....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
23 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 

ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 21-22

-ตอนที่ 21-


ความแห้งผากและร้อนแล้งของผืนดินทวีคูณขึ้นอีก แม้ตอนกลางคืนอากาศจะหนาวจัด แต่ยามที่พระอาทิตย์ขึ้นเต็มที่และท้องฟ้าก็แจ่มกระจ่างไร้เมฆหมอกเช่นนี้ มัทรีก็รู้สึกราวกับว่ากำลังเดินอยู่กลางทะเลทรายก็ไม่ปาน

ภูมิประเทศแถบนี้แปลกตาไปจากสองวันที่ผ่านมาเล็กน้อย อาณาเขตของที่ราบดูแคบลงเพราะแนวภูเขาขยับใกล้เข้ามามากกว่าวันก่อนๆ และที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเยื้องออกไปทางทิศตะวันออก ท่ามกลางขุนเขาสีน้ำตาลไร้พืชพรรณใดๆ คือ ยอดเขาหนึ่งสูงลิบลิ่ว ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน หยัดยืนท้าประกายแดดจัดจ้าตัดกับฉากหลังอันเป็นผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้ม

“ลองได้เห็นยอดมันดราลัยอย่างนี้ แสดงว่ามาได้ครึ่งทางแล้วล่ะ” วินธัยบอก

มัทรีจ้องดูยอดมันดราลัยอย่างเผลอไผล ไม่น่าเชื่อว่านี่คือยอดเขาที่เคยเห็นจากไกลๆ ครั้งหนึ่ง แต่บัดนี้หล่อนได้ดั้นด้นเดินทางมาถึงด้วยการเดินเท้า ใกล้จนราวกับว่าจะได้เดินผ่านในชั่วไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้

หญิงสาวค่อยใจชื้น คิดปลอบใจตัวเองไปว่าตั้งครึ่งทางผ่านมาแล้วหล่อนก็ยังเดินไหว อีกครึ่งทางที่เหลือคงจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนักหนา แม้ว่ากำลังวังชาจะลดน้อยถอยลงชนิดสวนทางกับความตั้งใจก็ตาม

หล่อนกัดฟันก้าวต่อไปและยอมให้วินธัยช่วยประคองยามที่สะดุดเข้ากับก้อนหินจนแทบจะล้มคะมำ

รู้สึกโชคดีและขอบคุณที่มีนายพันตรีแห่งกองทัพอยู่เคียงข้าง นึกภาพแทบไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีเขา ป่านนี้หล่อนจะเป็นอย่างไร อาจตายไปเสียตั้งแต่ถูกลอบยิงครั้งแรกนั่นแล้วก็เป็นได้ หรือหากต้องมาผจญอยู่กลางที่ราบแห่งนี้เพียงลำพัง หล่อนก็คงจะเคว้งคว้างว่างเปล่าทั้งกายใจ และหมดกำลังใจไปเสียนานแล้ว

มัทรีเผลอบีบมือใหญ่ๆ ที่กุมรอบมือหล่อนอยู่โดยไม่ทันรู้ตัว

วินธัยหันกลับมามองดูคนเดินตามหลังเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบนั้นทันที

“คุณเดินไม่ไหวแล้วหรือ?” เขาหยุดแล้วเอ่ยถาม

มัทรีส่ายศีรษะตามเคย “เปล่าค่ะ...”

ปากปฏิเสธ แต่ความเหนื่อยล้าทำให้เผลอสะดุดขาตัวเองเข้าอีก มัทรีเสียหลักจะล้ม แต่คนยืนข้างไวกว่า คว้าเอาตัวหล่อนไว้ได้ทัน

ความอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงทำให้หล่อนไม่มีแก่ใจจะรู้สึกขัดเขินหรืออะไรอีก ต่อไปแล้ว ได้แต่ปล่อยให้เขากอดเอาไว้หลวมๆ เสียงหัวเราะมาจากคนตัวใหญ่กว่าที่ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังทรงตัวอยู่ได้สบายๆ ถึงแม้สีหน้าจะอิดโรยไปบ้าง แต่ดูท่าเขาคงยังมีแรงเหลือพอจะวิ่งได้ด้วยซ้ำ

“ไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหว เข้าใจไหม?” เขาดุหล่อน เหมือนดุเด็กเล็กๆ

“ฉันก็แค่อยากไปต่อให้ได้มากที่สุดเท่านั้นอง” มัทรีอ้อมแอ้ม

“โธ่เอ๋ย ถ้าคุณหมดแรงล้มลงไปตรงนี้ ที่เดินผ่านมาแล้วก็สูญเปล่าเท่านั้น นั่งพักตรงนั้นก่อนเถอะ เรายังพอมีเวลาสำหรับวันนี้อีกเหลือเฟือ”

วินธัยประคองหล่อนพาไปนั่งพิงกองหินเล็กๆ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่บริเวณนี้แทบไม่มีร่มเงาใดๆ ให้พอหลบความร้อนจากเปลวแดดได้เลย สีหน้ามัทรีซีดขาวราวแผ่นกระดาษ เท่าที่เขามองเห็นอยู่นี้ดูเหมือนว่าหล่อนพร้อมจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อ แม้ว่าจะทำปากแข็งบอกว่ายังไหวก็เถอะ

“ร้อนมากไหม? แถวนี้ไม่มีที่ให้หลบแดดได้เลย แต่ทนหน่อยเถอะนะ คืนนี้เราคงมีที่พักแรมดีๆ แน่”

มัทรีส่ายศีรษะอย่างอ่อนล้า

ชายหนุ่มปลดกระติกส่งให้ “ดื่มน้ำเสียหน่อย คุณทำท่าจะไม่ไหวแล้ว”

หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขา เลียริมฝีปากแห้งผากและแตกร่อนช้าๆ แต่ก็ส่ายหน้ามาอีกเหมือนเดิม

วินธัยทรุดนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว ระบายลมหายใจออกมาด้วยความอ่อนใจ รู้ว่าหล่อนพยายามอดทนเพื่อประหยัดน้ำให้ได้มากที่สุด เท่าที่คะเนดู น้ำคงหมดลงภายในวันนี้แน่ และแม้ว่าตัวเขาเองจะได้ดื่มไปเพียงครั้งเดียวสำหรับวันนี้ แต่สำหรับมัทรีที่ดูท่าจะทนต่อไปอีกได้ไม่เท่าไหร่ หล่อนคงต้องการมันมากกว่าเขา

“ดื่มหน่อยเถอะ คุณจะได้มีแรงเดินไหว”

“แต่น้ำเหลือน้อยมากไม่ใช่หรือคะ? ฉันยังพอทนได้” หล่อนใจแข็งกว่าที่เขาคิด

วินธัยมองดูคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ทั้งสงสาร ทั้งนับถือน้ำใจ หล่อนพิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าแม้จะเหนื่อยยากลำบากเพียงใด แม้พละกำลังของร่างกายจะน้อยกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า แต่ความแข็งแกร่งทางจิตใจ เขาต้องยอมรับหล่อนในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน

“ดื่มเถอะ” เขาว่า เอื้อมมือลูบใบหน้าซีดเซียวของมัทรีแผ่วเบา “ดื่มเสียสักนิดก็ยังดี ผมไม่อยากให้คุณเป็นอะไรไปเสียก่อน”

อึกอักนิดหนึ่ง มัทรีก็ยินยอมรับกระติกน้ำจากเขามาแต่โดยดี หล่อนจิบเข้าไปเพียงนิดเดียวก็ส่งคืนให้

“คุณดื่มบ้างเถอะ ฉันไม่อยากเอาเปรียบคุณฝ่ายเดียว”

วินธัยยิ้ม ยกกระติกขึ้นจรดริมฝีปากแล้วจิบน้ำเข้าไปเล็กน้อย แค่พอไม่ให้คนที่นั่งมองอยู่ต้องเสียน้ำใจที่อุตส่าห์ขะยั้นขะยอ


ครู่เดียว มัทรีก็แข็งใจลุกขึ้นยืน หล่อนส่งสายตาไปหานายพันตรีหนุ่มเป็นความหมายว่าพร้อมออกเดินทางต่อไปแล้ว

“แน่ใจหรือว่ามีแรงเดินไหว” เขาถาม

“ค่ะ รีบไปเถอะ ยังต้องไปกันอีกไกลไม่ใช่หรือคะ?”

วินธัยมองดูหล่อนอย่างพิจารณาแล้วก็พยักหน้าตกลง ใจครุ่นคิดไปถึงระยะทางที่เหลือ จุดหมายที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้เป็นที่พักแรมสำหรับคืนนี้อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก คะเนว่าหากเดินไปพักไปเช่นนี้ก็คงถึงได้ก่อนหัวค่ำ

อย่างน้อยถ้าไปถึงที่นั่นและได้นอนพักอีกสักคืนหนึ่ง ทั้งเขาและหล่อนก็คงมีกำลังพอจะเดินต่อไปได้ในอีกวัน ยามนี้เขาไม่ได้คำนึงอีกต่อไปแล้วว่าระยะทางไปยังจิซูเหลืออีกมากน้อยเพียง ใด

แค่เอาชีวิตรอดไปได้วันหนึ่งๆ ก็นับว่าดีเกินพอ


ระหว่างเดินตัดไปในกองหินที่ขึ้นเกะกะอยู่เป็นหมู่ๆ อะไรอย่างหนึ่งก็แล่นแผล็วตัดหน้า ก่อนจะไปหยุดนิ่งเป็นหุ่นปั้นอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งเยื้องออกไปด้านซ้ายมือ แถมยังหันลูกตาโปนๆ ใสแจ๋วมาจับยังมนุษย์ทั้งสองคนราวกับจะดูให้รู้แน่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้คือ อะไร

มัทรีชะงักกึก ดึงมือใหญ่ที่จูงหล่อนอยู่ให้พลอยหยุดไปด้วย

“นั่นตัวอะไรคะ?”

วินธัยมองเห็นอยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้แปลกใจ เขาตอบมาเรียบๆ

“กิ้งก่าทะเลทราย”

กิ้งก่าทะเลทราย? มัทรีทวนคำตอบของเขาอยู่ในใจพลางจ้องดูมันไม่วางตา กิ้งก่าตัวนั้นหน้าตาคล้ายคลึงกับกิ้งก่าทั่วๆ ไปที่หล่อนเคยเห็น แต่รูปร่างผอมเพรียวกว่า ผิวหนังของมันเป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับก้อนหินที่จับอยู่ มองเผินๆ ก็อาจไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเกาะนิ่งอยู่ตรงนั้น

จะว่าไปตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านมาแล้ว หล่อนก็ยังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเลย แม้แต่ตัวที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่นี้ วินธัยก็เป็นคนไปเสาะหามา และหล่อนก็ได้เห็นมันตอนที่พร้อมเป็นอาหารแล้ว

“อืม ไม่ยักรู้ว่ากลางที่แห้งแล้งอย่างนี้จะมีตัวอะไรอย่างอื่นนอกจากพวกเราอยู่อีก”

ชายหนุ่มหัวเราะขัน แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจหล่อนก็ยังมีแรงประชด

“หน้าตาพิกล อยู่แถวนี้มีอะไรให้แกกินด้วยหรือไง?” ประโยคท้ายคล้ายพูดกับเจ้ากิ้งก่าตัวนั้นโดยเฉพาะ

แต่คนตอบกลับเป็นคนตัวโตๆ ข้างกายแทน “มันก็กินพวกแมลงหรือสัตว์เล็กๆ น่ะซี”

“อ้อ ดีจังนะที่พอจะมีอะไรให้กินบ้าง ไม่เหมือนพวกเรา...”

“พวกเราก็กินมันต่อยังไงล่ะ” วินธัยว่า ปล่อยมือหล่อนก่อนค่อยย่างเข้าไปหา ‘เหยื่อ’ ด้วยฝีเท้าเบากริบ

“อะไรนะ?” หญิงสาวถามเสียงสูง

“แปลกใจทำไม? ก็เจ้านี่แหล่ะที่คุณกินไปเมื่อตอนกลางวัน หน้าตาพิลึกหน่อยแต่ก็อร่อยใช้ได้ใช่ไหมล่ะ เงียบๆ ไว้เถอะ ผมจะจับมันให้ได้”

เขาพูดเสียงเบา ก่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด แต่ยังไม่ทันได้ระยะ กิ้งก่าตัวนั้นก็เผ่นแผล็วลงมาจากที่ที่จับอยู่ก่อน แล้ววิ่งปราดหายเข้าไปใต้กองหินเล็กๆ ด้านขวามือ

ร่างสูงใหญ่ของวินธัยตามติดเข้าไปพลิกก้อนหินขึ้น เขาลงมือขุดพื้นดินร่วนๆ ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้อะไรติดมือมา

มัทรีเดินตามเข้ามาหยุดใกล้ๆ มองกิริยาของเขาด้วยความฉงน

“กิ้งก่าทะเลทรายชอบหลบอยู่ตามใต้กองหินหรือแม้แต่ในดิน แถมยังขุดรูหนีได้ไวมาก ผมว่าแถวนี้คงมีอีกหลายตัว” ว่าพลางลุกขึ้นปัดมือ “ผมจะลองดูเสียหน่อย เผื่อเป็นเสบียงสำหรับคืนนี้ คุณรอเดี๋ยวนะ นั่งพักก่อนก็ได้”

แล้วเขาก็เที่ยวเดินสำรวจอยู่ตามกองหินในบริเวณนั้น พลิกดูใต้ก้อนหินตรงโน้นตรงนี้ที่คาดว่ากิ้งก่าทะเลทรายตัวใดตัวหนึ่งจะมุด ลงไปหลบอยู่ได้ มัทรีนั่งมองดูเขาเงียบๆ และตั้งใจว่าจะอาศัยช่วงเวลานี้งีบหลับเอาแรงสักหน่อย

ยังไม่ทันจะเอนหลัง ก็เหลือบไปเห็นลูกตาใสๆ คู่หนึ่งโผล่ออกมาจากกองหินใกล้ๆ กับที่ตัวนั่งอยู่

นอกจากลูกตากลมโปนคู่นั้นแล้ว ปากแหลมเล็กที่ยื่นออกมาก็บอกให้รู้ว่ามันคือเสบียงอันโอชะที่จะช่วยให้ หล่อนอิ่มท้อง มัทรีกลั้นใจนิดหนึ่งก่อนจะค่อยขยับเข้าไปหา คืบคลานอย่างเงียบกริบเพื่อระวังไม่ให้มันได้ทันไหวตัว

แต่พอหล่อนเอื้อมมือออกไปหวังจะตะปบ มันก็ปักหัวลงกับพื้นแล้วตะกุยดินหายไปอย่างรวดเร็ว!

มัทรีถลาตามไปพลิกหินก้อนย่อมๆ นั้นขึ้น ทันเห็นปลายหางเรียวเล็กสีน้ำตาลแกมดำของมันส่ายไหวๆ โผล่ขึ้นมาจากดิน หล่อนลงมือขุดอย่างที่เห็นวินธัยทำทันที เจ้ากิ้งก่าดิ้นพราดๆ ตะกายขึ้นจากดินแล้วแล่นปราดเข้าไปหลบใต้หินอีกก้อนหนึ่ง

หญิงสาวก็ไวพอใช้ หล่อนใช้มือข้างหนึ่งผลักหินก้อนนั้นออกไป แล้วสอดมืออีกข้างเข้าไปข้างใต้ทันที ตั้งใจว่าอย่างน้อยก็ขอคว้าหางหรือขามันไว้ให้ได้ แล้วทีนี้ก็จะลากมันออกมาจัดการเสียให้สิ้นฤทธิ์

แต่ก็ต้องรู้สึกเจ็บแปลบที่มือข้างนั้นราวกับถูกเข็มสักสิบเล่มทิ่มตำพร้อมๆ กัน!

มัทรีร้องสุดเสียง ดึงมือออกมากุมแน่น และเห็นเต็มสองตาว่าเจ้าตัวที่ซุกหลบอยูใต้ก้อนหินหาใช่เหยื่อของหล่อนไม่ แต่กลับเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่ง มีสีดำเป็นมัน ลำตัวเป็นปล้องๆ และกำลังชูหางที่มีปลายแหลมขึ้นขู่หล่อนอย่างดุร้าย!

แมงป่องตัวเกือบเท่าฝ่ามือส่ายหางไปมาและทำท่าจะตรงเข้ามาหาร่างที่นั่ง พับเพียบคลุกฝุ่นห่างออกมาไม่เกินเมตร มัทรีกุมมือข้างที่ถูกต่อยแน่น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาตามลำแขนจนแทบน้ำตาร่วง แต่หล่อนก็กระถดถอยหลังอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าแมงป่องตัวนั้นเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา!


ก่อนที่ปลายหางยาวโง้งจะทันถึงตัวหล่อน รองเท้าคอมแบ็ตหนาหนักก็กระทืบลงกลางลำตัวของแมงป่องเคราะห์ร้ายเต็มแรง ซ้ำวินธัยยังบดส้นรองเท้าจนร่างสีดำมะเมื่อมข้างใต้แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี!

มัทรีอ้าปากค้างทั้งที่ยังใจเต้นอยู่ไม่หาย จะว่าโล่งอกที่เขาโผล่เข้ามาช่วยได้ทันเวลาก็ใช่ แต่เห็นชะตากรรมของเจ้าแมงป่องตัวนั้นแล้วก็อดเวทนามันไม่ได้อยู่ดี

นายพันตรีหนุ่มดึงหล่อนลุกขึ้น แล้วก็นิ่วหน้าเมื่อเห็นมัทรีกุมมือข้างหนึ่งแน่น บอกให้รู้ว่าหล่อนโดนมันต่อยแน่แล้ว

“ขอผมดูมือหน่อยได้ไหม?” เขาถามแต่ไม่รอคำตอบ คว้ามือหล่อนไปดูทันที

รอยเล็กๆ รอยหนึ่งปรากฏบนหลังมือนั้น และกำลังเริ่มบวมแดงเพราะพิษร้ายจากปลายหางแมงป่อง วินธัยขมวดคิ้วด้วยความยุ่งยากใจ ตอนที่ได้ยินเสียงหล่อนร้องด้วยความเจ็บปวด เขาเพิ่งจะจับกิ้งก่าทะเลทรายตัวเขื่องๆ ฟาดกับก้อนหินให้มันแน่นิ่งไปอยู่หยกๆ อารามตกใจและเป็นห่วง เขาก็โยนเหยื่อในมือทิ้งแล้วออกวิ่งมาทันที

โชคดีที่มาทัน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงถูกต่อยไปอีกรอบ

“แมงป่องธรรมดาเท่านั้น พิษไม่ร้ายแรงถึงตายหรอก แต่มันจะทำให้คุณปวดมาก”

ไม่ต้องบอกหล่อนก็รู้ เพราะตอนนี้ความปวดกำลังทวีขึ้นโดยลำดับ เมื่อแรกก็มัวแต่ตกใจ หล่อนจึงไม่ทันได้รู้ว่าฤทธิ์ปวดของมันมากขนาดไหน แต่ตอนนี้รอยแผลที่เริ่มบวมขึ้นนั้นก็กำลังสำแดงอาการเต็มที่ มัทรีน้ำตาไหลขณะกัดฟันข่มความเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ

วินธัยมองดูหญิงสาวด้วยความกังวล ถึงแม้พิษของแมงป่องชนิดนี้เท่าที่เขารู้มาจะไม่ร้ายแรงขนาดทำให้ถึงตาย แต่มันก็มีผลให้คนถูกต่อยเจ็บปวดอย่างร้ายกาจ ดูจากสีหน้าหล่อนตอนนี้ก็พอจะรู้ แล้วอย่างรุนแรงที่สุดหล่อนก็อาจจะไข้ขึ้นเพราะฤทธิ์ปวดนั่นเอง

“ปวดมากใช่ไหม?” เขาถามอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้น พลางลูบเบาๆ บนหลังมือของมัทรี

นักข่าวสาวพยักหน้า ดึงมือกลับมากุมไว้เสียเอง หล่อนถึงกับทรุดลงนั่งเพราะอาการปวดลุกลามจนเกินกว่าจะทรงตัวไว้ได้ ร้องครางออกมาอย่างสุดกลั้น

นายพันตรีหนุ่มทรุดตัวลงเข่าข้างหนึ่ง มือควานเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงกล่องเหล็กใบเก่าของเขาออกมา ก่อนจะสอดนิ้วมือเข้าไปหยิบห่อพลาสติกที่ม้วนไว้อย่างแน่นหนาจนมองดูเหมือน หลอดแท่งเล็กๆ คลี่ออกแล้วหยิบยาเม็ดกลมสีขาวออกมาเม็ดหนึ่ง

พอเขาจะส่งยาเข้าปากให้ มัทรีก็ถามเบาๆ

“อะไรคะ?”

“ยาแก้ปวด พาราเซตามอลน่ะ ผมพกไว้เผื่อฉุกเฉิน”

หล่อนยอมกลืนยาลงไปอย่างว่าง่าย ตามด้วยน้ำที่วินธัยป้อนให้ถึงปาก แล้วเขาก็นั่งสังเกตอาการหล่อนต่อไป

“อีกสักพักกว่ายาจะออกฤทธิ์ แล้วคืนนี้คุณอาจจะไม่สบาย ตามหลักการแล้วต้องประคบเย็น แต่ผมก็จนปัญญา เพราะฉะนั้นอดทนหน่อยนะ”

มัทรีพยักหน้าหงึกหงัก อาการปวดรุนแรงจนหล่อนชักจะหูอื้อตาลาย ฟังที่เขาพูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วน้ำตาไหลก็พรากๆ อย่างห้ามไว้ไม่อยู่ หล่อนนั่งตัวงอคู้ หนีบมือข้างนั้นไว้กับตัก เผื่อว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดอย่างสุดแสนนี้ให้ลดน้อยลง

หล่อนเคยโดนแมงป่องต่อยเมื่อตอนเด็กๆ คราวนั้นว่าปวดแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับคราวนี้ หล่อนรู้สึกราวกับว่าทั้งแขนและทั้งมือข้างนั้นกำลังจะหลุดออกจากร่าง มัทรีกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนรู้สึกเจ็บ พยายามข่มความเจ็บปวดและอ่อนแอทั้งหลายให้ทุเลาลง

วินธัยมองดูอยู่อึดใจเดียว เขาก็ขยับเข้ามาประชิด โอบแขนรอบตัวมัทรีที่กำลังกระสับกระส่ายไปมาด้วยความทรมาน ร่างในอ้อมแขนของเขาสั่นสะท้าน ชายหนุ่มกดศีรษะของหล่อนลงกับบ่ากว้าง กระซิบปลอบเบาๆ ด้วยหวังว่ามันจะทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น

“อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวยาออกฤทธิ์แล้วคุณจะปวดน้อยลง ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็หาย...”

มัทรีซุกร่างเข้าหาคนตัวใหญ่กว่าที่กอดหล่อนเอาไว้แน่น อาการปวดหนึบจนเริ่มชายังรบกวนอยู่ไม่หาย และแผลบริเวณที่ถูกต่อยก็เริ่มจะแดงช้ำและบวมใหญ่ขึ้นทุกทีๆ

น้ำตาที่พร่างพรูลงมานี้อาจเป็นเพราะฤทธิ์ปวดจากการถูกแมงป่องต่อย หรือไม่ก็เพราะความอดทนต่อความเหนื่อยยากตรากตรำมาถึงจุดสิ้นสุด แต่ก็น่าแปลกที่ความทุกข์ทรมานต่างๆ ดูเหมือนจะลดน้อยถอยลงเพียงแค่ได้ยินเสียงทุ้มๆ กระซิบปลอบโยน ความอบอุ่นจากอ้อมอกของวินธัยช่วยถ่ายโอนเอาความเจ็บปวดทั้งกายใจไปจากหล่อน จนแทบหมดสิ้น รู้สึกผ่อนคลายและปรารถนาให้ได้อยู่อย่างนี้ไปนานๆ

บางทีอ้อมกอดนี้อาจมีมนตร์ประหลาดบางอย่างเสียล่ะกระมัง?


เกือบสิบห้านาทีกว่าตัวยาจะออกฤทธิ์ แม้จะไม่ถึงกับทำให้หายขาด แต่ก็ช่วยให้อาการปวดทรมานเมื่อแรกนั้นทุเลาลง มัทรีคิดว่าหล่อนน่าจะพอทนไหวจึงค่อยขืนตัวออกจากวงแขนของวินธัย หากแต่เขายังไม่ยอมปล่อย

“เอ่อ ฉันคิดว่าฉันค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” หล่อนอ้อมแอ้ม

“แน่ใจหรือ? สีหน้าคุณยังดูไม่ค่อยดีเลยนะ” ไม่พูดเปล่า วินธัยปัดไรผมชื้นเหงื่อที่ปรกอยู่บนหน้าผากมัทรีให้อย่างเบามือ มองดูคนตรงหน้าด้วยสายตาบอกความห่วงใยลึกซึ้ง

หล่อนได้แต่พยักหน้า แล้วเลยก้มลงหามือตัวเองที่วางอยู่บนตักด้วยไม่กล้าสบตา แต่ก็ถูกวินธัยคว้ามือข้างนั้นขึ้นมาพลิกดู

“ยังบวมอยู่เลยนะ พักอีกสักหน่อยดีกว่าไหม?”

“อย่าเลยค่ะ ฉันดีขึ้นแล้วจริงๆ เรารีบไปกันดีกว่า”

แล้วก็ผุดลุกขึ้นโดยไม่รอเขาอีกต่อไป วินธัยก็เลยจำต้องลุกตามหล่อนไปด้วย เขาเดินไปเก็บเจ้าตัวที่จับได้ก่อนที่จะมาจัดการแมงป่องตัวร้าย ไม่สนใจจะลอกหนังหรือย่างเก็บไว้ เปิดห่อผ้าออกได้ก็โยนลงไปรวมๆ กับเสบียงเล็กน้อยที่เหลือ ฉวยเอามือมัทรีมากุมแล้วก็ออกเดินต่อไป แต่กระนั้นเขาก็ผ่อนฝีเท้าลงให้ช้ากว่าทุกครั้ง เพราะยังเป็นกังวลว่าหญิงสาวที่กำลังอ่อนแรงซ้ำยังถูกพิษแมงป่องรุมเร้าจะยังไม่แข็งแรงดี


ออกเดินมาได้ไม่ทันถึงสองชั่วโมง เมื่อยาหมดฤทธิ์ พิษของแมงป่องก็เริ่มจะสำแดงอาการออกมาอีก นอกจากความปวดที่กลับมารบกวนใหม่ มัทรีรู้สึกได้ว่าศีรษะของหล่อนหนักอึ้ง ลมหายใจร้อนผ่าว และวิงเวียนคล้ายคนจะเป็นลม

วินธัยที่คอยจูงหล่อนไว้สัมผัสไอร้อนของร่างกายผ่านข้อมือแบบบางซึ่งกุมอยู่ ได้อย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนจากการจับจูงมาประคองหล่อนไว้แทน

“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”

“รู้สึกหนักๆ หัวค่ะ ฉันกำลังจะไม่สบายหรือเปล่า?”

“ใช่ คุณกำลังจะเป็นไข้ แต่อดทนหน่อยนะ อีกไม่นานเราก็จะถึงที่พักคืนนี้แล้ว กินยาอีกทีแล้วก็นอนพัก ตื่นขึ้นมาแล้วคุณก็จะดีขึ้นเอง”

นอกจากพิษของแมงป่อง อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างปัจจุบัน ทันทีที่ตะวันอ่อนแสงลง ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาการไข้ของมัทรีรุนแรงมากขึ้น ร่างกายของหล่อนร้อนผ่าวสวนทางกับอากาศรอบข้าง เรี่ยวแรงหดหาย เพียงแค่จะก้าวขาต่อไปหล่อนก็ทำท่าจะไม่ไหวเสียแล้ว โชคดีที่วินธัยคอยโอบประคองอยู่ตลอดเวลา จึงพอจะลากเท้าต่อไปได้ แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ทำได้แต่เพียงคืบหน้าไปทีละนิดๆ

ท่ามกลางบรรยากาศขะมุกขมัว จุดหมายที่วินธัยหมายตาไว้ปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่กระนั้นก็ยังอยู่ในระยะไกลลิบๆ บริเวณนั้นเป็นเนินหินขนาดใหญ่ คล้ายภูเขาย่อมๆ แวดล้อมด้วยโขดหินระเกะระกะ เป็นส่วนที่ทอดต่อมาจากแนวเขาด้านซ้ายมือ บริเวณตอนใต้ของที่ราบแสงจันทร์ก่อนถึงเมืองจิซูจะมีลักษณะคล้ายๆ กันอย่างนี้ คือไม่ใช่ที่ราบกว้างใหญ่อย่างพื้นที่ตอนเหนือที่เดินผ่านมา แต่แปรเปลี่ยนเป็นที่ราบสลับกับเนินหินเป็นระยะๆ

อาจจะต้องเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นอีกหน่อย เพราะตอนนี้เขาเห็นว่ามัทรีเปลือกตาปรือและคงมองแทบไม่เห็นอะไรเบื้องหน้าแล้ว

แต่เพียงประคองหล่อนก้าวต่อไปได้อีกไม่กี่เมตร เสียงหนึ่งก็แว่วมาสัมผัสโสตประสาท เป็นเสียงเครื่องยนต์ชนิดหนึ่งครางกระหึ่มมาแต่ไกล!

นายพันตรีหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงชนิดนั้นดังมาจากเบื้องหลัง ทำให้เขาต้องหันไปมอง

แม้จะยังไม่เห็นถึงที่มา แต่หูที่คุ้นชินต่ออาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดก็บอกให้รู้แน่ชัดว่า นั่นคือเสียงเฮลิคอปเตอร์!

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของฝ่ายไหน ในเมื่อมันแว่วมาจากทิศเบื้องหลัง ที่ซึ่งเขาหนีจากฝ่ายตรงข้ามมานั่นเอง!

วินธัยเขย่าร่างปวกเปียกในอ้อมแขน กระซิบร้อนรน

“มัทรี แข็งใจเดินหน่อยนะ นั่นเสียงเฮลิคอปเตอร์! ทหารฝ่ายใต้ตามเรามาแล้ว!”

หญิงสาวชาวไทยเบิกตาโพลง เรี่ยวแรงที่ดูเหมือนจะไม่มีเหลืออีกแล้วถูกรวบรวมขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่แทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ มัทรีก็ออกวิ่งตามหลังคนที่ฉุดหล่อนไปอย่างสุดกำลัง!

เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เทียบระหว่างมนุษย์สองคนที่ต่างมีเพียงสองขาซ้ำพละกำลังยังลดน้อยลงกว่าเวลาปกติ กับเครื่องยนต์กำลังแรงซ้ำยังลอยอยู่บนน่านฟ้า ก็ดูไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ที่พยายามจะหนีรอดจากการเป็นเหยื่อของพญาเหยี่ยว

วินธัยหวังเพียงแต่ว่าเขาจะไปถึงหมู่หินขนาดใหญ่เบื้องหน้าได้ทันเวลา ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะมาถึงตัว มิเช่นนั้นเขาและมัทรีก็จะกลายเป็นเป้าให้เห็นอย่างเด่นชัดท่ามกลางที่ราบโล่งแจ้งเช่นนี้

แมลงปอยักษ์ส่งเสียงครางกระหึ่มใกล้เข้ามาและเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นจุดเล็กๆ ก่อนจะค่อยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ วินธัยวิ่งพลางหันไปมองร่างบอบบางที่ปลิวติดมือมาด้วยอย่างพะวักพะวง แม้จะเห็นใจหล่อนเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจหยุดฝีเท้าได้ หากว่าเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเข้ามาได้ระยะใกล้กว่านี้ คนบนเครื่องต้องมองลงมาเห็นการเคลื่อนไหวข้างล่างนี้แน่!

ทั้งสองคนไปถึงเชิงเนินแล้ว เมื่อเครื่องยนต์ขนาดใหญ่นั้นปรากฏรูปร่างให้เห็นอย่างชัดเจน ใบพัดกว้างของมันแหวกอากาศเสียงดังกระหึ่ม และด้วยเพดานบินที่ลดต่ำลงอย่างมาก แรงลมใต้ใบพัดเหล็กก็ทำให้ฝุ่นสีน้ำตาลจากพื้นเบื้องล่างฟุ้งตลบ

“เร็วเข้า ขึ้นมาบนนี้!”

วินธัยตะโกนแข่งกับเสียงเฮลิคอปเตอร์ ออกแรงฉุดมัทรีให้ตามหลังเขามาติดๆ ทั้งสองคนปีนป่ายไปตามโขดหินขนาดใหญ่ที่ขึ้นกีดขวางอยู่ทั่ว มัทรีล้มลุกคลุกคลานจนถูกแง่หินแหลมคมบาดจนได้เลือด แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจอะไรอื่นอีก ความเจ็บปวดและป่วยไข้หายวับไปเมื่อเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานมาถึงตัว

นายพันตรีหนุ่มเหลียวหลังกลับไป ก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเต็มสองตา อีกไม่เกินครึ่งกิโลเมตรพวกมันคงเห็นเขาแน่ เขาโอบเอวมัทรีพาปีนสูงขึ้นไปอีก เบื้องหน้านั้นคือโพรงหินแคบแค่พอคนๆ เดียวเข้าไปซุกหลบ มีหินก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่งขึ้นกำบัง อย่างน้อยที่สุดเมื่อมองลงมาก็คงไม่เห็นอะไรนอกจากเนินเขาล้วนแล้วด้วยหินผา

เฮลิคอปเตอร์ใกล้เข้ามาจนแทบรู้สึกได้ถึงแรงลมใต้ใบพัด วินธัยแล่นนำเข้าไปก่อน แล้วจึงฉุดมือมัทรีให้ตามเข้ามาด้วย หล่อนถลาตามแรงมาล้มทับลงบนตัวเขา ชายหนุ่มรัดร่างนั้นแน่น แล้วพลิกตัวให้หล่อนเข้าไปอยู่ด้านใน ตัวเขาหันหลังให้ปากโพรง อึดใจเดียวเสียงคำรามก้องของเครื่องยนต์ก็ดังสนั่นอยู่รอบตัว ลมแรงพัดเอาเศษดินและเศษหินกระจัดกระจายฟุ้งตลบและบางส่วนก็ปลิวเข้ามาภายใน

มัทรีหลับตาปี๋ เบียดร่างแนบชิดกับคนที่กกกอดตัวอยู่และเผลอกอดเขาไว้แน่นด้วยเช่นกัน ฝุ่นฟุ้งตลบจนต้องกลั้นลมหายใจ แผ่นหลังของวินธัยต่างโล่ห์กำบังป้องกันไม่ให้เศษหินเหล่านั้นปลิวมาถึงตัว

นายพันตรีหนุ่มภาวนาให้พวกมันถอนกำลังออกไปโดยเร็ว อย่าได้ตัดสินใจร่อนลงในตอนนี้ เพราะเขาเองแน่ใจว่ากำลังของฝ่ายนั้นกับลำพังเขาเพียงคนเดียว ต่อให้เด็กอมมือก็บอกได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ!

(จบตอนที่ 21)


-ตอนที่ 22-

เสียงใบพัดแหวกอากาศครางกึกก้อง ลมกรรโชกแรงราวกับจะพัดทุกอย่างให้ราบพนาสูร วินธัยกอดมัทรีแน่นและพยายามเบียดทั้งตัวเขาและหล่อนให้แทรกลึกเข้าไปในโพรงหินมากที่สุด ระวังไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโผล่พ้นปากโพรงแคบๆ นี้ออกไปได้ มิฉะนั้นคนบนเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นต้องสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเบื้องล่างนี้ได้ แน่

เสียงหัวใจของคนสองคนเต้นรัวประสานกันแทบเป็นจังหวะเดียว นายพันตรีหนุ่มรู้สึกว่าร่างเล็กในวงแขนของเขาสั่นเทา และหล่อนก็กอดรัดเขาแน่นราวกับต้องการยึดเป็นที่พึ่ง วินธัยกอดหล่อนตอบ หวังสื่อความหมายผ่านการกระทำว่าเขาพร้อมจะปกป้องและไม่ยอมให้อันตรายใดๆ ได้กร้ำกรายตัวหล่อนแม้เพียงนิด


กว่าครึ่งชั่วโมงที่เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นยังบินวนเวียนอยู่รอบๆ แต่คงเพราะไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ และไม่อาจร่อนลงจอดได้เพราะพื้นที่ไม่อำนวย ซ้ำความมืดก็เริ่มคืบคลานเข้าปกคลุม มันจึงหันหัวกลับไปยังทิศทางที่จากมา

เงี่ยหูฟังจนเสียงเครื่องยนต์ค่อยห่างออกไปแล้ว นายพันตรีหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รู้สึกเหมือนเพิ่งเฉียดใกล้ความตายมาสดๆ ร้อนๆ

โชคดีที่พวกมันเลือกใช้เฮลิคอปเตอร์ในการติดตามค้นหา เพราะอย่างน้อย เสียงเครื่องยนต์ของมันก็ยังทำให้เขาได้มีโอกาสรู้ตัวล่วงหน้า อีกทั้งภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยเขาสูงเช่นนี้ก็ยากลำบากเกินกว่าจะร่อนลงสู่ พื้น

“มันไปแล้วหรือคะ?” เสียงแห้งผากจากร่างที่กอดอยู่กระซิบถามมาเบาๆ ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน

“ใช่ แต่เราคงยังออกไปไม่ได้หรอก พวกมันอาจจะวนกลับมาอีก”

มัทรีถอนใจออกมาอีกคน หล่อนซุกหน้าลงกับอกเขา ตัวสั่นเทาด้วยยังไม่คลายจากความตื่นเต้นและหวาดกลัว หัวใจเต้นโครมครามเพราะเกรงเหลือเกินว่าทหารฝ่ายนั้นจะมองเห็นและลงมาลากตัวหล่อนกับวินธัยถึงในนี้

เหนื่อยแทบขาดใจเพราะวินธัยลากหล่อนวิ่งมาไกลมาก ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงที่แทบจะไม่มีเหลือได้กลับฟื้นคืนมาจากไหน นี่ล่ะมังที่เขาว่ากันว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน พละกำลังของคนเราจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทำนองเดียวกับคนที่แบกตุ่มวิ่งหนีไฟไหม้บ้านนั่นแหล่ะ

แต่พอสถานการณ์เริ่มกลับสู่ความสงบ ความเครียดเขม็งของกล้ามเนื้อและทุกส่วนประสาทคลายลง มัทรีก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ยไปหมด ไม่มีแม้แต่กำลังจะเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนที่กอดตัวอยู่ แขนขาเมื่อยล้าราวกับจะหลุดออกเป็นชิ้นๆ ทั้งอาการวิงเวียนศีรษะและความร้อนรุ่มเนื่องจากพิษไข้ก็กำลังกลับมารุมเร้าหล่อนอีกครั้ง


เกือบชั่วโมงต่อมา วินธัยจึงวางใจว่าเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นคงไม่ย้อนกลับมาอีก หรืออย่างน้อยที่สุดก็ในคืนนี้ เขาเขย่าร่างมัทรีเบาๆ

“ออกไปกันเถอะ ปลอดภัยแล้ว”

แต่ร่างนั้นกลับนอนนิ่ง เปลือกตาปิดสนิท ลมหายใจที่ผ่านออกมาร้อนผะผ่าว วินธัยอังหลังมือบนหน้าผากก็พบว่าอุณหภูมิร่างกายของมัทรีสูงกว่าปรกติ ไรผมภายใต้ผ้าคลุมชื้นเหงื่อและหล่อนก็ไม่รู้สึกตัว

นายพันตรีหนุ่มถอยหลังออกมาทางปากโพรง ก้มลงช้อนร่างบอบบางและอ่อนปวกเปียกขึ้นไว้ในวงแขน สองขาแข็งแรงของเขาออกเดินลัดเลาะไปตามโขดหิน บางครั้งต้องไต่ดะลงสู่เบื้องต่ำและอีกหลายครั้งที่ต้องป่ายปีนขึ้นที่สูง แต่เขาก็ระมัดระวังไม่ให้เสียหลักล้มไปด้วยกันทั้งคู่ ตั้งใจว่าจะออกไปให้ไกลอีกหน่อย หวังจะใช้ความสลับซับซ้อนของหมู่เนินหินที่ทอดลึกเข้าไปเป็นที่อำพรางตัว ซึ่งนั่นจะช่วยเพิ่มอุปสรรคให้แก่ฝ่ายที่ตามล่าอีกมาก หากพวกมันจะหวนกลับมา

จนกระทั่งในที่สุดก็มาหยุดอยู่ใต้เงื้อมหินขนาดใหญ่บริเวณตอนกลางของเนินหินลูกหนึ่ง ที่นั่นอับลมและมิดชิดพอสำหรับจะค้างแรมในคืนที่ไม่มีกองไฟให้อาศัยไออุ่นเช่นนี้

วินธัยบรรจงวางร่างของมัทรีลงบนพื้นเย็นเฉียบ ลึกเข้าไปในโพรงหิน แล้วจึงถอดเสื้อตัวนอกออกคลุมให้ ร่างที่เหมือนจะไม่รู้สึกตัวของมัทรีกลับพลิกตะแคงข้างแล้วดึงเสื้อตัวนั้นขึ้นมาคลุมถึงคอ หล่อนคงยังพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็เลือนรางเต็มที

วินธัยคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ช่วยประคองมัทรีขึ้นนั่งพิงกับอกเขาแล้วกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“ทานยาเสียก่อน ตื่นขึ้นมาคุณจะได้ดีขึ้น”

นักข่าวสาวพึมพำอะไรออกมาเบาๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ บางทีคงเพ้อเพราะพิษไข้ แต่กระนั้นก็ยอมกินยาแต่โดยดี ชายหนุ่มวางร่างหล่อนลงที่เดิม แล้วเพ่งสายตามองดูใบหน้าที่เป็นเงารางเลือนอยู่ในความมืดอย่างพินิจ

พิษของแมงป่องที่บรรเทาลงไปตามระยะเวลาประกอบกับฤทธิ์ยาที่ให้ไป คาดว่าอาการไข้ของมัทรีคงจะลดลงภายในคืนนี้ และพอรุ่งเช้าก็คงหายเป็นปรกติ เท่าที่ดูอยู่ตอนนี้อาการของหล่อนไม่น่าเป็นกังวลมากนัก

แต่การติดตามอย่างกระชั้นชิดของกองทัพอัคคาใต้ทำให้นายพันตรีหนุ่มต้องใช้ ความคิดอย่างหนักอีกครั้ง แม้ว่าการค้นหาด้วยเฮลิคอปเตอร์เมื่อสักครู่นี้จะไม่เป็นผล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะเลิกล้มแผนการ และบางทีการดำเนินการขั้นต่อไปคงจะตามมาในระยะเวลาอันใกล้นี้

หวังว่ามัทรีจะฟื้นตัวกลับมาภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาเตรียมการก่อนที่ฝ่ายศัตรูจะไล่ล่ามาทัน


ทันทีที่รู้สึกตัวตื่น มัทรีก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นชนิดที่ชำแรกเข้าไปถึงกระดูก หล่อนดึงผ้าที่คลุมอยู่บนร่างให้กระชับขึ้นโดยอัตโนมัติ ก่อนจะค่อยกระพริบตาถี่เพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืด

ที่นี่ที่ไหน? หล่อนไม่อาจตอบตัวเองได้ แต่พิจารณาจากลักษณะแวดล้อมที่มองเห็นอยู่สลัวๆ ก็คาดว่าคงเป็นตอนที่ลึกที่สุดของโพรงหินแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ที่เดิมที่หล่อนกับวินธัยเข้าไปเบียดหลบอยู่ด้วยกันเป็นแน่ เพราะกว้างกว่าเกือบเท่าตัว

หล่อนถูกพามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้และคนพามาก็ไม่รู้หายไปอยู่ไหน เพราะตอนนี้มีหล่อนอยู่เพียงลำพังกับเสื้อคลุมที่เขาทิ้งไว้ให้ต่างผ้าห่มเท่านั้น

เพ่งสายตาออกไปทางปากโพรงก็รู้สึกว่าภายนอกนั้นมีแสงสว่าง แม้จะไม่แจ่มชัดอย่างเวลากลางวันแต่ก็สว่างกว่าทุกคืน จนมองเห็นได้แม้กระทั่งทิวเขาที่ทอดตัวอยู่ห่างออกไปในระยะไกล

หญิงสาวชันกายขึ้นนั่ง รู้สึกมึนศีรษะอยู่เล็กน้อยอาจเพราะเพิ่งตื่น แต่อาการไข้ลดลงไปจนอุณหภูมิของร่างกายเป็นปกติ บริเวณหลังมือแม้จะยังปวดระบมอยู่บ้างแต่ก็แทบหายขาด คลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าได้ทานยาไปครั้งหรือสองครั้งก็ไม่แน่ใจ บางทีคนที่หายไปนั่นแหล่ะกระมังที่เป็นคนป้อนให้ ในเวลาที่สติสัมปชัญญะของหล่อนไม่สมบูรณ์

นักข่าวสาวดึงเสื้อคลุมของวินธัยขึ้นมาพาดไว้บนท่อนแขน ก้าวออกไปสู่แสงสว่างและอากาศหนาวเย็นภายนอก ทันทีที่พ้นจากปากโพรงก็ต้องรีบห่อตัวเข้าหากัน ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยสัมผัสกระแสลมดึกซึ่งพัดแรงจัด แม้ว่ารอบด้านจะมีโขดหินขนาดสูงท่วมหัวขึ้นกีดขวางเสมือนปราการธรรมชาติอยู่เต็มไปหมดก็ตาม

ในแสงนวลสว่างที่อาบไล้อยู่ทั่วบริเวณ วินธัยนั่งอยู่บนกองหินถัดจากปากโพรงไปไม่ไกล ร่างสูงใหญ่นั้นดูเหมือนจะสั่นน้อยๆ เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงชุดพื้นเมืองตัวใน ที่แม้เนื้อผ้าจะหนาหนักอย่างไรก็ยังไม่อาจช่วยให้ทานทนต่ออากาศหนาวอันทารุณเช่นนี้ได้

เพียงสืบเท้าเข้าไปใกล้ ยังไม่ทันจะถึงตัว นายพันตรีแห่งอัคคาเหนือก็หันใบหน้ามา

“ตื่นแล้วหรือ? รู้สึกสบายดีขึ้นแล้วหรือยัง?”

“ค่ะ สบายดีแล้ว ดูเหมือนไข้จะลดแล้วด้วย” หญิงสาวว่าเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพอดี ส่งเสื้อคลุมคืนให้

ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นยืน บิดซ้ายขวาจนกระดูกลั่นกรอบ แล้วคว้าเสื้อตัวยาวจากมัทรีไปคลี่ออก สะบัดฝุ่นทิ้งเบาๆ แต่แทนที่เขาจะคลุมลงบนร่างของตัว กลับเอื้อมมาห่มให้แก่หญิงสาวแทน

มัทรีพึมพำขอบคุณแต่ไม่วายถามด้วยความเป็นห่วง เพราะก็เพิ่งเห็นกับตาว่าคนเสียสละนั่งตัวสั่นกึกๆ อยู่เมื่อครู่นี้

“คุณไม่หนาวหรือคะ?”

เขาส่ายศีรษะแทนคำตอบ มัทรีจึงแอบย่นจมูกให้นิดหนึ่ง พึมพำเบาๆ ว่า ‘คนปากแข็ง’ แต่วินธัยคงไม่เข้าใจ และหล่อนก็คร้านจะงัดข้อกับเขา เพราะต่อให้หนาวจนแทบจะแข็งตาย เขาก็ต้องยืนกรานที่จะเสียสละให้หล่อนท่าเดียว

พระเอกนิยายน้ำเน่าก็ดูจะเป็นคำนิยามที่น้อยเกินไปสำหรับเขา มัทรีคิดพลางยิ้มขัน

“คุณขำอะไร?” วินธัยถาม จ้องดูสีหน้ารื่นรมย์ของมัทรีอย่างแปลกใจ

“เปล่าหรอกค่ะ” หัวเราะคิก แล้วเปลี่ยนเรื่อง “หนาวจัง ทำไมคุณถึงไม่ก่อกองไฟล่ะคะ?”

“แถวนี้ไม่มีเชื้อเพลิง แล้วมันก็อันตรายเกินไป ในความมืดอย่างนี้ แสงจากกองไฟจะมองเห็นได้แต่ไกลทีเดียว”

หญิงสาวชาวไทยพยักหน้ารับรู้ เขาคงเกรงว่าฝ่ายไล่ล่าอาจจะยังวนเวียนอยู่ในระยะใกล้ๆ นี้ ทนหนาวเอาสักหน่อย อย่างน้อยก็ปลอดภัยและอุ่นใจกว่า

“ขอผมดูแผลหน่อยได้ไหม?” วินธัยถามเมื่อเห็นมัทรียกมือขึ้นกอดอก

ลังเลนิดหนึ่ง หล่อนก็วางมือลงบนฝ่ามือที่ยื่นออกมารอท่า มือหล่อนเย็นเฉียบ แต่ฝ่ามือของวินธัยกลับอุ่นกว่า เขาพิจารณาแผลบนหลังมือเล็กบางนั้นแล้วเอ่ยเบาๆ

“...ไม่ค่อยบวมแล้วนี่ ยังปวดอยู่ไหม?”

“เอ้อ นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไรแล้ว”

“แผลพวกนี้ล่ะ เจ็บมากหรือเปล่า?” ถามมาอีก เมื่อเห็นรอยแผลขีดข่วนตรงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทั้งเสื้อผ้าของหล่อนก็มอมแมมและขาดวิ่นอันเป็นผลมาจากการรีบร้อนปีนขึ้นมาบนเนินหินอย่างไม่คิดชีวิต

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แทบจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำ” ว่าพลางค่อยๆ ดึงมือออกจากฝ่ามือของอีกฝ่าย ก่อนถามอ้อมแอ้ม “ที่นี่ที่ไหนคะ?”

“ไกลจากโพรงที่เราเข้าไปหลบเมื่อตอนแรกเกือบกิโลเมตร รอบๆ นี่เป็นเนินหินทั้งนั้น ถ้าพวกอัคคาใต้ใช้เฮลิคอปเตอร์ตามมา ก็คงจะหาเรายากหน่อย”

มัทรีเหลียวไปสำรวจภูมิศาสตร์โดยรอบ พบแต่แก่งหินน้อยใหญ่เช่นที่เขาว่า เหนือศีรษะขึ้นไปล้วนแล้วด้วยโตรกผาขนาดมหึมา ชะโงกเงื้อมเหมือนหลังคาธรรมชาติ แสงนวลสว่างกระจ่างตาในคืนนี้ช่วยให้มองเห็นอะไรชัดเจนขึ้นอีกมาก

“คุณมีแรงพอเดินต่อไปหรือยัง?” เสียงถามมาจากร่างแข็งแกร่งเหมือนหินผาข้างตัว

“เอ๊ะ? เดี๋ยวนี้เลยหรือคะ?” มัทรีขมวดคิ้วถามด้วยความแปลกใจ ก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือก็พบว่ายังไม่เที่ยงคืนด้วยซ้ำ

“ใช่ เราต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย ขืนรอจนเช้า บางทีพวกทหารอัคคาใต้อาจตามมาทัน เราต้องเดินทางกันกลางคืนเพื่อทิ้งระยะห่างออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอากาศตอนกลางคืนก็จะทำให้เราไม่หิวน้ำบ่อยๆ”

หญิงสาวชาวไทยพยักหน้ารับรู้ หล่อนมองเห็นดวงหน้าของวินธัยอย่างชัดเจนในแสงนวลตาที่ส่องสว่างอยู่ในอาณาบริเวณโดยรอบ ใบหน้าครึ้มด้วยหนวดเครานั้นดูอิดโรย แต่กระนั้นนัยน์ตาของเขาก็ยังฉายแววเด็ดเดี่ยวมั่นคงอยู่เช่นเดิม

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ อีกอย่างคืนนี้ก็สว่างมาก เราคงมองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนทีเดียว แล้วเราจะออกเดินทางกันเลยไหมคะ คุณได้นอนแล้วหรือยัง?”

“ผมนอนจนเต็มอิ่มแล้ว รอก็แต่ให้คุณตื่นขึ้นมาเท่านั้น”

“แหม คุณพูดเหมือนฉันขี้เซาเสียเต็มประดา ถ้าไม่ติดว่าคุณให้ยาฉัน ฉันก็คงไม่นอนยาวขนาดนี้”

“แต่คุณก็หายไข้ไม่ใช่หรือ? ลองว่าลุกขึ้นมาต่อล้อต่อเถียงกับผมได้แบบนี้ ก็มีหวังเดินถึงจิซูได้ในวันพรุ่งนี้แน่”

พูดจบนายพันตรีหนุ่มก็ยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูประหลาดในสายตาของมัทรี มีทั้งแววอ่อนโยนและอ่อนหวาน ซ้ำยังมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้หล่อนต้องเบือนหลบ แล้วเสชวนคุยเรื่องอื่นไปเสีย

“เอ้อ...พระจันทร์คืนนี้สว่างจังนะคะ คงช่วยให้เราไม่ต้องลำบากนักเวลาเดินทาง”

“อ้อ ใช่ คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง...ดวงจันทร์แห่งมันดราลัยสวยที่สุดในคืนอย่างนี้”

“ดวงจันทร์แห่งมันดราลัยหรือคะ?” หญิงสาวทวนคำอย่างประหลาดใจ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินเขาพูดประโยคทำนองนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง

วินธัยพยักหน้าช้าๆ มัทรีมองเห็นเขาเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง กระแสลมอันเย็นเฉียบบนที่สูงพัดกรายมาต้องเส้นผมสีดำสนิทให้ปลิวอยู่ไหวๆ แผงอกกำยำยืดเต็มที่ เขาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วผ่อนออกมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหันมาหามัทรี

“มาทางนี้สิ ผมมีอะไรอยากให้คุณเห็น...” พูดพร้อมส่งมือให้

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งแล้วก็ยินยอมวางมือลงแต่โดยดี มือใหญ่ของวินธัยกระชับมือของหล่อนแน่น และจับจูงให้ติดตามเขาไปเรื่อยๆ

นายพันตรีหนุ่มพาหล่อนป่ายปีนหลบหลีกเหลี่ยมมุมของหินผาที่ขึ้นกีดขวางอยู่ ดั่งกำแพงขนาดมหึมา มัทรีตามเขาไปโดยไม่ได้เอ่ยถาม ทั้งๆ ที่สงสัยเป็นกำลังว่าเขาจะพาหล่อนไปไหน แต่ก่อนที่จะได้ตั้งคำถามให้หายข้องใจ วินธัยก็ก้าวนำออกไปหยุดยืนอยู่บนลานหินแคบๆ ซึ่งชะโงกออกไปเป็นหน้าผาเหนือไหล่เขาตอนหนึ่ง ถัดลงไปคือลาดเขาล้วนแล้วแต่กองหินแหลมคมระเกะระกะ ได้ยินเสียงลมพัดผ่านโตรกผาเบื้องล่างดังหวิววู่ มองลงไปชวนให้ใจหาย

“ไหนคะ? หน้าผานี่หรือคะที่อยากให้มาดู?” หล่อนถาม ชะโงกหน้ามองลงไปอย่างไม่ค่อยจะศรัทธา

“ไม่ใช่หรอก ตรงโน้นต่างหาก ข้างล่างโน่น ดูดีๆ สิ เห็นอะไรไหม?” วินธัยว่าพลางชี้มือลงไปยังที่ราบแคบๆ เบื้องล่าง

เมื่อแรกที่มองลงไป หญิงสาวชาวไทยก็ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าที่ราบอันแห้งแล้งกันดารอย่างที่หล่อนสัญจรผ่านมาตลอดหลายวัน แต่พอเขม้นมองดีๆ อย่างที่เขาว่า สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เบื้องล่างนั้น...ที่ปรากฏดารดาษอยู่ในแสงเย็นของดวงจันทร์ หาใช่ผืนดินอันรกร้างว่างเปล่าไม่ แลก็มิใช่ก้อนหินน้อยใหญ่ที่ขึ้นกีดขวางและทำให้หล่อนต้องสะดุดล้มแทบไม่รู้กี่ครั้ง หากแต่เป็นดอกหญ้าเล็กๆ สีเหลืองละมุนตาขึ้นปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้นจนเต็มไปหมดราวกับทุ่งหญ้าอันอุดม

ทุ่งแห่งนั้นทอดตัวอยู่เบื้องหน้าทิวเขาซึ่งนอนเหยียดยาวในทิศตรงข้ามกับจุดที่มัทรียืนตะลึงแลอยู่ หลังหมู่ทิวเขาเหล่านั้นคือยอดมันดราลัย ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์อันสูงใหญ่แทรกตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในท่ามกลางเทือกเขาอันเป็นบริวาร ความยิ่งใหญ่ตระการตาถูกขับให้เด่นสง่ากว่าเวลากลางวันด้วยจับแสงจันทร์เต็มดวงจนหิมะบนปลายยอดเปล่งแสงสุกสกาว

จันทร์เต็มดวงขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มัทรีเคยเห็นลอยคว้างอยู่เบื้องหลังยอดมันดราลัย แสงนวลและเยือกเย็นฉายลงมายังพื้นเบื้องล่าง ส่องแสงให้อาณาบริเวณแห่งนั้นสว่างราวกับกลางวัน และอาบย้อมดอกไม้เล็กๆ เหล่านั้นให้กลายเป็นสีเหลืองละลานตา

หญิงสาวชายไทยได้ตระหนักขึ้นในนาทีนั้นเองว่า สวรรค์บนดินนั้นมีอยู่จริง...

“สวยจังค่ะ...สวยราวกับดินแดนในเทพนิยาย” หล่อนครางโดยไม่อาจละสายตาจากภาพที่เห็นเบื้องหน้า

“ลานอาบจันทร์ ความมหัศจรรย์แห่งที่ราบแสงจันทร์” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ไม่ห่างนัก

“มหัศจรรย์จริงๆ ค่ะ ที่แห้งแล้งอย่างนี้มีดอกไม้มาขึ้นอยู่ได้ยังไงกัน ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

“บางที...อาจเป็นเวทย์มนตร์ของดวงจันทร์แห่งมันดราลัยกระมัง”

“เวทย์มนตร์ของดวงจันทร์แห่งมันดราลัยหรือคะ?”

ร่างสูงใหญ่ที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังก้าวขึ้นมาเคียงข้าง เสียงอธิบายเนิบช้าและมัทรีก็นิ่งฟังราวกับต้องมนตร์

“ใช่ ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงขึ้นอยู่เบื้องหลังยอดมันดราลัย แสงจันทร์จะส่องสว่างอยู่เหนือลานอาบจันทร์ และทำให้ดอกน้ำตาพระจันทร์กลายเป็นสีเหลืองนวลอย่างที่คุณเห็นอยู่นี่”

“ดอกน้ำตาพระจันทร์?” มัทรีทวนคำ เบนสายตามาจับยังร่างสูงใกล้ตัว “ทำไมชื่อเศร้าอย่างนั้น?”

“ก็เพราะตำนานอันน่าเศร้าของมันน่ะสิ”

“ตำนาน?”

“เป็นตำนานว่าด้วยความรัก การพลัดพราก และกำเนิดของดอกน้ำตาพระจันทร์”

วินธัยเอ่ยช้า เสียงทุ้มของเขากังวานอยู่ในความเงียบสงัด ดวงหน้าคมคร้ามอาบแสงจันทร์ทำให้แลดูอ่อนโยน มัทรีได้แต่แหงนมองดูหน้าเขาอย่างเผลอไผล

หล่อนสะดุ้งนิดหนึ่ง เมื่อเขาเหลียวมาสบตา

“เอ้อ เล่าตำนานที่ว่าให้ฉันฟังบ้างสิ?”

“ไม่ยักรู้ว่าคุณก็ชอบตำนานปรับปรากับเขาด้วย” คนพูดยิ้มล้อ

“ชอบสิคะ แต่อยู่ที่ว่าคุณเล่าสนุกหรือเปล่า?”

“ก็ได้ ผมอาจจะเล่าไม่สนุกนักหรอก แต่เรื่องราวของมันก็มีเวทย์มนตร์เพียงพออยู่แล้ว”

กังวานเสียงทุ้มต่ำของวินธัยสะท้อนอยู่ในความสงัดเงียบและเยือกเย็น เขาถอนใจนิดหนึ่งก่อนตั้งต้นเล่า

“...เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นที่หญิงสาวและชายหนุ่มคู่หนึ่ง หญิงสาวเป็นหญิงที่งดงามที่สุดคนหนึ่ง และชายหนุ่มก็เป็นผู้ชายที่เข้มแข็งกล้าหาญที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน...ทั้งสองคนตกหลุมรักกันและกัน และลงเอยด้วยการแต่งงานอย่างมีความสุขทำนองเดียวกับเรื่องรักโรแมนติกทั้งหลาย...แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองไม่อาจครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป เพราะหลังแต่งงานได้เพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็ถูกเกณฑ์ให้ไปรบ...แม้จะโศกเศร้าเสียใจเพียงใด แต่พวกเขาก็จำต้องพรากจากกัน ก่อนจากกันชายหนุ่มขอให้คนรักของเขาเฝ้ารอวันที่เขาจะกลับมา...พวกเขาทำสัญญากันว่าหญิงสาวจะมารอเขายังลานแห่งนี้ทุกวัน เพื่อที่ว่าเมื่อคนรักของนางกลับมา จะได้มองเห็นนางยืนรออยู่กลางที่ราบโล่งกว้างแห่งนี้ได้แต่ไกลๆ...”

“วันคืนผ่านไป...จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี หญิงสาวเฝ้ารอคอยด้วยใจจดจ่อ...นางเฝ้าอธิษฐานขอพรจากดวงจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือยอดมันดราลัย ขอให้คนรักของนางปลอดภัย ขอให้เขาได้กลับคืนมา...”

“แต่เขาก็ไม่กลับมา...” มัทรีคาดเดา

“ใช่ รอแล้วรอเล่าเขาก็ไม่กลับมา จนกระทั่งหญิงสาวล้มป่วยลงด้วยความตรอมใจ”

“เศร้าจัง...” หล่อนพึมพำ

“แต่ตอนที่เศร้าที่สุดของตำนานก็คือว่า...หญิงสาวตรอมใจจนตาย และด้วยคำอธิษฐานของนางที่ปรารถนาจะเฝ้ารอคนรักอยู่ยังที่ราบแห่งนี้ตลอดไป นางจึงได้ไปอยู่บนดวงจันทร์และเวียนกลับมาดูทุกๆ สิบห้าวันว่าคนรักของนางกลับมาแล้วหรือยัง...และทุกครั้งที่ไม่ได้พบกัน นางก็จะหลั่งน้ำตาออกมา หยดน้ำตานับจำนวนไม่ถ้วนเหล่านั้นต้องแสงจันทร์และกลับกลายเป็นดอกไม้เล็กกระจิด...นั่นแหล่ะ ดอกไม้นี้จึงได้ชื่อว่า ‘น้ำตาพระจันทร์’”

“เป็นตำนานที่น่าเศร้ามาก” ว่าพลางถอนใจยาว “แล้วสุดท้ายชายหนุ่มคนนั้นได้กลับมาไหมคะ?”

“ไม่มีใครรู้หรอก บางทีเขาอาจจะตายไปในสนามรบนานแล้วก็เป็นได้”

“ถ้าอย่างนั้นนางก็ต้องเฝ้ารอตลอดไปน่ะสิ” แววตาคนพูดเลื่อนลอยคล้ายดำดิ่งลงสู่ความโศกสลดของเรื่องราวนั้นอย่างจริงจัง “น่าสงสารผู้หญิงคนนั้นนะคะ”

“โธ่ มันเป็นเพียงตำนานเท่านั้นเอง มัทรี” วินธัยว่า น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นนักข่าวสาวดูจะซึมไปเล็กน้อย คงเพราะหล่อนเกิดความรู้สึกคล้อยตามตำนานที่เขาเล่า

“ถึงจะเป็นแค่ตำนาน แต่มันก็น่าเศร้าไม่ใช่หรือคะ ถ้าเราจะต้องรอคอยใครสักคนโดยไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมา หรือแม้แต่ว่าเขาจะกลับมาหรือไม่”

“คุณพูดเหมือนกับเคยรอใครมาก่อนอย่างนั้นแหล่ะ”

“ยังไม่เคยหรอกค่ะ แต่ฉันคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก”

เสียงหัวเราะเบาๆ มาจากคนยืนเคียงข้าง เขาขยับเข้ามาใกล้ แล้วโน้มร่างลงมากระซิบ

“แล้วถ้าคุณเป็นหญิงสาวตามตำนานคนนั้น คุณจะรอเขาไหม?”

มัทรีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะ “ไม่รู้ซีคะ ฉันไม่แน่ใจ ฉันยังไม่มีใครที่สำคัญพอจะให้เฝ้ารอนานขนาดนั้น”

“...แล้วถ้าคนคนนั้นเป็นผมล่ะ...คุณจะรอไหม?”

เสียงถามไม่ดังไปกว่าการกระซิบ แต่ในระยะห่างเพียงเท่านี้กับความเงียบสงัดของยามราตรี มัทรีได้ยินคำถามนั้นอย่างชัดเจนและไม่อาจเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังถ้อยคำนั้นได้เลย หล่อนจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความฉงนฉงาย วินธัยมองกลับมาด้วยสายตาตรง ไม่มีทีท่าว่าล้อเล่นหรือความหมายอื่นใด หญิงสาวตัดสินใจเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา

“ทำไมฉันถึงจะต้องรอคุณด้วยคะ?”

วินธัยยิ้ม ดวงตาสีกลางคืนล้อแสงจันทร์เป็นประกายระยิบ ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อมา แววหวานจากนัยน์ตาทำให้ลมหายใจของมัทรีแทบจะขาดห้วงไป

“เพราะผมอยากให้คุณรอ...”

นั่นคำสั่งหรือคำขอร้อง! หญิงสาวก็ยังไม่แน่ใจ แต่สายตาคมกล้าที่มองตรงมามีอำนาจบางอย่างที่ทำให้หล่อนได้แต่ตะลึงงัน ไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำเมื่อเจ้าของดวงตาคู่นั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วดึงหล่อนเข้ามาไว้ในวงแขน อย่างรวดเร็วและง่ายดายที่สุด

มัทรีไม่ได้รังเกียจอ้อมแขนของนายพันตรีหนุ่มเลยสักนิด จริงๆ แล้วหล่อนไม่อาจคิดอะไรออกได้เสียด้วยซ้ำ ในสมองขาวโพลนและแม้แต่อากาศอันหนาวเหน็บเมื่อแรกก็แทบจะหมดความสำคัญ เมื่อใบหน้าที่ห่างออกไปเพียงคืบค่อยๆ ก้มลงมาหา...

บางที...อาจเป็นเพราะเวทย์มนตร์ของดวงจันทร์แห่งมันดราลัย หรือเป็นไปได้ว่าสายตาคมกล้าของเขามีอำนาจดึงดูดทุกอย่างที่อยู่ใกล้ หล่อนจึงทำได้เพียงแค่แหงนเงยมองดูเงาร่างของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้า พละกำลังและเรี่ยวแรงที่จะแข็งขืนเหือดหายไปหมดสิ้น หัวใจบีบและคลายสลับกันไปมา รู้สึกราวกับว่ากำลังดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความลึกล้ำแห่งนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้น

แต่ก่อนที่จะดำดิ่งลึกลงไปกว่านั้น สัมผัสอุ่นนุ่มอย่างหนึ่งก็แตะลงบนกลีบปากของมัทรี แทบไม่รู้สึกในทีแรกเพราะสัมผัสนั้นแผ่วเบาและผละไปรวดเร็วคล้ายกับจะยั่วล้อ ยังไม่ทันที่หล่อนจะคิดอะไรออก ริมฝีปากของเขาก็หวนกลับมาใหม่ และคราวนี้วินธัยจูบหล่อนเนิ่นนาน อย่างอ่อนโยนและอ่อนหวาน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเร่งเร้า รุกราน แต่ก็หวานล้ำจนร่างบอบบางสั่นสะท้านและอ่อนยวบลงในวงแขน

นายพันตรีหนุ่มรวบร่างนั้นเข้ามาแนบอก ความอุ่นนุ่มชนิดหนึ่งเบียดชิดกับแผงอกกำยำและจุดไฟปรารถนาของชายหนุ่มให้ลุกโชน หากแต่เขาก็ทำเพียงเฝ้าวนเวียนลิ้มรสหวานละมุนจากมัทรีอย่างไม่รู้จักอิ่มเต็ม ร่างเล็กของหล่อนสะท้านสั่น แผงขนตารอบเปลือกตาที่ปิดสนิทสั่นพริ้วด้วยความวาบหวามลึกล้ำ สิ้นไร้เรี่ยวแรงราวกับวิญญาณถูกดึงดูดติดไปกับปลายลิ้น

ลมหายใจถี่กระชั้นและบางครั้งก็ขาดห้วง หญิงสาวรู้สึกเหมือนจะขาดใจ ไม่รู้ว่าความทรมานอันแสนหวานนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด คาดเดาไปเองว่าเมื่อมันหยุดลง หล่อนก็คงจะรอดตาย

หากแต่เมื่อวินธัยถอนริมฝีปากออก ก็กลับกลายเป็นหล่อนเองที่เรียกร้องโหยหา หญิงสาวเป็นฝ่ายเบียดกายเข้าหาร่างแข็งแกร่ง โอบแขนรอบลำคอของเขาก่อนจะโน้มใบหน้านั้นให้กลับมา จูบของมัทรีครึ่งกล้าครึ่งกลัวและไร้เดียงสา ทว่าก็มีผลให้ชายหนุ่มต้องตอบสนองหล่อนด้วยรสจูบที่ทำให้ทั้งคู่ดำดิ่งลงสู่ ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ เป็นความรู้สึกที่ชวนให้ถวิลหาหากว่าจะต้องพรากจากกันไปเสียตรงนี้

ร่างสองร่างเกี่ยวกระหวัดกันแทบจะกลืนเป็นร่างเดียว ภายใต้แสงของดวงจันทร์แห่งมันดราลัยซึ่งสุกสกาวเป็นนวลสว่าง ราวกับเป็นพยานให้กับเวทย์มนตร์อีกชนิดหนึ่งซึ่งมนุษย์ทุกคนก็อาจดลบันดาลให้เกิดมีขึ้นมาได้

เป็นเวทย์มนตร์อันแกร่งกล้า...ที่สามารถหลอมหัวใจสองดวงให้เป็นหนึ่งเดียว


(จบตอนที่ 22)




 

Create Date : 23 มีนาคม 2552
8 comments
Last Update : 3 เมษายน 2552 17:28:57 น.
Counter : 455 Pageviews.

 

ตื่นเต้นค่ะ เขียนเก่งจังเลย
คงได้พบกันในงานสัปดาห์หนังสือนะคะ

 

โดย: nathanon 24 มีนาคม 2552 13:34:40 น.  

 

ได้พี่โกมานอนกอดแว้ววววนะ คุณชญา
ขาดแต่ลายเซ็นต์ .. อุอุ

Photobucket

 

โดย: Paulo 30 มีนาคม 2552 14:14:31 น.  

 

อู้วว ดีใจจัง ขอบคุณค่าคุณฟี่
ลายเซ็นเดี๋ยวไปเซ็นให้วันที่ 4-5 นะ
(ประทับจูบด้วย จุ๊บๆ)

 

โดย: ชญาลี 30 มีนาคม 2552 23:56:28 น.  

 

แจกลายเซ็นต์แถมจูบ ... อิอิ
เรตติ้งกระฉูดแน่
.
.
ว่าแต่ ขอ 2 ทีได้ม่ะ

 

โดย: Paulo 31 มีนาคม 2552 7:43:43 น.  

 

ไปที่บูธ 0 37 เมื่อวันที่ 2 ไม่พบนักเขียน "อุ่นรัก ณ ปาย"

แล้วเมื่อไรจะได้รู้จัก.....ร้องเพลง "รอ" ไปก่อนซินะเรา.....

 

โดย: nathanon 4 เมษายน 2552 8:23:31 น.  

 

ฟี่แวะไปที่บูธมาเมื่อบ่าย
เค้าบอกว่าคุณชญา ไม่สบาย เลยไม่ได้มา
เลยอดเจอกันเลยเนอะ
แต่ไม่เป็นไร คงได้เจอกันซักวัน
หายไว ๆ ค่ะ

 

โดย: Paulo 4 เมษายน 2552 17:21:34 น.  

 

ไปซื้อ อุ่นรัก ณ ปาย มาแล้วค่ะ
เขียนดีมากๆเลย

 

โดย: Jute IP: 115.67.146.183 4 เมษายน 2552 17:55:36 น.  

 

ฟี่ยังไม่เคยไปงานหนังสือแล้วได้ 2 เล่ม 3 เล่มซะทีค่ะ
ไปทีไร กรอบบบบบบไปเป็นเดือน
แต่เป็นอย่างที่คุณชญาว่า บางเล่มนอนอยู่บ้านตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังไม่ได้อ่านซักบรรทัดก็มี..แหะ ๆ


((แอบกระซิบ ..))
ตั้งใจไปหาคุณชญา คราวนี้ ตลกตัวเองมากเลย
พอเดินไปเห็นบูธ ทำเดินเนียนผ่านก่อน 1 รอบ ด้วยอาการ เขินจัด
ใช้สายตาโฉบเจอแต่หน้าเด็ก ๆ โอ๋ยย ๆ
คุณชญาสงสัยจะเป็นรุ่นน้องฟี่เหรอเนี่ย
โฉบกลับมา ถามหรือไม่ถามดี เล็งไว้คนว่าคนนี้แน่เลย
พอเดินเข้าไปถามหา ปรากฎว่าเค้าบอก คุณชญา ป่วย
555 .. เขินเก้อเลย

เสียดายที่ไม่ได้เจอคุณชญา เหมือนกันนะคะ
คงได้เจอกันตอนพี่วินธัยออกเป็นหนังสือเนอะ

 

โดย: Paulo 9 เมษายน 2552 13:46:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.