....but poetry, beauty, romance, love. These are what we stay alive for. -Dead Poet Society-
Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
19 เมษายน 2552
 
All Blogs
 

ใต้มนตร์จันทร์ มันดราลัย ตอนที่ 23-24

-ตอนที่ 23-


เนิ่นนานราวกับโลกจะหยุดหมุน เมื่อวินธัยถอนริมฝีปากออก ฝังจมูกลงบนพวงแก้มและเปลือกตาของคนในอ้อมกอดด้วยความเสน่ห์หา จ้องดูมัทรีซึ่งกำลังเหม่อลอยเคว้งคว้างคล้ายตกอยู่ในอาการครึ่งฝันครึ่งจริง

แต่เพียงครู่เดียวก็คล้ายกับว่าหล่อนเพิ่งคืนสติ ดวงหน้าเรียวนั้นแดงซ่านขึ้นทันใด แววไหววูบตกประหม่าปรากฏชัด หล่อนก้มหน้างุด ทำท่าจะเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา

หากแต่นายพันตรีหนุ่มกลับยุดร่างนั้นไว้ ออกแรงดึงเพียงนิดหนึ่งหล่อนก็ปลิวเข้ามาปะทะกับแผงอก เขาโอบหล่อนเอาไว้ด้วยอ้อมกอดอันแผ่วเบาและนุ่มนวล จุมพิตแสนอ่อนโยนประทับลงบนหน้าผากละมุน

“ว่าอย่างไร? ตกลงคุณจะรอผมไหม?” เขากระซิบถาม

มัทรีเงอะงะด้วยทำอะไรไม่ถูก หล่อนแทบไม่รู้ตัวเลยสักนิด จำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เริ่มต้นและจบลงได้อย่างไร หญิงสาวทำได้แต่เพียงขืนตัวออกจากอ้อมแขนอันแข็งแกร่ง แล้วอ้อมแอ้มมาว่า

“เราต้องไปต่อไม่ใช่หรือคะ?”

เสียงวินธัยเหมือนหัวเราะ เขายินยอมปล่อยมือจากหล่อนในที่สุด ทอดสายตาอ่อนโยนตามร่างบอบบางที่หันหลังให้แล้วก้าวนำกลับไปยังโพรงหินที่อาศัยนอนเมื่อแรก ข่มความปรารถนาที่อยากจะดึงร่างนั้นกลับมากอดไว้แนบอกและจูบหล่อนซ้ำอีกหลายๆ ครั้งจนกว่าจะพอใจ

รสหวานจากริมฝีปากสีกุหลาบยังซ่านอยู่ในหัวใจของชายหนุ่ม หัวใจอันแข็งแกร่งและเยียบเย็นซึ่งหลอมละลายลงไม่ผิดอะไรกับหิมะที่ต้องประกายร้อนของดวงอาทิตย์

หากแต่มัทรีคงเป็นดวงอาทิตย์อันทอแสงอ่อนในยามเช้า หรือไม่ก็แสงอุษาอันราประกายกล้าในเพลาเย็น หล่อนจึงไม่ได้แผดเผาให้เขาไหม้เป็นจุณไป

แต่ก็มีกำลังพอที่จะสร้างความรู้สึกอันละไมขึ้นในหัวใจของพันตรีวินธัยแห่งกองทัพอัคคาเหนือ


มัทรีสาวเท้าต่อไปโดยไม่หยุด ถ้าไม่ติดว่าหนทางขรุขระและเต็มไปด้วยอันตราย หล่อนคงออกวิ่งตื๋อไปด้วยความกระดากอายเกินกว่าจะสู้หน้าเขาได้ และเมื่อวินธัยสาวเท้าตามมาทันแล้วยื่นมือใหญ่ออกมาให้ หญิงสาวก็วางหน้าไม่สนิท อกใจเต้นโครมครามจนเกรงว่าเขาจะได้ยิน หล่อนแกล้งทำเฉยเสียด้วยกลัวว่าหากเขาเข้ามาใกล้ เขาต้องล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของหล่อนเป็นแน่

แต่แม้จะปฏิเสธการจับจูงจากเขาได้ แต่หล่อนก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกเร้นลับในหัวใจตน ซึ่งร่ำร้องปรารถนาจะกลับไปอยู่ใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง...นั่นเป็นเพราะเวทย์มนตร์แห่งดวงจันทร์ หรือเพราะความปรารถนาในใจของหล่อนเอง มัทรีก็ยังไม่แน่ใจ


วินธัยเก็บห่อเสบียงขึ้นมาผูกเป็นปมไพล่ไว้ด้านหลังเหมือนเมื่อครั้งออกเดินทางใหม่ๆ นอกจากเสบียงเล็กน้อยที่เหลือก็ยังมีกิ้งก่าทะเลทรายตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในนั้น ตั้งใจว่าเมื่อตะวันขึ้นค่อยจัดการมันเสียให้เรียบร้อย

“หิวไหม?” เขาหันไปถามมัทรีที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ “เรามีเสบียงเหลืออยู่นิดหน่อย คุณจะกินสักหน่อยก็ได้นะ แต่ถ้าอยากกินสเต๊คย่างร้อนๆ คงต้องรอนิด ลงไปข้างล่างและตะวันขึ้นแล้ว ผมจะหาเชื้อเพลิงมาก่อกองไฟย่างให้”

เขาพูดยาวเหยียด แต่มัทรีกลับยืนเฉยคล้ายไม่ได้ยิน ต่อเมื่อเขาเรียกชื่ออีกครั้ง หล่อนจึงสะดุ้งขึ้นอย่างเพิ่งรู้สึกตัว

“เอ้อ...ง่า ไม่หิวค่ะ” ตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองดูเขา หากพอสบตากัน หล่อนก็เบือนไปอย่างรวดเร็ว ใต้แสงจันทร์นวล นายพันตรีหนุ่มแน่ใจว่าพวงแก้มนั้นขึ้นสีเรื่อ

วินธัยยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นกิริยาของคนตรงหน้า เขาฉวยมือหล่อนไปกุมไว้ ซึ่งมัทรีก็ไม่ได้ขัดขืน ว่าอันที่จริง หล่อนก็ไม่รู้จะขัดขืนเขาไปทำไม ถึงอย่างไรเขาก็คงบังคับเอาจนได้ด้วยการยกเหตุผลว่ากลัวหล่อนจะพลาดพลั้งหกล้มไป เพราะมองไม่เห็นทางในความสลัวรางของค่ำคืนนี้

แต่คราวนี้ชายหนุ่มกลับยกมือบางของมัทรีขึ้นประทับริมฝีปาก จูบแผ่วเบาบนรอยแดงจางๆ บนหลังมือ ก่อนยิ้มให้ดวงหน้าที่เอาแต่ตกตะลึง

“ไปกันเถอะ”

กล่าวสั้นๆ ร่างสูงใหญ่ก็ออกเดินนำหน้า และเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว มัทรีสาวเท้าตามไปด้วยความเร็วปกติ หากแต่ในใจครุ่นคิดอย่างว้าวุ่น

ยอดมันดราลัยปรากฏชัดเจนอยู่เบื้องหน้า แสงจันทร์อันสุกสกาวช่วยขับไล่ความมืดของราตรีกาลและส่องนำทางให้แก่มนุษย์สองคนที่ป่ายปีนตามกันไป

คงมีเพียงความลี้ลับในหัวใจเท่านั้น ที่ดวงจันทร์อันอำไพหรือแม้แต่แสงสว่างใดๆ ก็ไม่อาจส่องเข้าไปถึง...



เกือบตีสามแล้ว เมื่อท่านทูตสุวิกรมถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงกรีดดังของโทรศัพท์ในห้องนอน เขาควานมือเปะปะไปเปิดโป๊ะไฟตรงหัวเตียง หยิบแว่นสายตามาสวมพลางหยีตาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเล็ก เวลาขนาดนี้ คนที่โทรมาคงมีธุระด่วนมากจริงๆ มิฉะนั้นคงไม่กล้าโทรมาในยามวิกาลเช่นนี้

ตัวแทนรัฐบาลไทยลุกขึ้นนั่งทันทีก่อนคว้ากระบอกโทรศัพท์ขึ้นรับสาย

“ขอประทานโทษครับท่าน ที่โทรมาเวลานี้” เป็นเสียงเลขานุการส่วนตัวของเขานั่นเอง

“มีอะไรหรือ? ธวัช” ถามทันที เมื่อจับกระแสเสียงของอีกฝ่ายได้ว่าไม่สู้ดี

“เกิดเรื่องในอัคคาเหนือครับ” ธวัชหยุดนิดหนึ่ง “ประชาชนชาวอัคคาเหนือลุกขึ้นประท้วงเมื่อราวเที่ยงคืนที่ผ่านมา จนตอนนี้เหตุการณ์ลุกลามกลายเป็นจลาจลไปทั่วทั้งกรุงมันตรา...จอมพลคาลันกำลังออกแถลงการณ์ฉบับล่าสุดทางโทรทัศน์ครับท่าน”

ท่านทูตสุวิกรมคว้ารีโมทข้างตัวขึ้นกดปุ่มทันที โทรทัศน์บนชั้นวางปลายเตียงกำลังฉายภาพประธานาธิบดีแห่งอัคคาซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ เบื้องหน้าเขาคือไมค์โครโฟนและเอกสารแผ่นบางๆ ที่ถือไว้สำหรับอ่าน จอมพลคาลันมีสีหน้าเคร่งเครียด หัวคิ้วกดลึกจนทำให้ใบหน้าสีทองแดงดูน่ากลัว

“...ด้วยประชาชนชาวอัคคาเหนือซึ่งหลงเชื่อในคำกล่าวอ้างและยุยงของฝ่ายกบฏอัคคาเหนือ ได้ก่อการประท้วงและลุกลามกลายเป็นการจลาจลขั้นรุนแรง กองทัพอัคคาใต้ได้พยายามควบคุมการจลาจลดังกล่าวด้วยสันติวิธี แต่ก็ไม่อาจควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ ทางรัฐบาลและกองทัพจึงขอประกาศใช้มาตราการขั้นเด็ดขาด และจะจับกุมผู้ขัดขืนรัฐบาลและกองทัพทุกคนโดยไม่มียกเว้น ขอให้ประชาชนชาวอัคคาเหนือที่ได้ฟังคำประกาศนี้วางอาวุธ และกลับคืนสู่เคหสถานของท่าน มิฉะนั้น หากได้รับอันตราย เราจะถือว่านี่เป็นการดำเนินการตามกฏหมาย...”

ภาพการแถลงการณ์ตัดจบไปเพียงเท่านั้น โทรทัศน์ยังคงเปิดเพลงชาติของอัคคาต่อไป โดยมีภาพของธงชาติและจอมพลคาลันเป็นฉากหลัง ท่านทูตสุวิกรมสลับช่องเพื่อหารายการข่าวหรืออะไรอย่างอื่นที่จะทำให้ทราบสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ทุกช่องก็ล้วนแต่ถ่ายทอดภาพเดียวกันทั้งสิ้น

“เหตุการณ์เกิดขึ้นได้ยังไง? ธวัช” เขาหันมาสอบถามรายละเอียดจากเลขานุการแทน

“เมื่อก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ประชาชนบางส่วนออกมาชุมนุมประท้วงอยู่หน้าอาคารกองบัญชาการกรุงมันตรา แรกเริ่มก็มีอยู่ไม่ถึงร้อย แต่ยิ่งนานเข้าคนก็มารวมกันมากขึ้น พวกเขาตะโกนด่าทอรัฐบาล และพยายามบุกเข้าไปข้างในครับท่าน”

“เหตุผลของการประท้วงครั้งนี้ล่ะ? เพราะข่าวลือที่ว่าจอมพลคาลันอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนางปรียาวีร์งั้นหรือ?”

“เป็นเหตุผลหนึ่งครับท่านทูต แต่ที่สำคัญ...ดูเหมือนมีข่าวออกมาว่าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้เมืองบันดุคถูกโจมตีด้วยฝีมือทหารอัคคาใต้...” ธวัชเงียบเสียงไปอีก ในขณะที่ท่านทูตสุวิกรมเงี่ยหูฟังด้วยใจจดจ่อ

“ชาวบ้านทุกคนถูกสังหารหมด ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือลูกเด็กเล็กแดงครับท่าน!”

ท่านทูตสุวิกรมหลุดปากอุทานออกมาคำหนึ่ง ก่อนถามเสียงเครียด

“เป็นความจริงหรือ?”

“ผมกำลังตรวจสอบอยู่ครับ ดูเหมือนว่าข่าวจะมาจากพ่อค้าเร่ที่บังเอิญผ่านไปทางนั้นพอดี เขาว่าหมู่บ้านนั้นถูกเผาเกลี้ยง ศพของชาวบ้านถูกโยนทิ้งไว้ในหลุมขนาดใหญ่ท้ายหมู่บ้าน...พวกเขาถูกยิงชนิดจ่อเรียงตัว...”

ท่านทูตหลับตาลงด้วยความรู้สึกเวทนาเมื่อจินตนาการตามคำพูดของคนเล่า ในสมองเริ่มลำดับข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับทราบมาก่อนหน้า ‘หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้เมืองบันดุค’ ตรงกับที่ประธานาธิบดีแห่งอัคคาบอกไว้ว่าเป็นที่ที่กองทัพปะทะกับกองกำลังกบฏอัคคาเหนือก่อนหน้านี้

ทำไมทุกอย่างจึงดูขัดแย้งกันไปหมด? แล้วอะไรที่เป็นเรื่องจริง? อะไรที่เป็นเรื่องเท็จ?

“แล้วสถานการณ์ในกรุงมันตราล่ะ?”

“ทหารอัคคาใต้บางส่วนที่เข้าไปตรึงกำลังไว้ก่อนหน้าพยายามปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปในกองบัญชาการได้ พวกเขาต้องการเข้าไปพบพันเอกราดิช แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้อยู่ที่นั่นครับท่าน ประชาชนเลยไม่พอใจและพากันออกมารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเรียกร้องให้รัฐบาลอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ จอมพลคาลันสั่งการให้กองทัพจัดกำลังเข้าไปเสริม...และดำเนินมาตราการขั้นเด็ดขาดตามที่เขาประกาศครับท่านทูต”

เอกอัครราชทูตไทยหลับตาลงนิดหนึ่ง ครุ่นคิดและตัดสินใจสั่งการอย่างฉับไว

“เรียกเจ้าหน้าที่ของเราเข้ามา ธวัช ผมจะประชุมด่วนภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ เราต้องทราบสถานการณ์ที่แท้จริงให้ได้ ถึงจะประเมินได้ว่าเราจะทำอะไรกันต่อไป”

วางสายโทรศัพท์ลงแล้ว ท่านทูตก็จัดการธุระส่วนตัวด้วยความรวดเร็ว ในสมองคร่ำเคร่งกับการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะซับซ้อนและวุ่นวายกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้แต่ทีแรก

ความคลางแคลงใจในตัวจอมพลคาลันนั้นมีอยู่แล้วในความคิดของเอกอัครราชทูตไทย หากแต่เขายังไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ในเมื่อไม่มีหลักฐานแน่ชัด หวังเพียงแต่ว่าสถานการณ์ต่างๆ จะยังไม่รุนแรงเกินไปจนเป็นผลร้ายต่อฝ่ายตน


ห้องประชุมของสถานทูตไทยประจำกรุงอัคการ์ถูกเปิดใช้ในเวลาใกล้สว่าง ชายและหญิงจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั่งล้อมวงอยู่รอบโต๊ะไม้ตัวใหญ่ พวกเขาถูกปลุกและเรียกตัวเข้ามาด้วยสถานการณ์ด่วนอันไม่น่าไว้วางใจ

“พวกคุณคงทราบสถานการณ์คร่าวๆ กันแล้วนะ ขอโทษด้วยที่ต้องตามตัวมาอย่างกระทันหัน ถึงแม้เหตุการณ์คราวนี้จะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุภายในประเทศอัคคา แต่เพราะคนของเรายังติดอยู่ในดินแดนอัคคาเหนือ เราจึงจะนิ่งนอนใจเสียมิได้” ท่านทูตสุวิกรมกล่าวช้าๆ มาจากที่นั่งหัวโต๊ะ

ทุกคนพยักหน้ารับ ธวัชซึ่งนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของท่านทูตกล่าวเสริมมาอีก

“เหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน เรายังไม่ทราบในรายละเอียด เพราะอย่างที่พวกคุณรู้ ในประเทศนี้การข่าวต่างๆ เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน เรารู้เพียงแต่ว่าประชาชนยังคงชุมนุมกันอยู่ทั่วเมืองมันตรา แต่ไม่รู้ว่าจะชุมนุมไปอีกนานแค่ไหน เพราะอีกไม่ถึงชั่วโมงนี้ กองกำลังของอัคคาใต้ก็จะเข้าไปดำเนินการขั้นเด็ดขาด”

“ผมไม่แน่ใจว่าการปฏิบัติการนี้จะรุนแรงถึงขั้นไหน ใจหนึ่งก็ยังคิดเผื่อเอาไว้ว่าจอมพลคาลันไม่น่าจะใช้วิธีการปราบจลาจลชนิดรุนแรงที่สุด เพราะเขาย่อมต้องกังวลถึงคะแนนเสียงของเขาในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น” ท่านทูตหยุดนิดหนึ่ง กล่าวต่อไปด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ยกเว้นก็แต่ว่าเขาจะไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งอีกต่อไปแล้ว...”

“ท่านทูตหมายถึง...การปฏิวัติตัวเองหรือคะ?” เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งในที่ประชุมถามมาเบาๆ

ท่านทูตสุวิกรมพยักหน้าช้าๆ “ใช่ และนั่นแหล่ะที่จะเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุดสำหรับฝ่ายเรา”

ทุกคนในที่ประชุมเงียบงันกันไปเพราะต่างทราบดีว่าหากจอมพลคาลันตัดสินใจปฏิวัติตัวเองขึ้นมาจริงๆ สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ไม่มีทางสงบลงได้โดยสันติวิธีเป็นแน่

ฝ่ายกบฏอัคคาเหนือซึ่งกำลังดำเนินการเรียกร้องการแบ่งแยกดินแดนอยู่ในขณะนี้ไม่มีทางยินยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นเป็นอันขาด เพราะหากจอมพลคาลันกระทำการปฏิวัติสำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้ครอบครองดินแดนทั้งอัคคาเหนือและอัคคาใต้ โดยไม่มีใครสามารถคัดค้านหรือตรวจสอบเขาได้อีกต่อไป

เหนือปัญหาอื่นใดภายในประเทศนี้ ความปลอดภัยของมัทรีในฐานะตัวประกันซึ่งยังไม่มีใครทราบชะตากรรมย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทุกคนคำนึงถึงอย่างสูงสุด หากแต่สถานการณ์รุนแรงที่ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะในตอนนี้ มีความล่อแหลมและเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ฝ่ายกบฏอัคคาเหนือตัดสินใจกระทำการใดๆ ก็ตามเพื่อบีบบังคับรัฐบาล

นั่นหมายรวมถึงการใช้สวัสดิภาพและความปลอดภัยของมัทรีมาเป็นเครื่องต่อรอง...

“น่าเป็นห่วงคุณมัทรีจริงๆ ครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าว “สถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้ใจเลย โดยเฉพาะเมื่อมีเงื่อนไขทางการเมืองมาเป็นตัวเร่งอย่างนี้ด้วย”

“ถูกต้องแล้วครับ นั่นเป็นสิ่งที่ทางเรากังวลกันมาตลอด” ธวัชเอ่ยช้า “ที่ผ่านมาเราได้แต่ภาวนาว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะยังไม่มีอะไรรุนแรง จนกว่าทางรัฐบาลจะติดตามหาตัวคุณมัทรีจนพบ แต่ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์จะแย่ยิ่งกว่าเดิม และบีบให้คุณมัทรีเดินเข้าสู่จุดอันตรายมากขึ้นทุกที”

“แต่แปลกนะครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งนั่งเงียบๆ มาแต่ต้นเปรยออกมาลอยๆ “ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลักพาตัวคุณมัทรีไปแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นพวกกบฏอัคคาเหนือออกมาแถลงการณ์อะไรจริงๆ สักครั้ง เราได้แต่รับทราบสถานการณ์และข้อต่อรองต่างๆ จากปากของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว”

ท่านทูตสุวิกรมลอบสบตากับเลขานุการส่วนตัว คนที่รู้ถึงคำบอกเล่าของร้อยเอกนาธานที่ว่าพันตรีวินธัยไม่ใช่กบฏ และทุกอย่างเป็นแผนของฝ่ายรัฐบาลนั้น มีเพียงท่านทูต ธวัช คมเดชและธันย์เท่านั้นที่ล่วงรู้

ข้อมูลดังกล่าวดูหลักลอยเกินไปและไม่น่าเชื่อด้วยเหตุผลทั้งมวล แต่กระนั้นเอกอัครราชทูตไทยก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากให้มันเป็นความจริง เพราะนั่นย่อมเท่ากับว่ามัทรีจะปลอดภัยกว่าการที่หล่อนถูกจับตัวไปเพื่อต่อรองกับรัฐบาลตามที่จอมพลคาลันประกาศ

และด้วยสาเหตุนี้เองที่ท่านทูตสุวิกรมตัดสินใจแล้วว่า ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้มาสู่จุดที่เข้มข้นที่สุด หากฝ่ายกบฏที่จอมพลคาลันอ้างมาโดยตลอดยังกบดานเงียบต่อไปเหมือนที่แล้วมา เขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งที่ผู้นำสูงสุดแห่งอัคคาประกาศออกมาก่อนหน้านี้นั้น...ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

“แล้วตอนนี้เราจะทำอะไรได้บ้างคะ?” เจ้าหน้าที่สาวคนเดิมเอ่ยถาม

“ผมอยากให้พวกคุณพยายามหาข่าวที่เชื่อถือได้มากที่สุด ผมต้องการทราบสถานการณ์ในปัจจุบัน ก่อนที่จะดำเนินการอย่างใดต่อไป” ท่านทูตสุวิกรมกล่าวเป็นเชิงออกคำสั่ง ยังผลให้ทุกคนในที่นั้นพยักหน้ารับ ก่อนแยกย้ายกันออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย เหลือเพียงตัวเขา ธวัช และเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งซึ่งจะทำหน้าที่ประสานงานข้อมูลกับฝ่ายต่างๆ ต่อไป


ก่อนเก้าโมงเช้า รายงานความคืบหน้าล่าสุดจึงเดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่สถานทูตหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมประชุมด้วยกันเมื่อตอนรุ่งสางเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมเอกสารแผ่นบางๆ ในมือ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านทูตครับ กองทัพอัคคาใต้ส่วนใหญ่ได้ตรึงกำลังรอบกรุงมันตราไว้หมดแล้ว ปฏิบัติการทั้งหมดเพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง” เขารายงานรวดเร็ว

“แล้วชาวเมืองมันตราล่ะ พวกเขายินยอมสลายการชุมนุมเองหรืออย่างไร?”

“เปล่าครับ” เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยต่อมา “หน่วยปราบจลาจลพร้อมอาวุธครบมือเข้าสลายการชุมนุมตามคำสั่งของจอมพลคาลัน และ...มีรายงานผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ผมกำลังพยายามตรวจสอบจำนวนที่ถูกต้องครับท่าน”

ท่านทูตสุวิกรม ธวัชและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ในที่นั้นตกตะลึงไปในทันที แม้จะคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่น่าจะปรากฏผลออกมาในทางที่ดีนัก แต่ก็ไม่คิดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะมากถึงเพียงนี้

และแน่นอนว่าสถานการณ์ได้เข้าสู่จุดตึงเครียดอย่างอันตราย จอมพลคาลันไม่ได้กังวลถึงสถานภาพของเขาอีกต่อไปแล้วหรืออย่างไร? เหตุการณ์ครั้งนี้จะบีบบังคับให้ฝ่ายกบฏออกมาตอบโต้ด้วยวิธีการอย่างใด? แล้วปัญหาเรื่องการลักพาตัวมัทรีจะยังได้รับการสนใจจากฝ่ายรัฐบาลอยู่หรือไม่?

เอกอัครราชทูตไทยเอนหลังลงพิงพนัก หลับตาลงเพื่อใช้ความคิด ได้ยินเสียงธวัชถามขึ้นเบาๆ

“เราจะแสดงท่าทีอย่างไรหรือเปล่าครับท่าน?”

“อาจจะ...ธวัช แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” ท่านทูตลืมตาแล้วผุดขึ้นนั่งตรง สั่งการทันที “ต่อสายถึงท่านทูตคล้ากให้ผมด่วนที่สุด ผมคิดว่างานนี้อเมริกาไม่อยู่เฉยแน่”



รัฐมนตรีจาฟาลเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องประชุมทำเนียบรัฐบาลอย่างกระสับกระส่าย เขาเข้ามารอพบผู้นำสูงสุดแห่งอัคคามากว่าสามชั่วโมงแล้ว นับแต่การปฏิบัติการสลายการชุมนุมของชาวเมืองมันตราสิ้นสุดลง จำนวนผู้เสียชีวิตมากมายถูกรายงานเข้ามาเป็นระยะ แม้การอนุมัติให้ใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมจะเป็นคำสั่งตรงมาจากจอมพลคาลันเอง แต่ผลที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้เก้าอี้ประธานาธิบดีสั่นคลอนก็เป็นได้

ในฐานะรัฐมนตรีคนหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ เขาย่อมถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องพูดคุยกับผู้นำสูงสุดของประเทศก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

จอมพลคาลันก้าวเข้ามาในห้องประชุมด้วยสีหน้าไม่สบอารณ์นัก ทันทีที่เห็นผู้ที่มารออยู่ก่อนก็กระชากเสียงถามทันที

“มีอะไร? ท่านรัฐมนตรีจาฟาล ผมกำลังยุ่ง มีเวลาสำหรับคุณไม่มากนักหรอกนะ”

“ท่านประธานาธิบดี ผมได้รับรายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในกรุงมันตราแล้ว...เกรงว่าจะต้องเรียนอะไรบางอย่างให้ท่านทราบ”

“อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร เรื่องนั้นผมก็ได้รับรายงานแล้วเหมือนกัน มีอะไรหนักหนานักหรือไง?”

“เอ้อ...ผมเกรงว่าการตัดสินใจใช้ความรุนแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งผมได้พยายามขอเข้าพบท่านก่อนหน้าที่คำสั่งจะออกมาหลายครั้งแล้ว แต่ท่านไม่อนุญาต...”

จอมพลคาลันแค่นยิ้ม “ผิดพลาดอย่างไร ท่านรัฐมนตรี?”

รัฐมนตรีจาฟาลอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นประธานาธิบดีแห่งอัคคามิได้มีท่าทีวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ซ้ำยังกล่าวถ้อยคำที่ชวนให้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว

“ท่านก็น่าจะทราบว่าขณะนี้ภาพลักษณ์ของท่านในสายตาประชาชนไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกรณีการลอบสังหารนางปรียาวีร์ รวมถึงปัญหาการลักพาตัวนักข่าวชาวไทยก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข นานาชาติกำลังจับตามองเราอย่างมาก แล้วเหตุใดท่านยังเพิ่มความตึงเครียดให้สถานการณ์ในปัจจุบันนี้อีกเล่า?”

“ผมคิดว่าผมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดที่สุดแล้วนะ ประชาชนพวกนั้นหลงเชื่อคำยุยงปลุกปั่นของพวกกบฏ ออกมาทำลายข้าวของและชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาล ผมได้ออกแถลงการณ์เตือนไปล่วงหน้าแล้วแต่พวกมันก็ไม่ได้สนใจ ผมจึงต้องดำเนินการตามกฏหมายเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาลเป็นสำคัญ”

“แต่ท่านยังไม่ได้ทำแม้กระทั่งการเจรจาด้วยซ้ำไป” รัฐมนตรีจาฟาลแย้ง “ท่านน่าจะทราบว่าการกระทำเช่นนี้จะยิ่งส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภาพลักษณ์และคะแนนเสียงของท่านในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้”

จอมพลคาลันหัวเราะเสียงเย็น ไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศของอัคคาต้องกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าเคร่ง

“ท่านคงลืมไปแล้วกระมังว่าตอนนี้คะแนนนิยมของท่านตกต่ำลงอย่างมาก และเป็นรองนางปรียาวีร์อยู่ไม่รู้กี่เท่า...ขอประทานโทษ...ผมหมายความว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำให้ท่านต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง!”

คราวนี้จอมพลคาลันถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนจะหันมาแสยะยิ้มกับอีกฝ่าย กล่าวเนิบช้าแต่ด้วยน้ำเสียงกร้าวดุดัน

“ผมเข้าใจในเรื่องนั้นดีท่านรัฐมนตรี แต่ผมยังไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรให้ต้องกังวลถึงเพียงนั้น”

“ท่านพูดเหมือนท่านไม่ได้สนใจผลแพ้ชนะในการเลือกตั้ง?”

“อ้อ ผมย่อมสนใจแน่นอนล่ะ จาฟาล...หากว่าปลายปีนี้...จะยังคงมีการเลือกตั้งอยู่ล่ะก็...”

พูดจบเขาก็หมุนตัวออกจากห้องประชุมไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้รัฐมนตรีต่างประเทศจาฟาลยืนหน้าซีดอยู่ด้วยอาการตกตะลึง

‘...หากว่าปลายปีนี้...จะยังคงมีการเลือกตั้งอยู่ล่ะก็...’

ถ้อยคำประกาศของจอมพลคาลันสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในหัว นั่นหมายความว่าอย่างไร? ท่าทีเมินเฉยต่อคะแนนนิยมของตนและคำกล่าวทิ้งท้ายเช่นนั้นทำให้รัฐมนตรีจาฟาลประหวั่นพรั่นพรึง เขาทบทวนเรื่องราวต่างๆ อย่างรวดเร็วก่อนที่จะต้องตั้งคำถามในใจของตนอย่างตื่นตระหนกว่า หรือการเมืองภายในประเทศอัคคากำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งแล้ว?


(จบตอนที่ 23)


-ตอนที่ 24-


จอมพลคาลันก้าวเข้ามาในห้องบัญชาการอย่างองอาจ เมื่อเข้ามาปรากฏตัวอยู่ในห้องนั้น ทหารทุกนายก็ลุกขึ้นทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง พยักหน้าเพียงนิดหนึ่งทหารเหล่านั้นก็นั่งลงปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปโดยไม่มีอาการเชื่องช้าหรือแข็งขืนให้เห็น

ผู้นำสูงสุดของอัคคาพึงพอใจต่ออำนาจในมือตนขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะย่างเท้าไปทางไหน ทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินอัคคาใต้นี้ก็ล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของเขา แล้วเรื่องอะไรเล่าที่เขาจะยอมสูญเสียมันไปด้วยระบอบประชาธิปไตย...ด้วยการเลือกตั้งบ้าๆ นั่น

และแน่นอนว่าไม่เพียงแต่แผ่นดินอัคคาใต้เท่านั้นที่เขามุ่งมาดปรารถนาจะได้ไว้ครอบครอง แม้แต่ดินแดนอัคคาเหนือที่อำนาจในฐานะตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาตอนนี้ยังไม่อาจครอบคลุมไปถึงได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่ยอมรับ จอมพลคาลันก็หมายมาดเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องถือครองมันไว้ให้ได้ทั้งหมด

แผนการดังกล่าวกำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว อาจจะมีบางอย่างนอกเหนือการคาดการณ์อยู่บ้าง อย่างเช่นการลุกฮือขึ้นประท้วงของพวกหน้าโง่อัคคาเหนือเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยลงได้อย่างรวดเร็วด้วยการตัดสินใจเด็ดขาดของเขา

ตอนนี้เหลือเพียงหมากสองตัวสุดท้ายเท่านั้นที่เขาจะต้องจัดการให้เรียบร้อย...เป็นหมากสองตัวที่ยอกอกเขามาหลายวัน ทั้งๆ ที่ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะยุ่งยากวุ่นวายและใช้เวลาจัดการเนิ่นนานกว่าแผนที่วางไว้

คิดถึงตรงนี้หัวคิ้วของจอมพลคาลันก็ขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์

“ติดต่อพลเอกอามีร์!” เขาออกคำสั่งกับนายทหารผู้ทำหน้าที่ควบคุมวิทยุสื่อสาร

ทหารหนุ่มผู้นั้นปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว รอสัญญาณตอบกลับเพียงครู่เดียว เสียงของพลเอกอามีร์ก็ดังออกมาจากลำโพงกระจายเสียงที่ติดไว้รอบห้อง

“ครับ ท่านจอมพล!”

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? อามีร์”

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงขึ้นวานนี้ พลเอกอามีร์ได้รับคำสั่งโดยตรงจากจอมพลคาลันให้เข้าไปควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอัคคาใต้ เขาได้รับอำนาจอย่างเต็มที่ในการปราบปรามความไม่สงบ รวมไปถึงได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธกับกลุ่มผู้ขัดขืน ดังนั้น เพียงไม่นานหลังจากทหารเข้าสลายการชุมนุม ทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบราบคาบลงดุจเดิม

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับท่าน ทหารของเราตรึงกำลังไว้ตามสถานที่สำคัญๆ และจับตัวแกนนำไว้ได้หมดแล้ว”

“ดีมาก” จอมพลคาลันยิ้มอย่างพอใจ “คงไม่ต้องให้ผมบอกใช่ไหมว่าจะทำอย่างไรกับพวกมันต่อไป”

“ครับท่าน” ฝ่ายนั้นตอบกลับมา “ทุกอย่างจะเรียบร้อยและเงียบที่สุดครับ”

ผู้นำสูงสุดแห่งอัคคาพยักหน้าแช่มช้า รู้สึกพอใจที่แผนการต่างๆ คืบหน้าไปด้วยดี ถึงแม้ว่าปฏิบัติการเมื่อคืนที่ผ่านมาอาจทำให้เกิดกระแสต่อต้านอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็รัฐมนตรีต่างประเทศคนหนึ่งล่ะที่แสดงความเห็นขัดแย้ง แต่เขาก็มาไกลเกินกว่าจะหยุดอยู่เพียงเพราะเสียงคัดค้านเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น

หากอำนาจทั้งหมดตกมาอยู่ในมือเสียแล้ว คนพวกนั้นก็หมดความหมาย!

จอมพลคาลันยิ้มเยือกเย็น กล่าวต่อไป “อีกเรื่องหนึ่ง อามีร์! หวังว่าคุณคงยังไม่ลืมคำสั่งสุดท้ายของผม เมื่อวานนี้”

“เอ้อ ครับท่านจอมพล เรื่องการไล่ล่าตัวไอ้วินธัยและนักข่าวคนไทย” น้ำเสียงพลเอกอามีร์แปร่งไปเล็กน้อยขณะทบทวนคำสั่งผู้เป็นนาย

“ต้องให้ผมถามไหมว่ามีความคืบหน้าอย่างใดอีก?”

“พันเอกราดิชกำลังระดมกำลังออกติดตามในบริเวณที่ราบแสงจันทร์ครับท่าน เมื่อวานนี้เราใช้เฮลิคอปเตอร์ออกบินค้นหาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เพราะสภาพภูมิประเทศไม่อำนวย จึงยังไม่ได้เบาะแสใดๆ ครับท่าน”

จอมพลคาลันหรี่ตาลง จ้องมองลำโพงราวกับนั่นคือพลเอกอามีร์ ที่มักจะเผลอตัวสั่นงันงกทุกครั้งที่ถูกจ้องด้วยแววตาเช่นนี้

“ผมบอกพวกคุณหรือยังนะ? ว่าเส้นตายของภารกิจครั้งนี้คือเมื่อไหร่?” เสียงที่กล่าวเรียบสนิท หากแต่คนฟังกลับสัมผัสได้ถึงความเฉียบขาดในน้ำเสียงนั้น

“ครับท่านจอมพล เราต้องได้ตัวมันทั้งคู่ภายในวันนี้แน่”

“ผมคิดว่าผมได้ยินประโยคทำนองนี้จากคุณมาหลายครั้งแล้ว”

“เอ้อ...ครั้งนี้ไม่ผิดพลาดแน่ครับท่าน! ผมขอเอาตำแหน่งของผมเป็นเดิมพัน!”

“ดี อามีร์ ผมจะจำคำพูดของคุณไว้!” จอมพลคาลันเหยียดริมฝีปากออก รอยยิ้มนั้นเคร่งเครียดและเย็นชา เป็นรอยยิ้มน่ากลัวของคนที่มุ่งร้ายต่อศัตรูอย่างที่จะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายรอดพ้นเงื้อมมือไปได้


หลังตัดการสื่อสารกับจอมพลคาลัน พลเอกอามีร์ก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับนายทหารที่ยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหลังของเขา และได้รับฟังการสนทนานั้นโดยตลอด

ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอัคคาใต้กวาดตามองทหารทุกนายในที่นั้น ก่อนหยุดสายตาอยู่ที่นายทหารยศพันเอกที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพอดี

“พันเอกราดิช คุณได้ยินที่ผมพูดหมดแล้วใช่ไหม?”

“ครับ ท่านพลเอก” เขาก้มศีรษะรับ

“เหตุการณ์เมื่อวานนี้อาจส่งผลกับท่านจอมพลอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อยลงทันทีที่เราจัดการกับไอ้วินธัยและนักข่าวชาวไทยได้สำเร็จ และผมก็ได้รับประกันกับท่านจอมพลไปแล้วด้วยตำแหน่งของผมเอง คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าพวกคุณต้องทำยังไง?”

“ครับท่าน วันนี้เราจะต้องได้ตัวมันมาให้จงได้!”

“ดีมาก ราดิช จัดกำลังออกไปค้นหา ผมต้องการได้ตัวพวกมันก่อนตะวันตกดินวันนี้ หรือไม่ ทั้งคุณทั้งผม เราจบด้วยกัน!”

พันเอกราดิชก้มศีรษะรับคำสั่งอย่างนอบน้อม แล้วหันหลังออกไปจากห้องบัญชาการโดยมีนายทหารในบังคับบัญชาของเขาติดตามออกมาด้วย

สีหน้าของนายพันเอกขึ้งเครียด เขาบดกรามกรอดด้วยความขัดเคืองคับข้องใจ

ฝันไปเถอะราดิช ว่าข้าจะยอมจบกับท่านด้วย! เรื่องได้ตัวไอ้วินธัยภายในวันนี้นั้นเป็นอันไม่ต้องห่วง แต่อย่าหวังว่าข้าจะยอมให้ความดีความชอบครั้งนี้ตกเป็นของท่านแต่ผู้เดียว!



หลังอาหารมื้อเช้าที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์กว่าทุกครั้ง เพราะกิ้งก่าทะเลทรายตัวนั้นมีขนาดไม่น้อยไปกว่าแม่ไก่ตัวโตๆ เลย ทั้งวินธัยและมัทรีก็มีกำลังวังชาพอจะออกเดินทางต่อไป แต่ปัญหาเพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คือปริมาณน้ำดื่มที่กำลังจะหมดลงภายในวันนี้

แม้จะได้เปลี่ยนแผนโดยออกเดินทางมาตั้งแต่กลางดึก อากาศยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บช่วยให้มัทรีไม่กระหายน้ำนัก และเรี่ยวแรงของหล่อนก็ไม่ถดถอยลงไปง่ายๆ เพียงแต่ต้องเดินให้ช้าหน่อย เพราะแรงลมกลางที่โล่งแจ้งเป็นอุปสรรคสำคัญ นอกจากจะทำให้อากาศยิ่งหนาวจับใจ ยังพัดเอาฝุ่นดินให้ฟุ้งตลบ จนต้องคอยกระชับผ้าคลุมหน้าให้แน่นหนา ป้องกันไม่ให้ฝุ่นผงเหล่านั้นปลิวมาเข้าปากเข้าตา

ลมแรงเพิ่งจะบรรเทาลงเมื่อตอนรุ่งสางนี่เอง วินธัยจัดการก่อกองไฟโดยใช้ซากพุ่มไม้แห้งในบริเวณนั้นต่างเชื้อเพลิง ถลกหนังและย่างกิ้งก่าตัวนั้นอย่างรวดเร็ว ช่วยกันเติมท้องให้เต็มแล้วก็ออกเดินทางต่อไปโดยใช้เวลาหยุดพักเพียงไม่นาน

“รีบไปก่อนที่ทหารอัคคาใต้จะออกค้นหาเราอีกครั้ง” เขาบอกเพียงสั้นๆ เมื่อฉุดมือหล่อนให้ลุกขึ้นยืน

สีหน้าของชายหนุ่มคร่ำเคร่งกว่าเดิมหลายเท่า เขาประหยัดคำพูดลงและใช้ความคิดมากขึ้น เงียบเฉยจนเกือบๆ จะกลายเป็นนายพันตรีผู้มีสีหน้าเหี้ยมเกรียมและดุดันเหมือนเมื่อครั้งที่มัทรีพบกับเขาครั้งแรก

หล่อนไม่กล้าซักถามอะไรนัก เข้าใจว่าเขาคงต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อครุ่นคิดถึงแผนการรับมือกับฝ่ายตรงข้ามที่คงกำลังติดตามไล่หลังมา ไม่แน่ว่าป่านนี้พวกมันอาจอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักก็ได้

สิ่งเดียวที่พอจะทำให้ใจชื้นว่าเขาไม่ได้ลืมหล่อนก็คือ วินธัยยังคอยหันกลับมาสบตาคนที่เขาจับจูงตามหลังมาเป็นระยะ คอยสังเกตว่าพละกำลังของหล่อนลดน้อยถอยลงบ้างหรือไม่ หรือว่าหล่อนดูอิดโรยอ่อนล้ากว่าเดิมไปมากหรือยัง

จนกระทั่งตะวันขึ้นตรงศีรษะ อากาศอันร้อนอบอ้าวทำให้เรี่ยวแรงของทั้งคู่ถดถอยลงไปอีก แม้จะแข็งใจลากขาตามวินธัยไปด้วยกำลังใจอันแรงกล้าอย่างไร มัทรีก็ไม่อาจฝืนกำลังกายของตนเองที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยไปได้

หล่อนเข่าอ่อนทรุดลงทั้งๆ ที่ฝ่ามือข้างหนึ่งยังถูกวินธัยกำไว้แน่น ร่างโปร่งบางล้มลงกับพื้นโดยที่คนนำหน้าไม่ทันระวัง เพราะใจมัวพะวงแต่อันตรายที่ใกล้จะมาถึงตัว ต่อเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือเล็กบางที่กุมไว้แต่แรกเลื่อนหลุดไปจากมือ เขาก็หันไปพบมัทรีกองอยู่กับพื้นเสียแล้ว

“มัทรี!” ร่างสูงใหญ่ถลาเข้ามาประคองหล่อนไว้ ปากก็ถามรวดเร็ว “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่เป็นไรค่ะ” หล่อนตอบ เงยหน้าขึ้นมาฝืนยิ้มกับเขา

“ขอโทษ ผมมัวแต่คิดอะไรอยู่คนเดียว ถึงไม่ทันคิดว่าคุณอาจจะเหนื่อย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเพียงแต่เข่าอ่อนเท่านั้นเอง ไปกันต่อเถอะ” หล่อนปฏิเสธเพื่อให้เขาคลายกังวล แข็งใจลุกขึ้นยืนโดยมีวินธัยคอยช่วยประคับประคอง

แววตาห่วงใยวนเวียนอยู่ตามดวงหน้าซีดเซียว สีหน้ามัทรีไม่ค่อยดีนักในความรู้สึกของชายหนุ่ม ริมฝีปากบางนั้นแตกร่อนจนเลือดออกซิบ หล่อนขาดน้ำมาเป็นเวลานาน แม้จะได้อาศัยจิบมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี

“พักก่อนเถอะ” เขาว่า เหลียวไปสำรวจดูโดยรอบเพื่อหาที่พักชั่วคราว

โชคร้ายที่ใกล้ๆ บริเวณนั้นไม่มีแม้แต่หมู่หินใดๆ ให้อาศัยหลบเปลวแดดร้อนแรงในยามเที่ยงวันได้เลย ชายหนุ่มประคองมัทรีไปนั่งพิงกับกองหินเล็กๆ สีหน้าของหล่อนขาวซีด แทบปราศจากสีเลือด เท่าที่เขามองเห็นอยู่นี้ ดูเหมือนว่าหล่อนพร้อมจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อ

“อดทนหน่อยนะมัทรี” เขากระซิบ

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอพักสักเดี๋ยว คงจะค่อยยังชั่ว” หล่อนแข็งใจตอบ

“ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” วินธัยว่า ขยับเข้ามาประคองร่างเล็กที่อ่อนระโหยโรยแรงไปทั้งตัว ดึงให้หล่อนเอนหลังพิงกับอกเขา จรดกระติกน้ำเข้ากับริมฝีปากเพื่อเป็นการบังคับกลายๆ มัทรีอึกอักเพียงนิดเดียวแล้วก็ยินยอมดื่มน้ำแต่โดยดี...แม้จะแค่จิบเดียวก็ตาม

วินธัยปิดฝากระติกด้วยจุกไม้ แล้วก็จ้องดูคนที่ยังครึ่งนั่งครื่งนอนอยู่ในวงแขน มัทรีหลับตานิ่ง รู้สึกได้ว่าลมหายใจแผ่วจากร่างนั้นอ่อนล้าแทบหมดกำลัง ชายหนุ่มว้าวุ่นใจเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ระยะทางไปยังจิซูเหลืออีกไม่ไกลนักเมื่อเทียบกับระยะทางที่แล้วมา แต่เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแม้แต่ขณะนี้หล่อนจะยังพอมีแรงเดินต่อไหวหรือเปล่าด้วยซ้ำ

นายพันตรีหนุ่มนึกโกรธตัวเองขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล


“ขอฉันนั่งพักอย่างนี้อีกนิดได้ไหมคะ?” เสียงเอ่ยถามแห้งโหย

“ได้สิ จะหลับก็ได้นะ ถ้าคุณยังไปต่อไม่ไหว”

“ไม่หลับหรอกค่ะ ขอพักแค่เดี๋ยวเดียว” มัทรีว่า ทิ้งน้ำหนักตัวลงในอ้อมแขนของวินธัยซึ่งนั่งผินหลังให้ดวงอาทิตย์ ใช้ร่างใหญ่ๆ ของเขาต่างที่กำบังแดด หวังว่าอย่างน้อยจะช่วยบรรเทาความร้อนให้แก่หล่อนได้

ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยปัดไรผมชื้นเหงื่อที่ระอยู่ตามหน้าผากกลมมน และเช็ดรอยเปื้อนฝุ่นดินตามพวงแก้มให้อย่างแผ่วเบา มัทรีเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วก็เหม่อมองไปยังความรกร้างว่างเปล่ารอบข้าง ที่บัดนี้ไอร้อนกำลังระเหยขึ้นจากพื้น มองเห็นพร่าพรายอยู่เบื้องหน้า แดดจัดจ้าแลบเลียผิวดินราวกับจะเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างให้เป็นจุณ

“เราจะรอดหรือเปล่าคะ?” หล่อนตั้งคำถามมาลอยๆ

วินธัยก้มลงมองคนพูด เอ่ยเสียงเข้มเหมือนจะดุ “ทำไมถามอย่างนั้นเล่า? หรือคุณท้อเสียแล้ว?”

“ใจฉันน่ะไม่ท้อหรอกค่ะ อยากจะลุกขึ้นวิ่งเดี๋ยวนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ร่างกายฉันมันไม่ยอมเชื่อฟังเอาเลย” ท้ายประโยคหล่อนหัวเราะแค่นๆ

ชายหนุ่มกระชับร่างในวงแขนเข้าหาตัว รู้สึกได้ถึงความทอดอาลัยในน้ำเสียง

“ดีแล้วที่คุณมีจิตใจเข้มแข็ง เคยได้ยินไหมว่าหากคนเรามีกำลังใจเสียอย่างแล้ว เรื่องข้อจำกัดทางร่างกายก็เป็นเรื่องเล็ก”

“เคยสิคะ ที่ประเทศของฉัน เรามีคำกล่าวว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”

“ฟังเข้าท่าดีนี่”

“และฉันก็หวังว่าฉันจะทำได้อย่างนั้น” มัทรีว่าพลางถอนใจใหญ่ หล่อนหลับตาลงแล้วก็เอ่ยออกมาเบาๆ “เหมือนคนใจใหญ่อย่างคุณ”

กระแสเสียงนั้นสื่อความหมายชื่นชมมากกว่าประชดประชัน วินธัยยิ้มบางๆ หล่อนคงไม่รู้หรอกว่าเขาเองก็แทบหมดกำลังลงแล้วเหมือนกัน แม้ว่าจะเคยเผชิญหน้ากับความยากลำบากมาแล้วหลายครั้งหลายหน แต่ชายหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาแตกต่างกันมากกับครั้งนี้ เขาอาจเคยผ่านเข้ามายังที่ราบแสงจันทร์นับครั้งไม่ถ้วน จำได้แทบทุกตารางนิ้วว่ามีเนินหินหรือทิวเขาใดขึ้นอยู่ตรงไหน แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาจะได้ย่ำผ่านเข้ามาถึงใจกลางพื้นที่อันแห้งแล้งทุรกันดารด้วยสองเท้า และโดยขาดแคลนเสบียงจำเป็นเช่นนี้

หากแต่กำลังใจอันกล้าแข็งอันเป็นคุณสมบัติของชายชาติทหาร กอรปกับภาระหน้าที่ที่ยังไม่อาจสำเร็จลุล่วงไป คอยกระตุ้นเตือนไม่ให้เขาท้อถอยถอดใจเอาง่ายๆ

เหนือสิ่งอื่นใด หญิงสาวซึ่งกำลังเอนร่างอยู่ในอ้อมกอดของเขานี้ เป็นเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งซึ่งทำให้วินธัยได้ปฏิญาณกับตัวเองไว้อย่างหนักแน่นแล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องพาหล่อนกลับไปยังประเทศของหล่อนให้ได้โดยปลอดภัย

นายพันตรีหนุ่มยึดถือเป็น ‘หน้าที่’ ซึ่งจะต้องทำให้สำเร็จยิ่งกว่าภารกิจครั้งใดๆ


แต่พวกเขาจะไปได้ตลอดรอดฝั่งจริงล่ะหรือ? ในเมื่อขณะนี้หญิงสาวกำลังอ่อนแรงลงทุกขณะ อนาคตข้างหน้าก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อทหารอัคคาใต้กำลังคืบใกล้เข้ามาในทุกวินาที

เขย่ากระติกน้ำตรวจดูปริมาณภายใน พบว่าเหลือติดก้นอยู่เล็กน้อยเท่านั้น น้ำเพียงเท่านี้ไม่อาจช่วยต่อชีวิตไปได้กี่มากน้อย แม้จะรู้ดีว่าจะต้องเขม็ดแขม่ไว้สำหรับเหตุการณ์ข้างหน้า แต่ ณ ปัจจุบันนี้สิที่น่าเป็นห่วงกว่า

วินธัยตัดสินใจในนาทีนั้นเอง เขาเปิดจุกไม้ออกแล้วยกขึ้นจรดริมฝีปากตัวเอง ดื่มเข้าไปอึกหนึ่งแล้วก็ยื่นมาจ่อให้ตรงริมฝีปากของมัทรี

หล่อนเผยอเปลือกตาขึ้นมามอง “ฉันเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่นี้เองนะคะ?”

“ดื่มเถอะ ดื่มเสียให้หมดมัทรี น้ำเล็กน้อยเมื่อครู่นี้ช่วยอะไรคุณไม่ได้มากหรอก ถ้าคุณดื่มอึกสุดท้ายนี้แล้วก็คงจะมีแรงมากขึ้น เราจะได้รีบเดินทางต่อ อย่างน้อยก็คงไกลพอจะยืดระยะทางให้ห่างจากพวกอัคคาใต้ไปได้...”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ?” หล่อนถาม สีหน้าเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม

ยืดระยะทางจากพวกอัคคาใต้ไปได้...แต่จะไปได้ไกลแค่ไหนกันล่ะ? แล้วหลังจากนั้นทั้งเขาและหล่อนจะเป็นอย่างไร ในเมื่อไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดติดตัว

“คุณเชื่อใจผมไหม?” วินธัยถามกลับ “อาจจะฟังดูบ้าดีเดือดไปสักหน่อยที่ผมจะขอให้คุณไปตายกับผมเอาดาบหน้า แต่ถ้าคุณเชื่อใจผม ผมจะพาคุณไปให้ถึงจิซูให้ได้!!”

น้ำเสียงของนายพันตรีแห่งอัคคาเหนือหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว ประกายคมกล้าสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาสีดำสนิท มัทรีจ้องกลับไป แม้จะไม่แน่ใจในอนาคตข้างหน้า แม้จะไม่รู้ว่าหล่อนจะต้องผจญกับความแห้งแล้งกันดารนี้อีกนานแค่ไหน และแม้จะไม่รู้เลยว่าศัตรูจะจู่เข้าถึงตัวเมื่อไหร่

แต่หล่อนรู้และมั่นใจ ว่าคนตรงหน้านี้แหล่ะที่หล่อนจะไว้วางใจ และมอบอนาคตทั้งหมดของตัวไว้กับเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องลังเลเลย

“ค่ะ! ฉันเชื่อใจคุณ” หล่อนตอบ ประสานสายตากับเขาอย่างแน่วแน่ แล้วรับกระติกน้ำ ยกขึ้นดื่มอย่างกระหายจัด

น้ำในกระติกนั้นเหลืออยู่เพียงแค่อึกเดียว แต่ก็เป็นอึกเดียวที่มีค่าราวกับทองคำ เพราะมันทำให้ลำคออันแห้งผากเป็นฝุ่นผงของหล่อนบรรเทาลง มัทรีเพียรยกกระติกขึ้นจดริมฝีปากอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีน้ำเหลืออยู่ภายในแม้แต่หยดเดียว

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบสายตาของวินธัยจับจ้องอยู่ที่หล่อนก่อนแล้ว

“รู้สึกดีขึ้นไหม?” เขาเอ่ยถาม

“ค่ะ” มัทรียิ้ม “ฉันรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ และคงจะมีแรงพอเดินไปกับคุณได้อีกหลายชั่วโมง”

“ไม่ใช่หลายชั่วโมง” เขาส่ายหน้า ยิ้มเยือกเย็น “แต่คุณต้องเดินไปกับผมให้ได้จนถึงจิซู และต่อให้ถึงเวลาที่คุณไปต่อไม่ไหว ขอให้มั่นใจได้ว่าผมจะเป็นคนพาคุณไปเอง!”

ถ้อยคำนั้นหนักแน่นเฉกเช่นเดียวกับความหมายในแววตา มัทรีพยักหน้ารับอย่างปราศจากสงสัย ในวินาทีนี้ หล่อนไม่ได้ภาวนาหรือขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพื่อขอให้มีชีวิตรอดอีกต่อไป หากแต่หล่อนได้วางหัวใจเอาไว้บนฝ่ามือของวินธัยที่ส่งออกมาให้จนหมดทั้งดวงแล้ว...


เรี่ยวแรงของมัทรีกลับคืนมาจริงๆ ราวปาฏิหาริย์ อาจเป็นเพราะน้ำอึกสุดท้ายนั้นเองที่ช่วยต่อพละกำลังและชีวิตของหล่อนไปได้ แต่กระนั้น วินธัยก็จับจูงนำหล่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วปกติ ไม่ได้เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นแต่อย่างใด เพราะเกรงว่าหากรีบร้อนเกินไปก็จะเหนื่อยเร็วขึ้นอีก

นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังประหยัดคำพูดลงยิ่งกว่าเดิม เมื่อจะต้องสื่อสารใดๆ วินธัยก็เพียงหันมาสบตาหล่อน พยักเพยิดให้คอยระวังก้อนหินที่กีดขวางหรือหนทางที่ต้องป่ายปีนขึ้นไปบนเนินอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำใดๆ อีกแล้ว นอกจากอาการสบตากันแต่เงียบๆ เท่านั้น


เกือบสี่หรือห้าชั่วโมงนับตั้งแต่การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะไปเสี่ยงเอาข้างหน้า มัทรีก็เริ่มรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาอีก แม้หล่อนจะแน่ใจว่าสามารถอดน้ำเป็นระยะเวลานานขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ถึงอย่างไรน้ำปริมาณเพียงเล็กน้อยกว่าความต้องการของร่างกายก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย ถึงอย่างนั้น หล่อนก็ยังฝืนทนต่อไปโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว

วินธัยเหลียวมามองดูหน้าคนที่เดินตามมาข้างหลังเงียบๆ พบเข้ากับรอยยิ้มอ่อนจางที่หญิงสาวส่งมาให้ แม้ดวงตาคู่นั้นจะแห้งโหย แต่มันก็ยังคงดูสดใสอยู่บนดวงหน้าซีดเซียวของมัทรี และช่วยให้นายพันตรีหนุ่มมีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด

“แข็งใจหน่อยนะ” เขาเอ่ยสั้นๆ เป็นประโยคแรกนับตั้งแต่ออกเดินทางในครั้งหลังสุด ซึ่งมัทรีก็พยักหน้ารับ แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ

ภูมิประเทศโดยรอบดูคุ้นตามากขึ้นสำหรับพันตรีวินธัย เขาจำได้ว่านี่คืออาณาเขตอันเป็นบริเวณขอบนอกของที่ราบแสงจันทร์ติดกับตอนเหนือของจิซู ซึ่งเคยเข้ามาลาดตระเวณนับครั้งไม่ถ้วนกับกองกำลังใต้บังคับบัญชาของเขา ในสมองของชายหนุ่มมีรายละเอียดเกือบทุกตารางนิ้วในบริเวณแห่งนั้น ชัดเจนและละเอียดละออราวกับคลี่แผนที่ออกกาง

แม้ระยะทางจากนี้ไปจนถึงจิซูจะต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมง แต่เขาก็ใจชื้นขึ้นเป็นกอง เมื่อเริ่มมองเห็นทางรอดขึ้นมารำไร!

แต่ก่อนที่จะได้หันมาแจ้งแก่มัทรีเพื่อให้หล่อนมีความหวังและกำลังกายจะก้าวเดินต่อไป เสียงเครื่องยนต์ชนิดหนึ่งก็ดังกระหึ่มจากเบื้องหลัง และกำลังใกล้เข้ามา

ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายค้นหาเมื่อครั้งก่อนด้วยซ้ำ!

“เสียงอะไรคะ?” มัทรีถามขึ้นอย่างตระหนก พร้อมกับเหลียวขวับไปยังทิศเบื้องหลัง

ในแสงสว่างของตะวันที่ยังไม่ลับทิวเขา กลุ่มม่านฝุ่นสีน้ำตาลที่คลุ้งตลบอบอวลกำลังบ่ายหน้ามายังที่ทั้งสองคนยืนอยู่ เสียงครางกระหึ่มนั้นบอกชัดว่าเป็นรถไม่ต่ำกว่าสองคันซึ่งกำลังห้อตะบึงมาอย่างรวดเร็ว

วินธัยกระตุกแขนมัทรีโดยแรง พูดเร็วปรื๋อ “วิ่งเร็วมัทรี พวกอัคคาใต้!!”

นักข่าวสาวถลาตามแรงกระชากไปโดยไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ ออกวิ่งเต็มฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต ไม่คิดแม้กระทั่งว่าหล่อนจะวิ่งไปจนถึงไหน หรือหล่อนจะรอดพ้นเงื้อมมือของทหารอัคคาใต้ไปได้อย่างไร ในเมื่อฝ่ายนั้นกำลังไล่กวดใกล้เข้ามาด้วยพาหนะที่มีศักยภาพสูงกว่าฝีเท้าของหล่อนหลายเท่า!

ทั้งๆ ที่ออกแรงวิ่งจนเต็มกำลังพร้อมกับฉุดแขนมัทรีตามหลังมาด้วย สมองของวินธัยก็ยังหมุนเร็วจี๋เพื่อคิดหาหนทางรอดไปจากสถานการณ์อันตรายที่จ่อเข้ามาใกล้คอหอยในขณะนี้

อีกไม่กี่ร้อยเมตรข้างหน้านั่น เขาจำได้ว่ามีเนินหินหมู่หนึ่งขึ้นกีดขวางทางอยู่ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เขาต้องอ้อมไปใช้เส้นทางอื่นทุกครั้งที่ลาดตระเวณมาด้วยรถจี๊ปหรือยีเอ็มซี ที่นั่นนอกจากจะเป็นเนินหินสูงชัน กองหินที่ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณยังเป็นปราการธรรมชาติที่จะช่วยกำบังเขาได้อย่างสำคัญ หากว่าวินาทีของการเผชิญหน้าและปะทะกันจะมาถึง

พวกทหารอัคคาใต้บนรถจี๊ปที่กวดไล่หลังมาคงเห็นทั้งคู่แน่แล้ว พวกมันจึงเร่งเครื่องยนต์ให้เร็วขึ้นอีก ได้ยินเสียงยิงปืนขู่มาสองครั้งด้วยซ้ำไป แต่ทั้งวินธัยและมัทรีก็ไม่ได้หยุดชะงักหรือแม้แต่จะหันไปมองให้เสียเวลาสักนิด

“โน่น! เนินหินโน่น ขึ้นไปหลบบนนั้น!” วินธัยตะโกนออกคำสั่งดังลั่น ทันทีที่ไปถึงเชิงเนินสูงชัน เขาก็ส่งร่างของมัทรีให้ปีนนำขึ้นไปก่อน คอยเหลียวดูฝ่ายไล่ล่าพลางคำนวนว่าจะเหลือเวลาอีกนานแค่ไหนพวกมันจึงจะเข้ามาใกล้ แล้วจึงรีบปีนตามหล่อนขึ้นมา

มัทรียื่นมือออกมาช่วยฉุดชายหนุ่มที่ตามขึ้นมาทีหลัง บนเนินนั้นเป็นพื้นที่กว้างขวางจนเกือบจะกลายเป็นที่ราบย่อมๆ อีกแห่งหนึ่ง ทั่วบริเวณล้วนระเกะระกะไปด้วยก้อนหินรูปร่างคล้ายต้นเสาสูงท่วมหัว บ้างก็ใหญ่โตขนาดหลายคนโอบ มองดูเหมือนลานกว้างๆ ที่มีเสาหินขึ้นบดบังอยู่เป็นเหลี่ยมมุม เป็นชัยภูมิสำคัญซึ่งนอกจากจะช่วยกำบังไม่ให้ศัตรูมองเห็นตัวแล้ว ยังเหมาะสำหรับการซุ่มยิงอีกด้วย

วินธัยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อฉุดมัทรีให้เข้าไปซุกหลบอยู่เบื้องหลังหินขนาดมหึมาก้อนหนึ่ง เขาล้วงปืนพกสีดำมะเมื่อมออกมาจากอกเสื้อ มัทรีจ้องดูด้วยอาการตกตะลึง รู้แน่ว่านี่คือเวลาของการเผชิญหน้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ชายหนุ่มเพียงหันมาสบตาหล่อนนิดหนึ่ง เป็นความหมายให้เงียบที่สุด

มัทรีเม้มปากแน่น ตระหนักในความหมายจากแววตาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี หล่อนนั่งเบียดอยู่เคียงข้างเขาโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือติงกาย ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว หากแต่ก็ไม่อาจระงับเสียงกลองที่รัวระทึกอยู่ในอกให้สงบลงได้

จะอยู่หรือตาย...คงตัดสินกันนับแต่วินาทีนี้เอง!!


(จบตอนที่ 24)




 

Create Date : 19 เมษายน 2552
8 comments
Last Update : 27 เมษายน 2552 23:05:46 น.
Counter : 639 Pageviews.

 

อ่านจบแล้วค่ะ สำนวนเหลือร้ยจริงๆ
"ฝังจมูกลงบนพวงแก้ม..." อะไรจะขนาดนั้น ทำไมใช้ถ้อยคำภาษาได้ขนาดนี้

เหตุการณ์จราจลคล้ายๆที่เรากำลังพบเห็นเลยนะคะ ตื่นเต้น

เขียนตอนที่ 24 เร็วๆ อยากอ่าน

ฝากข้อความหลังไมค์ไว้ค่ะ

 

โดย: nathanon 20 เมษายน 2552 7:30:18 น.  

 

โอ้วววว...........คงตื่นเต้นที่ได้คุยกับคุณชญาลี เลยพิมพ์ผิด คำว่า "เหลือร้าย..." ค่ะ ขออภัยด้วย

 

โดย: nathanon 20 เมษายน 2552 7:33:13 น.  

 

เดินเรื่องได้ดีค่ะ


ติดตามอยู่นะคะ


เปนกำลังใจให้ค่ะ

 

โดย: airia IP: 118.173.20.211 20 เมษายน 2552 18:56:35 น.  

 

สนุกมาก ขอบอก ต้องไปหาปายมาอ่านแล้ววววววว

 

โดย: พี่หมูน้อย 26 เมษายน 2552 3:47:17 น.  

 

เสียดายเกินที่จะคะเนได้ เรามิอาจพบกันในงานสัปดาห์หนังสือ แต่มี"อุ่นรัก ณ ปาย" ไว้ในครอบครองแล้ว เพียงเก็บไว้ในตู้หนังสือ ยังไม่ได้อ่าน ถ้าพร้อมเมื่อใดจะวิเคราะห์ / วิจารณ์ อย่างละเอียดให้ผู้เขียนรับทราบ

สำหรับ "ปาย" นั้น มีโอกาสไปเมื่อ 2 เดือนมาแล้ว สวยมากเหลือเกินเหมือนไม่ใช่เมืองไทย แต่...กว่าจะถึงก็สะบักสะบอมสาหัส ทางคดเคี้ยวซะเล่นเอาผู้เฒ่าคนนี้ปวดหัวตาลาย ไม่สามารถนับได้ว่ากี่ร้อยโค้งถนน จังหวัดที่ "ปาย" พักพิงอยู่นี้แอ่งกระทะจริงๆ มีภูเขาอยู่รอบด้านทุกทิศทาง แต่เมืองเขาน่าอยู่นะคะ

รออ่านตอนที่ 25 รวมเล่มเมื่อใดขอจองคนแรก ติดใจค่ะเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย สามารถสร้างสรรค์ตัวอักษรได้ละเมียดละไม พี่ไม่ได้อ่านเพื่อเอาความอย่างเดียว เก็บทุกสิ่งที่สามารถเก็บได้ รวมตลอดทั้งวัฒนธรรมทางภาษา

ขอบคุณที่สร้างความบันเทิงให้กับสังคมยามนี้

ขอบคุณสำหรับคำภาษาไทยที่พิถีพิถันกลั่นกรอง ตรวจสอบ เขียนได้ถูกต้อง หาที่ผิดแทบจะไม่มีเลย

เชิญชวนน้องชญาลีเขียนนวนิยายหรือเรื่องสั้นประกวด มีหลายสำนักที่จัด มั่นใจค่ะว่าไม่ผิดหวังแน่ๆ

เขียนมาซะยาวเหยียดด้วยความอยากคุย "ใต้มนต์จันทร์....." เป็นสื่อโดยแท้

 

โดย: nathanon 28 เมษายน 2552 7:28:42 น.  

 

เอาไว้วันไหนอยากได้เป๋าใบโต ๆ ไปใส่ยอดขายหนังสือ ทั้งพี่โก และพี่วินธัย
มาเคาะประตูบอกได้นะคะ
ยินดี ๆ

 

โดย: Paulo 29 เมษายน 2552 9:12:11 น.  

 

เพิ่งได้อ่านตอน 24 เมื่อไหร่จะได้พิมพ์รวมเล่มคะ เรื่องนี้พระเอกของเราน่ารัก reliable มี flaws นิดหน่อย แต่น่ารักอยู่ดี เหมือนรพินทร์ ไพรวัลย์ไม่มีผิด ฮ่าฮ่า

 

โดย: พี่หมูน้อย 2 พฤษภาคม 2552 9:12:01 น.  

 

เพิ่งเข้ามาเจอค่ะ


โชคดีจิงๆๆ


เรื่องสนุกน่าติ ดตามมั๊กๆๆๆๆๆ

 

โดย: airia IP: 118.173.3.215 4 พฤษภาคม 2552 21:44:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชญาลี
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กวีนิพนธ์...ความงาม
ความใฝ่ฝัน ความอ่อนโยนอ่อนหวาน
และความรักต่างหากเล่า
คือเหตุผลหล่อเลี้ยงมนุษย์เรา
ดำรง "ชีวิต" อยู่บนโลกได้อย่างจริงแท้

-'ปราย พันแสง-

Photobucket



free counters
free counters
Friends' blogs
[Add ชญาลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.