ททท.ภูมิภาค ภาคกลาง และททท.สำนักงานลพบุรี นำเสนอเส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์
นางจิรารัตน์ มีงาม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี ได้ให้การต้อนรับ ททท.ภูมิภาค ภาคกลาง ที่นำโดยนายชัยวิทย์ เผื่อนอุดม หัวหน้างานภาคกลาง1 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายอภิรัตน์ ทวีทรัพย์ พนักงานการตลาด6 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมคณะ พามาเยี่ยมชมวิถีชุมชนเมืองสิงห์ เป็นภาพเมื่อวันที่ 21-22 กันยายน 2562 นางจิรารัตน์ มีงาม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี เราดูแล 3 จังหวัดด้วยกันคือ ลพบุรี -สิงห์บุรี - ชัยนาท ในปลายปีนี้เรามีกิจกรรมที่น่าสนใจก็คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวในเส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์ ก็จะเป็นการท่องเที่ยวในเส้นทางที่จะก้าวไปถึงปีหน้าที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวนั่นก็คือ "เส้นทางการเสด็จพระราชดำเนินประพาสต้นของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5" วัดพรหมเทพาวาส หรือวัดชลอน วันชลอนแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ 5 ที่วัดชลอนยังมีพิพิธภัณฑ์เมืองพรหมบุรี ฉลอง 100 ปี เสด็จประพาสต้น ซึ่งจะมีเรื่องราวในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมา มีเรื่องของตำนานอาหารของแม่ครัวหัวป่าที่นั่นและมีิพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะมีเรื่องราวในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน เส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์ จะเป็นเรื่องราวของจังหวัดสิงห์บุรีในอดีตก็จะมีศาลากลางเก่า นับเป็นโบราณสถานที่ยังคงรักษาความเป็นดั้งเดิมสมัยก่อน จากนั้นก็มุ่งตรงไปอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันตั้งอยู่ที่อ.ค่ายบางระจัน พิพิธภัณฑ์ค่ายบางระจัน ซึ่งจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงถึงความรักชาติ มาเห็นถึงความเสียสละของวีรชุนทุกท่านเลยค่ะ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดูแลโดย อบจ.สิงห์บุรี เข้าชมฟรี มาสิงห์บุรีต้องเข้ามายังพิพิธภัณฑ์ค่ายบางระจันก่อนเป็นลำดับแรก แล้วจึงค่อยมาดูตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันอยากให้มาชมพิพิธภัณฑ์ค่ายบางระจันก่อน ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน อยู่ฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์กับอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันตั้งอยู่ในวัดโพธิ์เก้าต้น ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันแห่งนี้ทำโดยวัดโพธิ์เก้าต้นโดยท่านเจ้าอาวาสดำริ เพื่อเป็นพื้นที่ให้ชาวบ้านได้มีแหล่งทำมาหากิน และต้อนรับนักท่องเที่ยว มีความเป็นเอกลักษณ์มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพื้นที่ อาหารการกิน สินค้าที่ขาย ตลอดจนการแต่งกายของชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้า การพูดการจา เป็นที่ยอมรับและสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งในปีนี้ พ.ศ.2562 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานลพบุรี เราสนับสนุนเราส่งเสริมเราชักชวนให้ชาวบ้านโดยผู้จัดการของหมู่บ้าน และไปนมัสการเรียนขออนุญาตจากเจ้าอาวาสว่า ให้ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันนั้นเข้าสู่กระบวนการนำเสนอพื้นที่เพื่อรับรางวัลกินรี หรือ Thailand Tourism Awards หรือรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ที่จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เราได้รับรางวัลมาแล้วค่ะ ครั้งแรกที่เราส่งเป็นครั้งแรกของตลาดบ้านบ้านที่ดำเนินนงานตามแบบ "บวร" สามารถชนะใจคณะกรรมการ อาหารที่ราคาไม่แพง รสชาติบ้านบ้าน มีการต้อนรับแบบเจ้าบ้านที่ดีอย่างบ้านระจันแท้จริง ถ้าคุณต้องการหาแหล่งท่องเที่ยวบ้านบ้าน ตลาดบ้านบ้าน ตลาดชุมชนจริงๆ ที่มีเสน่ห์อย่างไรขอเรียนเชิญที่ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันนะคะ สะพานบางระจัน ในระหว่างเส้นทางก็จะต้องแวะเส้นทางอีกแห่งหนึ่ง ศิลป์เมืองสิงห์ที่คุณต้องแวะมาชม เรากำลังโปรโมตสะพานข้ามแม่น้ำน้อย หรือที่เรียกว่าสะพานบางระจันที่วัดกลางท่าข้าม สะพานนี้สำคัญมากๆ เพราะเป็นเส้นทางที่จะข้ามไปสู่อำเภอค่ายบางระจัน เพราะจังหวัดสิงห์บุรีร่วมกับเทศบาลโพธิ์สังโฆ อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เขาให้ศิลปินหลายๆ ท่านมาวาดภาพระบายสีลงบนพื้นสีม่วง โดยวาดภาพเป็นดอกรวงผึ้งประดับบนสะพาน เท่านั้นยังไม่พอค่ะยังมีเด็กๆ นักเรียนมาช่วยกันระบายสีเป็นรูปร่างตามจินตนาการของเด็ก ตามราวสะพานและบันไดและในอนาคตเราจะมีภาพวาดซึ่งจะแสดงวิถีฃีวิตของชาวสิงห์บุรี ที่บริเวณตอม่อตอนนี้ยังระบายสีไม่เสร็จ เราก็อยากให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักเส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์ได้มาดู นี่ก็เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ทาง ททท.สำนักงานลพบุรีทำเส้นทางให้นักท่องเที่ยว และสื่อมวลชนได้มาชมในครั้งนี้ ส่วนวันที่ 22 กันยายน 2562 เรานำมาให้รู้จักกับของกินท้องถิ่นที่สำคัญก็คือปลาแม่ลา ปลาช่อนแม่ลาของเราชาวสิงห์บุรีเพิ่งได้รับประกาศนียบัตร GI มาแล้ว เป็นที่ยืนยันว่าปลาช่อนแท้ๆ ปลาช่อนแม่ลาเกิดที่จังหวัดสิงห์บุรีที่ลำแม่ลา อำเภออินทร์บุรี อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี นักท่องเที่ยวสามารถมาที่อุทยานลำแม่ลา ซึ่งจะมีจุดที่ปล่อยปลาเป็นส่วนหนึ่งของลำแม่ลา เป็นบริเวณปลาช่อนแม่ลาชุกชุมที่นี่สามารถที่จะมาปล่อยลูกปลาได้ เราก็พยายามรณรงค์ในวันสำคัญต่างๆ ทางจังหวัดจะมีการให้ปล่อยลูกปลา เป็นปลาช่อน ปลาตะเพียน ปลานิล ปลาชะโดในที่นี้กัน บริเวณตรงนี้ดูแลโดย อบจ.สิงห์บุรี ในอนาคตเราก็จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป มาจังหวัดสิงห์บุรีก็ต้องไปชมแหล่งเพาะพันธุ์ปลาช่อนแม่ลา สมัยก่อนเราสามารถหาปลาช่อนแม่ลาได้ตามแม่น้ำน้อย ตามลำแม่ลา แค่เดี๋ยวนี้ว่าจำนวนปลาลดน้อยลงไป เกษตรกรสิงห์บุรีก็ช่วยกันที่จะอนุรักษ์ไว้ มีเกษตรกรหลายท่านมีพัฒนาการ เลี้ยงพันธุ์ เพาะพันธุ์ ขยายพันธุ์ ขายพันธุ์ปลาช่อนแม่ลาให้คงอยู่ อย่างเช่น ฟาร์มหนึ่งที่เราไปดูในวันนี้ ก็คือ ป.แดนเกษตรฟาร์ม ท่านมีความเชี่ยวชาญมีชื่อเสียง ส่งออกพันธุ์ปลา ให้ความรู้ และเป็นวิทยากรด้านการขยายพันธุ์ปลาฃ่อนแม่ลามานาน จะได้เห็นว่าการเลี้ยงปลาช่อนแม่ลาเป็นอย่างไร และมีลักษณะเป็นเช่นไร ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำชื่อเสียง ทำรายได้ให้กับชาวจังหวัดสิงห์บุรี และปลาช่อนแม่ลา เป็นความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดสิงห์บุรีนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขออนุญาตประชาสัมพันธ์นอกจากโครงการท่องเที่ยววิถีไทย-วิถีสิงห์ ตามเส้นทางประพาสต้นไปถึงวัดวาอาราม ไปถึงวัดโพธิ์เก้าต้น ค่ายวีรชนชาวบางระจัน จนมาถึงปลาแม่ลาแล้ว ในเดือนธันวาคม ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม2562 ไปจนถึงวันที่ 5 มกราคม 2563 เรามีงานเทศกาลท่องเที่ยวสำคัญ คือ "งานเทศกาลกินปลาและของดีเมืองสิงห์ ครั้งที่ 25" เราจะจัดเป็นครั้งที่ 2 ณ บริเวณพระพรหมเทวาลัย ริมถนนสายเอเซีย บริเวณวิทยาลัยเกษตรจังหวัดสิงห์บุรี สาเหตุที่เป็นครั้งที่ 2 ก็เพราะว่าอดีตนั้นเราจัดงานที่บริเวณโรงเรียนสิงห์บุรีหรือสนามกีฬาสิงห์บุรี มาเป็นเวลานาน แต่เพราะไม่เป็นพื้นที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชม ปีนี้เป็นปีที่ 2 ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ท่านมีความคิดก้าวไกล อยากจะให้งานเทศกาลกินปลานี้เป็นงานของนักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวชม มาดูของดี ได้มาจับจ่ายใช้สอย เป็นงานที่ชาวสิงห์บุรีร่วมใจกันจัด ด้วยพละกำลัง ด้วยความคิด จากปีที่แล้วภาพออกไปคนรู้จักงานนี้มากขึ้น นักท่องเที่ยวมีความประทับใจ ก็หวังว่าวันที่ 27 ธันวาคม 2562 -วันที่ 5 มกราคม 2563 เป็นงานสำคัญอีกงานหนึ่งที่จะเปิดตัว เรื่องของ JI ปลาช่อนแม่ลา เรื่องของท่องไทยวิถีชีวิตสิงห์ และอีกหลายกิจกรรมของจังหวัดสิงห์บุรี ก็อยากจะขอเชิญนักท่องเที่ยวนะคะว่าสิงห์บุรีไม่ไกลเลย สิงห์บุรีสามารถเดินทางมาได้เพียงวันเดียว สามารถท่องเที่ยว 1 วัน หรือ 2 วัน และไม่ว่าคุณจะขึ้นไปเที่ยวทางเหนือหรือไปเที่ยวเทศกาลใดๆ ก็ตาม แวะสิงห์บุรี แวะลพบุรี แวะชัยนาท รอคุณอยู่นะคะ เส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์ จะเป็นเรื่องราวของจังหวัดสิงห์บุรีในอดีต ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่คือศาลากลางหลังเก่าสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้ เป็นศาลากลางเดิมที่ทางจังหวัดสิงหฺบุรีใช้อยู่ ก็เรียกง่ายๆ ว่าในจังหวัดสิงห์บุรีเรามีโบราณสถาน มีแหล่งสถานที่ต่างๆ ที่ยังคงรักษาความเป็นดั้งเดิมสมัยก่อนอยู่ วัดพรหมเทพาวาส หรือวัดชลอน ตั้งอยู่ที่ตำบลหัวป่า อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แวะมาสักการะที่วัดชลอนเป็นวัดที่มีประวัติอีกหนึ่งที่ในสิงห์บุรีอีกยังเป็นวัดที่สำคัญคู่เมืองพรหมบุรี เดิมมีชื่อว่าวัดชลอน ประวัติเล่าขานกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสต้นทางเรือทรงแวะขึ้นมาประทับที่วัดพรหมเทพาวาส (วัดชลอน) คุณหญิงโหมด ลูกสาวเจ้าเมืองพรหมบุรีได้นำชาวบ้านทำอาหาร เพื่อนำอาหารคาวหวาน มาถวายพระองค์ท่าน พระองค์ทรงถูกใจรสชาติจึงให้นำแม่ครัวชุดนี้เข้าไปทำอาหารในวังหลวง จึงตั้งชื่อแม่ครัวชุดนี้ว่า แม่ครัวหัวป่า อีกทั้งภายในวัดยังต้นโพธิ์ที่ให้ร่มเงาและรูปปั้นพระพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 5 พระพุทธรูปหลายองค์ ให้สักการะบูชา ซึ่งเป็นจุดแรกที่เราจะพาไปนั่นก็คือ วัดพรหมเทพาวาส (วัดชลอน) วัดแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ 5 ซึ่งจะมีเรื่องราวในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน มีเรื่องของตำนานอาหารของแม่ครับหัวป่า พิพิธภัณฑ์เมืองพรหมบุรี ฉลอง 100 ปี เด็จประพาสต้น ตั้งอยู่ในวัดชลอน หรือวัดพรหมเทพาวาส ต.หัวป่า อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เกิดจากการที่ชาวบ้านตำบลหัวป่า มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นเยี่ยมเยือนราษฎรที่วัดพรหมเทพาวาส (วัดชลอน) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2449 เมื่อถึงปี พ.ศ.2549 ครบรอบ 100 ปี และตำบลหัวป่าเคยเป็นศูนย์กลางของอำเภอพรหมบุรี จึงได้ตัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองพรหมบุรี ฉลอง 100 ปี เสด็จประพาสต้นขึ้น ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ อาทิ ภาพศิลปินแห่งชาติ เช่น อ.ชายเมืองสิงห์, อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, ศาสดาจารย์ประหยัด หงส์ดำ มีงานศิลปะต่างๆ มากมาย ข้าวของเครื่องใช้วิถีชีวิตของชาวบ้านเมืองพรหมในสมัยก่อน มีนิทรรศการตามรอยพระบาทของรัชกาลที่ 5 ที่เคยเสด็จมายังวัดชลอน ชมวีดีทัศน์ประวัติต้นกำเนิดของแม่ครัวหัวป่า จากนั้นมาสักการะพระนอนถูกจริตอุ้ม เพราะอุ้มเกิดวันอังคารเป็นพระนอนประจำวันเกิด มากราบครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 (เรียกว่าทุกครั้งที่มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรีทีไรอุ้มจะมากราบเสมอ) วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี วัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวสิงห์บุรี เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วไปที่มาเยือน พระนอนจักรสีห์พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย มีความยาว 47 เมตร 42 เซนติเมตร ปางโปรดอสุรินทราหู ประวัติมีว่าเมื่อปีพ.ศ. 2297 ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1111 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สร้างวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร และเมื่อ พ.ศ. 2299 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เสด็จไปสมโภชวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตั้งอยู่ที่ หมู่ 2 ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี 16000 เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 06.00 - 17.00 น. สอบถามเพิ่มเติม โทร.036520251, 036543415 มื้อเที่ยงกินที่สวนอาหารกฤษฏิพงศ์ อาหารอร่อยทุกอย่าง ยกเว้นเนื้อทอดน่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยนะคะแต่เกือบทั้งโต๊ะไม่มีใครกินเนื้อ มีน้องกั้งกับน้องต้นที่กินเนื้อกันอยู่สองคน สวนอาหารกฤษฏิพงศ์ ตั้งอยู่ริมทางหลวง ชนบท ปจ. 2006 (115.55 km) อยู่ในเขตเทศบาลเมืองสิงห์บุรี 16140 มาไม่ถูก โทร.08-0535-6356 อาหารอร่อย ถูก และฟรี WI-FI ด้วยจ้าVIDEO ในเส้นทางเราก็จะผ่านไปยังอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน ซึ่งตั้งอยู่ที่อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งที่นี่สิ่งที่สำคัญที่ทุกคนต้องมาเยือนนั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์ค่ายบางระจัน เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมก็จะสัมผัสได้ถึงความรักชาติ จะสัมผัสถึงความเสียสละของวีรชนทุกท่าน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเข้าชมฟรี เรียกว่ามาจังหวัดสิงห์บุรีต้องมาที่พิพิธภัณฑ์สิงห์บุรีก่อน เนื่องจากสถานที่อาจจะอยู่ไกลแต่เป็นเส้นทางที่จะต้องเดินทางมาเยือน ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะไปต่อยังตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันที่อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ ต้องขอขอบคุณ วิทยากรชื่อดัง สจ.สมคิด ม่วงเทศ ให้ความรู้ได้อย่างยอดเยี่ยมดีงาม พระครูวิชิตวุฒิคุณ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์เก้าต้น และเจ้าคณะอำเภอค่ายบางระจัน เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งมวลของตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันอย่างแท้จริง พระผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจและที่พึ่งทางใจของชาวบ้านระจันทุกคน โดยพระครูวิชิตวุฒิคุณ เห็นถึงช่วงสองสามปีที่ผ่านมาชาวบ้านประสบปัญหาความยากจน เนื่องจากภัยแล้ง ต่อมาพอจะทำการเพาะปลูกได้ ราคาผลผลิตก็ตกต่ำลงไปอีก ส่งผลให้ชาวบ้านที่เป็นคนชนบทไม่มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากนัก ก่อให้เกิดปัญหาการมีรายได้และปัญหาหนี้สิน ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะสร้างรายได้ให้กับชุมชนบริเวณรอบๆวัดและพื้นที่ไกล้เคียง จึงได้เริ่มให้จัดงานอนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบโบราณ ในงานสดุดีวีรชนค่ายบางระจัน เมื่อปี พ.ศ. 2558 ณ บริเวณสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นงานแสดงแสงสีเสียงและกินอาหารแบบไทย ใช้ซื่องานว่า "นุ่งโจงห่มสไบ กินสำรับไทยสมัยบ้านระจัน" และมีตลาดวัฒนธรรมแต่งตัวแบบโบราณ ซึ่งเป็นตลาดกลางคืนใช้เบี้ยหอยในการซื้อขายชื่อว่าตลาดบ้านระจัน ผลตอบรับดีมากสำหรับกับตลาดยามค่ำคืน พระครูวิชิตวุฒิคุณ เล้็งห็นถึงแนวทางการพัฒนาตลาดต่อไป จึงได้มีการพูดคุยกับคณะทำงานที่ใกล้ชิดในการรวบรวมจัดทำร้านค้าชุมชน โดยให้ชาวบ้านที่มีภูมิปัญญาทางอาหารไทยพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ช่วงนั้นมีประมาณ 20 ร้านที่สนใจเข้ามาจัดทำตลาดพื้นบ้านบริเวณสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ บริเวณด้านหน้าของวัด เมื่อตลาดเปิดดำเนินการได้ระยะหนึ่งจึงมีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก พุทธศาสนิกชนที่มาไหว้พระที่วัดโพธิ์เก้าต้นจึงได้มีที่พักผ่อนหย่อนใจ และได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือนเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเสาร์อาทิตย์ ด้วยความร่วมมือของอบต.ค่ายบางระจัน,กศน.ค่ายบางระจันและ กศน.สิงห์บุรี รวมถึงจิตอาสาในก่อตั้งตลาด และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ช่วยกันนำเสนอข่าว และได้ทำการเปิดตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันขึ้นเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2559 อย่างเป็นทางการ พระครูวิชิตวุฒิคุณ ดำริให้จัดงานลอยกระทงแบบโบราณ ชื่อทีปะวารี ณ บ้านระจัน วันเพ็ญ ขึ้นในบริเวณชายน้ำบ้านระจัน ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างของโครงการเดิม มีการจัดให้มีขบวนแห่อย่างสวยงาม และมีการจุดเทียนถวายความอาลัยแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในบรรยากาศความสงบ และความเศร้าทำให้บริเวณงานมีมนต์ขลังอย่างยิ่ง และพื้นที่โดยรอบจะมีร้านค้าที่สร้างเป็นวิถีชุมชน โดยย้ายร้านค้าจากบริเวณตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันเดิมเข้ามาอยู่ทางด้านหลังของวัด ซึ่งติดกับคลองประวัติศาสตร์บ้านระจัน หลังงานลอยกระทง มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมจำนวนมาก จึงได้มีการขยายตลาด โดยใช้พื้นที่รกร้าง พ่อค้าแม่ค้าในชุมชนต่างมาช่วยกันถากถางและสร้างร้านแบบเพิงพักสมัยสู้รบ มีร้านค้าที่สนใจเข้ามาร่วม 100 กว่าร้าน ช่วยกันสร้างกิจกรรมตามดำริหลวงพ่อ เพื่อทำให้ตลาดไทยย้อนยุคไม่นิ่ง มีชีวิตตลอดเวลา ส่งผลให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้พิจารณาให้ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน เป็นหนึ่งในอันซีน ทัวร์ ไทยแลนด์ ซึ่งนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของชาวตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน สืบมาจนถึงปัจจุบันกลับกลายมาเป็นตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน มีร้านค้ากว้า 300 ร้านค้า ในพื้นที่ประมาณ 5 ไร่เศษด้านหลังของวัด ซึ่งติดกับคลองประวัติศาสตร์บางระจัน ปัจจุบันตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ มีงานทำสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ สิงห์บุรีกลับกลายเป็นเมืองรองที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในวันหยุดอย่างมากมาย สิ่งที่ตามมาส่งผลดีในการพัฒนาชุมชนในหลายๆ ด้าน อาทิ 1.การแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจในระดับครอบครัว ชุมชน การมีรายได้ของประชาชน 2.การอนุรักษ์ภูมิปัญญาด้านอาหารไทยพื้นบ้านอันทรงคุณค่าที่หลากหลาย 3.การรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์อย่างน่าสนใจ 4.การนำอัตลักษณ์ในชุมชนมาพัฒนาเป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน 5.การส่งเสริมความเข้มแข็งในชุมชน ตามหลัก บ ว ร. ให้มีความรัก ความภาคภูมิใจในถิ่น ฐานบ้านเกิด อันเป็นพื้นฐานการพัฒนาที่สำคัญที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน 6.การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 นำมารับใส่เกล้าลงมือทำอย่างเห็นผลได้ชัด อาทิ การถ่ายทอดปลุกจิตสำนึก ภูมิปัญญา ทัศนคติแนวความคิดและความรู้สึก ที่จะนำไปสู่ความมั่งคะ่งและยั่งยืนภายใต้จิตสำนึกและความเป็นเจ้าของ 7.การตอบแทนคุณแผ่นดินของบรรพบุรุษที่ปกปักษ์รักษาแผ่นดินด้วยความกล้าหาญ อุทิศตนด้วยความเสียสละชีพเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินเอาไว้ให้ลูกหลาน 8.การสืบทอดมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ในใจของชาวสิงห์บุรีได้สำนึกและภาคภูมิใจ สามสิ่งที่ยึดเป็นแนวทางการพัฒนานั่นก็คือ ความสามัคคี เสียสละ และอดทน ทุกวันนี้ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันจะเปิดทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่ต่อเนื่องกันกับวันเสาร์อาทิตย์ แต่ยกเว้นที่เป็นวันกรณีพิเศษ อาทิ วันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม วันแม่แห่งชาติ วันที่ 12 สิงหาคม และวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. ไม่มีค่าเข้าชม มีสถานที่จอดรถกว้างขวาง รองรับได้ประมาณ 500 คัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน หรือโทรศัพท์ 09-1765-6566 ในส่วนของการแสดงโชว์ของตลาดไทยย้อนยุคจะมีโชว์วันละ 2 รอบ ถือเป็นไฮไลต์ที่ต้องห้ามพลาดที่จะมารอชม คือในเวลา 11.00 น. และเวลา 15.00 น. มีความยาวรอบละ 30 นาที โดยกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเล่นเอง-เขียนบทเอง-เเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านระจัน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดความรักชาติ รักแผ่นดิน ตลอดทั้งวีรกรรมของปู่ย่าที่ได้แลกชีวิตถวายเพื่อรักษาผืนแผ่นดินเอาไว้ให้อยู่คู่กับแผ่นดินไทย ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลจาก : นายนุกูล โปรยเงิน ที่ปรึกษาตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน / คณะกรรมการผู้บริหารตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน ในระหว่างเส้นทางก็จะต้องแวะเส้นทางอีกแห่งหนึ่ง ศิลป์เมืองสิงห์ที่คุณต้องแวะมาชม เส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์ที่กำลังประชาสัมพันธ์สถานที่แห่งนี้อยู่นั่นก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำน้อย หรือที่เขาเรียกว่าสะพานบางระจันที่วัดกลางท่าข้าม สะพานแห่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นเส้นทางที่จะข้ามไปสู่ค่ายบางระจัน ตอนนี้สะพานบางระจันมีความสวยงามมากขึ้น เพราะจังหวัดสิงห์บุรีร่วมกับเทศบาลโพธิ์สังโฆ อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เขาให้ศิลปินหลายๆ ท่านมาวาดภาพระบายสีลงบนพื้นสีม่วง โดยวาดภาพเป็นดอกรวงผึ้งประดับบนสะพาน เท่านั้นยังไม่พอค่ะยังมีเด็กๆ นักเรียนมาช่วยกันระบายสีเป็นรูปร่างตามจินตนาการของเด็ก ตามราวสะพานและบันได อนาคตเราก็จะมีภาพวาดซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวสิงห์บุรี บริเวณตอม่อของสะพานตอนนี้ยังเขียนรูประบายสียังไม่เสร็จค่ะ ในเส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์เราก็อยากให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักได้มาดู และถ้ามีโอกาสสามารถที่จะมาช่วยระบายสีบนพื้นสะพานได้ด้วยค่ะ ศิลปินที่วาดภาพระบายสีเล่าให้อุ้มฟังว่า เป็นกิจกรรมของตำบลโพธิ์สังโฆนะครับ ผมเป็นจิตอาสามาทำกันแค่ 2 คน คืออาจารย์กับผม 2 คน ผมไม่ได้เป็นอาจารย์ดอกนะครับ ผมเปิดร้านรับเขียนป้ายรับเขียนโปสเตอร์อยู่ในตัวเมืองสิงห์บุรีครับ ไม่มีชื่อร้านเป็นเพิงอยู่ในซอยตรงท่ารถทางออกครับ เรียกผมว่า ติ่ง สติ๊กเกอร์ ผมจบช่างศิลป์จากวิทยาลัยอาชีวะสิงห์บุรี จบมานาน 30 กว่าปีแล้วครับ ผมเขียนภาพวิถีชีวิตชุมชนสิงห็บุรีมีหลายจุดครับ สองฟากของตอม่อ แล้วก็ข้างบนตรงสะพาน ที่เห็นเสร็จก็ดอกรวงผึ้ง เดี๋ยวช่องต่อไปยังไม่ได้กำหนด Story เป็นเรื่องชุมชนโพธิ์สังโฆและชุมชนท่าข้ามครับ เป็นวิถีชีวิตของคนโบราณ ผู้คนบ้านเรือน ใช้ภาพเป็นการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเห็นถึงวิถีชุมชนเป็นแบบนี้ ผมรู้สึกดี ที่ผมเป็นจิตอาสามาเขียนภาพ ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะและผมภูมิใจที่ได้ทำครับ และภาพก็จะยังคงอยู่ไปอีกนาน ผมอยากให้นักท่องเที่ยวได้มาดูมาเห็นว่าวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนมีลักษณะแบบนี้ เป็นเรื่องเล่าในภาพ เห็นแล้วรู้ทันทีว่าคนสมัยก่อนเป็นแบบนี้ เริ่มเขียนภาพมาตั้งแต่เปิดงาน "ศิลป์เมืองสิงห์" วันที่ 28 กันยายน 2562 ก็เขียนไปเรื่อยๆ รอบๆ แม่น้ำน้อย เดี๋ยวจะมีประติมากรรมอีกด้วยครับ จากนั้นเมื่อเวลา 17.00 น. ก็เข้าที่พักวันนี้เราพักกันที่โรงแรมไชยแสงวิลล่า เนื่องจากฝนตกหนักก็กินข้าวกันภายในโรงแรมนั้นแหละค่ะ กินข้าวเช้ากันเสร็จล้อหมุนในเวลา 08.00 น. ททท.ภาคกลางที่นำโดยนายชัยวิทย์ เผื่อนอุดม หัวหน้างานภาคกลาง1 พามาทำกิจกรรม CSR ปล่อยลูกปลาช่อนลงลำน้ำแม่ลาในวันนี้ ลำน้ำแม่ลาไหลผ่าน 3 อำเภอ คือ อำเภออินทร์บุรี อำเภอบางระจัน และอำเภอเมืองสิงห์บุรี ลำน้ำแม่ลา เป็นลำน้ำธรรมชาติขนาดกลาง มีความยาว 18 กิโลเมตร กว้าง 40-80 เมตร เมื่อถึงฤดูน้ำน้ำก็จะท่วมสองฝั่งเข้าสู่ท้องนาปลาใหญ่น้อยก็จะออกไปหากิน ครั้นเมื่อถึงฤดูน้ำลดเหลือแต่น้ำกุ้งเล็กปลาน้อยและสัตว์น้ำอื่นๆ ก็จะถอยร่นลงสู่ลำแม่ลา พักอาศัยอยู่ในลำแม่ลาที่อุดมสมบูรณ์ กอปรกับลำน้ำแม่ลาเป็นบ่อเลี้ยงปลาแบบผสมผสานก้นบ่อ มีโคลนตม น้ำนิ่งเย็น ก้นบ่อมีหอยชนิดหนึ่งที่เป็นอาหารของปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อนจะชุกชุมมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของปลาแม่ลา ปลาแม่ลาจึงอ้วนมีรสชาติอร่อย เนื้อมัน ปนหวาน นิ่ม ซุย จากการวิจัยของกรมประมงพบว่าปลาช่อนแม่ลามีไขมันมากกว่าปลาจากแหล่งอื่นถึงเท่าตัว ปลาช่อน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Channa striata ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีส่วนหัวค่อนข้างโต รูปร่างทรงกระบอกยาว ครีบหางเรียวปลายมน ปากกว้าง ภายในปากมีฟันเขี้ยวบนเพดาน ลำตัวสีคล้ำอมมะกอกหรือน้ำตาลอ่อน มีลายเส้นทแยงสีคล้ำตลอดทั้งลำตัว 6-7 เส้น ด้านท้องสีจางตัดกับด้านบน ครีบสีคล้ำมีขอบสีเหลืองอ่อน ครีบท้องจาง มีขนาดลำตัวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง 1 เมตร ปลาช่อนในบางพื้นที่เช่นที่จังหวัดสิงห์บุรีขึ้นชื่อมากเรียกกันว่า "ปลาช่อนแม่ลา" มีประเพณีพื้นถิ่นคือเทศกาลกินปลา ลักษณะเฉพาะของปลาช่อนแม่ลา คือ มีครีบหูหรือครีบอกสีชมพู ส่วนหางจะมีลักษณะมนเหมือนใบพัด ลำตัวอ้วนแต่หัวหลิม ไม่เหมือนปลาช่อนทั่วไป โดยเป็นปลาช่อนที่อาศัยอยู่ในลำน้ำแม่ลา อยู่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำน้อยในเขตจังหวัดสิงห์บุรี เป็นแหล่งน้ำที่น้ำนิ่ง มีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารตามธรรมชาติ ใต้ท้องน้ำปกคลุมไปด้วยพืชน้ำและวัชพืช ทำให้น้ำเย็น ดินก้นลำน้ำยังเป็นโคลนตมที่มีอินทรียวัตถุ แร่ธาตุที่ไหลมารวมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ปลาช่อนแม่ลาถึงมีรสชาติดีกว่าปลาช่อนที่อื่นๆ ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์และมีการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพื่อการอนุรักษ์ต่อไป คำขวัญจังหวัดสิงห์บุรี "ถิ่นวีรชนคนกล้า คู่หล้าพระนอน นามกระฉ่อนปลาแม่ลา ย่านการค้าภาคกลาง" นายศุภสัณห์ ช่วยบุญ เจ้าของ ป.เกษตรแดนฟาร์ม ตำบลแม่ลา อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เปิดเผยว่า เริ่มเลี้ยงปลาช่อนแม่ลามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เนื่องจากตอนนั้นเริ่มทำสวนมะกรูดสวนมะนาวแล้วก็ขุดบ่อไว้บ่อหนึ่งเพื่อไว้สำหรับรดน้ำมะกรูดมะนาว คิดตอนนั้นว่าทำอย่างไรในการเลี้ยงปลาจะเลี้ยงนั่นปลานี่ดีไหม สุดท้ายเราเป็นคนในพื้นที่ของตำบลแม่ลาจังหวัดสิงห์บุรี แล้วปลาช่อแม่ลาเป็นคำขวัญของจังหวัดสิงห์บุรีด้วย ประกอบกับคนในพื้นที่ไม่มีใครเลี้ยงจึงเริ่มหัดเลี้ยงตั้งแต่ปลายปี 2558 พอเลี้ยงแล้วจึงประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เลี้ยงปลาแล้วชาวบ้านมาอุดหนุนซื้อกันจนหมดเลยที่เราจับขึ้นภายในไม่เกิน 1 ชั่วโมง จึงเกิดแรงบันดาลใจว่าถ้าเราเลี้ยงมากขึ้น มีรายได้เพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นจึงเริ่มขยายบ่อปลาเริ่มเลี้ยงไปเรื่อยๆ เป็นรอบต่อรอบจนทุกวันนี้ ตอนแรกที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องมาจากเวลาการขาย ถ้าเราเลี้ยงปริมาณเยอะๆ แล้วคนรู้จักเราน้อยเป็นรุ่นคนทำใหม่ก็จะโดนกดราคา จึงเริ่มมาทำแปรรูปเอง ปลาแดดเดียว ทำจนมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง คนให้การยอมรับลูกค้าทั่วไปมาอุดหนุน จนทุกวันนี้การเลี้ยงๆ มาเป็นรุ่นๆ ไล่รุ่นไปสองเดือนครั้งๆ ในการจับ พ่อค้าส่วนใหญ่ก็จะมาเหมาบ่อเป็นหลักทำให้ช่วงหลังไม่ค่อยได้ทำปลาแดดเดียว การทำปลาแดดเดียวจากฟาร์มผมจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากฟาร์มอื่น เพราะว่าบางที่เวลาเราซื้อปลาในตลาดเราจะได้กลิ่นโคลนกลิ่นคาว แต่ว่าสำหรับที่นี่ก่อนจะทำปลาจะต้องมีการพักปลาเสียก่อน จึงทำให้รสชาติเวลากินปลาจะไม่มีกลิ่นโคลนเลยครับ พอเราทำได้ในระดับหนึ่งก็มีเกษตรกรสนใจเขาอยากเลี้ยงปลาช่อน จะโทรมาสอบถามกับผมๆ ก็จะบอกเขาว่าให้มาดูในพื้นที่ ในเรื่องของการบริหารจัดการฟาร์ม ให้เข้ามาดูในเรื่องของการวางระบบ มาดูในเรื่องของการเพาะพันธุ์ และจะได้เห็นในเรื่องของลูกปลาที่ปล่อยเลี้ยงในแต่ละรุ่นว่า ควรปล่อยลูกปลาไซด์ไหนขนาดไหนที่จะทำให้เลี้ยงแล้วคุณจะประสบความสำเร็จ เลี้ยงอย่างไรทำให้คุณได้เงิน ที่เราเห็นส่วนใหญ่ที่เลี้ยงปลาไม่ประสบผลสำเร็จเป็นเพราะได้เงินแล้วเกิดภาวะขาดทุน ผมก็จะให้ข้อคิดว่า คุณต้องทำตามรูปแบบที่ผมกำหนดให้นะครับ ถ้าคุณทำตามแบบที่ผมทำคุณได้เงินแน่นอน สำหรับผมแล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเป็นแรงบันดาลใจของผม เพราะสิ่งที่ผมทำนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวธุลีของพระองค์ท่าน เป็นการเดินตามรอย สิ่งแรกที่ผมทำก็คือผมทำตามกำลังที่ผมมี สิ่งที่เรามีเราก็ทำเท่านั้น แต่ถ้าเราทำเพิ่มได้งอกเงยขึ้นก็มาขยายมาทำต่อ ซึ่งจะยึดหลักของในหลวงรัชกาลที่ 9 ครับ พระองค์ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ผมในเรื่องของความตั้งใจความพยายามกระทำอะไรก็ได้ ทำแล้วต้องประสบความสำเร็จโดยใช้ความอดทนเป็นที่ตั้งนะครับ ซึ่งสิ่งนี้ที่ผมยึดเป็นหลักมาโดยตลอด เกษตรกรที่จเเลี้ยงปลาช่อนแม่ลาต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความอดทนสูง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถ้าท่านมีความตั้งใจ อดทน พยายาม จะก่อให้เกิดความสำเร็จในอนาคตแน่อน สนใจโทรมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งปลาได้ที่ ป.แดน เกษตรฟาร์ม โทร.08-2233-9090 เมืองโบราณบ้านคูเมือง จ.สิงห์บุรี สันนิษฐานว่าเป็นชุมชนโบราณสมัยทวาราวดี ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมมน กว้าง 650 เมตร ยาว 750 เมตร สูงจากพื้น 1 เมตร มีเนินดินขนาดใหญ่ มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีการขุดค้นพบภาชนะดินเผามากมาย เช่น เครื่องถ้วยชาม หม้อ ไห กาน้ำ ลูกปัดหินสีต่าง ๆ ตะคันดินเผา ธรรมจักรหินเขียว ตุ้มหู ลูกปัด หินสี และเหรียญเงินมีคำจารึกว่า "ศรีทวารวดีศวรปุญยะ" แสดงให้เห็นว่ามีชุมชนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยฟูนันจนถึงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันวัตถุโบราณที่ค้นพบได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรี และภายในบริเวณเมืองโบราณบ้านคูเมืองปัจจุบันได้จัดให้เป็นสวนรุกขชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ มีคูน้ำโบราณล้อมรอบ มีพันธุ์ไม้ต่างๆ ร่มรื่นสวยงาม เมืองโบราณบ้านคูเมือง (อยู่ภายในสวนรุกขชาติคูเมือง) ตั้งอยู่ที่บ้านคูเมือง ตำบลห้วยชัน ภายในสวนรุกขชาติคูเมือง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 23 กิโลเมตร การเดินทางมาให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 311 เส้นสิงห์บุรี-อินทร์บุรี (สายเก่า) กิโลเมตรที่ 17 หรือห่างจากตัวอำเภออินทร์บุรีประมาณ 7 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเส้น 3285 เส้นอินทร์บุรี-หนองสุ่ม มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านคูเมืองทำให้ได้เขียนชื่อตัวเองในภาษาโบราณ "อักษรปัลลวะ" สวยและแปลกตาต้องห้ามพลาดต้องมาเยี่ยมเข้าชมฟรีค่ะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณเอก-ปิยะชาติ ทองเสวตร เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บ้านคูเมือง โทร.09-5954-2866 ส่งท้ายด้วยภาพนี้ละกันค่ะ ขอขอบคุณ ททท.ภูมิภาค ภาคกลาง และททท.สำนักงานลพบุรี ที่นำเสนอเส้นทางวิถีไทย-วิถีสิงห์ เส้นทางการท่องเที่ยวได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ที่สวยงาม อิ่มเอมกับบรรยากาศและความสวยงามของวิถีชุมชนวิถีไทยวิถีสิงห์ ขอขอบคุณ เพลง : บางระจันวันเพ็ญ / น้าแอ๊ด ยืนยง โอภากุล BG : คุณลักกี้ / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : คุณ lozocat / Banner : คุณ oranuch_sri ของแต่ง BLOG : ป้ามด + น้องดอกหญ้าเมืองเลย + ป้าเก๋า ชมพร + น้องญามี่ + คุณเนยสีฟ้า
Create Date : 26 กันยายน 2562
Last Update : 4 มิถุนายน 2563 13:16:47 น.
33 comments
Counter : 3586 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณRananrin , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณmultiple , คุณkae+aoe , คุณเริงฤดีนะ , คุณTui Laksi , คุณจันทราน็อคเทิร์น , คุณThe Kop Civil , คุณmcayenne94 , คุณhaiku , คุณสองแผ่นดิน , คุณKavanich96 , คุณสาวไกด์ใจซื่อ , คุณกะว่าก๋า , คุณSweet_pills , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร , คุณผีเสื้อยิปซี , คุณที่เห็นและเป็นมา , คุณtoor36 , คุณnewyorknurse , คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณร่มไม้เย็น , คุณInsignia_Museum , คุณเนินน้ำ , คุณkatoy , คุณพันคม , คุณก้นกะลา , คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน , คุณฟ้าใสวันใหม่ , คุณJinnyTent , คุณnonnoiGiwGiw , คุณอาจารย์สุวิมล , คุณทนายอ้วน , คุณวลีลักษณา
โดย: kae+aoe วันที่: 26 กันยายน 2562 เวลา:8:37:09 น.
โดย: multiple วันที่: 26 กันยายน 2562 เวลา:9:01:14 น.
โดย: Tui Laksi วันที่: 26 กันยายน 2562 เวลา:9:12:38 น.
โดย: mcayenne94 วันที่: 26 กันยายน 2562 เวลา:18:55:29 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 26 กันยายน 2562 เวลา:23:23:08 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 27 กันยายน 2562 เวลา:3:58:31 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 กันยายน 2562 เวลา:21:33:40 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 กันยายน 2562 เวลา:6:29:15 น.
โดย: พายุสุริยะ วันที่: 28 กันยายน 2562 เวลา:10:25:40 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 28 กันยายน 2562 เวลา:20:18:29 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 กันยายน 2562 เวลา:0:55:47 น.
โดย: เนินน้ำ วันที่: 1 ตุลาคม 2562 เวลา:20:17:29 น.
โดย: พันคม วันที่: 2 ตุลาคม 2562 เวลา:9:53:11 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 ตุลาคม 2562 เวลา:6:23:39 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 3 ตุลาคม 2562 เวลา:8:30:53 น.
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 3 ตุลาคม 2562 เวลา:9:50:31 น.
โดย: JinnyTent วันที่: 3 ตุลาคม 2562 เวลา:13:03:20 น.
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 3 ตุลาคม 2562 เวลา:21:36:26 น.
โดย: วลีลักษณา วันที่: 3 ตุลาคม 2562 เวลา:21:49:03 น.
โดย: multiple วันที่: 4 ตุลาคม 2562 เวลา:7:56:33 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 4 ตุลาคม 2562 เวลา:14:00:59 น.