เมื่อคนที่ฉันรักเป็นมะเร็ง: บริบทแรกอันว่าด้วยความรัก
เมื่อคนที่ฉันรักเป็นมะเร็ง: บริบทแรกอันว่าด้วยความรัก
ในเช้าวันหนึ่งหลานสาวของผู้ป่วยอายุ 70 ปี ได้เดินเข้ามาพบแพทย์ผู้ดูแลก่อนที่แพทย์จะเดินเข้าไปเยี่ยมว่า “คุณหมอขาอย่าเพิ่งบอกคุณยายนะคะว่าท่านเป็นมะเร็ง” โดยอธิบายต่ออีกว่า “ท่านอายุเยอะแล้ว กลัวท่านจะช๊อค และอาการยิ่งแย่ลง ตอนนี้ ท่านคิดว่าเป็นโรคธรรมดา แค่ปวดข้อ ปวดกระดูก ประเดี๋ยวก็หาย ….ลูกๆหลานๆรักท่าน ไม่อยากให้ท่านรู้”
นี่หรือคือความรักที่ไม่อยากให้คนที่เรารักรู้ว่าเป็นมะเร็ง ใครหนอจะรู้จิตใจคนเราเท่ากับตัวเรา หรือใครว่าไม่จริง จะรักที่สุดหรือเป็นสุดที่รักปานใดก็คงจะมีอะไรที่เราไม่รู้จะเปิดช่องพูดออกมาอย่างไร บางทีการยิ่งใกล้ชิดกลับกลายเป็นยิ่งพูดไม่ออก เปรียบเสมือนกับน้ำท่วมปากอะไรปานนั้น โดยเฉพาะคำว่า”มะเร็ง” นี่ใครๆ ก็ไม่อยากจะเอื้อนเอ่ย เคยนั่งนิ่งๆแล้วคิดไหมนะว่าคนเราเกิดมาเพื่อใครกัน เราอยากทำอะไรเพื่อตัวเอง หรือเราเกิดมาเพื่อให้ผู้อื่นลิขิตชีวิตของเราในทุกๆเรื่องแม้แต่เรื่องของชีวิตกระนั้นหรือ
ในกรณีตัวอย่างนี้ คำตอบสุดท้ายว่าจะให้คุณยายรู้หรือไม่คงไม่ได้อยู่ที่ลูกหลานแต่เป็นคุณยายต่างหากเล่า ความเข้าใจผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด แต่การเทียบเคียงเข้ากับความรู้สึกของลูกหลานจะถูกหรือไม่ เราควรหันกลับมารับฟังผู้ป่วยดีกว่า ว่าคิดอย่างไร โดยไม่คิดแทนกัน ถ้ายิ่งไม่เคยคุยกันในระดับลึกซึ้งถึงกับว่า ถ้าชีวิตจะหาไม่จะต้องการอะไร แบบไหน ก็คล้ายกับทำพินัยกรรมน่ะ แต่เป็นพินัยกรรมชีวิตที่ขีดลิขิตความต้องการของตนเอง จะว่าไปแพทย์จะทำหน้าที่ได้ดีที่สุดในการให้ข้อมูล และเป็นสิ่งที่ควรกระทำด้วยว่าในประเทศไทยองค์กรสภาวิชาชีพด้านสุขภาพ รวบรวมสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ป่วยไว้โดยหนึ่งในนั้นกล่าวว่า ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะรับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและชัดเจน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอม หรือไม่ยินยอมให้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือจำเป็น ทั้งนี้หมายรวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการวินิจฉัย การพยากรณ์โรค วิธีการบำบัดรักษา การเสี่ยงต่ออันตรายจากการรักษาพยาบาลหรือไม่รับการรักษา ด้วยภาวะที่ผู้ใช้บริการสามารถเข้าใจได้และอยู่ในสภาพพร้อมที่จะรับฟัง โดยคำนึงถึงประเด็นจริยธรรมเกี่ยวกับการบอกความจริง (Truth telling)
“....นี่มาโรงพยาบาลคราวนี้ถ้าหายดีก็จะไปตักบาตรอย่างเคยที่ทำทุกเช้านะหมอ นี่ก็ไม่ได้ใส่มา 2 เดือนเพราะปวดจนเดินไม่ไหว ก็เป็นมานานขนาดนี้จะใช่อะไรนะ เห็นคนข้างบ้านเค้าเป็น มะเร็งอะไรเนี่ย มันก็รักษาไม่หายใช่ไหม..ยายก็อยู่มาตั้ง 70 ปีแล้ว ทำบุญใส่บาตรทุกวัน เรื่องตายน่ะยายไม่เคยกลัว…กลัวแต่มันเจ็บ มันปวด เท่านั้น” และนี้คือสิ่งที่อยู่ในใจที่คุณยายอยากบอกลูกหลาน ไม่ใช่ความกลัวที่เป็นมะเร็ง แต่ความต้องการการดูแลด้านบรรเทาอาการปวดอย่างดีที่สุด แม้ว่าจะไม่หายขาด แต่จะไม่ให้ต้องทรมานจนถึงวาระสุดท้าย
แล้วเราก็ได้แสดงความรักที่ท่านต้องการเป็นบริบทแรกของการมีผู้ที่เรารักเป็นมะเร็งอย่างสมบูรณ์ด้วยประการฉะนี้
พญ.ลักษมี ชาญเวชช์
Create Date : 13 กรกฎาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 14 กรกฎาคม 2552 11:29:42 น. |
Counter : 607 Pageviews. |
|
|
|