่างที่เจ้าว่า!”

พันเอกราดิชเบือนหน้ามา ดวงตาถลนด้วยความโกรธจัด เขาคำรามเสียงต่ำอย่างน่ากลัว

“เจ้าหนูนี่รนหาที่เสียแล้ว! งั้นก็ลองดูซีว่าวีรบุรุษของเจ้าจะทำยังไง?”

ฝ่ามือหยาบกระด้างเอื้อมมากระชากตัวมิตูออกจากอ้อมแขนชาน่าห์ นางกรีดร้องเสียงดัง มือไขว่คว้าหาลูกชายแต่ก็ไม่เป็นผล เด็กชายถูกฝ่ายที่แข็งแรงกว่ากำรอบลำคอไว้มั่น ร่างเล็กนั้นได้แต่ดิ้นไปมาแต่ไม่อาจเปล่งเสียงร้องออกมาได้

“ลากพวกเด็กๆ ออกมา! ดูซิว่าไอ้วินธัยมันจะยังมุดหัวอยู่ได้อีกนานไหม?”

นายพันเอกตัวแทนรัฐบาลออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด ทหารที่ยืนรายรอบตรงเข้าพรากตัวเด็กๆ ทั้งชายหญิงจากพ่อแม่ พวกเขาพยายามปกป้องลูกเอาไว้ แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่ปืนในมือของพวกทหารที่กราดขู่ไปมา พวกเด็กๆ ตัวสั่นและร้องไห้จ้า เมื่อถูกกระชากแล้วผลักให้มารวมกัน

“หยุดเถอะ ท่านพันเอก พวกเด็กๆ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย” พ่อเฒ่าอัสมาตะโกน

“สายไปเสียแล้วพ่อเฒ่าอัสมา หากท่านบอกความจริงเสียแต่ทีแรก ข้าก็อาจจะละเว้นโทษให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ แต่นี่เห็นได้ชัดๆ ว่าท่านเจตนาช่วยเหลือโจรกบฏ ข้าถือว่าท่านก็เป็นกบฏด้วยเช่นกัน!”

“ถ้าจะทำอะไรพวกเขา ก็เอาข้าไปแทน” ผู้นำหมู่บ้านวัยชราต่อรอง

“ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะไม่ทำอะไรท่านหรอก เพราะหากไอ้วินธัยมันไม่ออกมา ข้าก็ไม่คิดจะละเว้นพวกชาวบ้านทุกคนเหมือนกัน!” พันเอกราดิชเอ่ยเสียงเหี้ยม

ทหารทุกนายจ้องปืนไปยังกลุ่มชาวบ้านและพวกเด็กๆ มิตูยังคงดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระ จนกระทั่งถูกเจ้าของฝ่ามือหนาที่ตะครุบคอเขาไว้ตวาดก้อง

“หยุดดิ้นเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!” จบประโยคนั้น ปืนสั้นในมือเขาก็กดลงกับขมับของเด็กชาย ชาน่าห์หวีดร้องลั่น!

“เอ้า! เห็นหรือยังพันตรีวินธัย แกจะปล่อยให้เด็กที่พยายามปกป้องแกต้องตายหรือยังไง!!”



นายพันตรีหนุ่มเบิกตาจ้องภาพนั้นด้วยความคลั่งแค้นดุเดือด เลือดในกายเดือดปุดด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ร่ำๆ จะก้าวออกไปแล้วควักปืนมายิงทหารพวกนั้นเสียให้คว่ำ แต่เขาก็ยังสะกดจิตใจไว้อย่างสุดความสามารถ

แต่มัทรีที่นั่งอยู่ข้างๆ ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หล่อนผลุนผลันลุกขึ้น ทำท่าจะพรวดพราดออกจากที่ซ่อน แต่ฝ่ามือหนาของวินธัยคว้าข้อมือไว้รวดเร็ว

“ปล่อยฉันนะ! ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันต้องออกไปช่วยพวกเขา!” หล่อนดิ้นสุดแรง

“ผมยอมให้คุณทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก!”

“คุณมันบ้าไปแล้ว พวกเขาพยายามปกป้องเรานะ คุณจะปล่อยให้พวกเด็กๆ กับชาวบ้านตายงั้นเหรอ?”

“แต่ถ้าคุณออกไป อัคคาเหนือก็จะถึงจุดจบ! ซึ่งผมยอมไม่ได้!”

จบประโยคของชายหนุ่ม หญิงสาวชาวไทยก็ตะลึงจ้องหน้าเขาคล้ายไม่เชื่อหู

“คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง?” หล่อนถามเสียงแตกพร่า

“ผมบอกแล้วว่าคุณมีความสำคัญกับอัคคาเหนือมากแค่ไหน มิสมัทรี หน้าที่ของผมคือปกป้องคุณ! คุณสัญญาแล้วว่าจะไม่ขัดคำสั่งผม!”

เท่านั้นเองมัทรีก็น้ำตากบตา หล่อนทั้งหวาดกลัว ทั้งเคียดแค้น แต่ที่มากที่สุดคือความผิดหวังในตัวชายหนุ่ม เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ยอมออกไปช่วยเหลือพวกชาวบ้าน และตั้งใจปล่อยให้เด็กๆ ที่หล่อนรักใคร่สนิทสนมพวกนั้นต้องถูกทำร้าย

“ฉันไม่สนใจคำสัญญาบ้าๆ นั่นหรอก ฉันต้องไปช่วยพวกเขา!”

มัทรีตะเบ็งเสียงใส่หน้าเขา และคราวนี้หล่อนก็สะบัดหลุดจากฝ่ามือของวินธัย แต่พอจะออกวิ่ง ปลอกแขนแข็งแรงของเขาก็รัดเอวหล่อนไว้แล้วลากตัวกลับมา หญิงสาวเผลอหลุดปากกรีดร้องเสียงดัง!


เสียงหวีดร้องของมัทรีเรียกความสนใจของทหารทุกนาย พันเอกราดิชเงยหน้าขึ้นมองหาที่มาของเสียง และจังหวะนั้นเองที่มิตูสะบัดหลุดจากการเกาะกุม เด็กชายอ้าปากงับข้อมือข้างที่ถือปืนของพันเอกราดิช แล้วกัดจนจมเขี้ยว!

“โอ๊ย!!!” นายพันเอกร้องลั่น สะบัดมือเพียงครั้งเดียว ร่างของมิตูก็กระเด็นไปกองกับพื้น

“หนอยแน่ะ! ไอ้เด็กบ้า!”

เขาวาดปืนตาม แล้วลั่นไกทันที!

แต่ชาน่าห์ที่มองดูอยู่ตลอดโถมเข้าหาลูกชาย แล้วใช้ร่างของนางกำบังมิตูไว้ กระสุนจากปืนสั้นประจำมือพันเอกราดิชเจาะร่างนางถนัดถนี่ เลือดแดงฉานกระเซ็นออกจากบาดแผล แปดเปื้อนใบหน้าของมิตูที่ตะลึงตาค้างอยู่ใต้ร่างของมารดา!

“ชาน่าห์!!!” เสียงตะโกนของทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน รวมทั้งมัทรีด้วย

“ทางนั้น!!” ทหารกลุ่มหนึ่งเอะอะขึ้นเมื่อจับที่มาของเสียงได้ชัดเจน

แต่ก่อนที่พันเอกราดิชจะได้ออกคำสั่งอย่างใด กระสุนห่าหนึ่งก็สาดออกมาจากเงามืด ที่ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเสียง ถูกร่างของทหารสองนายที่วิ่งสวนเข้าไปล้มคว่ำลง และกระสุนนัดหนึ่งก็พุ่งเข้าหานายพันเอกตัวแทนจากรัฐบาล ถูกบ่าขวาของเขาเต็มแรง!

พันเอกราดิชถูกกระสุนจนไหล่สะบัด ปืนในมือหลุดกระเด็น พวกทหารใต้บังคับบัญชาตะลึงงัน และหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ

“มัวทำอะไรอยู่! ตามจับมันซี่ เร็วเข้า!” เขาตะโกนออกคำสั่งดังลั่น

เท่านั้นเอง ทหารเหล่านั้นก็ได้สติคืนมา เสียงรองเท้าคอมแบ็ตนับสิบคู่กระทบพื้นดังลั่นไปหมด ทุกนายต่างวิ่งกรูไปยังทิศทางเดียวกัน พร้อมกันนั้นเสียงกรีดร้องของพวกชาวบ้านและเสียงปืนก็ดังขึ้นทันที!



หลังจากปล่อยกระสุนเข้าใส่พวกทหารอัคคาใต้เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้หนี มัทรีก็ถูกวินธัยฉุดกระชากลากถูมาตามทาง พวกเขาเร้นตัวไปในเงามืด พยายามสาวเท้าให้ไวที่สุด เสียงกู่ก้องขู่คำรามตามหลังมาในระยะกระชั้นชิด ลำพังการหลบหนีฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนมากกว่าขนาดนี้ก็ลำบากพอดู แต่หญิงสาวที่เขาลากถูลู่ถูกังตามมาด้วยกลับไม่ให้ความร่วมมือ

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! ฉันจะกลับไปช่วยพวกเขา!”

“คุณอย่าบ้าไปหน่อยเลย กลับไปก็เท่ากับตายเท่านั้น!”

“ตายก็ช่าง! คุณมันเลือดเย็น คุณทำให้ชาน่าห์ต้องตาย!”

“เงียบเถอะ! มิสมัทรี คุณมีหน้าที่ต้องหนีเท่านั้นตอนนี้!” วินธัยตวาดลั่น หนักเข้าพอชักจะสู้แรงดิ้นของหล่อนไม่ไหว เขาก็เปลี่ยนมารัดร่างบอบบางนั้นไว้ในวงแขน กึ่งอุ้มกึ่งลากเพื่อพาตัวเองและหล่อนไปให้พ้นอันตรายให้เร็วที่สุด!

ในที่สุด มัทรีก็หมดแรงดิ้น ความกลัวเข้าจู่โจมหล่อนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงปืนที่ยิงขู่กระชั้นเข้ามาทุกที สองขาที่พาวิ่งไปแทบหมดกำลัง แต่กระนั้นหล่อนก็วิ่งตามหลังคนที่หล่อนคิดว่าเลือดเย็นและโหดร้ายไปอย่างไม่คิดชีวิต

แม้จะเจ็บแค้นและเสียใจเพียงใดที่ไม่อาจช่วยเหลือพวกเด็กๆ ได้ แต่หล่อนก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าตัวเองก็หวาดกลัวความตายจนจับขั้วหัวใจ!



หญิงสาวชาวไทยไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งตามวินธัยมานานแค่ไหนแล้ว หล่อนก้าวขาไม่หยุดเหมือนเครื่องจักร น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มจนเปียกโชก และเมื่อชายหนุ่มปล่อยมือจากร่างหล่อน มัทรีก็ทรุดลงกองกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้าแทบขาดใจ

“พวกมันคงตามมาไม่ทันแล้ว โชคดีที่มันไม่ชำนาญพื้นที่” เสียงห้าวเอ่ยเบาๆ อยู่เหนือศีรษะหล่อน

มัทรีไม่ได้เอ่ยปากตอบโต้ หล่อนนั่งนิ่งไม่ไหวติงและไม่ได้สะอื้นไห้อีกต่อไป ความปวดร้าวจากการเห็นคนที่หล่อนรู้จักถูกยิงตายไปต่อหน้าทำให้ช็อคจนพูดไม่ออก

วินธัยเหลือบมองนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปล่อยให้หล่อนนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการที่หล่อนร่ำร้องจะกลับไปหาความตาย เขาหันไปสอดส่ายสายตามองหาที่หลบซ่อนที่มิดชิดปลอดภัยกว่านี้แทน

“เราคงต้องหลบแถวนี้ก่อน ปลอดภัยกว่าจะหนีไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้วางแผนให้รอบคอบ”

บริเวณซึ่งพวกเขามาหยุดอยู่นี้ คือไหล่เขาตอนหนึ่งตอนใดของภูเขาชั้นนอกที่โอบล้อมหมู่บ้านของพ่อเฒ่าอัสมาไว้ โขดหินขนาดมหึมาที่งอกระเกะระกะอยู่ทั่วไปช่วยกำบังลมหนาวและอำพรางตัวจากศัตรูได้อย่างดี

แต่พอเขาหันหลังให้ ตั้งท่าจะออกเดินตรวจดูว่ามีซอกหรือหลืบหินตรงไหนบ้างที่ทำเลดีพอสำหรับการค้างคืน ร่างที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาของมัทรีก็ผุดลุกขึ้น เผ่นพรวดออกวิ่งทันที!

แต่เพียงแค่หล่อนขยับ นายพันตรีหนุ่มก็มองเห็นอาการนั้นได้จากปลายหางตา

“มัทรี!” วินธัยร้องเรียกแล้ววิ่งตาม เขาคว้าเอวหล่อนไว้ได้ในการก้าวเพียงสามครั้ง

“ปล่อยนะ คนใจร้าย! ฉันทนอยู่กับคนเลือดเย็นอย่างคุณไม่ได้หรอก!” หญิงสาวดิ้นรน รัวกำปั้นลงบนร่างที่รัดหล่อนแน่น

“คุณอย่าบ้าไปหน่อยเลย คิดจะทำอะไร? จะหนีไปไหน?”

“ฉันจะกลับไปช่วยพวกเขา คุณมันเลวที่สุด! พวกชาวบ้านเทิดทูนปกป้องคุณขนาดไหน ทำไมคุณถึงปล่อยให้เขาต้องเผชิญอันตราย ทำไมคุณถึงปล่อยให้ชาน่าห์ต้องตาย! ถ้าคุณไม่คิดจะช่วยพวกเขาก็ปล่อยฉัน ฉันจะไปช่วยพวกเขาเอง!”

“มัทรี คุณทำอย่างนั้นไม่ได้! ผมปล่อยให้คุณไปตายไม่ได้!”

แต่มัทรีไม่ฟังเสียง หล่อนดิ้นสุดแรง ทั้งผลักทั้งทุบตีเขาจนเสียหลักล้มลงไปทั้งคู่ แต่ร่างกำยำของวินธัยไม่ได้สะทกสะท้าน หญิงสาวจึงงับแขนเขาเต็มเขี้ยวเพื่อบังคับให้เขาปล่อยตัวหล่อน นายพันตรีหนุ่มร้องลั่น โดยไม่ยอมปล่อยร่างที่ตะครุบไว้ในวงแขน เขารวบตัวหล่อนแล้วจับกดลงกับพื้น ใช้ร่างสูงใหญ่ของตัวเองคร่อมหล่อนไว้ แล้วตวาดลั่น

“หยุดบ้าเดี๋ยวนี้! คุณกำลังจะทำให้การเสียสละของพวกชาวบ้านสูญเปล่า!”

หญิงสาวชาวไทยหยุดดิ้นในทันที หล่อนหอบแฮ่ก จ้องตาค้างอยู่ที่ใบหน้าซึ่งชะโงกอยู่เหนือร่างหล่อนในระยะประชิด

“เข้าใจไหม? ว่าพวกชาวบ้านปกป้องคุณกับผมเพื่ออะไร? พวกเขาไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตราย สิ่งที่พวกเขาปกป้องไม่ใช่แค่คุณกับผม แต่มันคือแผ่นดินของพวกเขาเอง!”

มัทรีตะลึงงัน สบดวงตาวาวโรจน์ที่มองตรงมาแล้วก็เข้าใจ หล่อนนึกถึงภาพที่วินธัยแสดงความคารวะต่อพ่อเฒ่าอัสมาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ตระหนักได้ในตอนนั้นเองว่า นายพันตรีหนุ่มแห่งกองทัพและผู้นำหมู่บ้านชราได้ตกลงใจกันแล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หน้าที่ของชายหนุ่มก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

เขาต้องนำหล่อนกลับไปโดยปลอดภัย แม้จะต้องเสียสละชีวิตของผู้คนสักเท่าไหร่ แต่หากอัคคาเหนือรอดพ้นจากเงื้อมมือจอมพลคาลันได้ นั่นก็เป็นเป้าหมายสูงสุด

แล้วหล่อนก็เกือบจะทำให้ความตั้งใจของพวกเขาพังทลายอย่างนั้นหรือ?



วินธัยสังเกตเห็นหญิงสาวหยุดอาการดิ้นรนและแข็งขืนลงแล้ว จึงค่อยๆ ปล่อยมือจากหล่อน รอจนแน่ใจแล้วว่ามัทรีคงไม่คิดจะหนีไปไหนอีก จึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

“ลุกขึ้นเถอะ มิสมัทรี เราต้องหาที่ซ่อนให้ปลอดภัยกว่าตรงนี้”

มัทรีลุกขึ้นอย่างว่าง่าย และเมื่อวินธัยส่งมือมาให้ หล่อนก็วางมือลงบนฝ่ามือใหญ่ของเขาโดยไม่อิดออดเพราะกำลังอ่อนแรง ปล่อยให้เขาฉุดหล่อนเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ น้ำตาแห้งไปหมดแล้ว และสมองก็อ่อนล้าเกินกว่าจะคิดอะไรออก



ครู่ต่อมา นักข่าวสาวก็พบตัวเองนั่งหลบอยู่ในซอกแคบๆ ระหว่างหินก้อนใหญ่สองก้อนซึ่งยืนพิงกัน เกิดเป็นช่องว่างข้างใต้ กว้างประมาณ 2 เมตร และสูงเสมอไหล่ของมัทรี ภายในนั้นอบอุ่นพอใช้ เพราะกำแพงหินรอบข้างช่วยกำบังลมหนาวได้อย่างดี แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังคงนั่งคุดคู้ตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นและว่างเปล่าในจิตใจ

“เราคงยังจุดไฟไม่ได้ ต้องทนเอาหน่อย” เสียงวินธัยบอกมาเรียบๆ

มัทรีไม่มีแก่ใจจะพูดจาอะไรกับเขา เมื่อชายหนุ่มส่งห่ออาหารมาให้ หล่อนก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“คุณควรจะทานเสียหน่อย”

“ฉันอิ่มแล้ว...” หญิงสาวตอบเสียงเบาหวิว น้ำตารื้นเมื่อหวนนึกถึงอาหารมื้อค่ำที่หล่อนได้ร่วมวงอยู่กับครอบครัวของพ่อเฒ่าอัสมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา มิตูยังยิ้มกว้างขวาง คอยเกาะแขนนายพันตรีแห่งกองทัพตลอดเวลา ชาน่าห์ก็คอยแต่จะคะยั้นคะยอให้หล่อนลองนั่นชิมนี่

บรรยากาศในเวลานั้นช่างอบอุ่นและเป็นสุข จนกระทั่งทหารอัคคาใต้บุกเข้ามา...


วินธัยมองดูหล่อนครู่หนึ่งก็เก็บข้าวของไว้ในห่อผ้าตามเดิม เขาส่งกระติกน้ำให้แทน แต่เมื่อมัทรียังส่ายหน้า ก็เอ่ยเสียงอ่อน

“งั้นก็นอนเสียเถอะ เก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้”

ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน วางแขนรองศีรษะต่างหมอนแล้วพลิกตัวหันหลังให้ ไม่นานร่างนั้นก็นิ่งไป ได้ยินเสียงหายใจลึกทอดยาวสม่ำเสมอ บอกให้รู้ว่ากำลังเข้าสู่ภวังค์หลับสนิท

มัทรีมองดูเขาพลางคิดว่า สำหรับนายทหารผู้ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วนอย่างเขา ความตายที่เพิ่งผ่านไปคงไม่ได้มีความหมายอะไรนักหนา เขาคงชินชาต่อเหตุการณ์ร้ายแรงชนิดนี้เสียจนไม่รู้สึกรู้สาอีกต่อไปแล้ว

ในหัวจิตหัวใจของเขา คงมีแต่คำว่า ‘หน้าที่’ เท่านั้น

แต่สำหรับหล่อน...ภาพเหล่านั้นยังติดตา กระจ่างชัดทั้งเสียงปืนและเสียงร้องของผู้คน

มัทรีหลับตาลงเพื่อข่มใจให้สงบ เอนร่างลงนอนข้างๆ วินธัยอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้น หล่อนพลิกตัวตะแคงมาอีกด้านหนึ่ง แล้วก็ทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังความมืดมนอนธกาลของยามราตรี

อากาศกลางดึกหนาวจัด เสียงลมบนที่สูงหวีดหวิวอยู่รอบด้าน แม้วินธัยจะบอกว่าตรงบริเวณนี้คงไม่มีพวกทหารหรือใครๆ ตามมาพบ แต่มัทรีก็อดหวาดระแวงไม่ได้ หล่อนคอยแต่จะเงี่ยหูฟังเสียงผิดปกติทุกชนิดที่อาจกล้ำกรายเข้ามาใกล้

พอหนักเข้า เสียงลมก็กลับกลายเป็นเสียงนานาชนิด ทั้งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของชาน่าห์ เสียงตะโกนด่าทอของมิตู เสียงร่ำร้องครวญครางของพวกชาวบ้าน และเสียงหัวเราะเยาะหยันของพันเอกราดิชที่ทำให้มัทรีตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ถึงแม้วินธัยจะอธิบายให้หล่อนเข้าใจถึงความปรารถนาของชาวบ้านที่ต้องการปกป้องหล่อนอย่างไร แต่มัทรีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหล่อนเองนั่นแหล่ะที่เป็นสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น หล่อนเองนั่นแหล่ะที่ทำให้พวกชาวบ้านและเด็กๆ ต้องประสบพบเจอกับโศกนาฏกรรมอันโหดร้าย และเป็นสาเหตุให้ชาน่าห์ต้องตาย!

ไม่รู้ว่าหลังจากที่หล่อนและวินธัยหนีรอดออกมาได้แล้ว พวกทหารจะจัดการอย่างใดต่อไปกับชาวบ้านที่เหลือ เด็กน้อยมิตูเล่าจะเสียขวัญเพียงใดหนอ? เมื่อผู้เป็นแม่ต้องมาตายไปต่อหน้าต่อตา…

คิดถึงรอยยิ้มแจ่มใสและน้ำใจที่พวกเขามีให้ น้ำตาของหล่อนก็หยาดหยดลงมาเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ ไหลเป็นทาง พร้อมกับก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาจุกในลำคอ

มัทรีพยายามกล้ำกลืนมันลงไปอย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่พลัดจากคณะมา หล่อนยังไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง หญิงสาวสะกดจิตใจตัวเองไว้ได้ทุกครั้งที่รู้สึกเศร้าโศกหรือหวาดหวั่น เพราะยังมีความหวังว่าจะต้องเอาชีวิตรอดไปให้ได้

แต่ครั้งนี้ ภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตของทหารอัคคาใต้ที่คิดจะฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กและผู้หญิงทำให้หล่อนรู้สึกประหวั่นพรั่นใจ ยิ่งเมื่อเห็นชาน่าห์ถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตัวเองไม่อาจช่วยอะไรได้ มัทรีก็สะอื้นฮัก ร่างบอบบางงอคู้และสั่นไหวสะท้อนสะท้าน หล่อนกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่กระนั้นเสียงสะอื้นก็ยังไม่วายหลุดลอดออกมาเบาๆ


แต่แล้วหล่อนก็ต้องนอนตัวแข็ง เลือดในกายเย็นเฉียบ เมื่อใครคนหนึ่งพลิกตัวหันกลับมา ทอดแขนโอบร่างหล่อนแล้วดึงเข้าไปจนชิด ลมหายใจอุ่นจัดเป่ารดที่ซอกหูเมื่อเขากระซิบ

“อย่าร้องไห้ มัทรี”

หล่อนคงดิ้นรนขัดขืนไปแล้ว หากน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นกลับทำให้หล่อนต้องนิ่งงัน เสียงของวินธัยเบาแสนเบา แต่ก็บอกชัดถึงความเจ็บปวดรวดร้าว มือที่โอบรัดร่างหล่อนไว้สั่นเทา และเมื่อเขาเอ่ยออกมาอีกครั้ง หญิงสาวชาวไทยก็ได้แต่ปล่อยให้เขากอดหล่อนไว้จนแน่น

“ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่อย่าร้องไห้ ทุกอย่างจะดีขึ้นในวันพรุ่งนี้...”

เสียงห้าวของวินธัยพร่าสั่น แม้เขาจะพูดคล้ายปลอบใจหล่อน แต่มัทรีรู้ดีว่าเขาปลอบใจตัวเองด้วยเช่นกัน ความร้าวรานปรากฏชัดอยู่ในถ้อยคำของเขา และหญิงสาวก็รู้ในทันทีนั้นเองว่า นายพันตรีหนุ่มย่อมรู้สึกเจ็บปวดกว่าใคร

คนเหล่านั้นเป็นเสมือนครอบครัวเดียวที่เขาเหลืออยู่ พ่อเฒ่าอัสมาให้ความอารีแก่เขาเหมือนบุตรชาย ชาน่าห์ก็คุ้นเคยกับเขามาแต่เล็กแต่น้อย เด็กชายมิตูก็รักใคร่และศรัทธาคล้ายดั่งเขาเป็นวีรบุรุษ

แต่เขาก็ไม่อาจช่วยเหลือคนเหล่านั้น และได้แต่ปล่อยให้พวกทหารอัคคาใต้ทำร้ายชาวบ้านและฆ่าชาน่าห์อย่างเลือดเย็น

หล่อนโศกเศร้าเสียใจเพียงใด สำหรับวินธัย มันคงโหดร้ายทารุณกว่าหลายเท่า


อาจเป็นเพราะความเข้าใจและเห็นใจ มัทรีจึงพลิกตัวกลับมาหาร่างที่ทอดนอนอยู่ด้านหลัง เมื่อตาต่อตาประสานกันในระยะห่างเพียงคืบเดียวเช่นนี้ แม้ในความมืดสลัว ความปวดร้าวในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นก็ยังฉายชัด วินธัยไม่ได้ร้องไห้ แต่แวววิบไหวในดวงตาก็ทำให้มัทรีรู้สึกปวดปร่าในหัวใจตามไปด้วย

“ฉันขอโทษ...ที่ว่าคุณโหดร้ายเลือดเย็น” หล่อนพึมพำ

เขายิ้มคล้ายเยาะ “ถูกของคุณแล้ว ผมมันคนเลือดเย็น...ที่ปล่อยให้พวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่คิดจะช่วยเหลือ”

“คุณทำเพราะหน้าที่...”

“เป็นหน้าที่ที่บางครั้งก็ทำให้คนที่ผมรักต้องพลอยเดือดร้อน”

มัทรีหลับตาลงเมื่อได้ยินคำพูดเหมือนลงโทษตัวเองของเขา

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง”

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก็พบว่าวินธัยมองหน้าหล่อนนิ่งอยู่โดยไม่พูดอะไรสักคำ อะไรอย่างหนึ่งในดวงตาคู่นั้นทำให้มัทรีอดเวทนาไม่ได้ หล่อนยกสองมือขึ้นประคองดวงหน้าที่สากระคายด้วยหนวดเครา กระซิบปลอบ

“ถ้าคุณเจ็บปวดอยากร้องไห้ คุณจะร้องออกมาก็ได้นะ”

วินธัยหัวเราะเสียงปร่า “กลายเป็นผมหรอกหรือที่ต้องถูกปลอบใจ?”

“เอ้อ...ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น”

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดหน้าผากกลมมนที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบ ทำให้มัทรีหายใจสะดุด

“ไม่หรอก มิสมัทรี ผมเจ็บปวดมากจริงๆ ที่เกิดเรื่องอย่างในคืนนี้ขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาของน้ำตา มันไม่เคยช่วยอะไร...ผมจะรู้สึกดีขึ้นทันทีที่คุณกลับประเทศของคุณได้อย่างปลอดภัย และความโหดร้ายเจ้าเล่ห์ของจอมพลคาลันถูกเปิดเผยออกมา คุณนอนเสียเถอะ อย่าเป็นกังวลกับผมเลย”

นักข่าวสาวพยักหน้านิดหนึ่ง ขยับจะถอยออกห่างจากเขา แต่กลับถูกวินธัยรั้งตัวไว้

“นอนตรงนี้เถอะ คืนนี้อากาศหนาวมาก คุณอาจจะไม่สบาย...” ว่าพลางสอดแขนข้างหนึ่งรองรับใต้ศีรษะหล่อน

หญิงสาวอึกอักลังเล แต่พอสบตาเขาก็จำยอมวางศีรษะลงบนท่อนแขนนั้นโดยไม่ขัดขืน อากาศคืนนี้หนาวจริงๆ อย่างเขาว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันไม่มีความอบอุ่นใดๆ ให้อิงอาศัย นอกจากไออุ่นจากร่างสูงใหญ่ที่ตระกองกอดหล่อนไว้แน่น แล้วเจ้าของร่างนั้นก็หลับตานิ่งเหมือนไม่ต้องการรับคำทัดทานใดๆ อีก

มัทรีจึงหลับตาลงแต่โดยดี…ลึกๆ แล้วหล่อนก็ปรารถนาจะแอบอิงใครสักคน เพื่อให้ข้ามผ่านค่ำคืนอันน่ากลัวเหมือนฝันร้ายนี้ไปให้ได้โดยเร็ว


(จบตอนที่ 16)





 

Create Date : 07 ธันวาคม 2551
5 comments
Last Update : 12 ธันวาคม 2551 22:59:26 น.
Counter : 356 Pageviews.

 

โอ้....เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไปหนอ เครื่องแบบทหารชุดเบ้อเร่อไม่น่าทิ้งไว้ให้ศัตรูเห็นเลย......

สนุกค่ะ แต่ตอนนี้สั้นจัง ตอนที่ 16 ยาวกว่านี้หน่อยนะคะ

ชอบมาก น่าจะรวมเล่มนะคะ

 

โดย: nathanon 8 ธันวาคม 2551 12:06:52 น.  

 

ตอบคุณ nathanon:
ขอบคุณค่ะ ติดตามต่อไปนะคะ

 

โดย: ชญาลี 10 ธันวาคม 2551 10:58:23 น.  

 

มาชวนไปเที่ยวตลาดลาดชะโดค่ะ

 

โดย: nathanon 18 ธันวาคม 2551 2:27:50 น.  

 

ไม่ได้ทิ้งหรอกมังคะ คิดว่าเจ้าหนูน้อยมิตูเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงฮีไร่ตัวเอง

ชอบค่ะ กินใจดี เพราะวินธัยไม่ควรออกไปช่วย ถูกแล้ว ถ้าออกไปแล้วช่วยได้ก็ไม่สมจริง

 

โดย: พี่หมูน้อย 26 เมษายน 2552 3:03:37 น.  

 

ลืมไปว่าต้องถูกฆ่าทั้งหมู่บ้านอยู่ดี เพราะรัฐบาลต้องสงสัย

 

โดย: พี่หมูน้อย 26 เมษายน 2552 3:04:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.