ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากยา
ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากยา(Adverse Drug Reaction) ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากยา(adverse drug reaction) หมายถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยไม่เจตนา, ในขนาดที่ใช้รักษา และเกิดในระยะเวลาหลังจากได้รับยานั้นๆแล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 1.ปฏิกิริยาที่สามารถเดาได้(predictable reaction) หรือที่นิยมเรียก type A reaction ปฏิกิริยานี้พบมากถึงร้อยละ80 นอกจากนั้นยังมีความสัมพันธ์กับขนาดของยาที่ได้รับ และคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของตัวยาเองดังนั้นสามารถเกิดได้กับผู้ป่วยทุกคน ตัวอย่างของปฏิกิริยานี้ได้แก่ ผลข้างเคียงของยา(sideeffect), การได้รับยาเกินขนาดจนทำให้เกิดพิษ(drug overdose) เป็นต้น 2.ปฏิกิริยาที่ไม่สามารถคาดเดาได้(unpredictable reaction) หรือที่เรียกว่า "type B reaction" พบอยู่ประมาณร้อยละ 10-15 ปฏิกิริยานี้ไม่มีความสัมพันธ์กับขนาดยา, คุณสมบัติทางเภสัชวิทยา มักเกิดเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงยกตัวอย่างเช่น การแพ้ยา(drug allergy หรือ drug hypersensitivity), ปฏิกิริยาที่คล้ายกับการแพ้ยาแต่ไม่ได้เกิดจากกลไกทางระบบอิมมูน หรือระบบภูมิคุ้มกัน เช่นการเกิดผื่นหลังจากได้รับสารทึบรังสี(radiocontrast media) เหล่านี้เป็นต้น การแพ้ยา(Drug Allergy หรือ DrugHypersensitivity) ระบาดวิทยาของการแพ้ยา อุบัติการณ์การแพ้ยาในอดีตพบค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการใช้น้ำเหลือง(serum)ที่ได้จากสัตว์เช่น ม้า ในการรักษาโรค ปัจจุบันในต่างประเทศมีการศึกษาพบว่าtype B reaction ที่เป็นการแพ้ยาจริงๆพบประมาณร้อยละ 6-10 จากปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากยาทั้งหมด และยาที่เป็นสาเหตุมากที่สุดคือยาปฏิชีวนะประเภทที่มีโมเลกุลเบต้าแล คแตม(beta-lactam antibiotics)เช่น กลุ่มเพนิซิลิน และยาแก้ปวดประเภท NSAIDs เช่นยาแก้ปวดแอสไพริน(aspirin), ยาไดโคลฟีแนค(diclofenac)ฯลฯ สำหรับประเทศไทยมีการศึกษาการเกิดภาวะแพ้รุนแรง(anaphylaxis)ที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์พบร้อยละ36 และที่โรงพยาบาลภูมิพลพบสูงเช่นกันถึงร้อยละ50 ปัจจัยเสี่ยง 1.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้ป่วยเอง -อายุ พบว่าเด็กมีโอกาสแพ้ยาน้อยกว่าผู้ใหญ่ แต่อาการจะรุนแรงกว่า -เพศหญิงมีโอกาสแพ้ยาได้มากกว่าเพศชาย -พันธุกรรม พบว่าเด็กที่มีประวัติบิดามารดาแพ้ยามีโอกาสแพ้ยาปฏิชีวนะสูงถึงร้อยละ 25เปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่มีประวัติบิดามารดาแพ้ยาพบเพียงร้อยละ 1.7 -โรคภูมแพ้ในระบบอื่นของผู้ป่วย ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงจากการแพ้ยาแต่เมื่อมีอาการแล้วอาการมักจะรุนแรง นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคภูมแพ้มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาpseudoallergic reaction โดยเฉพาะต่อสารทึบรังสีเพิ่มขึ้น -โรคติดเชื้อเอชไอวีหากผู้ป่วยมีโรคดังกล่าวร่วมด้วยพบว่าอัตราการแพ้ยาประเภทซัลฟา และยากลุ่มอื่นๆ สูงนอกจากนี้อาการแพ้ยาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ค่อนข้างจะรุนแรง 2.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับยา -โมเลกุลของยา ยาบางประเภทโครงสร้างสามารถกระตุ้นให้เกิดการแพ้ยาได้ง่าย -การได้รับยาที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับยาที่เคยมีประวัติแพ้มา -ยารับประทานมีโอกาสเกิดการแพ้รุนแรงน้อยกว่ายาฉีด -ได้รับยาขนาดสูงๆ เป็นเวลานานเพิ่มโอกาสเสี่ยงจากการแพ้ยาได้ อาการของการแพ้ยา 1.อาการแสดงเกิดขึ้นทั่วร่างกาย อาการนี้มักเกิดภายในระยะเวลาเป็นนาทีและรุนแรง เช่น ใจสั่น, ตัวแดง, หน้ามือ-เป็นลม,ลมพิษ และคันขึ้นทั่วร่างกาย, มือ-เท้า-ใบหน้าบวม, หายใจติดขัด, จนถึงช๊อค, ชัดและหมดสติในที่สุด อาจทำให้เสียชีวิตได้ 2.ระบบผิวหนัง พบผื่นคันลมพิษ, ผื่นแดงหรือเป็นตุ่มน้ำแล้วแตกออกเป็นแผลได้ 3.ตับ การแพ้ยาบางประเภททำให้เกิดการอักเสบของตับนอกจากนี้ยาบางชนิดทำให้เกิดตัวเหลืองตาเหลืองเกิดการอุดตันในระบบทางเดินน้ำดี 4.ระบบเลือด การรวมกันของยา และภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ยานั้นๆกระตุ้นให้เกิดภาวะเกร็ดเลือดต่ำ และโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก 5.ไข้จากยา ยาบางชนิดสามารถกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารของระบบภูมิคุ้มกันบางอย่าง ซึ่งมีผลต่ออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นได้ การวินิจฉัยการแพ้ยา 1.ประวัติมีส่วนสำคัญมากในการวินิจฉัย ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องทราบชื่อยาก่อนที่ตนเองจะรับประทานทุกครั้ง, ต้องจดจำปริมาณของยาที่รับประทาน และระยะที่เกิดอาการแพ้ยาหลังรับประทานยานั้นๆนอกจากนี้อาการตามระบบต่างๆเท่าที่พบรวมทั้งประวัติการแพ้ยา หรือเคยใช้ยาในอดีตและประวัติครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ยา หรือโรคภูมิแพ้ภายในครอบครัวที่ปรากฏ 2.การตรวจร่างกายเพื่อช่วยในการวินิจฉัย และใช้ในการรักษารวมถึงการวางแผนในการหาแนวทางป้องกัน 3.การทดสอบทางผิวหนัง ซึ่งมีทั้งการทดสอบผิวหนังแบบสะกิด(skin prick test) และการแปะ(patch test) ด้วยตัวยาที่สงสัย 4.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยยืนยันการแพ้ยาที่สงสัยและดูผลของยาต่อระบบเลือด และระบบอื่นๆได้ด้วย 5.การทดสอบด้วยการให้ยาที่สงสัย(drugprovocation test หรือ DPT)เป็นการวินิจฉัยที่แน่นอนที่สุด ซึ่งการทดสอบดังกล่าวต้องอยู่ในความควบคุมของอายุรแพทย์เฉพาะโรคภูมแพ้ และดำเนินการในโรงพยาบาลเท่านั้น เพราะอาจเกิดอันตรายได้ การรักษาและป้องกันการแพ้ยา 1.หยุดรับประทานยาที่สงสัยว่าจะทำให้เกิดการแพ้ทันที 2.รักษาอาการที่เกิดขึ้น โดยยารับประทาน หรือยาฉีดซึ่งมีทั้งยาแก้แพ้, ยาสเตอรอยด์ ฯลฯ นอกจากนี้การแพ้รุนแรงที่เป็นอันตรายแก่ชีวิต ที่เรียกว่า anaphylaxisต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนทันทีด้วยยาadrenaline 3.การป้องกันการแพ้ยา -การเลือกใช้ยาในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาแนะนำให้ปรึกษาอายุรแพทย์เฉพาะทางโรคภูมแพ้ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง -ควรได้รับยาป้องกัน(premedication)ในผู้ป่วยที่มีโอกาสเกิดปฏิกิริยา pseudoallergic reaction ก่อนได้รับสารทึบรังสี ทุกครั้ง -ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยารุนแรง แนะนำให้พกยา adrenaline ติดตัวไว้เสมอและควรมีบัตรแสดงรายชื่อยาที่ตัวเองเคยแพ้ไว้ติดตัวตลอด
นพ.ภก.สุรสฤษดิ์ ขาวละออ อายุรแพทย์ทั่วไป อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกันคลินิก ศูนย์โรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท www.twitter.com @surasarit
Create Date : 28 เมษายน 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 28 เมษายน 2556 22:59:43 น. |
Counter : 1091 Pageviews. |
|
|
|