บอลโลกครั้งที่ 13 ที่เม็กซิโก 1986
Logo ฟุตบอลโลก ปี 1986
Mascot
มาราโดน่า พระเจ้าและซาตาน
มาราโดน่าบรรจงจูบถ้วยบอลโลกหลังชนะเยอรมัน
การแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1986 จัดการแข่งขันกันที่ เม็กซิโก ซึ่งรับส้มหล่นได้จัดการแข่งขันในครั้งนี้แทนที่ โคลัมเบีย ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิ์เดิม แต่เนื่องจากแดนโคเคนมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ฟีฟ่า จึงได้จัดการย้ายมหกรรมลูกหนังโลกมาเตะกันที่แดนจังโก้ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์กันว่าทีมจากอเมริกาใต้อย่าง บราซิล และอาร์เจนตินา ที่คุ้นเคยกับสภาพอากาศเช่นนี้ น่าจะได้เปรียบทีมจากชาติจากยุโรป และทำให้ทั้ง 2 ทีมนี้ กลายเป็นทีมเต็งแชมป์ขึ้นมาทันที
มาราโดน่ากับหัตถ์ของพระเจ้านัดพบกับอังกฤษ
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดการแข่งขันที่สนาม อัซเตก้า และจบเกมการแข่งขันคู่เปิดสนามซึ่ง อิตาลี แชมป์เก่าในปี 1982 เสมอกับ บัลแกเรีย 1-1 บราซิล และ อาร์เจนติน่า ก็เริ่มบรรเลงมนต์จากฝีเท้าที่สะกดผู้ชมทั้งโลกเอาไว้ได้ สมกับที่ได้รับการคาดหมายให้เป็นทีมเต็งแชมป์ โดยทีมแซมบ้า เอาชนะ สเปน, แอลจีเรีย และ ไอร์แลนด์เหนือ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในการฟาดแข้งในรอบแรกกลุ่มดี ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสองแบบสบายเกือก ด้วยการทำคะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม และได้ผ่านเข้าไปจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนที่จะโดน ฝรั่งเศส หยุดความร้อนแรงของพวกเขาเอาไว้ได้
Diego Maradona ถูก Lothar Matthaus ของเยอรมันเข้าเสียบ
ในขณะที่ทีม "ฟ้าขาว" ภายใต้การนำทีมของ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ลงเล่นในกลุ่มเอ และประเดิมสนามด้วยการหักด่าน เกาหลีใต้ ได้แบบสบายเท้า ก่อนจะมาเสมอกับ อิตาลี 1-1 และปิดท้ายรอบแรกด้วยการเชือด บัลแกเรีย 2-0 ได้ผ่านเข้ารอบ 2 ด้วยการทำคะแนนเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม เช่นกัน ก่อนที่จะทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ นอกจากนั้นพวกเขาได้สร้างตำนานการแข่งขันนัดที่โลกต้องจดจำไปตลอดกาล ในการลงดวลแข้งกับ อังกฤษ เมื่อ มาราโดน่า ทำ 2 ประตูมหัศจรรย์ ด้วยการใช้มือส่งลูกหนังเข้าสู่ก้นตาข่าย หรือที่เรียกกันว่า "หัตถ์พระเจ้า" ก่อนที่จะ สร้างวีรกรรมเลี้ยงบอลหลบนักเตะทีม "สิงโตคำราม" คนแล้วคนเล่าจากระยะกว่าครึ่งสนามเข้าไปยิงประตูที่ได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ก่อนที่ แกรี่ ลินิเกอร์ ดาวซัลโวฟุตบอลโลกในครั้งนี้ จะยิงประตูที่ 6 ของเขาในฟุตบอลโลก ตีตื้นให้กับทีม "สิงโตคำราม" ไล่มาเป็น 2-1 แต่ก็ไม่ทันการณ์ที่จะช่วย อังกฤษ ให้รอดพ้นจากความพ่ายแพ้ในนัดนี้ไปได้
Sócrates, Elzo, J. César, Edinho, Branco and Carlos; Josimar, Muller, Júnior, Careca and Alemão.
ทางด้าน ฝรั่งเศส ภายใต้การนำทีมของ "นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ ที่พกตำแหน่งแชมป์ยุโรปปี 1982 ติดตัวมาด้วย ได้สร้างเกมการแข่งขันที่ดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ในการฟาดแข้งกับ บราซิล ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อทั้งสองทีมลงเล่นเกมลูกหนังด้วยความสวยงามไร้เล่ห์เหลี่ยม กลโกง และเป็นการแข่งขันที่สนุกสูสีชนิดที่คนทั้งโลกหัวใจจะวาย ก่อนที่ ฝรั่งเศส จะเอาชนะ บราซิล ด้วยการตัดสินด้วยการยิงลูกโทษที่จุดโทษ หลังจากที่ทั้งคู่เสมอกันในระยะเวลา 120 นาที 1-1 ทำให้ ฝรั่งเศส ผ่านเข้าไปเล่นในรอบตัดเชือกได้สำเร็จ ก่อนจะมาโดน เยอรมันตะวันตก ยัดเยียดความปราชัยให้ ในรอบรองชนะเลิศ ทำให้ทีม "ตราไก่" ทำได้ดีที่สุดแค่เพียงอันดับ 3 ของฟุตบอลโลก เมื่อเอาชนะ เบลเยียม ทีมม้านอกสายตาได้ในนัดชิงอันดับ 3
กองหลังสเปนขึ้นโหม่งก่อนกองหน้าบราซิล ผล บราซิลชนะ 1-0
ในขณะที่ทีม "อินทรีเหล็ก" เยอรมันตะวันตก ภายใต้การคุมทีมของ ฟร้านซ์ เบ๊คเค่นเบาเออร์ ซึ่งทำผลงานได้ไม่ดีนัก ในการลงเตะรอบแรกกลุ่มอี เมื่อต้องเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ด้วยสถิติ ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 1 โดยเสียตำแหน่งอันดับ 1 ของกลุ่มให้กับ เดนมาร์ก ซึ่งเอาชนะพวกเขาไปได้ 2-0 แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้เข้าชิงชนะเลิศกับ อาร์เจนตินา เมื่อผ่านรอบสองด้วยการเอาชนะ โมร็อกโก แบบหืดจับ ก่อนจะมาดวลจุดโทษเอาชนะทีมเจ้าภาพ เม็กซิโก ได้อย่างน่าหวาดเสียวในรอบก่อนรองชนะเลิศ และมาพลิกล็อกเอาชนะ ฝรั่งเศส ในรอบรองชนะเลิศ 2-0 ได้เข้าไปชิงชนะเลิศอย่างพลิกความคาดหมายนิดหน่อย
Oliveira ของบราซิล ถูก Camacho ของสเปนเข้าเสียบ
ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ แฟนบอลกว่า 114,590 คน แออัดยัดเยียดกันเข้ามาเป็นประจักษ์พยานให้กับความเยี่ยมยอดของ มาราโดน่า ซึ่งดูเหมือนว่าพระเจ้าได้สร้างเขาขึ้นมาสำหรับฟุตบอลโลกในครั้งนี้อย่างแท้จริง เมื่อ อาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกครั้งที่สอง มาครองได้สำเร็จ ด้วยการเฉือนเอาชนะ เยอรมันตะวันตก ไปด้วยสกอร์ 3-2 และประตูชัยของทีม "ฟ้าขาว" เกิดมาจากการที่ มาราโดน่า จ่ายบอลใส่พานไปให้ ฮอร์เก้ เบอร์รูชาก้า ควบตะลุยพาบอลไปยิงประตูชัยให้ อาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งสร้างนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอีกคนหนึ่งขึ้นมานอกจาก เปเล่ และเขาผู้นั้นก็คือ ดีเอโก้ มาราโดน่า กัปตันทีมชาติอาร์เจนตินา ผู้ชูถ้วย ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ขึ้นเหนือศีรษะในปี 1986
Careca ของบราซิลยิงประตูชัยให้บราซิลชนะ Algeria 1-0
ผลงานของบราซิลในฟุตบอลโลก ครั้งที่ 13 ที่ เม็กซิโก ในปี 1986 แข่ง 5 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 เสมอ
Colin Clarke ของ Northern Ireland กระชากบอลหนีEdhino Ibra ของบราซิล ผลบราซิลชนะ 3-0
นัดแรก Brazil 1 Spain 0 June 1, 1986 สนาม : Guadalajara, Estadio Jalisco คนดู : 65000 คน กรรมการ : Bambridge (Australia) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Sócrates 62'
Socrates ทำประตูชัยให้ชนะ สเปน 1-0
นัดที่ 2 Brazil 1 Algeria 0 June 6, 1986 สนาม : Guadalajara, Estadio Jalisco คนดู : 48000 คน กรรมการ : Mendez (Guatemala) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Careca 66'
Zico ยิงประตู โดยมี Wojcicki ของโปแลนด์เข้าสกัด
นัดที่ 3 Brazil 3 Northern Ireland 0 June 12, 1986 สนาม : Guadalajara, Estadio Jalisco คนดู : 51000 คน กรรมการ : Kirschen (East Germany) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Careca 15', 87', Josimar 42'
Zico ถูกกองหลังโปแลนด์เข้าสกัดล้มลงหน้าเขตโทษ
นัดที่ 4 (รอบ 16 ทีม) Brazil 4 Poland 0 June 16, 1986 สนาม : Guadalajara, Estadio Jalisco คนดู : 45000 คน กรรมการ : Roth (West Germany) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Sócrates 30', Josimar 55', Edinho 79', Careca 83'
Edinho กัปตันทีมชาติบราซิล กับ Michel Platini กัปตันทีมชาติฝรั่งเศษ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ผลบราซิล แพ้จุดโทษ 4-5
นัดที่ 5 (รอบ 8 ทีม) Brazil 1(3) 4 France 1(4) 5 June 21, 1986 สนาม : Guadalajara, Estadio Jalisco คนดู : 65000 คน กรรมการ : Igna (Romania) ผุ้ทำประตูให้บราซิล : Careca 17' (Sócrates : Bats saved,Alemão : scored, Zico : scored,Branco : scored, Júlio César : missed) ฝรั่งเศษ : Platini 40'(Stopyra : scored, Amoros : scored, Bellone : scored, Platini : missed, Fernández : scored)
Alain Giresse ของฝรั่งเศษ ถูก Elzo ของบราซิลเข้าสกัด
จำนวนประตู ฟุตบอลโลกครั้งแรกบราซิลยิงไป 5 ประตู เสีย 1 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 บราซิลยิงไป 1 ประตู เสีย 3 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 บราซิลยิงไป 14 ประตู เสีย 11 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 บราซิลยิงไป 22 ประตู เสีย 6 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 บราซิลยิงไป 8 ประตู เสีย 5 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 บราซิลยิงไป 16 ประตู เสีย 4 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 บราซิลยิงไป 14 ประตู เสีย 5 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 บราซิลยิงไป 4 ประตู เสีย 6 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 บราซิลยิงไป 19 ประตู เสีย 7 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 บราซิลยิงไป 6 ประตู เสีย 4 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 บราซิลยิงไป 10 ประตู เสีย 2 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 บราซิลยิงไป 15 ประตู เสีย 6 ประตู ฟุตบอลโลกครั้งที่ 13 บราซิลยิงไป 13 ประตู เสีย 5 ประตู
รวมฟุตบอลโลก 13 ครั้ง บราซิลยิงไป 147 ประตู เสีย 65 ประตู
Michel Platini พาบอลหนีจากการประกบของ Alemao ของบราซิล
จำนวนนัด ฟุตบอลโลกครั้งแรก บราซิลแข่ง 2 นัด ชนะ1 แพ้ 1 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 บราซิลแข่ง 1 นัด ชนะ - แพ้ 1 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 บราซิลแข่ง 5 นัด ชนะ3 แพ้ 1 เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 5 บราซิลแข่ง 3 นัด ชนะ 1 แพ้ 1 เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 5 แพ้ - เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 5 แพ้ - เสมอ 1 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 บราซิลแข่ง 3 นัด ชนะ 1 แพ้ 2 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 บราซิลแข่ง 6 นัด ชนะ 6 แพ้ - เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 บราซิลแข่ง 7 นัด ชนะ 3 แพ้ 2 เสมอ 2 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 บราซิลแข่ง 7 นัด ชนะ 4 แพ้ - เสมอ 3 ฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 บราซิลแข่ง 5 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 เสมอ - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 13 บราซิลแข่ง 5 นัด ชนะ 4 แพ้ 1 เสมอ -
รวมฟุตบอลโลก 13 ครั้ง บราซิลแข่ง 62 นัด ชนะ 41 แพ้ 11 เสมอ 10
Zico กระชากบอลหนี Batiston ของฝรั้งเศษ
TOPSCORERS Gary Lineker (ENG) 6 goals Diego Maradona (ARG) 5 goals Emilio Butragueño (SPA) 5 goals Careca (BRA) 5 goals Preben Elkjær-Larsen (DEN) 4 goals Igor Belanov (SOV) 4 goals Jorge Valdano (ARG) 4 goals Alessandro Altobelli (ITA) 4 goals Rudi Völler (GER) 3 goals Jesper Olsen (DEN) 3 goals Jan Ceulemans (BEL) 3 goals Nico Claesen (BEL) 3 goals
Socrates ยิงจุดโทษให้บราซิลขึ้นนำฝรั่งเศษ 1-0
VARIOUS STATISTICS Total number of games 52 Total goals scored 132 Average per game 2,54 Own goals 1 Total attendance 2,407,431 Average attendance 46,297
Julio Cesar ของบราซิลยิงจุดโทษพลาด ทำให้บราซิลแพ้ฝรั่งเศษในการยิงจุดโทษ 4(1) - 3(1)
ผู้เล่นฝรั่งเศษดีใจหลังชนะจุดโทษบราซิล ขณะที่ผู้เล่นบราซิลยืนเซ็งอยู่ด้านหลัง
กองเชียร์แซมบ้ายังเป็นสีสันของบอลโลกตลอดตลอดมา
Create Date : 31 ตุลาคม 2549 |
|
4 comments |
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 15:21:58 น. |
Counter : 4472 Pageviews. |
|
|
|