ภูกระดึง แต่ไม่เกี่ยวกับกระเช้า ยาวหน่อยแต่อยากให้ได้อ่าน #7
โดนบีบคอให้มาพิมพ์ต่อ - -" เขาบอกอยากอ่านมาก กะลังได้ที่ *********************** พวกเราก็เสียเงินค่าเข้าภูกระดึงและค่าเช่าเต๊นท์ เท่าไรจำไม่ได้ และก็จัดของบางส่วนให้ลูกหาบเขาแบกขึ้นไป ตอนนั้นสนนราคา ก็กิโลกรัมละ 10 บาท กว่าจะเสร็จก็ปาไป 10 โมงกว่าๆ เราก็เริ่ม เดินขึ้นไปจากตีนภู ช่วงกิโลเมตรแรกเราก็เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย..นี่มันไม่ใช่เด็กๆนี่หว่า อาจจะด้วยยังปรับตัวตามสภาพอากาศไม่ได้ หรือเพราะฤทธิ์แอลกฮอลล์ หรือจะเพราะอะไรก็ตามทีเถอะ เพราะกว่าจะถึงซำแฮก ก็หมดน้ำดื่มไปหลายขวด (แฮกจริงๆ) แถมบางคนก็ต้องถอดเสื้อกันหนาวออก (ผมก็ด้วย) เพราะมันไม่ใช่ ่ที่เขาเรียกว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" แต่มันกลายเป็น "ยิ่งสูงยิ่งเหนื่อย+ร้อน"
ผมด้วยความหวังดีและเพื่อประหยัดเงิน + บ้าพลังก็รับอาสาแบกกระเป๋า ให้สาวๆ รวมกระเป๋าที่ห้อยคอผม + สะพายหลัง-ไหล่ผมก็ 5 ใบ ทั้งของ สาวๆ และของผมเอง และเราก็เริ่มจะแลบลิ้นออกมาเหมือนหมาเวลามันร้อน เพราะมันร้อนจริงๆครับ และรู้สึกว่าหายใจยากมากขึ้น เพราะความกดอากาศที่ต่ำลง (เริ่มเอาวิทยาศาสตร์มาอ้าง เดี๋ยวไล่ไปห้องหว้ากอ อิอิ) ผมก็ถอดเสื้อกันหนาวตัวเองออก พอขึ้นไปถึงซำแฮกก็เริ่มที่จะเอากล้องออกมาชักภาพกันแล้ว แต่ก็ถ่้ายได้ไม่มากนัก เพราะเป็นกล้องฟิล์ม ไม่ใช่กล้องดิจิตอล ลบภาพออกไม่ได้ แถมฟิล์มก็แพงซะด้วย จะถ่ายภาพอะไรก็คิดหน้าคิดหลังกันให้ดี แต่ก็ยังถ่ายกันไปหลายภาพ 555 ตอนนี้กลุ่ม ที่มีประมาณ 20 คนก็เริ่มจะแตกออกจากกันแล้ว เพราะผู้หญิงจะเดินช้ากว่า ทั้่งๆที่ไม่อะไร ให้แบก จ้างลูกหาบหมดแล้ว (สงสัยจะหนักส่วนใดส่่วนหนึ่งในร่างกาย อิอิ) ส่วนพวกผู้ชาย ก็วิ่งเป็นลิงค่างกันไปข้างหน้ากัน เหลือแต่ผมกับผู้ชายอีก 2-3 คนที่ยังอยู่กลุ่มท้าย ผมแทบจะเรียกได้ว่าคนสุดท้ายของกลุ่ม เนื่องด้วยไหนจะแบกกระเป๋าตั้ง 5 ใบ และต้องคอยดูแลเพื่อนๆ เพราะงานนี้ระหว่างทางเพื่อนสาวคนหนึ่งชื่อเจี๊ยบ ดันเปิดศึก "วันแดงเดือด" ร้องโอยๆปวดท้องไปตลอดทาง แต่ด้วยสปิริท+ใจสู้+เพื่อนยุ เธอคนนั้นก็กัดฟันเดินต่อไป
(วันแดงเดือด = วันนั้นของเดือนของผู้หญิง)
ผู้ชายบางคนที่หูเริ่มดำ (หน้าม่อ) ก็จับคู่กับสาวๆที่มาด้วยกันแล้ว บางคนโชว์เหนือไปจีบ สาวกลุ่มอื่นอีกด้วย ระหว่างทางเราเจอฝรั่งหรือญี่ปุ่นก็โบกมือทักทายเขายังกับรู้จักกัน บางคนคงร้อนจัด ถอดเสื้อเดินมาเลย เสียดายที่ไม่มีสาวๆเดินถอดเสื้อลงมาบ้าง เต็มที่ก็เสื้อกล้ามเท่านั้น เฮ่อๆๆๆ
ที่ภูกระดึงเขามีตำนานหลายอย่าง เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจเรา แต่ตำนานหนึ่งที่ผมสนใจคือ ใครมาภูกระดึงมักจะได้พบรัก เพราะที่นี่มันลำบากมาก คนที่รักกันถ้าไม่รักกันมากขึ้น ก็เกลียดกันไปเลย จากเพื่อนเปลี่ยนเป็นแฟน ณ ที่แห่งนี้ก็มีมามากมายแล้ว เพราะมันลำบากทำให้จิตใจที่แท้จริงของแต่ละคนจะโผล่ออกมา ผมก็เลยแอบคิดเงียบๆว่า มานี่ถ้าได้แฟนก็ท่าจะดีเหมือนกัน อิอิ
เราก็เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก จากที่เคยคิดว่าเพื่อนๆของเราจะไปด้วยกันเหมือนดังภาษิตที่เขาว่า "ความรักเหมือนขี้ลอยน้ำ ปลาไม่ตอด ขี้ไม่แตก เราก็จะไม่แยกจากกัน" แต่ตอนนี้เริ่มกลายเป็นกลุ่มเล็ก 3-4 คน ไม่ก็เป็นคู่ แต่ผมก็พยายามเดินกลุ่มหลัง กลุ่มเดียวกับผู้หญิง เพราะเป็นห่วงเจี๊ยบว่าจะเดินไม่ไหว แต่ถ้าจะให้ขี่หลังเราเองก็คงไม่ไหว เพราะลำพังตัวเองก็ยังจะไม่รอด ก็เลยต้องคอยเดินไป ถามไปตลอด เธอก็อดทนได้ดีมาก
ก่อนถึงซำกกไผ่ เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่า ช้างป่ากะลังผ่านมาฝูงหนึ่ง ให้เรารอให้พวกช้างผ่านไปก่อน ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่คาดว่าเจ้าหน้าที่คงไม่หลอกเรา ถึงจะไม่เห็นช้าง แต่ก็ได้ยินเสียงคล้ายๆหินกระทบกันดังๆมาแว่วๆ ซึ่งก็ท่าจะจริง
ระหว่างทางผมก็จำไม่ได้ว่าช่วงไหน จะมีก้อนหินก้อนใหญ่ๆวางซ้อนหรือพิงกันอยู่ ซึ่งก็จะมีคนเอากิ่งไม้เล็กๆไปค้ำเอาไว้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม อาจจะว่าเป้นสัญลักษณ์ว่าได้ผ่านมาที่นี่แล้ว ,เห็นเขาทำักันเรา็ก็ทำบ้าง หรือกลัวหินมันจะล้มลงมา แต่จะอะไรก็ตามเหอะ ผมก็หากิ่งไม้ไปค้ำไว้บ้าง เนื่องด้วยกลัวมันล้ม
ในการเดินทางครั้งนี้มีเพลงๆหนึ่งที่ฮิตมากๆ ในกลุ่มผม แบบว่านั่งพักเมื่อไรต้องเอา กีต้าร์มานั่งเล่นเพลงนี้เสมอ ประมาณจะโชว์ว่า เล่นเพลงสากลก็ได้นะเฟร้ย..ไม่ใช่กระจอก (ความจริงเล่นได้เพลงเดียว) นั่นคือเพลง
My Love : Westlife
เพราะเพลงนี้ผมได้เคยเอาไปประกวดร้องเพลงของวิทยาลัย ซึ่งผมแข่งร้องเพลงสากล เขาบังคับให้ร้อง 2 เพลงคือเพลงช้าและเพลงเร็ว เพลงช้าที่ผมเลือกร้องก็คือ My Love ส่วนเพลงเร็วก็คือ It's My Life ของ Bon Jovi ซึ่ง 2 เพลงนี้สร้างชื่อเสียงให้ผมเป็นอย่างมาก ถึงจะไม่ได้ชนะเลิศ แต่ก็ถูกใจคนดูเพราะเพลง My Love นี้สาวๆหลายๆคนร้องตามได้ แบบว่ากระแสบอยแบนด์กะลังฟีเวอร์ (ตอนนั้นยังไม่ F4 และ Rain) ส่วนเพลงเร็วผมก็ร้อง แบบใ่ส่อารมณ์ (มากไปนิดนึง) โดยการกระโดดลงจากเวทีด้วย - -" หลังจากวันนั้นผม ก็มีชื่อเรียกใหม่ว่า My Love @_@" แถมเรื่องที่กระโดดลงจากเวทีก็ยังกลายเป็นเรื่องที่ ทุกวันนี้เพื่อนๆชอบเอามาแซวทุกครั้งเวลาอยุ่ในวงเหล้า แต่ช่างมันเหอะุ ผมคิดซะว่าเวลาทำอะไร ต้องเต็มที่ ก่อนที่ไม่มีโอกาสจะทำ แล้วมานั่งเสียดายทีหลัง
ระหว่างทางผมได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ คาดว่าประมาณ 9-10 ขวบได้ วิ่งถือกระเป๋า3-4ใบแซงพวกไปแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นลูกหลานของพวกลูกหาบ แถมเดินไปอีกหน่อยเกือบถึงซำกกหวัา ลูกหาบที่เราจ้างมาและเดินขึ้นไปพร้อมเรา แต่แซงเราตั้งแต่เราเดินได้ยังไม่ถึง 300 เมตรจากตีนภู (ทั้งๆที่กระเป๋าที่เขาใส่คานไม้ไผ่เพื่อหาบน่าจะหลายสิบกิโล)ก็เดิินแบกกระเป๋าลงมาจากภูโบกมือ ให้พวกผมด้วย คงจะเอากระเป๋าไปไว้ที่กองอำนวยการแล้ว พวกผมก็เลยได้แต่ยิ้มให้กัน ว่าอะโหพี่เขาสุดยอดจริงๆ
และแล้วเราก็มาถึงซำสุดท้าย นั่นคือซำแคร่ ซึ่งเส้นทางจากตรงนี้ไปถึงจุดที่เรียกว่า "หลังแป" จะเป็นเส้นทางที่ชันมากๆ เรียกว่าตั้งฉากเลยก็ได้ ต้องไต่ตามหน้าผาไป หันไปดูสภาพเพื่อนแต่ละคน ก็บ่งบอกสีหน้าประมาณว่า "ไม่ไหวแย้ว..ว..ว" แต่ส่วนมากเจ้าหน้าที่เขาก็ทำเป็น บันไดเลาะหน้าผาไว้อยู่แล้ว เลยไม่ลำบากเท่าไร
จนในที่สุดความพยายามเราก็ไม่สูญเปล่า ป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าคือผู้พิชิตภูกระดึง" ก็ถูกเพื่อนๆผมรุมจับจองเพื่อถ่ายภาพกันโดยลืมเหนื่อยที่ผ่านมาทั้งหมด บรรยากาศบนหลังแปนี่ยังกับคนละโลกกับข้างล่างเลย เหมือนมาอยู่ในป่าที่สวิสเซอรแ์ลนด์ยามหน้าหนาว (ไม่เคยไปสวิสหรอกครับ จินตนาการเอา)
ไม่ไหวละครับ ชักปวดหัวตุบๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อนะครับ รักกันจริิงไม่ต้องหนีตาม แค่รอได้ก็พอใจละครับ
<< ตอนที่แล้ว | ตอนต่อไป >>
Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550 |
|
4 comments |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2551 10:13:00 น. |
Counter : 528 Pageviews. |
|
|
|