"For those who believe, no proof is necessary. For those who don't believe, no proof is possible." --- Stuart Chase

Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

... ในวันทุกข์ ...

ฉันไม่ใช่คนใกล้ชิดกับศาสนานัก ตามประสาคนสมัยใหม่ทีชีวิตวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา
วันๆก็เอาแต่ทำงานเพื่อจะได้มีกินมีใช้ ยามว่างที่มีก็ใช้ไปกับการหาความสุขใส่ตัวเอง กินข้าว
ดูหนังฟังเพลง ตะลอนทัวร์ ตะลอนเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยเท่าที่เวลาจะอำนวย
เรื่องศาสนาในชีวิตช่างเป็นเรื่องห่างไกล ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คงจะเป็นซองผ้าป่าที่
มักจะแวะเวียนมาให้ทำบุญอยู่บ่อยๆ เท่านั้นแหละ
อ้อ มีอีกอย่างคือ เข้าวัดไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ เพื่อล้างซวย เอ้ย ล้างเรื่องร้ายๆออกจากชีวิต

เฮ้อ...ฉันช่างใกล้ชิดกับวัดวาเสียเหลือเกิน ใกล้ชิด...จนไม่น่าเชื่อว่า
ครั้งหนึ่งฉันก็เคยใกล้ชิดกับศาสนากับเขาอยู่เหมือนกัน

สมัยเด็กๆสักเจ็ดแปดขวบ ฉันเคยถูกส่งไปอยู่กับคุณยายที่ต่างจังหวัด ไม่ไกลจากกรุงเทพฯนัก
แต่ยังมีความเป็นชนบทอยู่มาก บ้านคุณยายเป็นบ้านไม้เรือนไทยยกสูงแบบเก่า
ตรงกลางบ้านเป็นพื้นโล่งตามแบบฉบับบ้านสมัยก่อน
ด้านหลังเป็นห้องใหญ่ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองห้องนอนเล็ก
ลึกเข้าไปอีกเป็นครัวแบบไทยแท้ ส่วนห้องน้ำอยู่ทางขวามือติดกับครัว
หน้าบ้านของนั้นหันออกริมคลอง คุณยายต่อชานเรือนออกมาจากประตู พื้นไม้นั้นเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมเล็กอยู่ตรงกลาง ตรงส่วนที่ควรจะเป็นรั้ว ก็ทำเป็นเก้าอี้ยาวมีพนักเอนแทน
ด้านซ้ายมือเป็นบันไดยาวที่ลากมาถึงลานดินหน้าบ้าน ถัดออกไปอีกหน่อยเป็นท่าน้ำเทียบเรือ
ซึ่งมีเรือของคุณยายผูกอยู่เป็นประจำ

สมัยนั้นถนนยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันจึงต้องนั่งเรือไปบ้านคุณยาย
ฉันยังจำความรู้สึกแรกเมื่อเห็นบ้านคุณยายได้เลย
อย่างแรกที่ฉันคิดคือ บ้านนี้ต้องมีผีแน่ๆ คุณลองจินตนาการตามฉันนะ ตอนนั้นคุณอายุเท่าฉัน
ลงเรือจากท่ามาประมาณครึ่งชั่วโมง สองข้างทางมีบ้านคนบ้างประปราย ส่วนมากเป็นสวน
มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆ จนโพล้เพล้ พอเงยหน้ามาก็เจอบ้านเรือนไทยหลังใหญ่(ในความคิดเด็ก)
ที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาตรงหน้าราวกับใครเสก ตรงท่าน้ำมีผู้หญิงแก่ๆนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อคอกระเช้า
ปากสีแดงจัดเพราะกินหมากยืนอยู่ แล้วอยู่ดีๆก็ร้องทักขึ้นมา

“ทำไมมาเอาเสียค่ำมืดขนาดนี้”

“หนูติดงานน่ะแม่ ลูกตาล สวัสดีคุณยายเสีย”

คุณแม่ตอบพลางพนมมือไหว้ ส่วนฉัน...ผู้ซึ่งกำลังจะร้องกรี๊ดด้วยความตกใจคิดว่าคุณยายเป็นผี
จึงพนมมือไหว้แทน ฉันเพิ่งเคยเจอคุณยายก็วันนั้นเอง คุณยายเป็นชาวสวนสมัยเก่าที่ไม่ชอบเดินทางเอามากๆ
ขนาดงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของคุณแม่ที่กรุงเทพฯ คุณยายยังไม่ยอมไปเลย
บอกว่าความสำคัญมันอยู่ที่พิธีเช้าซึ่งจัดที่บ้านสวน แค่ทำทุกอย่างครบตามประเพณีคุณยายก็พอใจแล้ว
เรื่องเลี้ยงฉลองเป็นเรื่องของหนุ่มๆสาวๆ ให้ไปฉลองกันเองเถอะ
จะว่าไป ครั้งสุดท้ายที่คุณยายยอมเข้าเมืองก็คือ ตอนที่ฉันเกิดนั่นเอง

“ไหว้พระเถอะลูก” คุณยายบอกพลางช่วยรับฉันขึ้นจากเรือ คนขับเรือช่วยเราขนของขึ้นเรือน
ก่อนคุณแม่จะนัดแนะให้มารับท่านในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้น ฉันนอนที่บ้านสวนอย่างกระสับกระส่าย บ้านคุณยายไม่มีเตียง แต่มีฟูกซึ่งปูไว้ให้เรียบร้อย
พร้อมกับมุ้งที่ฉันหวั่นใจ กลัวจะดิ้นแล้วมันจะหลุดลงมาพันตัว เพราะไม่คุ้นที่ทาง และไม่คุ้นกับบรรยากาศของที่นี่
ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ ฉันจึงตื่นมาด้วยอาการงอแง ยิ่งรู้ว่าคุณแม่กำลังจะกลับ ทิ้งให้ฉันอยู่กับคุณยายที่นี่
ก็ยิ่งงอแงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า กว่าคุณแม่จะปลอบให้ฉันสงบได้ก็เสียเวลาไปมากทีเดียว

หลังจากคุณแม่ไปแล้ว ฉันก็นั่งหน้ามุ่ยแกว่งเท้าเล่นอยู่ริมตลิ่ง ตอนนั้นน้ำกำลังขึ้น
ถ้านั่งอยู่ตรงบันไดขั้นที่สองของท่าน้ำ เท้าจะแตะน้ำพอดี ฉันเอาเท้าราน้ำเล่นอยู่สักพัก
พี่สายก็มาตามไปกินข้าวกลางวัน พี่สายเป็นคนแถวนี้ที่
คุณยายจ้างมาทำงานบ้าน และช่วยงานอื่นจิปาถะ ฉันเดินหน้ามุ่ยตามพี่สายไปถึงสำรับข้าว

“กินเสีย ลูกตาล เมื่อเช้าก็ไม่ยอมกินข้าว ไม่หิวหรือลูก” คุณยายถามเสียงปราณี
ฉันได้แต่ส่ายหน้า ก็ฉันไม่หิวจริงๆนี่ ตอนนี้ฉันไม่อยากกินอะไรเลยด้วยซ้ำ

“เอ้า ยายทำหลนเต้าเจี้ยวให้ลูกตาลด้วยนะ แม่เราเขาบอกว่าเราชอบ” คุณยายบอกพลาง
ส่งจานข้าวใบเล็กมาให้ ฉันจำใจรับมาอย่างเสียไม่ได้ คุณยายเอาใจด้วยการตักหลนเต้าเจี้ยวใส่จานให้
แม้จะไม่อยากกินนัก แต่ฉันก็ไม่กล้าออกฤทธิออกเดชกับคุณยาย
หลนเต้าเจี้ยวสีออกเหลืองสวยปนหมูสับสำหรับเด็กๆ
รสชาติออกหวานหน่อยๆ เค็มกะทินิดๆ นั้นอร่อยมากทีเดียว พอข้าวเข้าปากคำแรกก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าหิว
ไม่นานข้าวทั้งจานก็ถูกกวาดลงท้อง โดยมีคุณยายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับการกินได้กินดีของฉัน
ทุกวันนี้ ฉันเห็นหลนเต้าเจี้ยวทีไร ก็คิดถึงหลนถ้วยนั้นของคุณยายทุกทีไป

วันรุ่งขึ้นเป็นวัดพระ คุณยายเป็นคนธรรมะธรรมโม ทุกๆวันพระ คุณยายจะต้องเตรียมอาหารไปถวายเพลที่วัด
และไปถือศีลอุโบสถหรือศีลแปดที่วัด ซึ่งงดไปเพราะเป็นห่วงฉันที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ครั้นจะพาฉันไปด้วย
แม่หลานสาวตัวดีอย่างฉันก็เกิดกลัวผีเสียอีก ช่วงนั้นคุณยายก็เลยไม่ได้ค้างวัดอย่างที่เคยทำประจำ

ฉันเป็นเด็กที่โตในเมือง คุณแม่ไม่ว่างพาไปวัดสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะพาไปเที่ยวห้างมากกว่า
มีบางครั้งที่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็จะแวะไหว้พระเพื่อให้เป็นสิริมงคลบ้าง ซึ่งก็เป็นวัดใหญ่
มีผู้คนมากมายมาสักการะ ฉันไม่เคยไปวัดบ้านนอกที่เงียบสงบเช่นนี้ เมื่อไปได้สักสองสามครั้ง
ฉันก็ค่อนข้างจะชอบวัดมาก เพราะที่นั่นมีเพื่อนเล่นหลายคน และมีอะไรสนุกๆหลายอย่าง
ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเป็นวันพระ จะมีอาหารอร่อยๆให้กินมากมายจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว

การไปวัดสำหรับคนต่างจังหวัด ก็คือการสังสรรค์ดีๆนี่เอง คนเฒ่าคนแก่มักจะทำอาหารไปถวายพระ
หลังจากท่านฉันท์เพลเสร็จ บรรดาญาติธรรมทั้งหลายก็จะมานั่งล้อมวงทานอาหารกัน กับข้าวก็เป็น
ของที่เหลือจากทำบุญนั่นแหละ แต่ละคนมีฝีมือเท่าไหร่ก็ใส่กันมาเต็มที่ เพราะเป็นของถวายพระ
นอกจากจะอิ่มบุญแล้ว ยังเป็นหน้าเป็นตาของคนทำอีกด้วย บรรดาคนที่มีความสุขที่สุดก็คงเป็นเด็กๆทั้งหลายนี่แหละ
ทั้งอาหารเอย ขนมเอย สารพัดอย่าง กินกันจนจุกเลยทีเดียว

หลังจากอิ่มกันแล้ว คุณยายก็จะไปนั่งพูดคุยกับคนอื่นเพื่อคลายเหงาตามประสาคนแก่
ส่วนเด็กๆก็วิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้น ตกบ่ายนั่นแหละ ถึงได้แยกย้ายกันกลับ บางคนก็อยู่ถือศีลแปด
ทำสมาธิ สวดมนต์ต่อที่วัดก็มี

ปิดเทอมปีนั้น เป็นปีที่ฉันใกล้ชิดวัดที่สุดแล้วกระมัง ฉันอยู่กับคุณยายเกือบสองเดือนได้ ตอนคุณแม่มารับกลับ
ฉันก็ได้แต่อิดออดไม่อยากกลับ จนคุณแม่ต้องบอกว่า ปิดเทอมหน้าจะส่งมาอยู่กับคุณยายอีก
ฉันจึงไปกอดลาคุณยายแต่โดยดี คุณยายกอดฉันแน่น พร้อมกับลูบหัวบอกว่า รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี

ฉันไม่รู้เลยว่า นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้พบคุณยาย หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน
ท่านเสียชีวิตด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก กว่าพี่สายจะไปพบว่าท่านล้มอยู่ก็เป็นตอนเช้าซึ่งท่านสิ้นลมไปแล้ว
สันนิษฐานกันว่า ท่านล้มตอนลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน บ้านของคุณยายถูกปิดไว้
โดยมีพี่สายมาดูแลให้บ้างเป็นครั้งคราว

จากนั้น ชีวิตฉันก็เข้าสู่วงจรเด็กกรุงอย่างสมบูรณ์ บ้านฉันอยู่ชานเมืองเพราะคุณพ่อมีที่อยู่แถวนั้น
แต่โรงเรียนของฉันอยู่ในเมือง ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อไปเรียนทุกวัน ตกเย็นก็มีเรียนพิเศษเพื่อเพิ่มความรู้
กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ เสาร์อาทิตย์ก็มีเรียนเพิ่มเติม วิชาการบ้าง ศิลปะบ้าง ดนตรีบ้าง
แล้วแต่ว่าช่วงนั้นเขาจะนิยมเรียนอะไรกัน นานๆครั้ง คุณพ่อคุณแม่ถึงจะว่างพาไปเที่ยวต่างจังหวัด
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยจนฉันเรียนจบมหาวิทยาลัย

ตอนนั้นแหละ...ที่ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ฉันได้งานในเขตใจกลางเมืองที่รถติดมาก
ต้องออกจากบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น กว่าจะกลับถึงบ้านนาฬิกาก็ตีเลขแปดเกือบทุกครั้งไป
ทำงานได้เพียงเดือนเดียว ฉันก็เหนื่อยจนแทบจะล้มหมอนนอนเสื่อ

ทางบ้านจึงตัดสินใจดาวน์คอนโดมีเนียมใจกลางเมืองให้ โดยให้ฉันผ่อนเอง
นี่เองเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตฉัน จากคนที่อยู่ในกรอบในระเบียบของที่บ้านแทบจะตลอดเวลา
กลับมีอิสรเสรีราวกับนกน้อยเพิ่งหัดบิน อยู่ดีๆฉันก็สามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่ใจคิดโดยไม่มีคนมาควบคุม
อยากจะไปไหนกับใครก็ไม่มีใครว่า จะกลับบ้านดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีปัญหา อยากกลับเช้าก็ยังได้
ขอเพียงมีแรงไปทำงานก็พอ จากโลกที่มีกรอบล้อมรอบตัว กลายเป็นโลกที่ไร้ขอบเขต
ชีวิตนี้ช่างสดใสอะไรเช่นนี้

ฉันลืมไป...ว่าโลกมักไม่เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น

หลังจากฉันทำงานได้สองสามปี ก็เกิดปัญหาเศรษฐกิจ งานที่เคยดูมั่นคงก็มีวี่แววจะมีปัญหา
โชคยังดีที่ฉันไม่ถูกให้ออก เพราะทำงานดี แต่ก็โดนลดเงินเดือน หลายคนลาออกเพื่อไปหางานใหม่
ส่วนฉันก็กำลังตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี ทางบ้านสนับสนุนให้ลาออกมาเรียนโทต่อ หรือไม่ก็หางานใหม่เสีย
แต่ฉันยังชอบงานที่ทำอยู่ ถึงจะโดนลดเงินไปก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก
ระหว่างที่ยังตัดสินจำไม่ได้ ก็เกิดปัญหาเสียก่อน...

คุณพ่อป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตกจนเป็นอัมพาต ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ อยู่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน
เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็ต้องจ้างพยาบาลส่วนตัวมาดูแลตอนกลางวัน ตกกลางคืน คุณแม่ก็ต้องเป็นคนดูแล
ส่วนฉันก็ต้องขับรถไปกลับทุกสองวัน เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณแม่ หนักๆเข้าก็ต้องไปกลับแทบจะทุกวัน
เหนื่อยแทบจะขาดใจ โชคยังดีที่ค่ารักษาพยาบาลบางส่วนนั้นเบิกได้เพราะคุณแม่เป็นข้าราชการ
แต่ค่าพยาบาลพิเศษที่ต้องจ่ายทุกเดือนนั้นก็ทำให้มีปัญหาการเงินเกิดขึ้น ฉันเพิ่งสำนึกตอนนี้เอง
ว่าฉันไม่มีเงินเก็บเลย เงินที่ได้จากการทำงานทั้งหมด หมดไปกับการกิน เที่ยว ชอปปิง และผ่อนคอนโดฯ

นอกจากนั้น คนรักฉันก็ตีจาก ด้วยเหตุผลสุดคลาสสิกที่ว่าไม่มีเวลาให้ นี่เองสินะ
ที่เขาว่าคนเราจะเห็นใจกันก็ตอนเจ็บป่วยนี่แหละ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่การดูแลคุณพ่อกินเวลาของฉันไปเสียหมด
ฉันเหนื่อยจนไม่มีเวลาจะเสียใจ มีแค่ความมึนชา มืดแปดด้านไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ช่วงนั้นเอง ฉันกับคุณแม่กลายแทบจะเป็นบ้าไป พระวัดไหนที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ก็รีบแล่นไปไหว้
ไปขอพรขอให้คุณพ่อหายป่วย นอกจากตระเวนไหว้พระ รดน้ำมนต์แล้ว ก็ยังบ้าดูหมออีกด้วย
หมอดูไหนที่ว่าแม่นจริงจัง ก็จะรีบไปดูทันที ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหาย บ้างก็ว่าคุณพ่อโดนของ
บ้างก็ว่ามีเคราะห์หนัก ให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ หมดเงินหมดทองไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

เมื่อเงินทองเริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ ฉันกับคุณแม่จึงต้องมาวางแผนเสียใหม่ ตอนแรกฉันตั้งใจจะขายคอนโดของตัวเองเสีย
เพราะตอนนี้ก็ต้องกลับมาอยู่บ้าน แต่คุณแม่ห้ามไว้ ที่ตรงนั้นทำเลดีมากจนคุณแม่เสียดาย ในเมื่อผ่อนมาตั้งหลายปีแล้ว
ให้ขายทิ้งเอาดื้อๆก็กระไรอยู่ อีกทั้งที่ดินแถวนั้นแพงขึ้นเรื่อยๆ หากเก็บไว้อีกสี่ห้าปีคงจะขายได้ราคาดีกว่านี้
ตอนนั้นเอง คุณแม่นึกถึงที่ของคุณยายขึ้นมาได้ หลังจากคุณยายตาย คุณแม่ก็ปิดบ้านนั้นไว้เฉยๆ เคยมีคนมาติดต่อขอซื้อ
คุณแม่ก็ขายไปเฉพาะสวน เพราะไม่มีคนดูแล ส่วนที่ดินส่วนทีเป็นบ้านนั้นยังเก็บไว้อย่างดี ตั้งใจจะทิ้งไว้เป็นมรดกให้ฉัน

ทว่า...ก่อนตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป คุณแม่สั่งให้ฉันไปดูที่ทางเสียก่อน ว่าอยากจะขายหรือไม่
ในบ่ายวันศุกร์ซึ่งฉันลางานได้ ฉันจึงออกเดินทางไปบ้านคุณยาย การเดินทางครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งที่แล้ว
ถนนหนทางเปลี่ยนไปมากมาย ถนนลูกรังที่เคยเป็นฝุ่นแดงก็ถูกราดยางให้สะดวกต่อการเดินทาง
ตอนนี้ฉันไม่ต้องไปต่อเรือแล้ว เพราะมีถนนตัดผ่านหลังบ้าน ทำให้สามารถขับรถไปถึงบ้านคุณยายได้เลย
แต่กระนั้น การเดินทางก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ดี วันศุกร์ซึ่งรถมากกว่าวันอื่นๆ กว่าจะไปถึงก็ตกเย็นพอดี
เมื่อจอดรถตรงลานหลังบ้านแล้ว ฉันก็พบว่า บ้านนี้โทรมลงไปมากเลยทีเดียวฉันอดเสียดายไม่ได้
บ้านไม้เก่าทั้งหลังแบบนี้ สมัยนี้หาไม่ได้ง่ายๆแล้ว

“คุณตาลใช่ไหมคะ”

ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ เมื่อหันไปทางด้านหลังก็พบหญิงชาวบ้านวัยกลางคนยืนอยู่
เมื่อพิศใบหน้านั้นอยู่สักครู่ จึงจำได้ว่าเป็นพี่สายนั่นเอง

“ใช่ค่ะ พี่สาย สวัสดีค่ะ”

ฉันทักพลางพนมมือไหว้ จนอีกฝ่ายรับไหว้แทบไม่ทัน

“คุณตาล ไม่ต้องไหว้พี่หรอกค่ะ” พี่สายอุทาน “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี โตเป็นสาวสวยเลยนะเนี่ย
ทำไมคุณตาลมาคนเดียวล่ะคะ”

“คุณแม่ต้องอยู่ดูแลคุณพ่อน่ะค่ะ” ฉันตอบยิ้มๆ ไม่เอ่ยถึงคนรักที่เพิ่งเลิกรากันได้ไม่นาน
พี่สายพยักหน้ารับ นางพอทราบมาบ้าง ว่าคุณพ่อของคุณตาลป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล

“ตายจริง มัวแต่พูดกันอยู่อย่างนี้ คุณตาลมาเหนื่อยๆขึ้นบ้านก่อนดีกว่าค่ะ
พี่ทำความสะอาดให้แล้ว ขนเครื่องนอนหมอนมุ้งมาให้แล้วด้วย”

พี่สายกระวีกระวาดพาฉันเดินขึ้นเรือนไป เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ฉันก็พบว่า แม้บ้านจะเก่าโทรม
แต่พี่สายก็ดูแลบ้านหลังนี้อย่างดีทีเดียว ฉันก้าวเข้าไปในห้องนอนของคุณยายก็พบฟูกหนาที่ปูผ้าไว้เรียบร้อย
พร้อมมุ้งแขวนแบบเดิม ขาดเพียงอย่างเดียว ไม่มีคุณยายที่นั่งรอและยิ้มให้เหมือนเคย
ฉันวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้าเดิม

“คุณตาลไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดค่ะ แล้วไปนั่งเล่นที่ชานเรือนก่อนก็ได้ พี่เตรียมข้าวเย็นให้แล้ว”
นางว่าพลางจูงมือไปยังหน้าห้องน้ำ ซึ่งเป็นความสะดวกสบายไม่กี่คุณยายยอมให้มีบนเรือน
“เดี๋ยวคืนนี้ พี่จะมานอนด้วยนะคะ ถึงแถวนี้จะไม่อันตราย แต่ให้คุณตาลนอนคนเดียวคงไม่ดี”

พี่สายสั่งฉันเป็นชุด โดยฉันไม่มีโอกาสได้อ้าปาก ได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี
เมื่อล้างหน้าล้างตาจนสดชื่นแล้ว ฉันก็ออกไปพบพี่สายจัดสำรับให้ที่ชานเรือน กับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น
ทำเอาฉันน้ำตาคลอ ปลาทูทอด แกงจืดผักกาดขาว และหลนเต้าเจี้ยว

“พี่ทอดปลาทู กับทำแกงจืดมาให้ค่ะ เต้าเจี้ยวนี่พี่ก็ทำเองนะคะ จำได้ว่าคุณตาลชอบ อ้าว...”
พี่สายว่าไปเรื่อย ก่อนจะหันมามองหน้าฉันเมื่อเห็นว่าไม่ตอบอะไร นางเดินมาจูงมือฉันไปตั้งที่โต๊ะ
ลูบหลังลูบไหล่อย่างปลอบโยน

“ไม่เอาค่ะ คุณตาลไม่ร้องไห้ เรื่องไหนๆมันก็แก้ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ร้องๆ”

ยิ่งพี่สายปลอบฉันเท่าไหร่ น้ำตาฉันก็ยิ่งร่วงพรูมาเป็นสาย ฉันต้องทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าคุณพ่อและคุณแม่มาหลายเดือน
หากฉันอ่อนแอให้เห็น คุณแม่จะยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นอีก แต่กลับมาเจอบรรยากาศเก่าๆ ที่คุ้นเคย
ทำให้ฉันอดหวนคิดถึงคุณยายไม่ได้ กว่าฉันจะเลิกร้องไห้ได้ กับข้าวก็เย็นจนพี่สายต้องไปอุ่นให้อีกรอบ

คืนนั้น ฉันนอนไม่หลับเหมือนวันแรกที่เข้ามาที่บ้านหลังนี้ แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ฉันคิดถึงคุณยาย ความทรงจำที่เลือนรางถูกปลุกขึ้นมา ฉันอยากกลับไปเป็นเด็กเล็กๆ เป็นลูกตาลของคุณยายอีกครั้ง

เช้าวันรุ่งขึ้น พี่สายปลุกฉันแต่เช้าเพื่อมาใส่บาตร พระที่นี่ยังพายเรือมารับบาตรเหมือนที่เคยเป็น
พี่สายสั่งให้ฉันตั้งใจอธิษฐาน หลังจากใส่บาตรแล้ว ใจที่เคยร้อนรุ่มก็สงบลงไปไม่น้อย
ฉันหันซ้ายหันขวาแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ฉันยังไม่ได้จ่ายค่าอาหารให้พี่สายทั้งของเมื่อวาน
แล้วยังของวันนี้อีก ของใส่บาตรด้วย

“พี่สายคะ ค่ากับข้าวเมื่อวานเท่าไหร่คะ ค่าของใส่บาตรด้วย เมื่อวานตาลก็ลืมถาม”

“คุณตาล” นางอุทานเสียงลั่น “แค่นี้ไม่ต้องหรอกค่ะ กับข้าวเมื่อวานกับของใส่บาตรพวกนี้ พี่ทำเองทั้งนั้นแหละค่ะ
คุณตาลตัวนิดเดียวจะกินสักเท่าไหร่กัน”

นางว่าประสาคนต่างจังหวัด แค่ข้าวไม่กี่อย่างจะต้องจ่ายเงินจ่ายทองอะไรกัน
ค่าดูแลบ้านที่แม่คุณตาลจ่ายมาให้ทุกเดือน นั่นก็เหลือจะพอ นางไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย
แค่มาทำความสะอาด ตัดหญ้า ดูแลสวนอาทิตย์ละครั้งเท่านั้นเอง
ผลไม้ในสวนหลังบ้าน แม่คุณตาลก็อนุญาตให้กินได้ขายได้อีกต่างหาก

“ไปๆ คุณตาลไปกินข้าวดีกว่า พี่ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาให้ รองท้องก่อนนะคะ เดี๋ยวสายๆไปวัดกัน”

ไปวัดเหรอ...ฉันอุทานในใจ โธ่เอ๊ย ฉันน่ะตระเวนมาไม่รู้กี่วัดต่อกี่วัดแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นสักอย่างเลย
แม้จะค้านในใจ แต่ฉันก็ไม่อยากไปขัดพี่สายหรอกนะ พี่เขาอุตส่าห์มีน้ำใจกับฉันขนาดนี้

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันเพิ่งนึกได้ว่า วันนี้เป็นวันพระ ฉันจึงค้นกระเป๋าเสื้อผ้าอีกครั้ง
และเจอเสื้อสีขาวที่ตั้งใจจะใส่ขากลับ จึงไปเปลี่ยนเป็นเสื้อขาวกางเกงสีดำ ค่อยสมกับที่จะไปวัดหน่อย
เมื่อลงจากเรือนก็พบว่า พี่สายยืนรออยู่ที่ท่าน้ำ

“อ่าว จะพายเรือไปเหรอคะพี่”

“พายเรือไปสะดวกกว่าค่ะ ขับรถมันอ้อมนาน” พี่สายว่าอย่างนั้น เอ้า ว่ายังไงว่าตามกัน ที่นี่ถิ่นของพี่สายนี่

ฉันลงเรือเก้ๆกังๆ เพราะไม่ได้นั่งมาหลายปี แต่ไม่นานก็ทรงตัวได้ เรือพายนั้นไม่เหมือนเรือหางยาวแบบในกรุงเทพฯ
เรือหางยาวนั้นทรงตัวได้ง่ายกว่า ไม่คว่ำง่ายๆ แต่เรือพายนั้นเป็นเรือเล็ก นั่งได้ไม่กี่คน โคลงเคลงง่าย
คนไม่เคยนั่งมักจะนั่งตัวเกร็งทำให้พายลำบาก และง่ายต่อการพลิกคว่ำ พี่สายพายเรือพาฉันล่องคลองไปเรื่อยๆ
วิวสองข้างทางเปลี่ยนไปมากมาย เมื่อก่อนจะเป็นสวนตลอดแนวยาว มีบ้านคนบ้างเป็นระยะ แต่เดี๋ยวนี้
มีบ้านเรือนมากขึ้น บ้านไม้นั้นส่วนมากกลายเป็นครึ่งไม้ครึ่งตึกไปเสียแล้ว
ส่วนบ้านใหม่ๆก็เป็นบ้านตึกทาสีสันแสบทรวงไปเสียหมดแล้ว

ฉันนั่งมองวิวไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงหน้าวัด วัดนี้ฉันเคยมาตอนเด็กๆ พร้อมคุณยาย ซึ่งฉันจำได้รางๆ
แต่เท่าที่มองอยู่ก็ไม่มีอะไรเหมือนในความทรงจำเลย พี่สายพาฉันเดินมายังศาลาปฏิบัติธรรม
ฉันเพิ่งสังเกตของในมือพี่สาย นางถือถุงผ้าใบหนึ่งมาด้วย ครั้นเห็นฉันมองก็เลยอธิบาย

“ของถวายเพลค่ะ” นางว่าพลางชูถุงในมือให้เห็นชัดๆ “ไปๆ คุณตาล ไปฟังเทศน์กันก่อนดีกว่า”

พี่สายจูงฉันซึ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปในศาลา ในนั้นมีคนมากมายนั่งกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณ
แทบทุกคนนุ่งขาวห่มขาว มีบ้างที่แต่งตัวธรรมดา แทบทุกคนมีหนังสือสวดมนต์ตั้งอยู่ข้างหน้า
บางคนมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กวางอยู่ข้างๆด้วย พี่สายอธิบายว่า คนที่นุ่งขาวห่มขาวนั้นมาถือศีลอุโบสถที่นี่

ศีลอุโบสถ...ฉันจำได้ว่า สมัยก่อนคุณยายเคยบอกว่าจะมาถือศีลที่วัดนี่

พี่สายอธิบายว่า สมัยก่อนคุณยายก็มาถือศีลที่นี่ แต่คนไม่มากเหมือนสมัยนี้ ตอนนี้ วัดจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมขึ้นมา
จัดที่พักให้พร้อมห้องน้ำ ทำให้สะดวกสบายมากขึ้น หลายคนจึงนิยมมาถือศีลกัน ฉันได้แต่พยักหน้าเหมือนเข้าใจ
ก่อนจะกระซิบถามพี่สายอย่างอายๆว่า ศีลแปดคืออะไรหรือ คราวนี้พี่สายนิ่งไปสักพัก
คงจะไม่เคยเจอคนห่างศาสนาเหมือนฉัน นางเดินหายไปทางพระประธานสักครู่
แล้วเอาหนังสือสวดมนต์ใส่มือฉัน ฉันเหลือบมองหน้าอาราธนาศีลอย่างตั้งใจ

ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและไม่ใช่ให้ผู้อื่นฆ่า)

อทินนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการลัก ,ฉ้อ ของผู้อื่นด้วยตนเอง และไม่ใช่ให้ผู้อื่นลัก ฉ้อ)

อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากอสัทธรรม กรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์)

มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการพูดเท็จ คำไม่เป็นจริง และคำล่อลวง อำพรางผู้อื่น)

สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการดื่มสุรา เมรัย เครื่องดองของทำใจให้คลั่งไคล้ต่าง ๆ )

วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล)

นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากพูด ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่าง ๆ
และดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล และทัดทรงตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับและดอกไม้ของหอม
เครื่องทาเครื่องย้อม ผัดผิวให้งามต่าง ๆ)

อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากนั่ง นอน เหนือเตียง ตั่ง
มีเท้าสูงเกินประมาณ และที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่ ภายในใส่นุ่นและสำลี
อาสนะอันวิจิตรไปด้วยลดลายงามด้วยเงินทองต่าง ๆ)

อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (ว่า 3 ครั้ง)

ฉันอ่านตามอย่างตั้งใจ พลางอ่านคำแปลไปด้วย พลางหันไปถามพี่สายว่า
การถือศีลแปดต่างจากศีลธรรมดาอย่างไร
ไอ้ศีลห้าน่ะฉันพอจะรู้ล่ะ แต่ศีลแปด เคยแต่ได้ยิน ไม่เคยรู้เรื่องสักที

“ศีลแปดน่ะ เป็นศีลที่ใช้ฝึกให้รักษามากขึ้นน่ะค่ะ เป็นการฝึกตัว ส่วนมากแม่ขาวมักจะถือกัน”

พี่สายว่าเช่นนั้น ฉันก็ได้แต่พยักหน้า ฟังรู้เรื่อง แต่ไม่เข้าใจหรอก จะได้ว่าการถือศีลนั่งสมาธิ
เขาว่ากันว่าจะทำให้สงบจิตสงบใจ ถ้าฉันจะลองถือศีลแปดดูบ้างก็น่าจะดี
เผื่อจะมองเห็นอะไรกระจ่างใจขึ้นมาบ้าง ในเมื่อช่วงนี้มีแต่เรื่องร้ายๆเข้ามาในชิวิต
โชคดีที่วัดนี้ไม่เคร่งขนาดต้องนุ่งขาวห่มขาวไม่เช่นนั้น ฉันคงไม่สามารถถือศีลที่นี่ได้
ครั้นพออธิบายถึงสิ่งที่ตั้งใจให้พี่สายฟัง นางกลับท้วงขึ้นมา

“คุณตาลไม่ได้เตรียมตัวมา จะค้างได้ยังไงคะ”

ฉันมองกำหนดการในมือ ช่วงเช้าสวดมนต์ ฟังเทศน์ ถวายเพล พักกลางวัน
พอบ่ายสองก็มีสวดมนต์อีกครั้งแล้วก็พักตอนเย็น ก่อนจะทำวัตรเย็นตอนเกือบทุ่ม
ช่วงเย็นมีเวลาว่างพอที่ฉันจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านได้

“เดี๋ยวตาลอยู่ถึงเย็น สักห้าโมง พี่สายมารับตาลไปอาบน้ำที่บ้าน แล้วตาลก็มาสวดมนต์ต่อไงคะ”

“สายว่าเอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ คุณตาลก็สวดมนต์ไหว้พระเสียที่นี่ แล้วตอนเย็นก็กลับไปค้างที่บ้านดีกว่า
ตอนสักตีสาม คุณตาลค่อยขอลาศีลที่บ้านก็ได้ค่ะ คุณไม่เคยมาแถวนี้ สายจะทิ้งให้อยู่คนเดียวก็เป็นห่วง”

“แต่...”

“เอาแบบนี้ก่อนแล้วกันค่ะ ไว้ครั้งหน้าค่อยมาค้างวัดนะคะ แต่ว่าคุณตาลจะอดข้าวเย็นไหวเหรอคะ คนไม่เคยมาก่อน”

ฉันพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็จริงของพี่สาย ฉันไม่เคยมาอยู่แถวนี้เลย
เพิ่งจะมาครั้งแรกก็ริจะค้างวัดเสียแล้ว เอาเถอะ ไว้ครั้งหน้าฉันค่อยลองมาอยู่แบบทั้งคืนดูบ้าง
แต่ก่อนจะพูดคุยกันต่อ พระท่านก็เข้ามาในโบสถ์เพื่อทำวัดเช้าเสียก่อน
ฉันกับพี่สายนำเสื่อมาปูพร้อมเบาะที่ทางวัดจัดเตรียมให้สำหรับนั่งสมาธิ หลังจากสวดมนต์เสร็จ
ฉันก็สวดสมาทานศีลตั้งใจรักษาตลอดหนึ่งราตรี

ฉันก็ได้นั่งสมาธิเป็นจริงเป็นจังเป็นครั้งแรก การนั่งนั้นต้องใช้ขาขวาทับขาซ้าย มือประสานกันบนตัก
หลังตรงพยายามนั่งให้สบายที่สุด คุณย่าคุณยายบางคนอายุมากแล้ว นั่งขัดสมาธิไม่ไหว
ทางวัดก็อนุโลมให้นั่งบนเก้าอี้พลาสติกได้ เมื่อหลับตา โลกทั้งโลกก็สงบลง
ฉันได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของทุกคน
หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ ...พุทโธ พุทโธ พุทโธ

เสียงเทศน์ของท่านแว่วลอยมาตามสายลม ท่านเอ่ยถึงกรรมดี กรรมชั่ว
เรื่องที่ท่านเทศน์นั้นผ่านหูไปเรื่อยๆ เหมือนสายน้ำไหล ฉันใจจดจ่ออยู่กับสมาธิจนแทบไม่ได้ใส่ใจฟัง
จนท่านเอ่ยถึงเรื่องการระเริงในกรรมดีที่เคยสร้างสมมา

“การทำกรรมดีมาแต่ชาติก่อนนั้นเป็นสิ่งที่ส่งผลให้ชาตินี้เราสุขสบาย แต่ก็ทำให้เราหลงกับความสบายไปได้ง่าย
ยิ่งเราสบายมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งหลงติดไปกับความสุขไปเรื่อยๆ จนลืมนึกไปว่า กรรมดีนั้นสร้างได้ก็หมดได้
ถ้าเราใช้ไปเรื่อยๆโดยไม่เติม เหมือนเราขับรถ ถ้าขับไปเรื่อยๆโดยไม่เติมน้ำมันเลย วันหนึ่งน้ำมันหมด
เราจะขับต่อไปได้ไหม มันก็หยุดนิ่ง กรรมดีก็เหมือนกัน หากเราเอาแต่ใช้โดยไม่เติม สักวันก็มีวันหมด”

ฉันนิ่งฟังแล้วก็ฉุกคิดถึงชีวิตตัวเอง ใช่ ฉันมัวแต่ใช้ชีวิตอยู่กับการหาความสุขใส่ตัวเอง ประมาท
ไม่ได้ทำกรรมดีเพิ่มเติมอะไรเลย มาถึงตอนนี้ ถึงได้เพิ่งคิดได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมา มันช่างว่างเปล่า

“ส่วนการทำกรรมดี ลบล้างกรรมชั่วได้ไหม ไม่ได้หรอก...กรรมดีก็ส่วนกรรมดี กรรมชั่วก็ส่วนกรรมชั่ว
หักล้างกันไม่ได้ เพียงแต่ถ้าเราทำกรรมดีมากๆ กรรมชั่วมันก็ตามเราไม่ทัน เหมือนพระพุทธองค์
ท่านทำกรรมดีมาเรื่อยๆ เหมือนท่านขับจรวดอยู่ ส่วนกรรมชั่วที่กำลังนั่งรถตามมา ก็ตามมาไม่ทัน
เพราะท่านไปไกลแล้ว ดังนั้น ถ้าเราอยากให้กรรมชั่วที่เคย ตามไม่ทัน เราก็ต้องทำความดีมากๆ เอ้า ลืมตาได้”

ฉันลืมตาขึ้นมา แล้วก้มลงกราบท่าน ขานั้นเป็นเหน็บด้วยความที่ไม่เคยนั่ง ฉันขยับตัวพลิกไปมาเพื่อให้คลายเมื่อย
ถึงฉันจะไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านเทศน์มาสักเท่าไหร่ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า จะทำกรรมดีให้มาก
กรรมชั่วที่เคยทำไว้จะได้ตามมาไม่ทัน ประกายแห่งชีวิตที่เหมือนจะมอดไปหลายเดิน ได้ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง

หลังจากถวายเพลเสร็จแล้ว ฉันก็หยิบเงินติดกัณฑ์เทศน์ไปหนึ่งร้อยบาท ท่านยิ้มให้ฉันอย่างมีเมตตา
ฉันก้มลงกราบท่านอีกครั้ง ก่อนจะถอยมาให้คนอื่นได้ประเคนของบ้าง เมื่อท่านให้ศีลให้พร สวดมนต์
แผ่เมตตาเสร็จ ใจที่เคยร้อนรุ่มก็สงบลงไปได้ไม่น้อย นี่สินะ ที่เขาว่า ถ้าไม่ทุกข์ก็ไม่ซึ้งถึงธรรม

ฉันเดินเล่นอยู่ในวัดเพื่อฆ่าเวลารอการทำวัตรเย็น บางคนก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ในศาลา
บางคนก็ลากลับไปถือศีลต่อที่บ้าน ส่วนฉัน...ถ้าจะให้นั่งสมาธิต่อก็คงไม่รอด ใจฉันว้าวุ่นเกินไป
ฉันจึงเดินเล่นรอบวัดเพื่อสงบจิตใจแทน ไม่นานเสียงออดรอบบ่ายก็ดังขึ้น
การทำวัตรเย็นเริ่มต้น พิธีกรรมก็เหมือนตอนเช้า มีการสวดมนต์บทต่างๆ
นั่งสมาธิ แต่มีการเพิ่มเติมคือการเดินจงกรม ซ้ายหนอ ขวาหนอ ซ้ายหนอ...

ฉันก็เพิ่งเคยเดินจงกรมครั้งแรกอีกเช่นกัน การเดินช่วยให้ฉันนิ่งได้มากขึ้น สมาธิจดจ่ออยู่กับการเดิน
ปัญญาเริ่มเปิด แม้จะมีเรื่องต่างๆเข้ามาแทรกทำให้ฟุ้งอยู่เป็นระยะ การเดินจงกรมใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ก่อนจะฟังเทศน์รอบบ่ายและสวดมนต์แผ่เมตตา ครั้งนี้ ฉันก้มลงกราบอย่างซาบซึ้ง
ธรรมะเริ่มซึมเข้าสู่ความคิดของฉันบ้าง พี่สายมารับฉันกลับบ้าน

เมื่อถึงบ้าน ฉันกลับมองบ้านนี้ด้วยความรู้สึกต่างไปจากเดิม จากในตอนแรกเพียงจะมาดูว่า
จะขายได้ราคาเท่าไหร่ ฉันกลับรู้สึกว่า ไม่อยากจะขายมันเสียแล้ว ที่นี่มีความเย็นใจแบบที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสมานาน
หลังทำความสะอาดร่างกาย ตัวเย็น สมองเย็น และใจเย็นลงตามสายน้ำแล้ว ฉันก็ลองทบทวนทุกอย่างในชีวิต
เมื่อตรองดูก็พบว่า ความจริงแล้ว ฉันเองไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขายอะไรเลยด้วยซ้ำ เงินทองที่มีอยู่ทุกเดือน
ถ้าไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ตัดรายจ่ายไร้สาระออกไป ฉันก็พออยู่ได้สบายมาก
อีกทั้งฉันยังสามารถหางานพิเศษทำเพิ่มเติมได้อีก
คิดได้ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจเก็บบ้านหลังนี้ไว้

ฉันเข้านอนเมื่อเวลาสองทุ่มเศษ สำหรับสาวกรุงอย่างฉัน มันเป็นเวลาที่หัวค่ำมาก
บางวันฉันยังไม่ได้กลับบ้านเลยด้วยซ้ำ แถมอาการท้องร้องเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น
ทำให้ฉันรู้สึกกระสับกระส่าย แต่ก็พยายามจะหลับให้ได้ ฉันพลิกซ้ายขวา จนหลับไปเมื่อใดก็ไม่รู้
พี่สายมาปลุกฉันตอนตีสาม ฉันงัวเงียลุกขึ้นมาอย่างงงๆ โดยมีพี่สายมองแล้วส่ายหน้าอย่างกลุ้มใจ

“ก็พี่บอกคุณตาลแล้วว่าจะไม่ไหวเอา” พี่สายบ่นอุบ “มาทางนี้ค่ะคุณตาล มาไหว้พระกันก่อน”

พี่สายพาฉันออกมาที่ลานกลางบ้าน ชี้ให้หันหน้าไปทางพระอุโบสถ บ้านนี้ไม่มีคนอยู่มานาน
พระพุทธรูปทั้งหลายของคุณยาย คุณแม่ก็เชิญกลับไปไว้บ้านที่กรุงเทพฯหมด
ฉันจึงต้องตั้งจิตอธิษฐานไปทางวัดแทน ฉันสวดมนต์บทยาวตามหนังสือสวดมนต์ที่ขอยืมมาจากวัด และเอ่ยคำลาศีล

ความจริงแล้ว ฉันต้องลาศีลกับพระภิกษุที่วัดด้วยซ้ำ หรือบางคนที่ไม่เคร่งมากก็ลากับพระประธานในโบสถ์
จึงจะครบถ้วนกระบวนความ แต่พี่สายอุบเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมบอกฉัน เพราะกลัวว่าจะดื้อแพ่งนอนวัดไม่ยอมกลับบ้าน
พี่สายว่าที่วัดนั้น มีทั้งยุงทั้งแมลง คนแพ้ง่ายอย่างฉันจะเจ็บป่วยไปเสียเปล่าๆ คนเราจะทำอะไรต้องประมาณตนเอง
ส่วนเรื่องพิธีกรรมนั้น มันก็เป็นแค่เปลือก จะรักษาศีลได้หรือไม่ ไม่ได้ดูที่พิธี แต่ดูที่ความตั้งใจต่างหาก
ฉันเพิ่งรู้ความจริงเรื่องนี้ได้ไม่นานนี้เอง ตอนที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

แต่รุ่งเช้าของวันนั้น ฉันไปยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าบ้าน
แสงทองที่สาดเข้ามาหน้าบ้านนั้นเหมือนแสงของวันใหม่ในชีวิตฉัน
แม้ฉันจะยังมีความทุกข์ใจมากมายเหลืออยู่ แต่ฉันก็พอมองเห็นหนทางที่จะเดินไปบ้าง
ไม่ใช่มืดมนมองไม่เห็นสิ่งใดเหมือนตอนขามา ฉันอาจจะยังไม่ซึ้งไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอนนัก
แต่ฉันก็ตั้งใจที่จะเรียนรู้ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขให้จงได้

ทุกวันนี้ ฉันสงบจิตสงบใจได้มากขึ้น เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ปล่อยวางได้มากขึ้น แม้จะไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น
แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ชีวิตในกรุงเทพมีสิ่งยั่วยุมากมาย ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับคนที่ไหวได้ง่ายอย่างฉัน

แต่เอาเถอะ...อย่างน้อย ฉันก็เริ่มเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันได้แล้ว แม้จะไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มอะไรเลย
บางครั้ง ฉันก็อดคิดไม่ได้ หากฉันไม่ได้กลับบ้านคุณยายในคราวนั้น ชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ....

************************

ที่มาของศีลแปด : //www.larnbuddhism.com/grammathan/siil8.html

***********************

คุยหลังอ่าน

เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากการไปถือศีลอุโบสถที่วัดมาค่ะ
จากที่คุยกับเพื่อนๆหลายคน พบว่า แต่ละคนยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมากเกินไป
จนบางครั้ง ลืมดูแลรักษาใจตัวเอง วันๆเอาแต่ทำงานหาเงิน
ก็เลยลองเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ แต่จะให้เขียนธรรมะหนักๆ ก็ไม่สันทัดสักเท่าไหร่

ตัวเองก็ไม่ค่อยต่างจาก "ฉัน" ในเรื่องสักเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ยังศึกษาเรื่องนี้อยู่ค่ะ

รบกวนขอคำแนะนำ กับคะแนนให้เรื่องนี้ด้วยนะคะ (เต็มสิบค่ะ)




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2553
3 comments
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 12:02:03 น.
Counter : 990 Pageviews.

 

 

โดย: nuyza_za 10 พฤษภาคม 2553 14:40:29 น.  

 

จริงๆ สร้อยว่า ถ้าเข้าใจว่าศาสนาคืออะไร

ศาสนาจะอยู่ในทุกลมหายใจของมนุษย์

เป็นกำลังใจให้นะคะ

ให้ 10 คะแนนเลย!

 

โดย: สร้อยดอกหมาก IP: 110.49.205.77 15 พฤษภาคม 2553 17:26:45 น.  

 

เป็นคนไม่ห่างไกลวัด
ไม่ห่างไกลศาสนาค่ะ

ชอบทำบุญ

แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า

ทำไม๊ เวลาใครชวนทำบุญมักจะบอกว่า

เอาตังค์ให้พ่อกะแม่ดีกว่า อะค่ะ

 

โดย: like 2 hear from u 19 พฤษภาคม 2553 8:39:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


piccy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







I can’t stand to fly
I’m not that naive
I’m just out to find
The better part of me

I’m more than a bird
I’m more than a plane
More than some pretty face beside a train

...It’s not easy to be me...











Friends' blogs
[Add piccy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.