....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 

ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 13-14

-ตอนที่ 13-


ข้ามเขาสูงอีกลูกหนึ่ง กองเกวียนก็มาหยุดอยู่ตรงที่ราบเล็กๆ ซึ่งมีพุ่มไม้หนามแหลมขึ้นกระจัดกระจาย รอบข้างเป็นภูเขาไม่สูงนัก มีต้นไม้ยืนต้นตายอยู่เป็นหย่อมๆ ตะวันบ่ายคล้อยไปมากแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะตกดินไปอีกคำรบหนึ่ง มัทรีกำลังร้องเพลงภาษาไทยหงุงหงิงให้ลูกสาวทั้งสองคนของนายบาลาดิห์ยาฟัง เมื่อผ้าม่านด้านท้ายเกวียนถูกตลบขึ้น

วินธัยยืนอยู่ตรงนั้น เขาพยักหน้าทีหนึ่งเป็นความหมายให้หล่อนปีนลงไป

มัทรีลงจากเกวียนอย่างว่าง่าย คาดเดาเอาว่าคงถึงที่หมายแล้วกระมัง เมื่อลงไปยืนตรงอยู่ข้างร่างสูงใหญ่นั้นแล้วเรียบร้อย หล่อนก็เหลียวมองไปรอบๆ คาดหวังว่าจะได้พบอาคารบ้านเรือนซึ่งก่อขึ้นจากดิน เช่นเดียวกับที่หล่อนได้เคยเห็นมาแล้วในเมืองต่างๆ ของอัคคาเหนือก่อนหน้านี้

แต่รอบบริเวณนั้นกลับเป็นเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า แห้งแล้ง และไม่มีอะไรเลยที่จะบ่งบอกถึงลักษณะของเมือง หรือแม้แต่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์

หล่อนได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ เพราะขณะนี้หล่อนและวินธัยกำลังยืนอยู่ต่อหน้าบาลาดิห์ยา พร้อมกับคนของเขาอีก 2-3 คน รวมไปถึงตูฟา หัวหน้าคนงานคนนั้นด้วย

“ข้าต้องไปก่อนล่ะ พี่ข้า” วินธัยเอ่ยกับพ่อค้าผ้า ก้มศีรษะให้ในลักษณะคารวะ

“ขอให้พวกเจ้าโชคดี และถ้ามีโอกาสก็ขอให้พวกเจ้าไปเยี่ยมข้าที่ชาคาบ้าง” บาลาดิห์ยาเอ่ยลาสั้นๆ เขาได้รับการบอกกล่าวจากนายพันตรีหนุ่มล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะขอแยกทางกับกองเกวียนตรงจุดนี้ แม้ว่าวินธัยจะไม่ได้บอกที่หมายปลายทางให้เขาทราบ แต่นายพ่อค้าผ้าก็เข้าใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น


แม้ว่าจะไม่เข้าใจคำพูดที่ชายทั้งสองคนโต้ตอบกันแม้แต่น้อย แต่นักข่าวสาวก็พอจะเดาได้ว่าถึงเวลาต้องแยกจากกองเกวียนนี้ไปแล้ว หล่อนก้มศีรษะให้บาลาดิห์ยาพร้อมกับสบตาเขาด้วยแววตาขอบคุณลึกซึ้ง ไม่ลืมหันไปโบกมือลาเด็กสองคนที่จ้องมองหล่อนอย่างอาลัยอาวรณ์มาจากในเกวียน

แม้จะร่วมทางกันมาเพียงระยะสั้นๆ หล่อนก็ยังอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ที่จะต้องจากกันไปเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันเป็นการจากลาที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหรือไม่


ฝูงม้าซึ่งควบนำหน้าพร้อมขบวนเกวียนบรรทุกผ้านั้นค่อยๆ แล่นจากไป ม้าตัวที่วินธัยอาศัยขี่มาก็ถูกคนงานคนหนึ่งของบาลาดิห์ยาขึ้นบังคับแทน นายพันตรีหนุ่มรอให้ฝุ่นซึ่งฟุ้งตลบตามหลังกองเกวียนนั้นห่างออกไปไกลแล้ว จึงพยักหน้าชวนหล่อนออกเดิน

“เดี๋ยวก่อนค่ะ ท่านพันตรี” มัทรีเรียกเอาไว้ “ไหนว่าเราจะไปบันดุคกันไงคะ แล้วที่นี่ที่ไหน? ฉันไม่เห็นเมืองหรือแม้แต่หมู่บ้านอะไรสักแห่งเลย”

“ข้ามเขาลูกนั้นไปจึงจะถึงบันดุค” วินธัยชี้มือไปยังภูเขาลูกหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านในทิศทางที่กองเกวียนมุ่งหน้าไป

“แต่เราจะไม่ไปที่นั่นหรอก เมืองอันตรายเกินไป พวกอัคคาใต้คงส่งทหารเข้ามาตรึงกำลังไว้แล้ว”

“แล้วเราจะไปไหนกัน?”

“หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ไกลจากนี่ ข้ามเขานี้ไปหน่อยก็ถึงแล้ว ตรงนี้เป็นทางแยกไปยังหมู่บ้านในบริเวณใกล้ๆ ได้หลายหมู่บ้าน ถึงแม้จะมีคนสงสัยว่าเรามาอาศัยพักอยู่ในแถบนี้ ก็คงจะใช้เวลานานสักหน่อย กว่าจะหาเราพบ”

มัทรีพยักหน้าเข้าใจ บางทีเขาคงหมายถึงหัวหน้าคนงานของบาลาดิห์ยานั่นเอง หากว่าตูฟาจะนำเรื่องที่หล่อนและวินธัยอาศัยกองเกวียนจากเมืองชาคามายังบันดุคไปบอกแก่ทหารอัคคาใต้ เขาก็คงจะบอกได้แต่เพียงว่าพวกหล่อนอาศัยมาจนถึงที่ราบแห่งนี้เท่านั้น ส่วนจะไปที่ไหนต่อไป ก็คงจะต้องใช้เวลาสืบกันนานหน่อย และกว่าจะรู้ พวกหล่อนก็คงจะจากไปเสียไกลลิบแล้ว



แต่ระยะทางที่ว่าไม่ไกลของวินธัยก็เล่นเอามัทรีหอบแฮ่ก หล่อนต้องคอยระวังชุดพื้นเมืองรุ่มร่ามที่สวมอยู่ไม่ให้ไปเกี่ยวเข้ากับหนามแหลมของพุ่มไม้ที่ขึ้นระดะอยู่ตามทาง และเมื่อต้องไต่ขึ้นไปบนไหล่เขาที่ทั้งขรุขระและลาดชัน หล่อนก็ต้องยิ่งใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น ในขณะที่วินธัยคอยแต่จะรุดไปข้างหน้าเรื่อยๆ นานๆ ครั้งจึงจะหันมาช่วยรับมือหล่อนเมื่อต้องปีนขึ้นไปตามโขดหินเท่านั้น

เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา พื้นที่แห้งแล้งล้วนแล้วแต่โขดหินที่มัทรีป่ายปีนขึ้นมาก็เริ่มปรากฏต้นไม้ใบโปร่งขึ้นเป็นหย่อมๆ ตามทางลาดของภูเขามีพุ่มไม้และหญ้าสีหลืองอ่อนๆ ขึ้นประปราย แม้ไม่เขียวสดแต่ก็พอเห็นได้ว่าแถบนี้คงจะมีความชุ่มชื้นอยู่บ้าง ลมหนาวที่พัดกรายมาปะปนด้วยกลิ่นควันไฟ ไม่ไกลจากนี้คงมีหมู่บ้านอย่างที่วินธัยว่าจริงๆ

ทางที่วินธัยเดินนำหน้ามาเริ่มลาดต่ำลง มีต้นไม้ยืนต้นหนาแน่นขึ้นแต่ก็ยังเป็นต้นไม้จำพวกลำต้นสูงชะลูด เปลือกแห้งแตกกระเทาะ ใบแทบไม่เหลือติดต้น และเมื่อหล่อนจิบน้ำจากกระติกที่วินธัยพกมาด้วยเป็นครั้งที่ห้า ร่างสูงที่นำหน้ามาตลอดทางก็หยุดเดิน แล้วชี้มือลงไปยังที่ราบแอ่งกะทะเล็กๆ เบื้องล่าง

แนวไม้สีเขียวๆ เหลืองๆ ปรากฏอยู่ต่อหน้ามัทรี ต่ำลงไปจากทางลาดชันของไหล่เขาที่หล่อนมาหยุดพักอยู่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในวงโอบของขุนเขาสูงตระหง่าน บ้านหลังกระจิดขึ้นอยู่เป็นหมู่ คะเนจากสายตาไม่น่าจะเกินสิบหลัง ถัดออกไปทางด้านที่ติดกับเขาสูงอีกฟากหนึ่งมีแปลงนาเล็กๆ ดูขมุกขมัวอยู่ในสายหมอกที่เริ่มลอยเกลื่อน

เป็นความชุ่มชื้นเพียงหยิบมือเดียวท่ามกลางความแห้งแล้งรอบด้าน แต่กระนั้นก็ทำให้มัทรีรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“ถึงแล้วจุดหมายของเรา” เสียงวินธัยบอกมา และเมื่อหล่อนหันไปมองหน้าเขา ดวงตาคมลึกที่สงบราบเรียบอยู่ตลอดเวลาก็ทอประกายระยิบ

ตะวันใกล้ลับทิวเขาด้านทิศตะวันตกลงไปแล้ว หมู่บ้านเบื้องล่างจึงมัวซัวอยู่ในแสงสลัวราง อากาศเย็นลงอีก วินธัยเอ่ยปากชวนหล่อนให้เร่งฝีเท้าไปให้ถึงหมู่บ้านนั้นก่อนสิ้นแสงตะวัน


ดูเหมือนนายพันตรีหนุ่มจะเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเมื่อแรก เขาไปถึงทางเดินเล็กๆ ซึ่งตัดเข้าไปกลางหมู่บ้านนำหน้าหล่อนไปหลายช่วงตัวแล้ว เมื่อกลุ่มเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นซุกซนอยู่ยังลานกว้างใกล้ๆ นั้นหันมามองผู้มาเยือนเป็นตาเดียว

เขาตะโกนเสียงห้าวๆ เป็นภาษาพื้นเมือง แล้วร่างผอม เล็ก แกร็นของเด็กชายคนหนึ่งในชุดพื้นเมืองสีขะมุกขะมอมก็โผเข้าหาร่างสูงใหญ่ของวินธัย ทั้งสองคนกอดรัดกันเป็นพัลวันคล้ายรู้จักสนิทสนมกันมาก่อนเป็นอย่างดี เด็กคนอื่นๆ เข้ามารุมล้อมเขาเช่นกัน พลางส่งเสียงทักทายให้ลั่น ส่งผลให้ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ค่อยๆ ออกมาเมียงมองดูอยู่ตามหน้าประตูบ้าน แล้วในที่สุด ก็ค่อยๆ ขยับเข้ามารุมล้อมชายหนุ่มจนเป็นกลุ่มใหญ่ เสียงพูดคุยแซ่ดออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งมัทรีฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด

แต่ก่อนที่หล่อนจะได้ส่งเสียงเตือนให้เขารู้ว่าหล่อนยังอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กนั้นก็พลันเงียบลง กลุ่มคนเหล่านั้นค่อยๆ แหวกทางให้ชายชราร่างผอมเกร็งคนหนึ่งซึ่งถือไม้เท้าเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงกลางวง เมื่อวินธัยหันไปเห็น เขาก็ปล่อยมือที่กำลังขยี้ผมเด็กชายแล้วยืดตัวขึ้น ก้าวเข้าไปหาชายชรา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วจรดหน้าผากลงบนหลังมือของอีกฝ่ายอย่างทำความเคารพ

และเมื่อเขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ชายชราก็อ้าแขนออกสวมกอดเขาไว้เนิ่นนาน

มัทรีมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื้นตัน แม้จะฟังคำพูดของคนเหล่านั้นไม่เข้าใจ แม้จะไม่รู้ว่าวินธัยเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านนี้อย่างไร แต่หล่อนก็รู้สึกราวกับว่า...เขากลับมาถึงบ้านแล้ว

ในที่สุด วินธัยก็คลายวงแขนออก เขาหันมาทางหล่อน แล้วพูดอะไรกับชายชราสั้นๆ ก่อนจะเดินนำเข้ามาหา

“มิสมัทรี นี่พ่อเฒ่าอัสมา หัวหน้าหมู่บ้านนี้”

มัทรีเงอะงะอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะทำความเคารพอย่างใดดี ดูท่าแล้วพ่อเฒ่าคนนี้คงจะไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมสากลเป็นแน่ ในที่สุด หล่อนก็เลยตัดสินใจก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม

พ่อเฒ่ายิ้มอ่อนโยน เอ่ยประโยคยาวเหยียดเป็นภาษาอัคคาเหนือ ซึ่งทำให้มัทรีต้องหันไปสบตาชายหนุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ท่านพ่อเฒ่าบอกว่ายินดีต้อนรับคุณในฐานะอาคันตุกะของอัคคาและอาคันตุกะของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ขอให้คุณมีสุขสำราญทุกอย่างเมื่ออยู่ที่นี่”

ได้ยินดังนั้น มัทรีก็ยิ้มตอบ พลางเอ่ยขอบคุณเป็นภาษาอัคคาเหนือง่ายๆ อย่างที่หล่อนได้ตระเตรียมท่องเอาไว้ก่อนแล้ว

ไม่นึกว่าภาษาพื้นเมืองอัคคาเหนือจากเอกสารที่คมเดชเตรียมไว้ให้ จะได้นำมาใช้ในลักษณะเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงประโยคง่ายๆ แต่มัทรีก็รู้สึกโชคดีที่หล่อนพอจะจดจำได้อยู่บ้าง เพราะเพียงแค่ประโยคสั้นๆ นั้น กลับเรียกรอยยิ้มอย่างปรีดาจากชายชราและชาวบ้านที่รุมล้อมเข้ามาจดจ้องหล่อนด้วยความสนอกสนใจ

ระหว่างที่วินธัยพูดคุยทักทายกับผู้คนเหล่านั้น มัทรีก็ลอบพิจารณาสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของหมู่บ้านอยู่เงียบๆ

บ้านหลังเล็กที่เรียงรายโดยรอบก่อขึ้นจากดิน หลังคามุงด้วยหญ้าแห้งเช่นเดียวกับบ้านของชาวอัคคาเหนือที่หล่อนเห็นจนเริ่มจะชินตา แต่เก่าโทรมและไม่ค่อยจะน่าดู ตามลานดินหน้าบ้านแต่ละหลังตากพืชผลทางการเกษตรไว้บ้างเล็กๆ น้อยๆ

ชาวบ้านชายหญิงและเด็กอยู่ในชุดพื้นเมืองตัวยาวสีหม่น โดยเฉพาะเด็กๆ ที่บางคนก็ใส่เสื้อผ้าขะมุกขะมอม มีรอยขาดวิ่นเป็นแห่งๆ ใบหน้า เนื้อตัวมอมแมมซูบผอม บางคนที่ยังเล็กนักก็กะเตงอยู่กับเอวคนเป็นแม่ ลูกตาใสแจ๋วจับอยู่ที่ผู้ใหญ่คนนั้นทีคนโน้นทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กที่โตหน่อยต่างรุมอยู่รอบตัวหล่อนและวินธัย โดยเฉพาะชายหนุ่มนั้น แม้จะกำลังพูดจาโต้ตอบกับพวกผู้ใหญ่ แต่มือทั้งสองข้างของเขาไม่เคยว่างเพราะเด็กๆ เข้ามาจับจูงอยู่ตลอดเวลา

มัทรีเองก็ได้แต่ส่งยิ้มให้ดวงหน้าเล็กๆ จำนวนเกือบสิบที่แหงนเงยขึ้นมามองหล่อนอย่างสงสัยใคร่รู้ เด็กที่กล้าหาญหน่อยพยายามจะซักถามหรือชวนหล่อนคุยอะไรบางอย่าง แต่หญิงสาวก็จนปัญญาจะเข้าใจ


วินธัยใช้เวลาสนทนากับชาวบ้านอยู่ครู่หนึ่ง คนเหล่านั้นต่างก็ทะยอยกลับเข้าไปในบ้าน เหลือก็แต่เพียงชายชรา ชายหญิงคู่หนึ่ง และเด็กชายวัยเกือบ 10 ขวบที่โผเข้ามาหาชายหนุ่มเป็นคนแรกเมื่อเขาเดินทางมาถึง

นายพันตรีแห่งกองทัพอัคคาเหนือตรงเข้ามาหามัทรี แตะปลายข้อศอกหล่อนนิดหนึ่งก่อนพาออกเดินตามหลังชายชราและชายหญิงคู่นั้นไปตามทางเดินกลางหมู่บ้าน โดยที่มืออีกข้างจับจูงเด็กชายมาด้วย

“เราจะไปพักที่บ้านพ่อเฒ่า คุณคงได้นอนสบายขึ้นแล้วล่ะวันนี้” เขาพูด

มัทรีพยักหน้ารับรู้ หล่อนไม่ได้ใส่ใจเรื่องความสะดวกสบายอะไรนักหรอก แต่ที่อดสงสัยไม่ได้ก็คือ ท่าทีอันสนิทสนมที่คนในหมู่บ้านแสดงต่อชายหนุ่มนั่นเอง

“คุณคงเคยมาที่หมู่บ้านนี้บ่อยสินะ ท่าทางพวกเขารู้จักกับคุณดี”

“ผมคุ้นเคยกับชาวบ้านในแถบนี้ทุกหมู่บ้านนั่นแหล่ะ แต่ที่นี่อาจจะมากหน่อย เพราะนี่เป็นบ้านเกิดของผมเอง”

บ้านเกิดของเขา? หญิงสาวเลิกหัวคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง จะว่าประหลาดใจก็ไม่เชิง แต่หล่อนคาดไม่ถึงมากกว่าว่าจะได้มาเยือน

“อ้อ...ถ้าอย่างนั้น พ่อเฒ่าอัสมา กับผู้หญิงผู้ชายสองคนนี้ก็...” หล่อนเอ่ย พลางมองตามเบื้องหลังของคนสามคนที่เดินนำหน้า

“ครอบครัวของผมน่ะหรือ? เปล่าหรอก ที่นี่เป็นบ้านเกิดของผมก็จริง แต่พ่อแม่ญาติพี่น้องของผมตายเสียหมดแล้ว” วินธัยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พ่อเฒ่าอัสมาเป็นผู้นำที่ชาวบ้านเคารพนับถือมาตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ส่วนชาห์น่าลูกสาวของพ่อเฒ่าก็คุ้นกันดีกับแม่ผม...ถึงไม่ใช่ญาติสนิท แต่ก็เป็นเหมือนครอบครัวของผมนั่นแหล่ะ”

มัทรีฟังเขาพูดเพลิน รู้สึกตัวอีกทีเมื่อเหลือบไปสบลูกตาใสแจ๋วสีดำสนิทของเด็กชายตัวเล็กซึ่งเกาะชายเสื้อคลุมของวินธัยแน่น แต่สายตาจับจ้องมาที่หล่อนเขม็ง หากพอหญิงสาวเปิดยิ้มให้อย่างมีไมตรี เจ้าหนูก็หลบวูบ อาศัยร่างสูงใหญ่ราวกำแพงของคนข้างๆ ต่างที่กำบังตัว

วินธัยเห็นเข้าก็ก้มลงพูดกับร่างเล็กๆ นั้น 2-3 คำ แล้วก็หันมาหาหล่อน

“เจ้าหนูมิตูสงสัยว่าคุณเป็นใครน่ะ...มิตูเป็นลูกชายคนเล็กของชาห์น่า”

หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้เด็กชายกว้างขึ้นกว่าเดิมเพื่อหวังจะผูกมิตร แต่มิตูก็ยังคงลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างตัววินธัยนั่นเอง หล่อนจึงเอ่ยปากทักทายเป็นภาษาอัคคาเหนือ ทำให้เด็กชายยิ้มกว้างออกมาทันที ก่อนจะพูดภาษาของตัวออกมาเป็นชุด

มัทรีหัวเราะแหะๆ “ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดหรอกพ่อหนุ่มน้อย”

วินธัยยิ้มนิดหนึ่ง ทรุดลงนั่งต่อหน้ามิตู จับบ่าเขาทั้งสองข้างแล้วพูดเป็นภาษาอัคคาเหนือ คงเพื่ออธิบายว่าหญิงสาวไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรอก

มัทรีเห็นมิตูหน้าม่อยไปเล็กน้อย มองหน้าหล่อนสลับกับใบหน้าของชายหนุ่ม ทั้งสองคนโต้ตอบกันนิดหนึ่ง ก่อนที่เด็กชายจะเงยหน้าขึ้นมายิงฟันให้หล่อน กล่าวสั้นๆ ด้วยภาษาที่มัทรีฟังไม่เข้าใจ

“เขาว่าอะไรน่ะ?” หล่อนถาม

นายพันตรีหนุ่มลุกขึ้นยืน แล้วตอบคำถามหล่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉยอันเป็นปกติของเขา

“เขาว่า...คุณสวย” ว่าแล้วก็ออกเดินลิ่วนำหน้าไป โดยมีมิตูวิ่งตุบตับตามหลัง ร่างเล็กนั้นยังหันมามองหล่อนไม่วางตา

ทิ้งให้มัทรีได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ เพราะมัวแต่งงงันไปด้วยคำพูดเมื่อครู่

ถึงแม้จะรู้ดีว่าวินธัยไม่ได้หมายความอะไรมากไปกว่าการแปลคำพูดของมิตูให้หล่อนฟัง ทั้งคำพูดชนิดนั้นก็ยังสวนทางกับสีหน้าราบเรียบปราศจากความรู้สึกของเขาเสียอีก แต่น่าแปลกที่มันกลับทำให้หญิงสาวชาวไทยรู้สึกวิบไหวอยู่ลึกๆ



บ้านของพ่อเฒ่าอัสมาเป็นบ้านชั้นเดียว รูปร่างโย้เย้ปุปะไม่น่าดู ผนังก่อขึ้นจากดิน แต่บางส่วนก็มีไม้กระดานเก่าๆ มาขัดเรียงกันไว้ คงเป็นการเสริมและซ่อมแซมส่วนที่ผุพังไปตามกาลเวลา แต่จะว่าไปแล้วก็ยังมีขนาดใหญ่และมั่นคงแข็งแรงกว่าบ้านหลังอื่นๆ ที่เรียงรายอยู่โดยรอบ

ภายในนั้นมีห้องหับอยู่เพียงสองห้อง ไม่มีประตูและเล็กเพียงแค่นอนเรียงกันได้ไม่เกินสาม แต่ก็อบอุ่นและช่วยกันลมหนาวได้เป็นอย่างดี

มัทรีถูกจัดให้นอนในห้องเล็กร่วมกับชาน่าห์และลูกชาย ส่วนสามีของนางและวินธัยไปนอนรวมกันในโถงกลางบ้าน และแม้ว่าภายในบ้านจะไม่มีข้าวของมากมาย บ่งบอกว่าฐานะของพวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ค่อนไปทางแร้นแค้นเสียล่ะมาก แต่เจ้าบ้านก็ต้อนรับและอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้แก่หล่อนเป็นอย่างดี

หญิงสาวชาวไทยได้แต่กล่าวขอบคุณเป็นภาษาอัคคาเหนือนับสิบครั้ง เพราะรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย


อาหารมื้อค่ำถูกจัดเตรียมไว้รอท่า มองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าเป็นไปเพื่อรับรองแขกอย่างมัทรี แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นอาหารพื้นเมืองแบบง่ายๆ ประกอบไปด้วยเนื้อจามรีตากแห้งรมควัน ซึ่งหญิงสาวแน่ใจว่าคงเป็นอาหารหลักของคนที่นี่ แกงถั่วที่หล่อนพอจะคุ้นลิ้นบ้างแล้ว ต้มซุปอะไรสักอย่างที่หน้าตาคล้ายๆ หัวไชเท้า มีไขมันสัตว์ลอยย่อง ขนมปังแผ่นกลมชนิดเดียวกับที่หล่อนได้รับแจกจากภรรยาของบาลาดิห์ยา แต่เนื้อหยาบและฝืดคอกว่ามาก

หลังจากทดลองอาหารอัคคาเหนือมาแล้วหลายครั้ง มัทรีก็เริ่มจะทานได้อร่อยขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้มานั่งล้อมวงอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องกังวลกับอันตรายอย่างตอนที่อาศัยหลบอยู่ที่อารามใกล้เชิงเขา หรือทุลักทุเลอย่างตอนที่เดินทางอยู่กับกองเกวียน

วินธัยเองก็ดูจะปลอดโปร่งมากขึ้น เขาพูดคุยกับพ่อเฒ่าอัสมาอย่างสบายๆ และบางครั้งก็ส่งยิ้มกว้างขวางให้เด็กน้อยมิตู ผู้ซึ่งเอาแต่นั่งประกบเขาไม่ยอมห่าง ดูเหมือนเด็กชายจะตั้งใจเลียนแบบทุกกิริยาท่าทางของชายหนุ่ม มิตูคงคิดว่านายพันตรีคนนี้เป็นวีรบุรุษของเขากระมัง

มัทรีถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อครั้งหนึ่งวินธัยหัวเราะร่ากับเด็กชาย ดวงตาคมลึกใต้คิวเรียวสีดำสนิทนั้นทอแสงวิบวับและอ่อนโยน ตั้งแต่ระหกระเหินด้วยกันมา หล่อนยังไม่เคยเห็นเขายิ้มหรือหัวเราะเลยสักครั้ง

สำหรับวินธัยแล้ว ที่นี่คงเป็น ‘บ้าน’ ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขกระมัง


หัวตาของคนพลัดบ้านร้อนผ่าว หล่อนวางมือจากอาหาร รู้สึกอิ่มขึ้นมาดื้อๆ จนกระทั่งชาน่าห์ยกสำรับอาหารออกไปแล้วโดยปฏิเสธความช่วยเหลือจากหล่อน มัทรีก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน หวังจะรับลมและปลดปล่อยอารมณ์หดหู่ในใจออกไปบ้าง


อากาศยามดึกหนาวจัดเช่นทุกคืนที่ผ่านมา ต่างกันแต่ว่าลมที่กรรโชกอยู่เสมอนั้นไม่อาจผ่านขุนเขาตระหง่านเงื้อมรอบด้านเข้ามาได้

ตามบ้านดินหลังเล็กๆ มีแสงวอมแวมของตะเกียงลอดออกมาจากหน้าต่างและประตู หมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้คงไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เข้ามาถึง ผู้คนที่นี่จึงยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย และอาจไม่มีโอกาสได้รู้ด้วยซ้ำว่า อีกซีกโลกหนึ่งในเวลาเดียวกัน แสงสีอิเล็กทรอนิกส์ยังคงส่องแสงสว่างไสวได้ตลอดคืนไปจนเช้า

เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง และเมื่อมัทรีหันกลับไป ก็พบว่าวินธัยมายืนกอดอกมองหล่อนอยู่ก่อนแล้ว

“ออกมาทำไม ไม่หนาวหรือไง?” เขาขมวดคิ้วถาม สีหน้าสีตากลับไปถเมิง*ทึงเหมือนเดิมอีกแล้ว

“ฉันออกมาดูโน่นดูนี่ไปตามเรื่อง แล้วก็คิดว่าบางทีคุณคงอยากจะพูดจาอะไรกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวบ้าง”

“ถ้าผมอยากพูด ผมก็ได้พูดไปหมดแล้ว เพราะถึงอย่างไร คุณก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี”

มัทรีตวัดหางตาค้อนให้ทีหนึ่ง อะไรจะพูดตรงขนาดนั้น...ถูกของเขานั่นแหล่ะ ถ้าเขาอยากจะพูดอะไรกับพ่อเฒ่าอัสมาหรือใครต่อใครในหมู่บ้านนี้ เขาก็คงพูดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าคนนอกอย่างหล่อนจะล่วงรู้ เพราะหล่อนก็ฟังไม่เข้าใจอย่างที่เขาว่าจริงๆ

วินธัยก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างร่างโปร่งบางที่หันหลังให้ ความสูงของเขาโผล่พ้นชายคามุงหญ้าแห้งของบ้านหลังนั้น แม้มัทรีจะไม่ใช่ผู้หญิงร่างเล็กนัก แต่หล่อนก็รู้สึกราวกับว่าข้างๆ ตัวนี่คือขุนเขาแข็งแกร่งเช่นเดียวกับที่มองเห็นทึมทะมึนอยู่ตรงหน้า

“ที่นี่เงียบสงบจังนะ สงบยิ่งกว่าเมืองอย่างมันตราหรือชาคาเสียอีก” นักข่าวสาวชวนคุย

“ใช่ หมู่บ้านเล็กๆ แถบนี้ไม่เคยได้ติดต่อกับโลกภายนอกหรอก ความเจริญหรืออะไรต่อมิอะไรก็ยังเข้ามาไม่ถึง”

“เพราะอย่างนั้นหมู่บ้านนี้ก็เลยยังสุขสงบอยู่น่ะสิ บางทีความเจริญก็ไม่ได้นำมาแต่สิ่งดีๆ เสมอไปหรอกนะ”

“ผมรู้ แต่ผมก็อยากให้พวกเราได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอดอยากในหน้าแล้ง หรือหนาวเหน็บในฤดูหนาว เวลาป่วยก็ไม่ต้องรักษากันไปตามมีตามเกิด พวกเด็กๆ จะได้เรียนหนังสือ มีความรู้พอที่จะหาเลี้ยงตัวเองและพัฒนาบ้านเมืองของเรา”

“นั่นคืองานที่พวกคุณทำอยู่ใช่ไหม?”

วินธัยพยักหน้า “ในดินแดนอัคคาเหนือแห่งนี้ไม่มีที่ไหนที่ผมและทหารของกองทัพจะไปไม่ถึง เรารอนแรมไปในทุกๆ ที่เพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านห่างไกล คุณคงเห็นแล้ว ดินแดนของเราแห้งแล้งทุรกันดาร แต่ละหมู่บ้านแต่ละเมืองอยู่กระจัดกระจายแยกจากกันชนิดที่ต้องเดินทางเป็นวันๆ จึงจะไปถึง เรายังขาดแคลนแล้วก็ยังต้องการการพัฒนาอีกมาก”

“ฉันทราบแล้วค่ะ เรื่องที่ว่าจอมพลยามินตกลงทำสัญญากับจอมพลคาลันเกี่ยวกับกองกำลังเพื่อการพัฒนาของอัคคาเหนือ แต่นอกเหนือจากการดำเนินการของพวกคุณแล้ว ทางรัฐบาลกลางไม่เคยให้ความช่วยเหลือบ้างเลยเหรอคะ?”

มัทรีได้ยินวินธัยหัวเราะเสียงต่ำลึกอยู่ในลำคอ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเข้มข้น

“คุณคงจะคิดซีว่าเพราะพวกเราขัดขวางการเข้ามาของฝ่ายรัฐบาล จึงทำให้อัคคาเหนือไม่พัฒนาไปไหนเสียที แต่คุณก็ได้เห็นด้วยตัวเองแล้วนี่ ว่าจอมพลคาลันไม่เคยทำอะไรโดยบริสุทธิ์ใจ การหยิบยื่นความช่วยเหลือจากฝ่ายรัฐบาลต้องแลกด้วยผลตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ เราเคยโดนมาแล้วนักต่อนัก จนกระทั่งตัดสินใจว่าช่วยเหลือตัวเองเสียยังจะดีกว่า”

“แล้วมันจะต้องเป็นอย่างนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่?” หญิงสาวคราง นึกถึงร่างเล็กแกร็นในชุดขะมุกขะมอมของมิตูและเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้านแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ แม้เด็กเหล่านี้จะยังวิ่งเล่นร่าเริงไปตามประสา แต่ก็พอมองออกว่าพวกเขาไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามที่ควรจะเป็น

แม้หล่อนจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับดินแดนแห่งนี้มาก่อน มิหนำซ้ำเพียงการมาเยือนครั้งแรกก็สร้างประสบการณ์ที่ไม่ค่อยจะสวยงามเสียแล้ว แต่การตกอยู่ในสถานการณ์ที่ได้รับรู้ถึงการแย่งชิงอำนาจระหว่างสองฝ่ายที่ไม่อาจตกลงกันได้ นักข่าวชาวไทยก็รู้สึกด้วยความสมเพชในใจ ว่าผลพวงของเกมอำนาจนี้ล้วนตกไปอยู่ที่ประชาชนซึ่งไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย

“มันจะไม่เป็นอย่างนี้อีกนานนักหรอก ถ้าเพียงแต่เราผ่านการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ไปได้ และท่านผู้นำได้เป็นประธานาธิบดี แต่...”

ในที่สุดวินธัยก็เอ่ยออกมา น้ำเสียงของนายพันตรีเคียดขึ้ง เขาบดกรามแน่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความแค้นเคือง คำพูดต่อจากนั้นถูกกลืนหายไปในลำคอ

มัทรีมองดูเขาจากใต้แสงตะเกียงที่ตามอยู่ตรงประตูบ้าน และเข้าใจได้ถึงความรู้สึกเจ็บแค้นของนายพันตรีหนุ่มได้ทันที

ถ้าเพียงแต่นางปรียาวีร์ได้เป็นผู้นำประเทศนี้ นางก็คงจะนำความเจริญมาสู่อัคคาเหนือ และทำให้ประชาชนของนางมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้ ความหวังของชาวอัคคาเหนือคงจะเป็นจริงได้ไม่ยาก เพราะมัทรีเองก็เห็นถึงความนิยมที่มีต่อผู้นำหญิงชาวอัคคาเหนือผู้นี้ด้วยตาตัวเองมาแล้ว

และคงด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้จอมพลคาลันไม่อาจทนนิ่งเฉย รอให้เก้าอี้ประธานาธิบดีที่ตนครองอยู่ถึงสองสมัยหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา พร้อมกับผลประโยชน์มหาศาลที่เขาเคยได้รับมาโดยตลอด แผนการชนิดนี้จึงเกิดขึ้น และหล่อนก็พลอยถูกดึงเข้ามาร่วมวงไพบูลย์อยู่ด้วยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยสักนิด

(จบตอนที่ 13)


ตอนที่ 14


“เข้ามา”

เสียงบอกอนุญาตมาจากเจ้าของร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำออกดำแดง ซึ่งเอนร่างครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ในอ่างจากุชชี่กลางห้องอาบน้ำปูพื้นหินอ่อนเงาวับ กว้างขวางใหญ่โตขนาดจอดรถยนต์ได้ถึงสามคัน ที่ขนาบอยู่ซ้ายขวาคือร่างแน่งน้อยของหญิงสาวสองคนในชุดบิกินี่สีสดใสซึ่งวางสะโพกหมิ่นๆ บนขอบอ่าง และกำลังช่วยกันบีบนวดร่างในอ่างอาบน้ำด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ เสียงดนตรีคลาสสิคดังเบาๆ มาจากลำโพงเครื่องเสียงชั้นดีซึ่งซุกซ่อนอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่งของห้อง

นายทหารในเครื่องแบบติดยศนายพลก้าวผ่านประตูไม้ซึ่งมีพลทหารเฝ้าหน้าห้อง เข้ามาหยุดอยู่หลังฉากไม้บังตาลวดลายงดงาม แล้วชิดเท้าทำความเคารพอย่างแข็งขัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม

“มีอะไรเร่งด่วนนัก? อามีร์” จอมพลคาลันถามด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด ยกแก้วทรงสูงในมือขึ้นเพื่อให้หญิงสาวผิวเข้มด้านซ้ายมือรินไวน์แดงให้

“หวังว่าคงเป็นเรื่องน่ายินดีเพียงพอที่จะเสียเวลาส่วนตัวของผมมาฟังคุณนะ”

“แน่นอนครับท่านจอมพล” เสียงนายพลอามีร์ดังมาจากหลังฉาก “เรารู้เบาะแสของพันตรีวินธัยกับผู้หญิงชาวไทยแล้ว”

จอมพลคาลันชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะโบกมือเป็นความหมายให้หญิงสาวในห้องนั้นออกไป รอจนร่างอวบเต็มได้สัดส่วนสองร่างเยื้องกรายออกไปแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ว่าต่อไป”

“พันเอกราดิชรายงานมาว่า คนของกองเกวียนจากเมืองชาคาให้เบาะแสว่าพบผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าน่าจะเป็นพันตรีวินธัยและมิสมัทรี อาศัยกองเกวียนดังกล่าวออกจากเมืองชาคาเพื่อไปเมืองบันดุคตั้งแต่เช้าวานนี้ครับ”

“ออกจากชาคา? ออกไปทางไหน? ออกไปได้ยังไง? ผมสั่งให้ตรวจค้นคนเข้าออกเมืองชาคาอย่างละเอียดไม่ใช่รึ?” เสียงถามเข้มข้น

“เอ้อ ครับท่าน” พลเอกอามีร์อึกอักเล็กน้อย “พันเอกราดิชเพิ่งได้รับรายงานจากทหารที่ส่งไปเฝ้าว่ามีกองเกวียนค้าผ้าออกจากชาคาเช้าวานนี้จริง...แต่ไม่พบอะไรผิดปกติ”

“หึ! ไม่พบอะไรผิดปกติงั้นรึ? ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติพวกมันจะหนีรอดไปได้ยังไง ทหารปลายแถวพวกนั้น...มันน่าลงโทษเสียให้เข็ด”

ประโยคนั้นเหมือนเปรยออกมากับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำสั่งแท้จริง แต่พลเอกอามีร์กลับโค้งคำนับต่ำอย่างคนที่รู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว

“ครับท่านจอมพล กระผมจะดำเนินการตามที่ท่านต้องการ”

จอมพลคาลันพยักหน้านิดหนึ่ง “แล้วพวกคุณแน่ใจได้อย่างไร? ว่านั่นเป็นวินธัยกับนักข่าวคนไทยจริง”

“เบาะแสบอกว่าพวกเขาอ้างตัวเป็นญาติกับนายพ่อค้าผ้า แต่มีพฤติกรรมลึกลับน่าสงสัย ไม่ยอมสุงสิงกับใคร โดยเฉพาะผู้หญิง อ้างว่าหูหนวกเป็นใบ้ แถมยังหลบหน้าหลบตาผู้คนตลอดเวลา”

“เหตุผลแค่นี้เพียงพอแล้วหรือที่จะยืนยันว่าใช่พวกมัน”

“เบาะแสยืนยันว่าน่าจะใช่ครับ เพราะเขาเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมนาฬิกาข้อมืออย่างที่หญิงพื้นเมืองทั่วไปไม่มีใส่อย่างแน่นอนครับ”

จอมพลคาลันเบิกตากว้างขึ้นอย่างพึงใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นพวกมันแน่แล้ว หึ! ไม่คิดเลยว่าจะหาตัวได้รวดเร็วขนาดนี้”

จรดแก้วไวน์เข้ากับริมฝีปาก พลางถามมาด้วยรอยยิ้มเย็น “แสดงว่าตอนนี้พวกมันอยู่ที่บันดุคสินะ”

“เอ้อ...เปล่าครับ” ดูเหมือนพลเอกอามีร์จะเกิดอาการติดขัดขึ้นมาทันที

จอมพลคาลันหันขวับเพ่งมองร่างที่เห็นลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงช่องว่างของฉากไม้ เสียงที่ถามออกมาห้วนจัด

“หมายความว่ายังไง?”

“เอ่อ...ตามที่ได้รับรายงาน...พันตรีวินธัยกับมิสมัทรีอาศัยมากับกองเกวียนด้วยจริง แต่...ไม่ได้โดยสารมาจนถึงบันคุด แต่ลงเสียก่อนถึงเมืองครับท่าน”

ยังไม่ทันสิ้นประโยค พลเอกอามีร์ก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงแก้วกระทบผนังแตกดังเปรื่องปร่างดังออกมาจากหลังฉาก ตามด้วยเสียงลุกขึ้นจากอ่าง เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตึงๆ ตรงมายังฉากหลังซึ่งกั้นส่วนอาบน้ำกับส่วนที่เขามายืนอยู่นี้ออกจากกัน แล้วจอมพลคาลันในชุดคลุมอาบน้ำก็ก้าวออกมา เค้าหน้าของผู้นำแห่งอัคคากร้านเกรียมดูน่ากลัว

“ตกลงพวกคุณยังไม่รู้ใช่ไหมว่าพวกมันอยู่ที่ไหน! นี่หรือเรื่องที่คุณบอกว่ารีบด่วนจนต้องขอพบผมในเวลาแบบนี้!”

“เอ้อ ขอประทานโทษครับท่าน กระผมเพียงแต่มาแจ้งให้ท่านทราบก่อน ตามที่พันเอกราดิชรายงาน จุดที่ทั้งสองคนหายไปเป็นทางแยกไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาหลายหมู่บ้าน คงจะต้องใช้เวลาสักสองสามวันจึงจะพบตัว” พลเอกอามีร์รีบรายงานด้วยเสียงรัวเร็ว ราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูด

“สองสามวันงั้นเรอะ?” จอมพลคาลันแผดเสียงกร้าว “ถึงเวลานั้นพวกมันก็เปิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไอ้วินธัยมันเชี่ยวชาญพื้นที่ดีกว่าพวกเรามากนัก ป่านนี้มันคงหัวเราะเยาะจนสะใจแล้วว่าเราคงไม่มีทางหามันพบ!”

ผู้นำสูงสุดของกองทัพได้แต่ยืนตัวลีบ ก้มหน้ามองปลายรองเท้าคอมแบ็ตของตัวเองด้วยความเกรงกลัวอำนาจและโทสะของอีกฝ่าย เป็นเพราะห่วงแต่จะมาเอาความดีความชอบแท้ๆ เขาจึงไม่ทันคิดให้รอบคอบ ทันทีที่ได้รับรายงานทางวิทยุสื่อสารจากพันเอกราดิช เขาก็รีบขอเข้าพบจอมพลคาลันทันที แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับการถูกผู้เป็นนายระเบิดโทสะหรือลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะขัดคำสั่งไม่ให้เข้าพบในยามวิกาล

หากแต่เพราะมั่นใจว่า ‘ข่าว’ ของตนสำคัญเพียงพอ โดยไม่ทันได้คิดว่าควรจะรอให้ได้ตัวคนที่ต้องการแน่ๆ เสียก่อนจึงต้องมาก้มหน้าหลบดวงตาวาวโรจน์ของท่านจอมพลเช่นนี้

แต่ในขณะที่เอาแต่ลุ้นจนหัวใจเต้นระทึกว่าจะโดนลงโทษไปข้างไหน อยู่ๆ จอมพลคาลันก็หรี่ตาลง ดวงตาดำใหญ่ฉายแสงเหี้ยม น้ำเสียงที่ใช้ต่ำลึกอย่างน่ากลัว

“แต่เวลาอย่างนี้แหล่ะที่เราต้องชิงลงมือ!”

“...ส่งกำลังคนออกไป ค้นให้ทั่วทุกหมู่บ้านในแถบนั้น ไม่เว้นว่าจะหมู่บ้านเล็กใหญ่แค่ไหน แม้แต่มดปลวกก็อย่าให้รอดไปได้ ผมต้องการตัวพวกมันทั้งคู่ภายในวันพรุ่งนี้!”

“เอ้อ แต่ตอนนี้...ชาวอัคคาเหนือกำลังหวาดระแวงท่าน ผมเกรงว่าถ้าเรารุนแรง...” พลเอกอามีร์รีบทักท้วง

“คำสั่งของผมถือเป็นคำขาด! และถ้าใครขัดขวางให้ถือว่าเป็นกบฏ ไม่ต้องละเว้น!”

สิ้นสุดคำสั่งเด็ดขาดจากประธานาธิบดีแห่งอัคคา พลเอกอามีร์ก็ลนลานทำความเคารพอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับจนศีรษะแทบจรดพื้น แล้วก็รีบร้อนถอยหลังออกไปจากห้องเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งโดยเร็วที่สุด



ท้องฟ้าภายนอกสว่างแล้วเมื่อมัทรีลุกออกจากที่นอน ข้างตัวหล่อนมีร่างผอมของมิตูนอนกางแขนกางขาหลับสนิท บนหัวนอนมีชุดทหารสีดำของวินธัยพับวางไว้เรียบร้อย เมื่อคืนนี้ตอนชายหนุ่มผลัดเสื้อผ้า เด็กชายก็เมียงมองเข้าไปใกล้ ลูบคลำชุดนั้นอย่างหลงใหล และพอวินธัยเอ่ยปากยกให้ เขาก็ดีอกดีใจจนไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากคอยพิจารณาดูมันอยู่ตลอดเวลาและไม่ยอมให้แม่เอาไปเก็บไว้ห่างตัว

พอถึงเวลาเข้านอน เด็กชายก็เมียงมองเข้ามาใกล้หล่อนแล้วก็ล้มตัวลงข้างๆ มิไยคนเป็นแม่จะลากตัวไปนอนอีกฝั่ง คงเพราะเกรงว่าเด็กชายจะป่ายแขนขามาโดนตัวคนเป็นแขก แต่ก็ไม่สำเร็จ มัทรีจึงยิ้มให้ชาน่าห์เป็นความหมายว่าหล่อนไม่ถือ แล้วก็ปล่อยให้มิตูนอนดิ้นไปมาอยู่ข้างๆ ตลอดทั้งคืน

ล้างหน้าล้างตา ผลัดเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ชาน่าห์เตรียมไว้ให้แล้ว หญิงสาวก็ออกจากห้อง พบวินธัยกำลังนั่งพูดคุยปรึกษากับพ่อเฒ่าอัสมาและบุตรเขยอยู่ตรงกลางบ้าน นายพันตรีหนุ่มเพียงแต่เหลียวมามองนิดหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปสนทนาถึงสิ่งที่เอ่ยค้างไว้เมื่อครู่ต่อ

“สำหรับเสบียงที่เจ้าขอไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร แม้ตอนนี้ผลผลิตจะไม่มากมาย แต่เราก็พอจะเจียดแบ่งให้แก่เจ้าได้โดยไม่ขัดสน” พ่อเฒ่าเอ่ยกับชายหนุ่ม

“ขอเสบียงสำหรับสองคนเพียงแค่สองวันเท่านั้นก็พอ เพราะเมืองที่เป็นจุดหมายต่อไปก็อยู่ไม่ไกลนัก ข้าคงจะไปอาศัยพึ่งพาที่นั่นอีกทีหนึ่ง”

“แต่สำหรับเรื่องม้าที่เจ้าขอ อาจจะลำบากสักหน่อย ตอนนี้พวกม้าหรือลาในหมู่บ้านก็ไม่มีเหลืออยู่เลย”

“อ้าว ทำไมล่ะ? ท่านพ่อเฒ่า”

“ปีก่อนอากาศหนาวจัด เราขาดแคลนและเดือดร้อนกันมาก พวกสัตว์ต่างๆ ก็พากันล้มตาย ที่พอมีอยู่ก็ต้องฆ่าเพื่อเอาเนื้อ และบางส่วนก็ต้องเอาไปแลกกับอาหารในเมือง” สามีของชาน่าห์เป็นผู้ตอบ “แล้วท่านก็รู้นะท่านพันตรี...เราก็ยังต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐบาล”

วินธัยเงียบไปอึดใจหนึ่ง เขารู้เรื่องนี้ดีทีเดียวล่ะ แม้ทางรัฐบาลจะไม่มีโอกาสเข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากอัคคาเหนือเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก แต่จอมพลคาลันก็ยังไม่วายเอารัดเอาเปรียบประชาชน ภาษีที่จัดเก็บแม้ไม่มากมายอะไร แต่ก็ถือว่ามากเกินไปสำหรับชาวบ้านตาดำๆ ที่เพียงแต่ทำไร่หาเลี้ยงปากท้องไปวันๆ หนึ่ง

“แต่หมู่บ้านข้างๆ นี่คงจะพอมีอยู่บ้างหรอก ถ้าเราขอซื้อเขาก็คงจะได้ ถ้ายังไงลองไปดูหน่อยไหมล่ะท่าน ข้าจะพาไปเอง” ชายวัยกลางคนกล่าวต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ ข้าคิดว่าควรจะออกเดินทางจากหมู่บ้านก่อนค่ำนี้”

ตลอดเวลา มัทรีได้แต่นั่งฟังคนนั้นพูดทีคนนี้พูดทีโดยไม่อาจจะเข้าใจ ต่อเมื่อวินธัยลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าจะเดินออกไปจากบ้าน หล่อนก็พลอยลุกตามไปด้วย

“คุณไม่ต้องไปหรอก อยู่ที่นี่แหล่ะ” เขาหันมาบอกหล่อน

“คุณจะไปไหน?”

“ผมจะไปหมู่บ้านใกล้ๆ นี่สักหน่อย คุณรอผมอยู่ที่นี่ แล้วอย่าออกไปไหน ถึงที่นี่จะปลอดภัย แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณเที่ยวไปไหนต่อไหนตามใจชอบ พอผมกลับมา เราจะออกเดินทางทันที”

สั่งเสร็จ ร่างสูงนั้นก็ก้มศีรษะลอดประตูบ้านออกไปโดยมีสามีของชาน่าห์ตามไปด้วย หล่อนไม่ทันได้ถามว่าเขาจะไปที่หมู่บ้านใกล้ๆ ทำไม แต่ก็คิดว่าเอาไว้ให้เขากลับมาคงได้รู้กัน



มัทรีใช้เวลาหลังอาหารเช้าเดินเตร็ดเตร่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ บ้านพ่อเฒ่าอัสมา ในเวลากลางวันเช่นนี้ สภาพความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านก็กระจ่างแก่สายตา บ้านแต่ละหลังปลูกกระจัดกระจายอยู่ไม่ห่างจากกัน แต่ละหลังเล็กชนิดที่ไม่น่าจะเพียงพอสำหรับจำนวนคนอยู่อาศัย ตรงหน้าบ้านหลังที่อยู่ถัดไปไม่ไกล มัทรีเห็นหญิงชาวอัคคาในชุดพื้นเมืองมอซอกำลังง่วนกับการตากเมล็ดอะไรสักอย่างหนึ่งบนลานดิน รอบตัวนางมีเด็กชายหญิงเล็กๆ สี่คนคอยคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ และที่ยังแบกอยู่บนหลังนั่น ดูแล้วก็ยังไม่เต็มขวบดี

เด็กทุกคนรูปร่างผอมกะหร่อง ชุดพื้นเมืองขะมุกขมอมที่ห่อหุ้มตัวหลวมโพรก เดาได้ว่าอาจได้รับเป็นมรดกจากพี่ที่โตกว่ามาอีกทอดหนึ่ง สองคนที่โตหน่อยกำลังช่วยแม่เกลี่ยเมล็ดพืชบนผ้าผืนใหญ่ที่ปูรอง ส่วนอีกสองคนที่ยังตัวเล็กๆ ก็มัวแต่เล่นกันไปมา พอหนักมือเข้าหน่อยน้องตัวเล็กกว่าก็ร้องไห้จ้า ทำให้คนเป็นแม่ต้องหันไปส่งเสียงเอ็ดลั่น

มัทรีหยุดยืนมองดูครอบครัวนั้นเป็นพักใหญ่ จับจ้องมองกลุ่มเด็กน้อยสลับกับการพิจารณาบ้านดินซ่อมซ่อด้านหลัง บ้านนั้นเล็กนิดเดียว เผลอๆ คงจะมีอยู่เพียงห้องเดียวคือโถงกลางบ้านนั่นเอง ทั้งพ่อแม่ลูกคงจะนอนรวมกันอยู่ในกล่องดินแคบๆ นั่น เวลาหนาวก็หนาวสั่น และเวลาหิวเสียงเด็กๆ ก็คงกระจองอแงน่าเวทนา

ชาคาว่าเล็ก ว่าห่างไกลความเจริญแล้ว...ที่นี่สิยิ่งกว่า หมู่บ้านเล็กๆ ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาห่างไกลผู้คนและโลกภายนอกเช่นนี้ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือใดๆ เข้ามาถึง ชาวบ้านก็คงจะอยู่กันไปตามมีตามเกิด

พวกคนแก่หลายคนออกมานั่งจับกลุ่มอยู่ตามลานดินหน้าบ้าน พอมัทรีเดินผ่านก็หยุดสนทนา พากันหันมองหล่อนเป็นตาเดียว หญิงสาวส่งยิ้มให้เมื่อสบตากับใครคนใดคนหนึ่ง บ้างก็ยิ้มตอบมา มีไม่น้อยที่นิ่งเฉย แต่ก็ไม่ยอมละสายตาจากหล่อน

มัทรีรู้ดีว่าไม่เพียงเพราะหล่อนเป็นคนแปลกหน้าของหมู่บ้าน แต่ชาวต่างชาติอย่างหล่อนย่อมเด่นสะดุดตากว่าใครๆ แถมหล่อนยังมาถึงที่นี่พร้อมวินธัย นายพันตรีหนุ่มที่ชาวบ้านรักและศรัทธา

ตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านนี้ มัทรีก็เลิกเอาใจใส่ที่จะซุกซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุมศีรษะ ที่ห่างไกลเช่นนี้คงปลอดภัยจากสายตาคนของรัฐบาล ไม่อย่างนั้นวินธัยก็คงไม่พาหล่อนหลบเลี่ยงจากเมืองบันดุคมาซุกซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อรวบรวมเสบียงสำหรับการเดินทางต่อไปอีกทอดหนึ่ง

วินธัยเองก็คงจะคิดเช่นนั้น เพราะเขาไม่ได้กำชับหล่อนเรื่องหลบหน้าหลบตาคนอีกต่อไป ซึ่งสำหรับมัทรีนี่ถือว่าดีมาก เพราะหล่อนก็นึกรำคาญเต็มที ตอนนี้หล่อนจึงเพียงแต่พันผ้าไว้หลวมๆ ปล่อยให้ใบหน้าของตัวเองได้ออกมาส่งยิ้มและเผชิญสายตาคนอื่นเสียบ้าง


มัทรีเดินย้อนกลับมายังบ้านของพ่อเฒ่าอัสมา เมื่อชาน่าห์ออกมาจากในบ้านโดยมีเด็กชายมิตูเดินตามต้อยๆ ที่หลังของทั้งสองคนมีภาชนะสานชนิดหนึ่งรูปร่างคล้ายกระบุง มีเชือกถักจากเถาวัลย์เส้นใหญ่สะพายไว้กับไหล่ทั้งสองข้าง ใบของมิตูเล็กกว่าเล็กน้อย พอดีกับรูปร่างของเด็กชาย

หญิงสาวยิ้มให้สองแม่ลูก พร้อมกับถามออกไปเป็นภาษาไทย

“จะไปไหนกันเหรอ?”

หล่อนไม่ได้คาดหวังคำตอบเพราะทั้งสองคนย่อมไม่เข้าใจ เช่นเดียวกัน เมื่อชาน่าห์เงยหน้าขึ้นมองหล่อนแล้วก็รัวภาษาของตัวออกมาถี่ยิบ มัทรีก็ได้แต่ยิ้มเฉยเพราะแปลไม่ออก

แต่ก่อนที่หล่อนจะนึกหาวิธีการสื่อสารอย่างใดต่อไป มิตูก็เขยิบเข้ามาใกล้ สอดมือเล็กเข้ากับมือข้างหนึ่งของหล่อน แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยพร้อมกับยิ้มกว้างโชว์ฟันครบทุกซี่

“อะไรเหรอ? มิตู เธอจะไปไหน?”

มิตูยังยิ้มแต้ ออกแรงฉุดมือหล่อน ขณะที่คนเป็นแม่เพียงแต่หันมามองแวบหนึ่ง แล้วเดินนำลิ่วไปอีกทาง

เดาเอาจากท่าทางของเด็กชาย มัทรีก็ชี้มือสลับกันระหว่างตัวเองกับแผ่นหลังของชาน่าห์ที่เดินห่างออกไปแล้ว พร้อมเอ่ยปากถาม

“อยากให้ฉันไปด้วยเหรอ?”

มิตูพยักหน้าหงึกหงัก ออกแรงฉุดมือหล่อนมากขึ้นจนมัทรีจำต้องเดินตามไปด้วย ก็ดีเหมือนกัน...หล่อนคิด คงอีกนานกว่าวินธัยจะกลับมา หล่อนขอตามไกด์ตัวจ้อยนี้ไปดูสักหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะพาหล่อนไปไหน อีกทั้งก็จะได้ถือโอกาสนี้สำรวจหมู่บ้านให้ถ้วนทั่ว

ถึงแม้จะตกระกำลำบากหรืออยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างไร ความอยากรู้อยากเห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ก็คงจะฝังอยู่ในนิสัยของนักข่าวสาวไปเสียแล้ว



ที่อยู่ต่อหน้ามัทรีคือพื้นที่เพาะปลูกเล็กๆ ประจำหมู่บ้าน ไร่นาสีเขียวๆ เหลืองๆ นั้นอยู่ชิดติดเชิงเขาด้านหนึ่ง นาหลายแปลงเหลือแต่ตอข้าวแห้งตายเพราะถูกเก็บเกี่ยวไปนานแล้ว ส่วนที่เห็นอยู่ไกลๆ คือไร่เขียวสดซึ่งหญิงชายชาวชาคาพร้อมตะกร้าใบใหญ่บนหลังกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ในที่เหล่านั้นเพื่อเก็บผลผลิตครั้งสุดท้ายของปี ที่ริมเชิงเขาอีกด้าน จามรีคู่หนึ่งกำลังและเล็มกอหญ้าแห้งอยู่อย่างเนือยๆ

มัทรียืนพิจารณาภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านด้วยความสนอกสนใจ ในขณะที่รอบตัวหล่อนแวดล้อมด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายหญิงหลายคน

ไกด์นำเที่ยวส่วนตัวของหล่อนที่ทีแรกคิดว่าจะมีแต่มิตูเพียงคนเดียว กลับกลายเป็นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วตามระยะทางที่ผ่านมา เพราะขณะที่เด็กชายจูงมือมัทรีผ่านหน้าบ้านแต่ละหลัง เขาก็เดินพลางร้องเรียกเพื่อนฝูงพลางมาตลอดทาง จนในที่สุดมัทรีก็ถูกห้อมหน้าห้อมหลังด้วยบรรดาเด็กๆ หน้าตามอมแมมนับสิบ ซึ่งเอาแต่ยิ้มร่าทุกครั้งที่หล่อนหันไปชวนคุย

“พวกเธอปลูกอะไรกันบ้างเหรอ?” มัทรีหันไปถามมิตู ซึ่งเด็กชายก็ตอบคำถามหล่อนด้วยภาษาของตัวพลางชี้มือชี้ไม้ไปรอบๆ ราวกับจะอวด

เด็กๆ ที่ติดตามมาเริ่มต้นเล่นสนุก บ้างก็ลุยลงไปในแปลงนาที่ต้นข้าวชนิดหนึ่งกำลังออกรวง หญิงสาวพิศดูแล้วสรุปว่ามันคงเป็นข้าวซึ่งกลายมาเป็นขนมปังที่หล่อนอาศัยประทังชีวิตมาตลอดนั่นเอง

มิตูผละจากมัทรี เมื่อกลุ่มเด็กผู้ชายที่ลุยลงไปในทุ่งที่เหลือแต่ตอข้าวกวักมือเรียกเขามาหย็อยๆ ร่างเล็กนั้นวิ่งปุเลงๆ ลงไปรวมกลุ่ม แล้วก็พากันตรงเข้าไปหาพวกผู้ใหญ่ที่กำลังเก็บอะไรสักอย่างจากแปลงนาไกลๆ ใส่ลงไปในตะกร้าหลัง ทิ้งให้มัทรียืนเด่นอยู่ตรงริมที่นานั้นเพียงลำพัง

หล่อนยืนเท้าเอวมองดูพวกเด็กๆ เดินเรียงแถวเข้าไปในที่นา นึกอยากตามไปดูบ้าง แต่ก็เกรงว่าจะไปทำพืชผลเขาเสียหายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หล่อนจึงตัดสินใจถอยหลังไปหย่อนตัวลงบนโขดหินเล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้น แล้วก็นั่งเท้าคางพิจารณาทิวทัศน์รอบข้างอย่างสบายใจ

ลมตอนสายพัดเอื่อยๆ หอบเอาความหนาวเย็นมาด้วย กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าที่ปะปนมาทำให้รู้สึกแช่มชื่น แม้หมู่บ้านแห่งนี้จะไม่อุดมสมบูรณ์มากนัก แต่ก็ยังดีกว่าความแห้งแล้ง ปราศจากชีวิตที่หล่อนพบเห็นมาตลอดทางจากเมืองชาคามายังที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ความเงียบสงบและเรียบง่ายของชาวบ้านก็ทำให้อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หากว่าจะต้องจากไปจริงๆ

มัทรีคิดหวังลมๆ แล้งๆ ไปว่า ถ้าหล่อนไม่ได้กำลังหลบหนีฝ่ายรัฐบาลเพื่อเอาชีวิตรอดอย่างตอนนี้ หล่อนก็อยากจะพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ต่อไปอีกสักหน่อย คงมีเรื่องราวน่าสนใจมากมายให้หล่อนเก็บเกี่ยวไปเป็นวัตถุดิบสำหรับงานเขียน

บางทีหล่อนอาจเขียนถึงภูมิทัศน์อันมหัศจรรย์ที่โลกภายนอกยังไม่เคยเห็น อาจเป็นวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวบ้านซึ่งยังคงพึ่งพิงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ หรืออาจเป็นเรื่องราวการเดินทางรอนแรมกับกองเกวียนพร้อมลิ้มรสอาหารพื้นเมืองแท้ๆ ที่หล่อนได้ประสบมาด้วยตัวเอง

แต่นักข่าวสาวก็ต้องสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป เพราะถึงอย่างไรหล่อนก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้อยู่ดี หล่อนต้องไปให้ถึงจิซูอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก หลังจากนั้นก็จะต้องหาทางกลับบ้านให้ได้ ไม่ว่าจะยากลำบากอย่างไรก็ตาม

หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ น่าหนักใจอยู่เหมือนกันในข้อที่ว่าหล่อนจะเอาตัวรอดไปจนถึงจิซูได้จริงล่ะหรือ? แม้สองวันที่ผ่านมาหล่อนจะสามารถหลบหนีออกจากชาคามาได้โดยปลอดภัย และนับตั้งแต่ผ่านด่านตรวจก่อนออกนอกเมืองนั้นมาแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าทุกอย่างจะยังปกติเรียบร้อยอยู่เช่นนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง

แต่แล้วมัทรีก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อนึกถึงร่างสูงใหญ่และแววตาคมกล้าของคนคนหนึ่ง...

อย่าเพิ่งทุกข์ร้อนกังวลอะไรไปนักเลย มัทรี...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นายทหารยศพันตรีคนนั้นคงไม่ปล่อยให้หล่อนเป็นอะไรไปง่ายๆ

ตั้งแต่ร่วมทางกันมา หล่อนก็ได้เห็นแล้วว่าเขาปกป้องคุ้มครองหล่อนได้ดีเพียงใด...

และแน่นอนว่าเมื่อหล่อนกลับถึงบ้านเกิดได้อย่างปลอดภัยเมื่อไหร่ มัทรีก็ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า หล่อนจะต้องเขียนถึงอัคคาเหนือในแง่มุมงดงามอย่างที่ได้พบเจอมาด้วยตัวเอง

คิดถึงกล้องถ่ายรูปซึ่งสูญหายไปในขณะหลบหนีก็ให้รู้สึกเสียดาย นี่ถ้าหล่อนยังมีกล้องถ่ายรูปอยู่กับตัว หรืออย่างน้อยที่สุดก็ดินสอกับสมุดสเก็ตภาพ หล่อนก็คงจะบันทึกสิ่งที่พบเห็นในช่วงเวลาหลายวันนี้ได้อย่างละเอียดละออ

คิดพลางมัทรีก็หยิบกิ่งไม้ใกล้มือขึ้นมาขีดเขียนพื้นดินไปเรื่อยเปื่อย วาดเป็นรูปทิวเขาตามที่เห็นอยู่ตรงหน้าบ้าง วาดเป็นรูปต้นไม้ดอกไม้บ้าง วาดเป็นรูปบ้านดินหลังเล็กๆ บ้าง

แล้วสุดท้ายก็กลับกลายเป็นเค้าโครงร่างสูงใหญ่ในชุดพื้นเมืองที่หล่อนเผลอจดจำได้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...


มารู้สึกตัวอีกที เมื่อเสียงแหลมเล็กของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัว และเมื่อมัทรีหันขวับไปมอง เด็กหญิงตัวเล็กคนที่หล่อนจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่นั่งเล่นอยู่ตรงลานดินหน้าบ้านเมื่อตอนสาย ก็มานั่งยองๆ อยู่ข้างๆ และกำลังเอียงคอมองร่องรอยอะไรสักอย่าง คล้ายๆ ว่าจะเป็นรูปคนที่มัทรีกำลังขีดเขียนอยู่บนพื้น

เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองทันทีที่มัทรีชะงักมือจากการตวัดกิ่งไม้แห้งไปมา แล้วก็พูดอะไรออกมาคำหนึ่งพร้อมกับสีหน้าฉงน ...คงสงสัยว่าทำไมหล่อนจึงหยุดมือเสียกระมัง...

“แหม ฉันวาดเรื่อยเปื่อยน่ะ อย่าสนใจเลย” มัทรีรำพึงออกมาเบาๆ แก้เก้อ รีบใช้กิ่งไม้อันเดิมขีดฆ่ารูปทั้งหมดบนพื้น

แต่เด็กหญิงตัวน้อยยังจ้องตาแป๋วไปที่ตำแหน่งเดิม สลับกับมองหน้าหญิงสาวคล้ายต้องการให้หล่อนวาดรูปต่อไป

“แหม ไม่เอาแล้วล่ะรูปนั้น...วาดอย่างอื่นดีกว่านะ”

ว่าแล้วหล่อนก็ตวัดกิ่งไม้ในมือเป็นรูปต่างๆ นานา ซึ่งทำให้เด็กหญิงหันกลับไปจ้องมองอย่างสนใจตามเดิม และพอมัทรียื่นกิ่งไม้เล็กๆ อีกอันให้ ก็รีบคว้ามาทำตามอย่าง แล้วทั้งสองคนก็พากันขีดเขียนโน่นนี่จนเต็มพื้นไปหมด

ของมัทรีน่ะก็พอจะมองออกอยู่หรอกว่าเป็นรูปอะไร แต่สำหรับเด็กหญิงแล้ว เธอได้แต่ลากกิ่งไม้เป็นเส้นยึกยือไปมาเพราะยังเล็กเกินกว่าจะเขียนรูปร่างอะไรออกมาได้ แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังชี้ชวนดูรูปของกันและกันพลางหัวเราะคิกคัก แม้จะสื่อสารกันไม่เข้าใจก็ตาม

เสียงหัวเราะสนุกสนานของทั้งสองคนคงดังไปเข้าหูบรรดาเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่โตกว่าซึ่งวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ พวกเขาจึงค่อยๆ เข้ามาเมียงมอง พอเห็นมัทรีกับเด็กหญิงตัวเล็กเล่นอะไรกันท่าทางสนุก ต่างคนต่างก็เริ่มเดินหากิ่งไม้แห้ง แล้วกลับมาทรุดลงนั่ง พยายามทำตามอย่างบ้าง

มัทรีนึกสนุก อยากจะสอนให้เด็กๆ วาดรูปให้เป็นเรื่องเป็นราว หล่อนจึงพยายามสอนมิตูที่ขยับเข้ามาใกล้โดยใช้วิธีจับมือเขาแล้วลากกิ่งไม้ไปตามพื้น กลายเป็นวงกลมหยักๆ รูปดอกไม้ปรากฏบนพื้นดิน

“นี่ไง ได้แล้วเห็นไหม นี่เรียกว่าดอกไม้...‘ฟลาวเวอร์’ น่ะ เข้าใจไหม?”

มิตูยิ้มร่าตาใสเช่นเคย จากนั้นก็พยายามวาดรูปดอกไม้ด้วยตัวเองอีก 2-3 รูป คราวนี้เพื่อนๆ ของมิตูล้อมวงเข้ามาใกล้ พูดอะไรกับหล่อนให้ลั่นไปหมด แล้วตลอดเช้านั้นมัทรีก็วุ่นวายอยู่กับการช่วยสอนเด็กๆ วาดรูปต่างๆ นานา ตามแต่ที่จะนึกขึ้นมาได้


หญิงสาวชาวไทยตกอยู่ในวงล้อมของเด็กๆ รู้สึกสนุกสนานกับห้องเรียนเล็กๆ ที่หล่อนสมมติว่าตัวเองเป็นครูสอนศิลปะ แทบจะลืมความหิวจนกระทั่งชาน่าห์เดินเข้ามาหา ส่งเสียงบอกอะไรกับเด็กๆ กลุ่มนั้น ทำให้เด็กทั้งหลายแตกกลุ่ม วิ่งกลับไปหาพ่อแม่ซึ่งอยู่ในบริเวณแปลงนาใกล้ๆ

ชาน่าห์ยิ้มให้มัทรี ดวงหน้าขาวแดงเรื่อเพราะทำงานกลางแจ้งมาตั้งแต่เช้า จนกระทั่งตอนนี้ตะวันก็ขึ้นอยู่ตรงศีรษะพอดี แม้แสงแดดจะไม่จัดนักหากเทียบกับแดดยามเที่ยงวันในประเทศไทย แต่ก็ถือว่าแรงกล้า เพราะบนท้องฟ้าไม่มีวี่แววของกลุ่มเมฆเลยสักก้อน

มัทรีกล่าวขอบคุณเบาๆ เมื่อชาน่าห์ส่งห่ออาหารกลางวันให้หล่อน ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าเป็นอะไร หญิงสาวรับประทานอาหารโดยมีมิตูนั่งอยู่ใกล้ๆ เด็กชายยังสนอกสนใจกับรูปภาพดอกไม้ง่ายๆ ที่ตัวเองเพิ่งวาดได้สำเร็จ หน้าตาของเขาดูอิ่มอกอิ่มใจ มัทรีสงสัยว่าเขาคงไม่รู้หรอกว่ารูปที่เขาเพิ่งวาดนี่ เป็นที่เข้าใจกันเป็นสากลว่าคือดอกไม้ เพราะมิตูไม่เคยได้เรียนหนังสือหรือเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน

หล่อนจึงเด็ดดอกหญ้าเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่กับกอหญ้าใกล้ตัวมาวางลงข้างๆ รูปดอกไม้บิดๆ เบี้ยวๆ ของมิตู แล้วชี้สลับกันไปมา

“นี่น่ะ เหมือนกัน เห็นไหม? ดอกไม้... ‘ฟลาวเวอร์’”

มิตูเคี้ยวขนมปังหยับๆ ตาก็มองตามที่นิ้วมือของมัทรีชี้บอก และในที่สุดก็เหมือนเด็กชายจะเข้าใจ เขายิ้มยิงฟันขาว ยัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปาก คว้าดอกหญ้าดอกนั้นขึ้นมาแล้วออกวิ่งไปหาเพื่อนผู้ชายที่นั่งล้อมวงอยู่ไม่ไกลโดยไม่สนใจเสียงเรียกดุๆ ของชาน่าห์ บางทีคงจะไปอวดว่าเขาได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นจากมัทรีกระมัง

(จบตอนที่ 14)







 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551
3 comments
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 22:44:13 น.
Counter : 330 Pageviews.

 

โอ้!! สนุกและน่าติดตามมาก
รออ่านตอนต่อไปนะคะ

 

โดย: nathanon 28 พฤศจิกายน 2551 5:02:59 น.  

 

สวัสดีค่ะ พึ่งเข้ามาอ่านใต้มนตร์ฯ สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวถึงตอ่น 13 เลยค่ะ แต่เคยอ่านเรื่องอุ่นรัก ณ ปาย ของคุณชญาลีมาแล้ว ชอบมากเหมือนกัน ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ คุณชญาลีเขียนบรรยายดีค่ะ อ่านแล้วเนียนไม่สะดุด เนื้อเรื่องก็น่าสนใจ ออกเป็นหนังสือขายได้เลยค่ะ แล้วจะรอตอนต่อไปนะคะ ;)

 

โดย: วอมแบต IP: 125.26.170.246 7 ธันวาคม 2551 13:44:15 น.  

 

ตอบคุณ nathanon:
ขอบคุณค่ะที่ติดตามอ่าน

ตอบคุณ วอมแบต:
ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ ขอบคุณสำหรับ comment ด้วย ดีใจมากค่ะ

 

โดย: ชญาลี 10 ธันวาคม 2551 10:52:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.