....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
23 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 9-10

-ตอนที่ 9-

นักข่าวสาวมาหยุดยืนอยู่ใกล้ร่างของลูกสาวพ่อเฒ่าอากริมซึ่งนั่งพับเพียบ หลังพิงกับโขดหินหลับตานิ่งลักษณะคล้ายหลับ มัทรีชั่งใจนิดหนึ่งว่าจะลงนั่งข้างๆ เธอดีหรือไม่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หล่อนเลี่ยงไปนั่งชันเข่าบนก้อนหินใกล้ๆ เป่าลมหายใจอุ่นๆ รดฝ่ามือที่เย็นเฉียบจนชาแข็ง รู้สึกทั้งหนาวทั้งเปล่าเปลี่ยว

ป่านนี้ พวกของคมเดชจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ? พวกเขาจะเป็นห่วงหล่อนแค่ไหน? จะส่งข่าวให้มารดาของหล่อนแล้วหรือยัง? แล้วมารดาของหล่อนเล่า ท่านจะรู้สึกอย่างไร? ท่านอาจจะตกใจจนหมดสติไปแล้วก็ได้ ที่ได้รู้ว่าลูกสาวคนเดียวของท่านมาติดค้างอยู่ในดินแดนลึกลับที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอันตราย

น้ำตาของหล่อนรื้นเมื่อคิดถึงมารดา แต่แล้วหญิงสาวก็สลัดความอ่อนแอทิ้งไป...อย่าเพิ่งร้องไห้มัทรี! นี่ยังไม่ใช่เวลาของน้ำตา เธอต้องเข้มแข็งเข้าไว้ เธอต้องมีชีวิตรอดเพื่อกลับไปพบแม่ให้ได้!!



คุณรัตนาวางโทรศัพท์ลงคืนแป้นด้วยมืออันสั่นเทา ร่างบอบบางของหญิงวัยกลางคนซวนเซล้มลง แต่โชคดีที่เด็กสาวรับใช้โผเข้ามาประคองไว้ทัน

“นั่งก่อนค่ะคุณ” หล่อนว่าแล้วพาคุณรัตนากลับไปเอนหลังที่เก้าอี้ยาว วิ่งหายไป ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมยาดม

“โธ่ ยัยมัท ลูกแม่” มารดาของมัทรีครางแผ่วเบา ดวงตาปิดสนิทแต่มีหยดน้ำไหลริน ขณะที่เด็กสาวคนเดิมรอยาดมที่จมูก

“เป็นอะไรคะคุณ? คุณมัทเป็นอะไรคะ?”

คุณรัตนาไม่ตอบคำถามของเด็กสาว หล่อนได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนใจจะขาดเมื่อได้ทราบจากเจ้านายของลูกสาวซึ่งเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศด้วยกันว่ามัทรีหายไปในระหว่างการถูกลอบโจมตี

เวรกรรมอันใดหนอ...ลูกสาวของหล่อนถึงต้องมาประสบชะตากรรมร้ายแรงเช่นนี้ เห็นทางนั้นว่าเป็นฝีมือของพวกกบฏ กบฏอะไรกัน? มัทรีเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย? หล่อนไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลยสักนิด ทำไมเรื่องร้ายเช่นนี้ถึงต้องมาเกิดกับลูกสาวของหล่อนด้วย

ป่านนี้มัทลูกแม่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร? จะปลอดภัยไหม? จะไปอยู่กับใคร? แม้ว่าจะสอบถามรายละเอียดต่างๆ เท่าที่จะสามารถทำได้กับคมเดชและท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอะไรที่ว่านั่นแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้ความร้อนรุ่มในหัวอกของคนเป็นแม่ลดน้อยลงเลย

สุดท้าย...คุณรัตนาก็ได้แต่หวังพึ่งคุณพระศรีรัตนตรัย ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองมัทรีให้ปลอดภัย อย่าได้เกิดเหตุร้ายแรงอันใดขึ้นเลย...



มัทรีสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่ออาลีชาเข้ามาเขย่าตัวเรียก ฟ้ายังมืดแต่น้ำค้างแรงจัด บริเวณโขดหินที่หล่อนอาศัยอิงศีรษะเพื่องีบหลับนั้นเปียกไปทั่ว ผ้าคลุมศีรษะก็พลอยชื้นน้ำค้างจนเย็นเฉียบ มัทรีก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ พบว่ายังเป็นเวลาเช้ามืด อาลีชาส่งขนมปังให้พลางบอกให้หล่อนรองท้องเสีย อีกครู่หนึ่งจะพาหล่อนและวินธัยไปยังบ้านของใครสักคน

มัทรีจัดการกับขนมปังก้อนนั้นอย่างรวดเร็ว รับเอาน้ำชาเย็นชืดมาดื่มกลั้วคอแก้กระหาย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วมองหาวินธัย จึงเห็นร่างสูงนั้นนั่งเหยียดยาวอยู่ที่ตำแหน่งเดิมกับเมื่อคืนนี้ ศีรษะพิงซบอยู่กับก้อนหินและดวงตาทั้งคู่ก็ปิดสนิท ดูเหมือนกำลังหลับ

“เขายังหลับหรือ?” หล่อนหันมาถามอาลีชา

“ไม่ทราบค่ะ ท่านพันตรีเพิ่งบอกให้ดิฉันมาปลุกคุณเมื่อครู่นี้เอง” อาลีชาตอบอย่างสำรวม

“แล้วเราจะไปไหนกันนะ บ้านของใครหรือ?”

“บ้านนายบาลาดิห์ยาค่ะ พ่อค้าผ้าที่ใหญ่ที่สุดของชาคา นายบาลาดิห์ยาชอบพอกับท่านพ่อดี กองเกวียนของเขาจะไปยังเมืองบันดุคทุกเดือน ท่านพ่อว่าจะฝากพวกท่านไปกับกองเกวียนด้วย”

“พ่อค้าผ้า? แล้วเขาไว้ใจได้ไหม?”

ลูกสาวพ่อเฒ่าพยักหน้า “ท่านพ่อกับนายบาลาดิห์ยาคบหากันมานาน มิสไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” มัทรีถอนใจหนัก “ตอนนี้ทางรัฐบาลออกประกาศจับพันตรีวินธัยอยู่ไม่ใช่หรือ? ถ้าเขาช่วยเรา ตัวเขาเองก็อาจจะเดือดร้อน”

“นายบาลาดิห์ยาทราบเรื่องนี้ดีค่ะ แต่สำหรับท่านพันตรีแล้ว ไม่ว่าใครก็อยากจะช่วย เพราะที่ผ่านมาท่านพันตรีและพวกทหารช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด เรื่องแค่นี้ ถือว่าเล็กน้อย”

มัทรีจึงพยักหน้ารับรู้ คงเป็นอย่างที่ธวัชบอก หลังสิ้นสุดสงครามระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ อดีตกองกำลังอัคคาเหนือบางส่วนได้ผันแปรตัวเองไปเป็นกองกำลังเพื่อการพัฒนาตามเจตนารมณ์ของจอมพลยามิน ในสภาพภูมิประเทศที่แร้นแค้นทุรกันดารเช่นนี้ คงมีแต่พวกทหารที่เข้มแข็งทรหดเท่านั้นจึงจะสามารถรอนแรมไปตามหมู่บ้านห่างไกลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค และนำความช่วยเหลือไปให้แก่ชาวบ้านได้อย่างแท้จริง



ท้องฟ้าด้านตะวันออกเริ่มสว่างขึ้นแล้วเมื่อวินธัยขยับตัวลุกขึ้น เขาเหยียดกาย 2-3 ทีก็ตวัดผ้าคลุมศีรษะสีอิฐให้กระชับ รับเอาเสื้อคลุมตัวยาวที่สละให้มัทรีคลุมเมื่อคืนวานจากมือของอาลีชา แล้วตลบคลุมร่างสูงใหญ่ของตัวเอง ซุกซ่อนชุดทหารสีดำไว้ด้านในเพื่อไม่ให้คนที่พบเห็นทราบได้ว่าเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา นายพันตรีหนุ่มจัดการขนมปังอย่างรวดเร็ว แล้วจึงหันมาพยักหน้ากับหญิงสาวอีกสองคนที่มองอยู่โดยไม่เอ่ยคำใดให้เสียเวลา มัทรีและอาลีชาเดินตามเขาไปโดยไม่ได้สอบถามอะไรเช่นกัน



ทั้งสามคนมาถึงจุดหมายเมื่อฟ้าสางพอดี บ้านหลังนั้นเป็นบ้านสองชั้นก่อด้วยอิฐ ลักษณะคล้ายคลึงกับบ้านหลังอื่นๆ ในเมืองที่มัทรีได้เห็นมา แต่มีขนาดใหญ่และก่อสร้างอย่างประณีต ดูแข็งแรงกว่ามาก หน้าต่างบานสูงแต่แคบ กรุด้วยกระจกสีลวดลายเรขาคณิต เมื่อสะท้อนกับแสงตะวันยามเช้าก็ก่อให้เกิดแสงสีงดงามแปลกตา

หน้าบ้านหลังนั้นเป็นลานดินกว้างขวาง มีเกวียนจอดอยู่ 4-5 เล่ม เกวียนแต่ละเล่มเทียมด้วยจามรีเขาโง้ง ขนยาวสีดำสนิท รูปร่างล่ำสันแข็งแรง อาลีชาเดินนำวินธัยและมัทรีผ่านเข้าไปในกลุ่มชายฉกรรจ์เกือบ 10 คนที่กำลังลำเลียงสัมภาระต่างๆ มาขึ้นเกวียน พวกเขาต่างหันมามองคนที่เพิ่งมาใหม่ด้วยความแปลกใจ

วินธัยก้มลงกระซิบกับมัทรี ก่อนเอื้อมมือมาดึงผ้าคลุมศีรษะให้ปรกลงมาปิดหน้าผากหล่อนมากขึ้น “กระชับผ้าคลุมของคุณให้แน่นไว้ ระวังอย่าให้ใครเห็นหน้าคุณถนัดนัก”

มัทรีเบี่ยงตัวหลบนิดหนึ่ง พลางดึงชายผ้าด้านหน้าให้ต่ำลงมาอีก ซ่อนใบหน้าของหล่อนไว้ใต้ผ้าคลุมที่ปรกต่ำ และบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ด้วยชายผ้าด้านล่าง มองไกลๆ ก็จะเห็นแต่ลูกตาเท่านั้น

ที่หน้าประตูบ้าน พ่อเฒ่าอากริมกำลังสนทนาอยู่กับชายผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดพื้นเมืองที่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่ามีราคาแพง ผิดไปจากคนงานอื่นๆ ที่เดินขวักไขว่ในบริเวณนั้น

“อ้อ มากันแล้วหรือ?” พ่อเฒ่าเอ่ยปากทักทายเมื่อทั้งสามคนเดินเข้าไปถึง

ชายคนที่ยืนอยู่เคียงข้างพ่อเฒ่าอากริมพลอยหันใบหน้ามาทางพวกเขาสามคนด้วย มัทรีเห็นว่าเขาเป็นชายชาวอัคคาเหนือรูปร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงกับวินธัย แต่ดูสูงวัยกว่าเล็กน้อย เขาหรี่ตามองมาที่หล่อนอย่างจับสังเกต

“นี่นายบาลาดิห์ยา” พ่อเฒ่าอากริมเอ่ย ขณะที่วินธัยก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม

“ซาบซึ้งมากที่ท่านเต็มใจช่วยเหลือคนยากอย่างข้า”

“พูดอะไรอย่างนั้นท่านพันตรี ท่านและทหารของท่านช่วยเหลือชาวบ้านมาโดยตลอด จะให้ข้านิ่งเฉยอย่างไรได้ ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าท่านกำลังเดือดร้อนเพราะไอ้เฒ่าคาลัน”

มัทรียืนมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยสีหน้างุนงงและไม่มั่นใจในความปลอดภัยเอาเสียเลย จนกระทั่งบาลาดิห์ยาหันมาหาหล่อนเมื่อเขาจบประโยคสนทนากับวินธัย

“เสียใจเหลือเกินมิสมัทรี ที่สถานการณ์วุ่นวายในบ้านเมืองของเราทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย” พ่อค้าผ้าแห่งชาคากล่าวกับหล่อนเป็นภาษาอังกฤษ

หญิงสาวชาวไทยได้แต่ยิ้มตอบ เพราะไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาดี

“แผนของท่านคืออะไร?” วินธัยถาม เมื่อบาลาดิห์ยาหันกลับมา

“ข้าจะแนะนำกับคนอื่นว่าท่านคือ ‘ไอมาน’ ญาติผู้น้องของข้า ซึ่งกำลังจะพาภรรยากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่บันดุค...แม้คนของข้าส่วนใหญ่จะไว้ใจได้ แต่ข้าก็ไม่อยากประมาท รัฐบาลตั้งค่าหัวท่านไว้สูงมากทีเดียว ก่อนออกนอกเมือง เราคงถูกตรวจค้นกองเกวียนเป็นแน่”

“เราจะออกเดินทางได้เมื่อไหร่” นายพันตรีแห่งอัคคาเหนือถาม เขาเริ่มกระวนกระวายเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทุกที

“เดี๋ยวนี้แหล่ะ เชิญท่านทั้งสองทางนี้”

บาลาดิห์ยาผายมือแล้วเดินนำไปทางเกวียนสี่เล่มที่จอดอยู่ใกล้ๆ สามเล่มแรกนั้นบรรทุกสินค้าและสัมภาระจนเพียบแปล้ แต่เกวียนเล่มสุดท้ายมีหลังคาครอบ หน้าต่างซ้ายขวาและส่วนท้ายลำเกวียนมีม่านปิดไว้ นายพ่อค้าเอื้อมมือแหวกม่านออก เผยให้เห็นผู้หญิงและเด็กหญิงอีก 2 คนนั่งอยู่ภายใน

“ภรรยาและลูกๆ ของข้าเอง” เขาหันมาพูดกับหล่อน “มิสอยู่กับพวกหล่อนเถอะ”

มัทรีลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อสบตากับวินธัย เขาก็พยักหน้าให้ หล่อนจึงขยับตัวเพื่อจะปีนเข้าไปภายในเกวียน โดยมีหญิงทั้งสามคนจับจ้องหล่อนไม่วางตา

“เดี๋ยวก่อนมิส” พ่อเฒ่าอากริมท้วงไว้ ก่อนจะหันไปทางวินธัยและบาลาดิห์ยา พูดภาษาพื้นเมืองออกมา 2-3 คำ

วินธัยมองมาทางหล่อนนิดหนึ่ง แล้วจึงพูดอะไรสั้นๆ กับนายพ่อค้า ซึ่งฝ่ายหลังก็หันไปส่งภาษากับภรรยา หล่อนพยักหน้าแล้วค้นหีบหวายที่วางอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะหยิบผ้าสีน้ำตาลแก่ผืนหนึ่งออกมาส่งให้มัทรี

“เปลี่ยนผ้าคลุมหน้าเสียเถอะมิส ผ้าสีขาวเป็นของสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน ท่านจะดูสะดุดตาเกินไป”

มัทรีไม่ได้ถามอะไรให้มากความ หล่อนรับเอาผ้าผืนนั้นมาเปลี่ยน แล้วส่งผ้าคลุมศีรษะผืนเดิมคืนให้อาลีชา ก็พอดีกับชายร่างผอมคนหนึ่งเดินเข้ามาในกลุ่ม เขามีใบหน้ายาว แก้มตอบ ตาเรียวลึกคู่นั้นดูหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจ แต่เมื่อเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าบาลาดิห์ยา เขาก็มีท่าทีพินอบพิเทาอย่างเห็นได้ชัด

“กองเกวียนของเราพร้อมออกเดินทางแล้ว นายท่าน” ชายที่มาใหม่ก้มศีรษะให้บาลาดิห์ยา แต่ตากวาดมายังวินธัยและมัทรี ท่าทางสงสัยใคร่รู้

“อ้อ เรียบร้อยแล้วหรือ? ตูฟา” บาลาดิห์ยาเอ่ยปาก แล้วเขาก็หันมาทางวินธัยกับมัทรี “นี่...ไอมาน ญาติผู้น้องของข้ากับภรรยาที่จะอาศัยไปกับกองเกวียนของเราไงล่ะ”

ตูฟาหันมาก้มศีรษะให้วินธัย ตาสีน้ำตาลไหม้คู่นั้นกลอกไปมาคล้ายกำลังครุ่นคิด แต่แล้วก็เดินเลี่ยงออกไปทางหัวขบวน ซึ่งมีคนงานจำนวนหนึ่งยืนม้าอยู่ห่างๆ กัน

“ตูฟาเป็นหัวหน้าคนงานของข้าเอง” บาลาดิห์ยาเอ่ย เมื่อเห็นวินธัยจับตามองร่างผอมนั้นไม่วางตา “แม้จะช่างสอดรู้ไปสักหน่อย แต่ก็ไว้ใจได้”

ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ในวงสนทนานั้น มัทรีฟังถ้อยคำระหว่างวินธัย บาลาดิห์ยา และพ่อเฒ่าอากริมไม่เข้าใจเลยแม้แต่คำเดียว ส่วนอาลีชาก็ได้แต่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ บิดาด้วยท่าทีสำรวม หญิงสาวชาวไทยได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างจนปัญญาจะเข้าใจ จะขอให้ใครสักคนอธิบายถ้อยความให้หล่อนฟังบ้างก็ไม่มีหวัง เพราะแต่ละคนทำเหมือนกับหล่อนไม่ได้อยู่ตรงนั้น จนกระทั่ง พ่อค้าผ้าชาวชาคาหันมาหาหล่อน แล้วกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ

“ขึ้นเกวียนเถิด มิสมัทรี เรากำลังจะออกเดินทางแล้ว”

นั่นแหล่ะ หล่อนจึงรู้สึกว่าพอจะมีตัวตนในสายตาพวกเขาอยู่บ้าง นักข่าวสาวสบตาวินธัยนิดหนึ่ง เมื่อเขาไม่ได้เอ่ยคำใดนอกจากมองหน้าหล่อนนิ่งๆ หญิงสาวจึงหันไปกล่าวลาและขอบคุณกับพ่อเฒ่าอากริมและอาลีชา ทั้งสองคนยิ้มอ่อนโยนและอวยพรให้หล่อนโชคดี

มัทรีปีนขึ้นไปนั่งเคียงข้างภรรยาของบาลาดิห์ยาแล้ว เมื่อหล่อนหันมาเห็นวินธัยกุมมือพ่อเฒ่าอากริม แล้วก้มศีรษะ จรดหน้าผากกับหลังมือของฝ่ายนั้นเพื่อทำความเคารพ และโดยไม่หันมามองหล่อนอีกเลย ร่างสูงใหญ่นั้นก็ก้าวเลยผ่านไปทางหัวขบวน


อึดใจต่อมา มัทรีก็รู้สึกว่าเกวียนเริ่มขยับ ได้ยินเสียงคนบังคับเกวียนส่งเสียงเร่งเร้าเจ้าวัวภูเขาคู่นั้นให้ออกเดิน ในเกวียนที่หล่อนนั่งมีแสงลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อยจากหน้าต่างที่มีผ้าโปร่งคลุมไว้ มัทรีเอื้อมมือไปแหวกม่านออกนิดหนึ่งเพื่อจะดูทิวทัศน์ภายนอก แต่พอเปิดออกไปแล้วก็พบเข้ากับสายตาดุๆ ของวินธัยซึ่งควบม้าขนาบอยู่ข้างเกวียนเล่มนั้น จากดวงตาสีเข้มที่จ้องเขม็งมาก็ทำให้มัทรีรู้ว่า หล่อนควรจะนั่งสงบเสงี่ยมเสียแต่โดยดี

‘ทำตามที่ผมบอก อย่าทำอะไรโดยพลการ’ มัทรีล้อเลียนคำพูดของนายพันตรีหนุ่มอยู่ในใจ แต่เท่าที่เป็นอยู่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรกับหล่อนกลายเป็นนักโทษในการควบคุมของเขาน่ะสิ!

หญิงสาวละสายตาจากนอกกรอบหน้าต่างหันกลับเข้ามาภายในเกวียน ก็พบเข้ากับดวงตาสองคู่ของเด็กหญิงที่ยังจ้องหล่อนตาแป๋วด้วยความสงสัยใคร่รู้
นักข่าวสาวยิ้มให้ และเลยส่งยิ้มเรื่อยๆ ไปให้มารดาของเด็กด้วย หล่อนต้องนั่งกับสามแม่ลูกอยู่ในเกวียนนี้ด้วยกันไปอีกนานแค่ไหนนะ คืนหนึ่งหรือสองคืนก็ไม่อาจรู้ได้ การต้องนั่งจ้องตากันไปมาช่างน่าอึดอัด เพราะต่างฝ่ายต่างฟังภาษาของกันและกันไม่เข้าใจ

ขณะที่มัทรีได้แต่กลอกตาไปมาเพราะเริ่มอึดอัดกับดวงตาใสแจ๋วของเด็กทั้งคู่ ภรรยาของนายพ่อค้าผ้าก็หันไปค้นตะกร้าข้างตัวกุกกักอยู่ครู่หนึ่ง นางดึงห่อผ้าสีขาวขุ่นออกมาส่งให้ลูกสาวคนโตที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วพยักเพยิดมาทางหญิงสาวชาวไทย เด็กหญิงวัยใกล้รุ่นสาวแกะห่อผ้าออกแล้วยื่นส่งมาหามัทรี

ในห่อผ้านั้นมีขนมชิ้นเล็กๆ อยู่หลายอัน มองดูคล้ายผลไม้เชื่อมตากแห้ง

“ให้ฉันเหรอ?” หล่อนถามเป็นภาษาอังกฤษ

เด็กหญิงชี้นิ้วไปที่ขนมสลับกับหน้าหล่อน พร้อมกับส่งภาษาของตัวออกมาเร็วปรื๋อราวกับคาดหวังว่าหล่อนจะเข้าใจ แล้วจึงหยิบขนมชิ้นหนึ่งส่งให้น้องสาวที่ชะเง้อชะแง้รออยู่ตั้งแต่เห็นคนเป็นแม่ล้วงห่อผ้าออกมาโน่นแล้ว ส่วนอีกชิ้นหนึ่งยื่นส่งมาให้มัทรี

หญิงสาวชาวไทยรับขนมไปจากมือเล็กๆ พลางพึมพำขอบคุณ ขณะที่กำลังลังเล เด็กหญิงตัวเล็กก็พูดกับหล่อนด้วยภาษาพื้นเมือง พร้อมกับส่งขนมเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ คล้ายแสดงเป็นตัวอย่าง มัทรีหัวเราะนิดหนึ่งแล้วทำตาม

เอาน่า...รับน้ำใจของเด็กน้อยดูหน่อยจะเป็นไร

ขนมชิ้นนั้นรสชาติใช้ได้ แม้จะหวานจนแสบคอไปหน่อย แต่ก็อร่อยเพราะน้ำใจของคนแปลกหน้าที่หยิบยื่นให้แก่คนพลัดบ้านอย่างหล่อน

ลูกสาวคนโตของนายบาลาดิห์ยาจ้องหน้าหล่อนแล้วถามอะไรออกมาสั้นๆ

“อร่อยซี อร่อยมากเลย ทำจากอะไรน่ะ?” มัทรีพูดแล้วถามกลับ คราวนี้เป็นภาษาไทย

คงเพราะเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย เด็กสาวจึงยิ้มร่า วางห่อผ้าในมือลงมาให้หล่อนทั้งห่อ แล้วพูดแจ้วๆ โดยไม่สนใจว่าคนฟังจะเข้าใจหรือไม่

เอาน่ะ...ไม่ว่าภาษาอะไรก็ไม่เข้าใจกันอยู่แล้ว เล่นภาษาของใครของมันลุ่นๆ ไปเลยแล้วกัน มัทรีตัดสินใจ

หากจะมีคนอื่นมาร่วมฟังวงสนทนาเล็กๆ ในเกวียนเล่มนั้นอยู่ด้วย ก็คงจะอดรู้สึกพิกลไม่ได้ เพราะหญิงชาวชาคาทั้งสามคนพูดภาษาของตัวอยู่แจ้วๆ ในขณะที่มัทรีก็พูดภาษาไทยจ้อ ดูท่าแล้วไม่น่าจะสื่อสารกันเข้าใจ แต่อาศัยเพียงแค่การพยักหน้าและรอยยิ้ม ทั้งสี่คนก็พากันหัวเราะประสมโรงกันไปได้อย่างครื้นเครง

มิตรภาพ...คงไม่ต้องใช้ภาษาอื่นใดมาสื่อสารให้มากความ



ขณะที่มัทรีกำลังนั่งมองลูกสาวทั้งสองของบาลาดิห์ยาเล่นกันตามวิธีของเด็กชาวอัคคาเหนือ กองเกวียนทั้งหมดก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง

คล้ายจะรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ภรรยาของพ่อค้าผ้าชาวชาคารีบพูดกับหล่อนเร็วปรื๋อด้วยอาการร้อนรน พลางชี้มือชี้ไม้เป็นความหมายให้ขยับเข้าไปด้านในเกวียนให้ลึกกว่าเดิม

เสียงเคาะหลังคาเกวียนดังเบาๆ 2-3 ครั้ง เมื่อมัทรีแหวกม่านออก วินธัยก็ก้มลงมากระซิบ

“ข้างหน้ามีด่านก่อนออกนอกเมือง พวกทหารอัคคาใต้เต็มไปหมด คุณเฉยไว้ ระวังอย่าให้ใครเห็นหน้า!”

มัทรีใจเต้นโครมคราม หล่อนดึงผ้าคลุมศีรษะลงมาปิดจนแทบจะถึงคาง นั่งเบียดตัวให้ลึกเข้าไปอีก ส่วนสามแม่ลูกก็พยายามนั่งบังหล่อนเอาไว้ แล้วต่างฝ่ายก็ได้แต่จ้องตากันไปมาด้วยใจระทึก!


ด้านหัวขบวน เมื่อทหารในชุดสีกากีกลุ่มหนึ่งเรียกให้กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าหยุด บาลาดิห์ยาซึ่งขี่ม้านำขบวนก็ยกมือขึ้นนิดหนึ่งเป็นสัญญาณให้เกวียนทุกเล่มหยุดลงพร้อมกัน จากนั้นนายพ่อค้าแห่งเมืองชาคาก็กระโดดลงจากหลังม้า เดินเข้าไปหานายทหารที่ลักษณะท่าทางจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนั้น

“มีอะไรหรือ? ท่านนายกอง” เขาถามด้วยกิริยานอบน้อม

“เจ้ารู้ข่าวที่ทหารอัคคาใต้เข้ามารักษาการณ์ความไม่สงบในอัคคาเหนือแล้วใช่ไหม?” ทหารร่างท้วมนายนั้นถาม

“รู้ซีท่าน เมื่อคืนทหารอัคคาใต้เข้าไปค้นหาคนร้ายเสียทั่วเมือง”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คงรู้ดีว่าหากใครช่วยเหลือคนร้าย จะมีโทษสถานหนัก”

“แน่นอน ใครเล่าจะกล้า ไม่มีใครอยากหาเรื่องเดือดร้อนหรอก”

“ดี” นายทหารคนหัวหน้าหัวเราะต่ำๆ “แต่อย่างไรก็ตาม เราก็เห็นจะต้องตรวจค้นกองเกวียนของเจ้าตามระเบียบ หวังว่าคงจะให้ความร่วมมือ”

“ข้าเป็นเพียงพ่อค้าวานิชธรรมดา เหตุใดจะขัดทางการเสียเล่า เชิญค้นตามสะดวก”

ทหารอัคคาใต้เกือบสิบคนกระจายกำลังออกค้นเกวียนแต่ละเล่ม โดยเริ่มที่เกวียนแรกสุดซึ่งบรรทุกไว้แต่ผ้าทอหลายสิบกุรุต พวกเขาเพียงแต่หยิบจับดูโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะก็เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่อาจมีใครซุกซ่อนอยู่ในเกวียนบรรทุกผ้าและสัมภาระทั้งสามได้ จนกระทั่งมาถึงเกวียนเล่มสุดท้าย

“ใครอยู่ข้างในนั่น?” นายทหารคนเดิมถาม

“ครอบครัวของข้าเอง มีแต่พวกผู้หญิงทั้งนั้น”

หัวหน้าทหารคนดังกล่าวหรี่ตาลงด้วยอาการครุ่นคิด เหลือบเห็นร่างสูงสง่าผิดไปจากคนงานทั่วไปของวินธัยซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ใกล้เกวียนเล่มนั้น ผ้าคลุมศีรษะคลุมลงมาปิดบังใบหน้าเอาไว้เกือบครึ่ง

“นั่นใคร? คนงานของท่านหรือ?”

“อ้อ เปล่าหรอก นั่นญาติผู้น้องของข้าเอง...ไอมาน” ท้ายประโยคเขาพยักหน้าเรียกนายพันตรีหนุ่มในคราบของชาวบ้านสามัญ

วินธัยก้าวเข้าร่วมวงสนทนา แต่ทิ้งระยะห่างพอสมควรเพื่อไม่ให้ทหารกลุ่มนั้นเห็นเขาได้ถนัดนัก แม้จะแน่ใจว่าทหารชั้นผู้น้อยของอัคคาใต้ไม่น่าจะเคยเห็นหรือรู้จักเขามาก่อน แต่เขาก็ไม่อยากประมาท

นายทหารผู้เป็นหัวหน้าจับจ้องร่างของ ‘ไอมาน’ ด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ

“รูปร่างของเจ้าไม่น่าเป็นพ่อค้าเลยนะ หากเป็นทหารเช่นข้า คงจะดีไม่ใช่น้อย”

“โธ่เอ๋ย ท่านนายกอง ญาติผู้น้องของข้าคนนี้ดีแต่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นเอง แต่จิตใจมันเล็กนิดเดียว หากเป็นทหารอย่างท่าน เกรงว่าไม่ช้าไม่นานกองทัพคงต้องเสื่อมเสียเพราะความขี้ขลาดของมัน”

บาลาดิห์ยาแกล้งพูดเพื่อให้ทหารนายนั้นเลิกสนใจในตัวชายหนุ่มอีกต่อไป ซึ่งก็สำเร็จเพราะนายทหารอัคคาใต้เพียงแต่เหยียดยิ้มอย่างดูแคลนนิดหนึ่ง ก่อนละสายตาจากวินธัย หันกลับไปสนใจเกวียนเล่มสุดท้ายตามเดิม

“เปิดข้างในให้ข้าดูหน่อย”

“เอ พวกผู้หญิงจะตกใจนา ท่าน” บาลาดิห์ยาลังเล

“เปิดให้ข้าดู เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้า!” นายกองทหารอัคคาใต้พูดเรียบๆ แต่สายตาบอกชัดว่าหากขัดขืน เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ แน่

บาลาดิห์ยาลอบสบตาวินธัยนิดหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือตลบผ้าม่านหนาตรงท้ายเกวียนขึ้น หญิงทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้านในผวาเข้าหากันเมื่อมองเห็นชายแปลกหน้าเกือบสิบคนในชุดทหารสีกากีมายืนมุงอยู่โดยรอบ แต่ละคนต่างมองลอดเข้ามาเพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติ

ยกเว้นก็แต่มัทรีซึ่งนั่งซ่อนหน้าอยู่ด้านในสุดของลำเกวียน หล่อนพยายามบีบตัวให้เล็กที่สุด และปรารถนาอยากจะหายตัวไปจากที่นั่นเสียเดี๋ยวนั้น

“ท่านมีภรรยาสองคนทีเดียวหรือ?” นายทหารอัคคาใต้ถามเมื่อกวาดสายตาเข้าไปพบร่างของมัทรี

“อ้อ ไม่ใช่หรอก นั่นภรรยาของญาติผู้น้องข้าเอง”

นายทหารอัคคาใต้เพ่งดูร่างบอบบางนั้นอย่างพินิจ ผ้าคลุมศีรษะที่มัทรีดึงลงมาปรกหน้าปรกตาก็ช่วยอำพรางใบหน้าไว้ได้ส่วนหนึ่ง ซ้ำหล่อนยังซุกเข้าไปอยู่ในส่วนลึกที่สุดของเกวียน แสงสว่างเล็กน้อยภายในจึงทำให้ไม่อาจมองเห็นร่างนั้นได้ถนัด

แต่เพราะอย่างนั้น จึงยิ่งทำให้หล่อนดูมีพิรุธมากขึ้นไปอีก!

“เงยหน้าให้ข้าดูหน้าของเจ้าหน่อย!”

หัวหน้าทหารกลุ่มนั้นเอ่ยกับมัทรีโดยตรงเป็นภาษาพื้นเมืองอัคคาเหนือ ซึ่งแน่ล่ะมัทรีไม่มีทางเข้าใจ และไม่ว่าจะได้ยินอะไรหรือไม่ก็ตาม หญิงสาวก็ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าหล่อนจะไม่หันไปมองให้พวกมันเห็นดวงหน้าภายใต้ผ้าคลุมนี้เด็ดขาด!

ยิ่งเห็นมัทรีนิ่ง ไม่สนใจต่อคำสั่ง ทหารอัคคาใต้ทั้งกลุ่มก็เริ่มสงสัย แต่ก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร วินธัยก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“นางไม่ได้ยินท่านหรอก ท่านนายกอง นางเป็นใบ้และหูหนวกมาตั้งแต่กำเนิด”

“เป็นใบ้ซ้ำยังหูหนวกอีกหรือ?”

วินธัยพยักหน้า

ทหารอัคคาใต้กลุ่มนั้นหัวเราะออกมาเกือบจะพร้อมกัน

“รูปร่างหน้าตาของเจ้าก็เข้าที ทำไมจึงไม่หาเมียที่ดีกว่านี้หน่อยเล่า” คนหนึ่งในกลุ่มถาม

ชายหนุ่มไหวไหล่เบาๆ แสร้งถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนตอบ “นางพิการก็จริง แต่บิดาของนางก็ร่ำรวยมาก และจะว่าไป นางก็ปรนนิบัติข้าได้ดีพอใช้”

ได้ยินคำตอบของวินธัย ทหารกลุ่มนั้นก็พากันหัวเราะครืน บางคนพากันส่ายหน้าแล้วส่งสายตาสมเพชไปให้ร่างที่นั่งคุดคู้ตัวลีบอยู่ภายในเกวียน ในขณะที่หัวหน้านายกองโบกมือ

“เอาล่ะ ตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว กองเกวียนของเจ้าไม่มีอะไรน่าสงสัย นอกจากหญิงใบ้และหูหนวกผู้น่าสมเพชคนนั้น ยังไงก็ตามข้าจะรายงานเบื้องบนว่ามีกองเกวียนค้าผ้าขนาดใหญ่จากชาคาไปยังเมืองบันดุควันนี้”

“ขอบคุณท่านมาก” บาลาดิห์ยาก้มศีรษะนิดหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเรียกตูฟาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก

ตูฟาขยับเข้ามาหาผู้เป็นนาย เมื่อสบตากัน หัวหน้าคนงานร่างผอมก็ล้วงถุงผ้าเล็กๆ ออกจากเสื้อคลุม ส่งให้นายทหารอัคคาใต้

“ข้อขอมอบสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่ท่านนายกอง เพื่อแสดงความขอบคุณที่ท่านช่วยอำนวยความสะดวกแก่กองเกวียนของข้า”

“ท่านติดสินบนข้าหรือ?” เสียงถามดูจะไม่ชอบใจนัก

“หามิได้ท่านนายกอง” บาลาดิห์ยาพูดเสียงเรียบ “ท่านก็เห็นแล้วว่ากองเกวียนของข้าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่สิ่งที่ข้าได้มอบให้นี้ขอให้ท่านถือว่าเป็นสินน้ำใจที่พวกท่านได้ปฏิบัติต่อพวกข้าเป็นอย่างดี แม้เราจะอยู่ต่างฝ่ายกันก็ตาม”

ได้ยินอย่างนั้น นายทหารอัคคาใต้ก็ยิ้มออกมาได้ เขาเอื้อมมือออกมารับถุงผ้าไปจากมือตูฟา เสียงเหรียญเงินภายในกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง ทำให้ทหารที่เหลือพลอยยิ้มออกมาด้วย พวกเขาคงจะโชคดีได้ส่วนแบ่งจากเงินจำนวนนี้เป็นค่าอาหารและเหล้ายาปลาปิ้งบ้างกระมัง

วินธัยเองก็กระหยิ่มใจไม่แพ้กัน เงินจำนวนนี้คงเพียงพอให้พวกมันสุขสำราญไปได้นานพอที่จะไม่เกิดติดใจสงสัยอะไรขึ้นมาในภายหลัง และเผลอๆ ก็คงจะรายงาน ‘เบื้องบน’ ไปไม่ครบถ้วนกระบวนความอะไรนัก

“ถ้าเรียบร้อยแล้ว พวกข้าก็ขอออกเดินทางต่อไปล่ะนะ ท่านนายกอง” พ่อค้าผ้าแห่งชาคากล่าวลา เมื่อไม่ได้รับการทักท้วงใดๆ กองเกวียนนั้นก็ออกเดินทางต่อไปอีกครั้ง


(จบตอนที่ 9)


-ตอนที่ 10-


เกือบครึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่ผ่านด่านตรวจของทหารอัคคาใต้นอกเมืองชาคานั้นมาแล้ว การเดินทางของกองเกวียนก็เริ่มช้าลงโดยลำดับ หนทางที่ผ่านไปเริ่มไต่สูงขึ้นไปตามไหล่เขา และบางตอนก็วกลงต่ำจนเกือบถึงก้นหุบเหว ทั้งจามรีเทียมเกวียนและม้าแคระพันธุ์พื้นเมืองที่พวกผู้ชายขี่อยู่ต่างก็ทรหดอดทนต่อสภาพภูมิประเทศอย่างน่าชื่นชม ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันมากนัก เพราะต้องคอยบังคับพาหนะให้ดำเนินไปตามหนทางที่ทั้งแคบและขรุขระ เต็มไปด้วยโขดหินขึ้นระเกะระกะ

มัทรีเองแม้จะได้แต่นั่งเฉยๆ อยู่บนเกวียน ไม่ได้ออกเรี่ยวแรงใดๆ แต่ก็อดรู้สึกอ่อนเพลียไม่ได้เพราะต้องนั่งโขยกเขยกมาตลอดทาง

ครั้งหรือสองครั้งที่หล่อนพยายามมองลอดออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสำรวจสภาพภูมิประเทศโดยรอบ แต่เมื่อเห็นร่างสูงบนหลังม้าที่เดินขนาบข้าง ก็ได้แต่ถอนใจ เขาคงไม่ยอมให้หล่อนโผล่หน้าออกไปภายนอก จนกว่าจะถึงจุดหมายกระมัง

แต่ภรรยาของนายบาลาดิห์ยาที่นั่งอยู่ตอนท้ายเกวียนดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของคนต่างถิ่นอย่างหล่อนดี นางแหวกม่านหนาด้านท้ายออก แล้วรวบด้วยเชือกผูกติดกับโครงหลังคาด้านหนึ่ง เผยให้เห็นภูมิประเทศภายนอกอย่างชัดเจน

มัทรีเบิกตากว้างอย่างทึ่งจัด ทางที่กองเกวียนสัญจรผ่านอยู่ในขณะนี้ เป็นไหล่เขาตอนหนึ่ง ทางนั้นกว้างไม่กี่เมตร เกวียนแต่ละเล่มต้องเรียงแถวกันไปโดยมีชายฉกรรจ์บนหลังม้าเรียงเดี่ยวขนาบข้าง พร้อมกับคนงานบางคนที่ต้องเดินเท้า ฝั่งซ้ายมือของทางเดินเป็นไหล่เขาลาดชัน มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเพียงเบาบาง ส่วนฝั่งขวาเป็นโตรกเหวลึก มีโขดหินน้อยใหญ่และพุ่มไม้หนามแหลมขึ้นสลับกันไปจนถึงเบื้องล่าง ไม่รู้ว่าลึกสักเพียงไหน ทางเดินที่เกวียนเล่มสุดท้ายเพิ่งย่ำผ่านมาคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นสีน้ำตาลที่ฟุ้งกระจัดกระจายเพราะฝีเท้าม้าและคน

หนทางนั้นดูอันตรายและน่ากลัว หากม้าตัวใดพลาดพลั้งไป ทั้งคนทั้งม้าคงจะพลัดหลุดจากทางเดินลงไปอยู่ก้นเหวได้ง่ายๆ แต่กระนั้น เมื่อมัทรีทอดสายตาออกไปไกลๆ ก็มองเห็นเทือกเขาสีน้ำเงินเข้มซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่ท่ามกลางทะเลหมอกหม่นมัว ทิวเขาบางช่วงบางตอนปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน กระจ่างตาอยู่ในฉากหลังอันเป็นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มไร้เมฆหมอกบดบัง

สวยเหลือเกิน...มัทรีคิดพลางถอนใจ หากหล่อนจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมที่ไม่รู้อนาคตเช่นนี้ นักข่าวสาวคิดว่าตัวเองคงรื่นรมย์พอที่จะเก็บบรรยากาศตรงหน้าไปเขียนเป็นบทความดีๆ ได้หลายชิ้นทีเดียว



สามชั่วโมงต่อมา กองเกวียนของพ่อค้าผ้าแห่งชาคาก็หยุดพักลงตรงที่ราบเล็กๆ บนไหล่เขาตอนหนึ่ง พวกผู้ชายพากันหยุดพักม้าและปลดเกวียนออกจากหลังจามรีชั่วคราว แล้วหาน้ำและหญ้ามาป้อนให้มันกิน พวกผู้หญิงรวมทั้งมัทรีลงจากเกวียนมานั่งหลบแดดอยู่ในร่มเงาของโขดหินขนาดใหญ่ แยกต่างหากจากพวกผู้ชาย ภรรยาของนายบาลาดิห์ยาแจกจ่ายเสบียงคือขนมปังและเนื้อสัตว์รมควันตากแห้งให้แก่ลูกสาวรวมทั้งมัทรีด้วย

หญิงสาวชาวไทยกัดกินเนื้อสัตว์ที่ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อของอะไรแน่อย่างหิวโหย แม้กลิ่นของมันจะเหม็นสาบและขนมปังแข็งๆ พวกนั้นจะไม่ได้รสชาติอะไรนัก แต่ก็พอประทังความหิวไปได้ เรื่องจะฝันถึงอาหารชั้นเลิศนั้นดูจะมากเกินไปในสภาวะเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม หล่อนได้ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า การมีชีวิตรอดเป็นความจำเป็นอันดับแรกที่จะต้องคำนึงถึง มากกว่าการหาอาหารเลิศรสหรือการนอนบนฟูกอันสะอาดและอุ่นสบาย

โชคดีที่ประสบการณ์ในการทำงานหนักเพื่อหาข่าวยังต่างแดนของหล่อน เคี่ยวกรำให้ผู้หญิงร่างบอบบางอย่างมัทรีแข็งแกร่งเกินตัว


วินธัยกำลังนั่งล้อมวงทานอาหารร่วมกับคนงานของบาลาดิห์ยา 2-3 คน ห่างออกไปอีกทางหนึ่ง เขาทำตัวกลมกลืนกับคนเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี และดูจะไม่มีใครสงสัยฐานะของเขานัก เว้นก็แต่ ‘ตูฟา’หัวหน้าคนงาน

“ท่านไม่ใช่ชาวชาคาใช่ไหม? ท่านไอมาน ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน” ตูฟาถาม ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นมองจ้องมาอย่างจับสังเกต

“ญาติผู้พี่ของข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรอกหรือ?” วินธัยถามกลับ มือยังฉีกเนื้อตากแห้งส่งเข้าปาก ไม่ใส่ใจต่อคำถามนั้นนัก

“เปล่า นายท่านไม่ได้บอกสิ่งใดแก่ข้ามากไปกว่าที่ว่าท่านเป็นญาติผู้น้องฝ่ายมารดาที่จะขออาศัยไปยังเมืองบันดุคเท่านั้น เพียงแต่ท่านคงจะไม่ว่าอะไรหากข้าจะอยากทำความรู้จักกับท่านบ้าง”

“อ้อ...ไม่ว่าอะไรหรอก ข้ามาจากมันตรา” นายพันตรีหนุ่มตอบเรียบๆ

“เอ๊ะ ข้าไม่ยักรู้ว่านายท่านมีญาติอยู่ที่มันตรา” ตูฟาท้วง

“การที่เขาไม่บอกเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มี”

หัวหน้ากองเกวียนของบาลาดิห์ยาเงียบไปอึดใจ แล้วก็เอ่ยถามออกมาอีก

“ท่านมาจากมันตรา แล้วรู้ข่าวเกี่ยวกับการลอบสังหารท่านผู้นำบ้างไหม? แล้วข่าวการจับกุมตัวพลเอกชาครีล่ะ รู้บ้างหรือเปล่า?”

“เรื่องนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองไม่ใช่หรือ ข้าเองก็รู้เท่าๆ กับที่เจ้ารู้นั่นแหล่ะ เพราะว่าข้าได้มาถึงชาคาตั้งแต่เช้าวานนี้แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น เรื่องการลอบสังหารคณะนักข่าวจากต่างแดนนั่นล่ะ เสียงระเบิด เสียงปืนยิงกันให้สนั่นเมือง ท่านได้ยินหรือไม่?”

“แน่นอน ได้ยินสิ” วินธัยพยักหน้า “แต่ก็อย่างที่พี่ข้าบอก ข้าขี้ขลาดเกินกว่าจะเยี่ยมหน้าออกไปดูเหตุการณ์ เจ้าเองก็เถอะ ได้ออกไปดูด้วยหรือ?”

“เปล่า ข้าเองก็ไม่กล้าถึงเพียงนั้น แต่นี่แน่ะ ท่านคงรู้ซีว่าทางรัฐบาลอัคคาใต้ประกาศจับนายทหารยศพันตรีของเราคนหนึ่ง เขาว่าเป็นคนจับตัวผู้หญิงจากต่างแดนคนนั้นไป”

“อย่างนั้นหรือ?” เขาแกล้งเบิกตาโต

“อย่างนั้นสิ ทหารอัคคาใต้ถึงได้ตรวจตราคนเข้าออกเมืองให้วุ่นไป เพราะป่านนี้ก็ยังหาตัวไม่พบ”

“เขาว่ารัฐบาลตั้งค่าหัวทหารนายนั้นไว้สูงลิบเลยไม่ใช่หรือ? ตูฟา” คนงานคนหนึ่งที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วยเอ่ยถาม

“ใช่ สูงมากทีเดียว ชนิดที่ต่อให้เจ้าทำงานไม่ได้หยุดเลยเป็นปี ก็ไม่มีทางได้เท่านี้” ตูฟาตอบ ดวงตาคู่นั้นฉายแสงลึกอย่างครุ่นคิด

วินธัยหัวเราะเสียงต่ำ เขาวางมือจากอาหารที่จัดการเรียบร้อยแล้ว เช็ดมือเข้ากับชายผ้าคลุมลวกๆ แล้วลุกขึ้นยืน

“เงินมากแค่ไหน ก็คงจะไม่คุ้มค่าเพียงพอกับการขายพวกเดียวกันหรอกกระมัง” กล่าวทิ้งท้ายแล้ว ร่างสูงของเขาก็ก้าวอาดๆ ไปทางกลุ่มของพวกผู้หญิง

เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็หยุดมองดูมัทรีที่กำลังนั่งฟังเด็กหญิงชาวชาคาทั้งสองคนพูดกับหล่อนจ้อ พอเห็นหล่อนหัวเราะร่าให้กับเด็กทั้งคู่ คิ้วเข้มคู่นั้นก็ขมวดเข้าหากันนิดหนึ่งด้วยความแปลกใจ

“ทานอาหารเรียบร้อยแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม

มัทรีเหลียวมองหาต้นเสียง ก็เห็นวินธัยมายืนมองอยู่เบื้องหลัง หล่อนพยักหน้านิดหนึ่งแทนคำตอบ

“ไม่ยักรู้ว่าคุณรู้ภาษาอัคคาเหนือ” เขาพยักเพยิดไปทางลูกสาวของบาลาดิห์ยาทั้งสองคน ที่เพิ่งจะพูดอะไรยาวเหยียดกับมัทรีก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามครู่เดียว

“เปล่าหรอก” มัทรีสั่นศีรษะ “ฉันพูดภาษาอัคคาเหนือไม่ได้ ส่วนพวกเขาก็ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่สำหรับพวกเราแล้ว ภาษาอะไรก็ไม่จำเป็นหรอก...จริงไหม?”

ประโยคสุดท้ายที่หล่อนถามเด็กทั้งสองคนเป็นภาษาไทยชัดเจน ซึ่งฝ่ายนั้นก็ยิ้มร่าอวดฟันขาวมาให้ด้วยดวงตาใสแจ๋ว บอกชัดว่าฟังไม่เข้าใจหรอก แต่ยิ้มเข้าไว้เป็นดี

วินธัยยืนมองอยู่อึดใจหนึ่งก็หมุนตัวเดินจากไปรวดเร็ว มัทรีมองตามด้วยความแปลกใจ ...อีตาพันตรีนี่แปลก นึกจะมาถามก็ถาม นึกจะไปก็ไปไม่พูดไม่จา...หล่อนนึกขวางพร้อมกับอดจะถอนฉิวไม่ได้

ไม่รู้หรอกว่าฝ่ายที่เดินจากไปนั้น ต้องเร่งฝีเท้าออกไปให้ไว...เพื่อจะกลั้นยิ้ม...



กองเกวียนของนายพ่อค้าผ้าแห่งเมืองชาคาออกเดินทางต่อไปหลังจากทั้งคนและสัตว์อิ่มหนำกับมื้อกลางวันนั้นเรียบร้อยแล้ว พอหนังท้องตึง เด็กหญิงทั้งสองคนที่เริ่มจะตาปรือก็ทอดตัวลงนอนบนพื้นเกวียนโดยมีผ้าผวยปูรอง คนโตจับจองตักแม่ ในขณะที่คนเล็กจ้องตาแป๋วมาที่มัทรี เห็นดังนั้น หล่อนก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน ปล่อยให้เด็กน้อยโผเข้ามาวางศีรษะลงบนตักหล่อนอย่างยินดี

เพื่อตอบแทนบิดาและมารดาของเด็กน้อยที่ยอมเสี่ยงอันตรายรับหล่อนเข้ามาร่วมทาง การเอื้อเฟื้อเท่านี้นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

มัทรีหันไปตลบผ้าม่านหน้าต่างขึ้น มองไม่เห็นวินธัยอยู่ที่ฝั่งนี้ บางทีเขาคงจะขี่ม้าอยู่อีกด้านหนึ่งของขบวนกระมัง ดีเหมือนกัน หล่อนจะได้อาศัยมองดูอะไรๆ ข้างนอกเสียบ้าง มาไกลขนาดนี้แล้ว...คงปลอดภัย

แต่นั่งมองดูทิวทัศน์รอบข้างได้ไม่นาน มัทรีก็เริ่มจะตาปรอย พอเอนหลังเข้ากับกรอบหน้าต่าง หล่อนก็เผลอหลับไป

จะด้วยอะไรก็ตามแต่ ในฝันนั้น หล่อนมองเห็นแม่หมอดูสาวที่หล่อนได้พบในสวนสาธารณะกลางเมืองอัคการ์ มองเห็นดวงตาคมเข้มใต้ผ้าคลุมที่จับจัองหล่อนเขม็ง ริมฝีปากบางแต้มสีสดขยับขึ้นลงพลางเปล่งเสียงแหลมเล็กเป็นคำทำนายเกี่ยวกับตัวหล่อน ที่แม้ว่าจะเป็นภาษาพื้นเมือง แต่น่าแปลกที่ในฝันนั้นมัทรีกลับฟังเข้าใจ

“...คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากยังต่างบ้านต่างเมือง แต่ความทุกข์ยากนี้จะผ่านไปได้หากคุณมีใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญ แล้วคุณก็จะได้พบกับสิ่งมีค่าที่มนุษย์ทุกคนตามหา”

ฉันกำลังเผชิญกับความยากลำบากนั้นแล้ว และหวังว่าตัวเองจะเข้มแข็งและกล้าหาญพอเพื่อจะผ่านมันไปให้ได้...

...แต่ ‘สิ่งมีค่าที่มนุษย์ทุกคนตามหา’ นั่นน่ะ ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร และฉันจะเจอของแบบนั้นในสภาพนี้ได้อย่างไร...



“มีความคืบหน้าบ้างไหมครับ? ท่านทูต” คมเดชลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยปากถามทันทีที่ท่านทูตสุวิกรมและธวัชเดินเข้ามาภายในห้องรับรองของสถานทูตไทยประจำกรุงอัคการ์

เอกอัครราชทูตไทยส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า ลักษณะเช่นนั้นทำให้ความกระตือรือร้นของคมเดชและธันย์ที่เฝ้ารอข่าวอย่างกระวนกระวายมาตลอด 2 ชั่วโมงลดน้อยลงไปทันที

หลังจากกลับจากเมืองมันตราเมื่อคืนที่ผ่านมา ธวัช คมเดชและธันย์เข้าพบท่านทูตทันที เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมไปถึงรับทราบแผนการเบื้องต้นที่ท่านทูตได้ดำเนินการไปแล้วเพื่อติดต่อประสานงานกับรัฐบาลอัคคา

วันนี้ ท่านทูตสุวิกรมมีกำหนดการเข้าพบจอมพลคาลันเพื่อขอคำตอบที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับแผนการช่วยเหลือมัทรี แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อจอมพลคาลันไม่ได้มาตามที่นัดโดยอ้างว่าติดภารกิจ แต่กลับส่งพลเอกอามีร์ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้มาพบแทน

“รัฐบาลอัคคายังยืนยันคำเดิมว่าเขาได้ส่งกองกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปควบคุมสถานการณ์ในอัคคาเหนือไว้แล้ว และได้ดำเนินการค้นหาคุณมัทรีไปพร้อมๆ กัน” ท่านทูตสุวิกรมกล่าว หลังจากทรุดลงที่เก้าอี้ยาว พลางเชื้อเชิญให้คมเดชและธันย์นั่งลงเพื่อปรึกษาหารือกัน

“เขารับรองได้หรือเปล่าครับว่า การดำเนินการเช่นนี้จะไม่เป็นอันตรายแก่มัทรี” คมเดชถาม “ทำไมเขาถึงไม่ติดต่อเจรจากับพันตรีอะไรที่ว่านั่นล่ะครับ”

“นั่นก็เป็นจุดหนึ่งที่น่าสงสัย” ท่านทูตหรี่ตาลง ยกมือขึ้นลูบปลายคางอย่างใช้ความคิด “ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ยังไม่เคยเห็นมีใครออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบเลย นอกจากรัฐบาลจะพูดไปฝ่ายเดียวว่าเป็นฝีมือของพวกกบฏ ส่วนเรื่องการเจรจา เขาอ้างว่าพันตรีวินธัยมีเงื่อนไขเพียง 2 ข้อคือ การปล่อยตัวพลเอกชาครีและทหารอัคคาเหนือที่ถูกควบคุมไว้ และขอเจรจาแบ่งแยกดินแดน ซึ่งทางรัฐบาลไม่อาจยินยอมได้”

“อย่างนี้ก็เท่ากับเราต้องรอให้ทางรัฐบาลเป็นฝ่ายดำเนินการไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนน่ะสิครับ” ธันย์โพล่งออกมาอย่างร้อนใจ “แถมรับประกันไม่ได้ด้วยว่ามัทจะปลอดภัยจริงหรือเปล่า”

“นั่นน่ะสิครับ ยิ่งฝ่ายกบฏที่เหลือถูกบีบมากเท่าไหร่ ความปลอดภัยของมัทรีก็น้อยลงเท่านั้น”

“นั่นล่ะครับ ที่น่าเป็นห่วง” ท่านทูตกล่าวแล้วก็นิ่งไปด้วยความอัดอั้นตันใจ

“โธ่ พวกเราน่าจะได้อยู่ทางโน้นต่ออีกนิด อย่างน้อย ถ้าทางรัฐบาลชักช้านัก เราจะได้ออกตามหาเสียเองเลย” ธันย์ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ พูดออกมาด้วยความห่วงใยในสวัสดิภาพของเพื่อนร่วมงานคนสนิท

ท่านทูตสุวิกรมสบตาคมเดชและธันย์ด้วยความวิตกกังวล เขาเองก็รู้สึกร้อนใจไม่แพ้กัน การหายตัวไปของคนไทยในอัคคาย่อมเป็นความรับผิดชอบของเอกอัครราชทูตอย่างเขาโดยตรง ตอนนี้ ข่าวการลักพาตัวนักข่าวชาวไทยเพื่อการต่อรองทางการเมืองระหว่างรัฐบาลอัคคาและฝ่ายกบฎอัคคาเหนือเริ่มแพร่ออกไป นักข่าวทั้งในไทยและต่างประเทศต่างก็สนใจเรื่องนี้กันมาก ท่านนายกรัฐมนตรีเองก็ต่อสายตรงมาหาหลายครั้งนับตั้งแต่ทราบเรื่อง

ทุกฝ่ายล้วนแต่กระตือรือร้นและฝากความหวังไว้กับการเจรจาของเขา ท่านทูตสุวิกรมจึงทั้งเคร่งเครียดและลำบากใจ แม้จะผ่านมากว่า 24 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากฝ่ายรัฐบาล เขาก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นเท่านั้น

“อย่าลืมเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งด้วยนะครับ ท่านทูต...เรื่องชาวเมืองมันตรา” เสียงเอ่ยแทรกดังมาจากธวัช ที่ยืนสงบนิ่งมาตั้งแต่แรก

ท่านทูตพยักหน้าอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “ขอบใจมากธวัชที่เตือน ผมเกือบลืมบอกเรื่องนี้ไปสนิท”

“อะไรหรือครับ?” คมเดชถาม ขยับตัวเข้ามาใกล้

“มีข่าวแว่วมาว่าตอนนี้ ชาวเมืองมันตราส่วนหนึ่งไม่เชื่อในแถลงการณ์ของรัฐบาล พวกเขาสงสัยว่าแผนการลอบสังหารนางปรียาวีร์เป็นฝีมือของรัฐบาลเอง”

“เอ๊ะ? เป็นไปได้หรือครับ”

“ผมไม่ทราบในข้อเท็จจริง แต่การสงสัยเช่นนั้นก็มีสิทธิเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายอัคคาเหนือ ซึ่งไม่ได้ไว้วางใจในรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น การลอบโจมตีคณะของเรากับการลักพาตัวมัทไปล่ะครับ เกี่ยวกับรัฐบาลด้วยหรือเปล่า?” ธันย์ถาม

“ผมภาวนาขอให้ไม่เป็นความจริงครับ ไม่อย่างนั้นเราลำบากแน่”

“แล้วชาวเมืองมันตรา จะเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่าครับ”

ท่านทูตสุวิกรมถอนหายใจหนัก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความมั่นใจอะไรนัก “ตอนนี้ยังครับ เป็นเพียงแต่กระแสข่าวเท่านั้น แต่ผมภาวนาอีกเหมือนกัน...ขออย่าให้เกิดเหตุรุนแรง ขออย่าให้เกิดเหตุการณ์อะไรแทรกซ้อนขึ้นมาในตอนที่เรายังไม่ได้ข่าวใดๆ จากคุณมัทรีเลย”

ชายทั้งสี่คนในห้องรับรองสบตากันด้วยความรู้สึกไม่แตกต่างกันนัก

ถูกล่ะ...ตราบใดที่พวกเขายังไม่ทราบชะตากรรมของมัทรี เหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาเป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีความเคลื่อนไหวใดๆ ในอัคคาเหนือ จอมพลคาลันอาจดำเนินการขั้นเด็ดขาดลงไปโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนที่ตกอยู่ในฐานะตัวประกันอย่างมัทรี

ในเกมอำนาจ...การเสียสละหมากตัวเล็กๆ บางตัว ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก ตราบใดก็ตามที่ ‘ขุน’ ยังอยู่รอด มันก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม



มัทรีสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะรู้สึกถึงสายลมอันเหน็บหนาวที่ชำแรกเข้าไปถึงผิวเนื้อ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าภายในเกวียนนั้นมืดลงกว่าเดิมอีก แม้ว่าผ้าม่านหนาด้านท้ายเกวียนนั้นจะยังเปิดคาไว้ก็ตาม แสงสว่างภายนอกมีอยู่เพียงสลัวราง ทัศนียภาพมองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ เดาได้ว่าเป็นเวลาใกล้พลบแล้ว

กองเกวียนทั้งหมดหยุดลงในที่สุด และเสียงเอะอะรอบด้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ฟังเซ็งแซ่คล้ายเสียงสั่งการอะไรให้วุ่นไปหมด

มัทรีหันมาเบิกตามองภรรยาของนายบาลาดิห์ยาอย่างตื่นตระหนก เพราะไม่ทราบว่าภายนอกนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก หรือว่ามีทหารของอัคคาใต้มาลาดตระเวณอยู่ในบริเวณนี้?

แต่ภรรยาของนายพ่อค้าผ้าไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นแต่อย่างใด นางพูดภาษาพื้นเมืองออกมาสั้นๆ แล้วก็พยักหน้าให้มัทรีก่อนปีนลงจากเกวียน ลูกสาวทั้งสองคนของนางพากันปีนนำไปก่อนแล้ว และกำลังช่วยคนเป็นแม่ขนสัมภาระส่วนตัวตามลงไป

มัทรีลังเลนิดหนึ่ง จะเหลียวหาวินธัยเพื่อขอความมั่นใจก็มองไม่เห็นเขาเสียแล้ว หล่อนจึงตัดสินใจก้าวลงจากเกวียนที่โดยสารมาตลอดทั้งวัน

ด้วยแสงมัวๆ ยามตะวันใกล้ลับเหลี่ยมเขา มัทรีพอจะสังเกตได้รางๆ ว่าบริเวณที่กองเกวียนมาหยุดพักนี้เป็นลานกว้างพอสมควร ด้านหนึ่งติดหน้าผาตัดที่สูงชันเกือบ 90 องศา ส่วนอีกด้านเป็นโตรกเหวลึก มีต้นไม้ใบโปร่งขึ้นบดบังอยู่ประปราย บรรยากาศภายนอกหม่นมัวเพราะจวนสิ้นแสงตะวัน หมอกหนาโรยตัวลงมาปกคลุมทัศนียภาพโดยรอบไว้ ทำให้มองอะไรในระยะไกลๆ ไม่ถนัด ซ้ำอากาศก็เริ่มจะหนาวเย็นขึ้นกว่าเวลากลางวันหลายเท่า

คนงานหลายสิบชีวิตกำลังวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมสถานที่สำหรับพักแรมคืนนี้ พวกหนึ่งช่วยกันปลดเกวียนออกจากหลังจามรีและจูงไปรวมไว้กับฝูงม้า ตรงบริเวณริมหน้าผาตัดซึ่งมีหญ้าแห้งๆ ขึ้นอยู่เป็นกระหย่อม อีกพวกหนึ่งสาละวนกับการกางกระโจมหลังใหญ่ซึ่งคงเป็นที่พักสำหรับนายจ้างลงตรงกลางลาน ก่อนจะขนเศษไม้หลายท่อนมาสุมกันไว้สำหรับก่อกองไฟ


แสงสว่างจากกองไฟขนาดใหญ่โชนแสงขึ้นเมื่อแสงสุดท้ายของวันลับไปจากขอบฟ้า อากาศหนาวจัดและลมบนที่สูงก็กรรโชกแรง โชคดีที่หน้าผาตัดด้านหลังค่ายพักแรมแห่งนั้นช่วยกำบังลมไว้ได้ส่วนหนึ่ง แต่กระนั้น มัทรีก็ยังตัวสั่นเทาอยู่ในชุดพื้นเมืองผืนหนาด้วยไม่เคยชินกับสภาพอากาศเช่นนั้น

ภรรยาของนายบาลาดิห์ยานำลูกสาวทั้งสองคนมุดนำเข้าไปในกระโจมซึ่งมีแสงตะเกียงส่องสว่างอยู่ภายในเป็นสีส้มๆ เหลืองๆ ดูน่าจะอุ่นสบายกว่าภายนอกนี้มาก มัทรีดึงผ้าคลุมศีรษะแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ลมตี แล้วก้มศีรษะลงเพื่อจะมุดตามพวกหล่อนเข้าไป

หากแต่ถูกมือหนาแข็งแรงของวินธัยรั้งต้นแขนไว้เสียก่อน

หญิงสาวชาวไทยหันกลับมามองหน้าเขาด้วยดวงตาพิศวง เขามาห้ามหล่อนไว้ทำไม? หล่อนแทบจะทนอากาศหนาวเหน็บภายนอกนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว

“นี่กระโจมของนายบาลาดิห์ยา คุณจะเข้าไปทำไม?” เขากระซิบถาม

“ก็เข้าไปหาที่อุ่นๆ น่ะสิ ข้างนอกนี่หนาวจะตาย”

“แต่คุณพักในนี้ไม่ได้ โน่น กระโจมทางโน้นต่างหาก” นายพันตรีหนุ่มบุ้ยปากไปยังกระโจมอีกหลังที่ปลูกอยู่ห่างออกไป และเกือบจะถูกโขดหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ บังไว้จนมิด

มัทรีกระพริบตาอย่างงุนงง ก่อนเอ่ยปากถาม

“ทำไมฉันถึงจะอยู่กับพวกผู้หญิงในนี้ไม่ได้?”

“ก็พวกเธอเป็นภรรยาและลูกของนายบาลาดิห์ยาน่ะสิ หรือคุณจะอยากอยู่ร่วมกับครอบครัวเขาล่ะ? เวลากลางคืน นายบาลาดิห์ยาก็ต้องมานอนร่วมเต้นท์กับภรรยาเขานะ”

หญิงสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงปล่อยให้วินธัยกึ่งจูงกึ่งลากหล่อนไปทางกระโจมหลังนั้นแต่โดยดี

ที่พักแรมชั่วคราวของหล่อนเป็นกระโจมผ้าแบบเดียวกับกระโจมหลังใหญ่ แต่ขนาดย่อมกว่าพอสมควร เรียกว่านอนสามคนก็คงจะเต็ม บริเวณนี้ค่อนข้างไกลจากกองไฟใหญ่กลางลาน ซ้ำยังตั้งอยู่หลังโขดหิน แสงสว่างจึงส่องมาได้เพียงเล็กน้อยและพลอยทำให้ความอบอุ่นจากกองไฟไม่อาจแผ่มาถึง แต่กองไฟเล็กๆ ที่ก่อไว้ตรงปากทางเข้ากระโจมก็พอจะอาศัยไม่ให้หนาวตายได้

มัทรีคุกเข่าลงก่อนมุดเข้าไปในกระโจม ผ้าทอจากขนสัตว์ผืนหนาช่วยกันน้ำค้างที่ลงจัดได้เป็นอย่างดี ภายในนั้นรองด้วยฟางแห้งๆ และปูทับด้วยผ้าผวยอีกชั้นหนึ่ง ช่วยให้อบอุ่นพอใช้

พอสำรวจที่หลับที่นอนของตัวแล้ว มัทรีก็หันมาถามร่างสูงที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ

“ทำไมคุณถึงมาตั้งกระโจมตรงนี้ล่ะ มันไกลจากคนอื่นไปหน่อยไม่ใช่หรือไง ถ้าเข้าไปอยู่ในลานใกล้กองไฟโน่น ก็คงจะอุ่นสบายกว่านี้”

“ผมไม่อยากให้ใครเห็นคุณถนัดนัก มันเสี่ยงเกินไป แล้วคุณเองก็คงไม่อยากจะมัวพะวงแต่เรื่องหลบหน้าหลบตาคนอื่น จริงไหม?”

ถือว่าเขาละเอียดรอบคอบใช้ได้ทีเดียว บริเวณที่ตั้งกระโจมนี้ค่อนข้างมืดและเป็นส่วนตัว ซ้ำยังมีโขดหินบังไว้อีกชั้นหนึ่ง อย่างน้อย ถ้าจะมีใครเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาเพราะความอยากรู้อยากเห็น หล่อนก็จะรู้ตัวล่วงหน้า

“แล้วคุณล่ะ นอนที่ไหน?” มัทรีเอ่ยปากถาม ถึงจะไม่ค่อยถูกชะตากับเขานักแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

นายพันตรีแห่งกองทัพอัคคาเหนือเลิกคิ้วสูงขึ้น ก่อนตอบเรียบๆ

“ก็ที่กระโจมนี้ไง”

“อะไรนะ?” มัทรีร้องเสียงหลง ก่อนหุบปากฉับเพราะรู้ตัวว่าชักจะเสียงดังเกินไปแล้ว

“คุณจะมานอนที่นี่ได้ยังไง? ฉันไม่ให้คุณนอน” หล่อนปฏิเสธเร็วปรื๋อ

วินธัยทรุดตัวลงนั่งบนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง เขี่ยท่อนฟืนที่ไฟกินไปครึ่งหนึ่งให้ซุกเข้าไปในกองไฟ

“คุณต้องยอมแล้วล่ะ ม่ายงั้นคนพวกนั้นจะสงสัยเอาได้” พูดพลางพยักเพยิดไปทางคนงานของบาลาดิห์ยาที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่รอบๆ กระโจมของนายจ้าง

“สงสัยอะไร?”

“นายบาลาดิห์ยาบอกพวกเขาว่าคุณเป็นภรรยาของผม”

“ห๊ะ! ทำไมเขาถึงต้องบอกใครๆ ว่าฉันเป็น เอ้อ...ภรรยาคุณด้วย?”

“ผู้หญิงโสดจะเดินทางลำพังกับผู้ชายสองต่อสองได้ยังไงกันล่ะ ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้อยู่แล้วตั้งแต่พ่อเฒ่าอากริมบอกให้คุณเปลี่ยนผ้าคลุม”

“ฉันก็คิดว่าเปลี่ยนเพื่อไม่ให้สะดุดตาเท่านั้นน่ะซี ไม่นึกว่า...จะต้องรับสมอ้างเป็นภรรยาใครด้วย” มัทรีอึกอัก นึกค้านแผนการนี้เต็มประตู

“นั่นยิ่งแล้วใหญ่ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะเดินทางกับผู้ชายที่ไหนได้ นอกจากสามีของตัวเอง” วินธัยตอบมาเรียบๆ ท่าทางไม่เห็นความสำคัญอะไรนัก

มัทรีครุ่นคิด แล้วก็เริ่มจะคล้อยตามเหตุผลของเขา จึงเสียงอ่อนลง

“แต่คุณก็น่าจะปรึกษากันก่อน...”

“พอดีว่ามันไม่ใช่ความคิดของผมคนเดียว เอาเถอะ...ถึงอย่างไรคุณก็ยังเป็นแขกของเรา ผมรับรองด้วยเกียรติว่าจะไม่ล่วงเกินคุณเด็ดขาด”

วินธัยพูดหนักแน่น พลางลุกขึ้นคล้ายต้องการตัดบทสนทนานั้น แต่พอเห็นมัทรีซึ่งกลอกตาไปมาด้วยความลังเลกำลังจะอ้าปากต่อรองอีกครั้ง ก็เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

“อ้อ เกือบลืมไปอีกเรื่อง ผมบอกพวกเขาด้วยว่า คุณหูหนวกแล้วก็เป็นใบ้ เพราะฉะนั้น นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พยายามอย่าพูดอะไรให้มากดีกว่า”

ว่าแล้วก็เดินลิ่วตรงเข้าไปยังกระโจมหลังใหญ่ ซึ่งตอนนี้นายบาลาดิห์ยาและคนงานส่วนใหญ่กำลังล้อมวงอยู่รอบๆ ร้านย่างเนื้อ น้ำกำลังตกลงกองไฟเสียงดังฉี่ๆ และส่งกลิ่นยั่วน้ำลายมาแต่ไกล

มัทรีได้แต่อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของวินธัย หล่อนนึกก่นว่าเขาอยู่ในใจหลายชุด แต่แล้วก็ต้องถอนใจ เพราะจำนนด้วยเหตุผลและความจำเป็นทั้งหลายที่เขาว่ามา

มิหนำซ้ำ กลิ่นเนื้อย่างจากตรงกลางลานนั้นก็กำลังส่งกลิ่นรบกวนความคิดทั้งหลายทั้งมวลของหล่อน จนทำให้ต้องเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความหิวกำลังเล่นงานหล่อนเต็มที่

เอาเถอะ...ค่อยคิดแล้วกันว่าจะเอายังไงสำหรับคืนนี้ หล่อนไม่รู้หรอกว่า เขาจะไว้ใจได้แค่ไหนสำหรับการนอนร่วมเต้นท์ด้วยกันตลอดคืน แต่หล่อนจะเลือกอะไรได้ล่ะ ในเมื่อหนทางรอดทางเดียวของหล่อนอยู่ที่เขา

แต่คอยดูสิ! ขืนทำอะไรหล่อนแม้แต่นิดเดียว จะได้เห็นฤทธิ์ผู้หญิงไทยเสียบ้าง!

(จบตอนที่ 10)







 

Create Date : 23 ตุลาคม 2551
3 comments
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2551 22:51:58 น.
Counter : 367 Pageviews.

 

แวะมาลงชื่อก่อนค่ะ
เพิ่งเห็น คงต้องกลับไปอ่านตั้งแต่บทแรกก่อน
อ่านทันแล้วจะเข้ามาคุยด้วยอีกทีนะคะ
ชอบเรื่องแนว ๆ นี้จัง

ลป. ชื่อเรื่องเพราะดีค่ะ

 

โดย: ปีกสีรุ้ง 23 ตุลาคม 2551 14:01:00 น.  

 

เท่ห์ ถูกใจจริงๆ ค่ะคุณวินธัย..ถึงขนาดต้องเร่งฝีเท้า
ออกไปให้ไว...เพื่อจะกลั้นยิ้ม..

 

โดย: pp IP: 210.213.0.58 31 ตุลาคม 2551 16:05:24 น.  

 

กลั้นยิ้มทำมายจ๊ะ ฟังภาษาไทยออกรื้อ

แควนใหม่ค่า ไม่ชอบปายเลยไม่ได้อ่านเรืองที่แล้ว เสียดาย เรื่องนี้ดีมาก

 

โดย: พี่หมูน้อย 26 เมษายน 2552 2:27:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.