เมื่อเป้าหมายต่างกัน คนหนึ่งขอแค่ค่ากับข้าวเท่านั้น ส่วนอีกคนฝันใหญ่มาก
และเมื่อวันศุกร์มาถึง.... ฉันกับเพื่อนรักอีกคนในกลุ่มไปถึงก่อนเราจึงสั่งอาหารมาทานกันก่อน เรื่องอย่างนี้ใครจะคอยใครกัน
“ตกลงว่าเรามาทำอะไรที่นี่”ตุ๊ถามขึ้นตามประสาคนช่างระวัง เธอปรายตามองไปรอบๆระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาสูงปริ่มๆขอบแพที่เรานั่งมีเรือลำใหญ่แล่นผ่านก่อให้เกิดคลื่นมาซู่ใหญ่ขนาดที่ทำให้แพโยกไปมา เธอคงคิดว่ากำลังจะเมาแพแน่
ฉันยิ้มขำๆ ก็จะไม่ให้ฉันขำได้เหรอเพื่อนฉันคนนี้เป็นคนที่ช่างระแวดระวังแต่กลับเพื่อนแล้วบอกไปกันก็โดดขึ้นรถมาโดยไม่ถามอะไรสักคำ “มาดูว่าเราจะทำธุรกิจสมุนไพรกับพี่แมวได้ไหมพี่เค้าอยากทำแต่ไม่มีทุน” ฉันตอบ ตุ๊ทำตาโต “กับพี่แมวนี่นะ?”เธอเองก็พอได้ยินเรื่องพี่แมวมาบ้างแต่ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆไอ้ที่ได้ยินก็เป็นเรื่องเม้าธ์ของฉันกับเพื่อนแบบว่างานประจำของพวกเราคือคุยเรื่องคนอื่นน่ะดังนั้นพี่แมวในสายตาตุ๊นั้นออกจะน่าเกรงขามด้วยคำว่า ด๊อกเตอร์นำหน้าชื่อพี่แก แถมพี่แมวยังเป็นคนดังในแวดวงเราเสียด้วย เอิ่ม...ฉันบอกหรือยังคะว่าแวดวงเรานั้นคือกลุ่มคนที่ไปรวมตัวกันในเวบไซต์ที่คุยเรื่องธรรมะแบบที่ต่างจากเวบศาสนาอื่นๆแบบมันแตกต่างชนิดคนละฝ่ามือเลยค่ะ การคุยกันไปมานานแรมปีทำให้เราค่อนข้างสนิทกันเมื่อมาพบหน้ากันจริงๆ เราจึงไม่รู้สึกแปลกหน้ากันเท่าไรนักอีกทั้งยังมาสนิทสนมกันแบบรวดเร็วประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนกันมาสิบๆปี พวกเราค่อนข้างมาจากหลากหลายอาชีพกันอย่างเช่น เยาวนิต เพื่อนคนที่ฉันกำลังรอนี่ก็มาจากแวดวงธุรกิจเกี่ยวกับโฆษณาตุ๊ก็กลับมาจากแคนาดาหลังจากย้ายถิ่นฐานไปอยู่เกือบสิบปี หรืออย่างพี่แมวเองก็รับราชการทำงานในแวดวงวิชาการ ส่วนฉันก็อย่างที่รู้ๆทำสมุนไพรส่งออกแล้วเขียนนิยายกุ๊กกิ๊กเล่นแต่เพราะเรามีความสนใจร่วมกันนั่นคือเรื่องของจิตวิญญาณ พลังอำนาจแห่งใจกฎแห่งการดึงดูด Law of Attraction เราจึงรวมตัวกันได้เร็วเพราะไม่ได้ตั้งอยู่บนเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่เรามาคุยกันเรื่องธุรกิจแต่นั่นละนะ มันก็เป็นธุรกิจที่ตั้งอยู่บนความต้องการอยากช่วยคลี่คลายสถานการณ์พี่แมวที่กำลังลำบาก “แล้วเราจะทำยังไงเหรอออกเงินให้เขาหรือว่าทำร่วมกัน”ตุ๊น่ารักตรงที่ไม่เคยปฏิเสธเพื่อนหรือการช่วยเหลือใครเลยเธอเองก็พอรู้ว่าพี่แมวต้องหยิบยืมเงินคนมาเพื่อรักษาสามีที่นอนหลับไหลแบบไม่รู้สึกตัวมาแรมเดือน “ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่ค่อยรู้ว่าจะเอาไงเลยนิตบอกว่ามาคุยกันก่อน” ฉันตอบตามความจริง ไม่นานเยาวนิตก็มาถึง “หิวโคดๆสั่งอะไรมากินเร็ว” เธอบอกโดยยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่ง มือก็โบกเรียกพนักงานบริกร หลังจากหันไปสั่งอาหารขนาดกองทัพทั้งกองพันกินไม่หมดเยาวนิตจึงค่อยหันมาทักทายเพื่อนฝูง “ตุ๊เป็นไง ไม่เจอกันนานตอนนี้ทำอะไรอยู่” “ยัง” ตุ๊ส่ายหน้า“ก็ดูหุ้นดูทองไปเรื่อยๆ” “ดีเลยจะได้มาช่วยพี่แมวกับริสาทำสมุนไพรส่งออก”เยาวนิตบอก “พี่แมวว่าถ้าทำได้นะ มันจะดังระเบิดระเบ้อเลยเพราะมันใหม่มากยังไม่มีคนทำ พี่แมวน่ะเค้าเก่งเรื่องสมุนไพร ค้นคว้าเรื่องนี้มาเยอะ อย่างเรื่องเห็ดหลินจือพี่เค้าก็แนะนำให้ฉันต้มให้พ่อกินเลยเค้าว่ามันดีต่อระบบองค์รวมของร่างกาย” เยาวนิตเจื้อยแจ้วฉันชอบตรงนี้ละเวลาที่เยาวนิตมาถึงเจ้าหล่อนจะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าโดยเราจะไม่ต้องสรรหาหัวข้ออื่นๆมาพูดคุยนั่งฟังไป กินไป ส่วนคนพูดที่บ่นว่าหิวก็ไม่ค่อยได้กินหรอกติดพันกับการเล่าเสียมากกว่า เยาวนิตยังเล่าว่าพี่แมวได้ลองสั่งน้ำฟักข้าวมาจากเชียงใหม่มาทดลองขายไม่กี่วันก็หมดแล้ว เห็นบอกว่าจะสั่งมาเพิ่มแต่คนผลิตบอกผลิตให้ไม่ทัน “งั้นแปลว่าเรากำลังจะทำน้ำผลไม้บรรจุขวดใช่ไหม”ฉันถาม พร้อมวาดวิมานในอากาศ “ถ้างั้นเราต้องออกแบบแพกเกจจิ้งสวยๆ พร้อมวางใน 7-11“ “โอ้โห ถ้างั้นเราก็ต้องจ้างโรงงานผลิตต้องมีออฟฟิศ มีโกดังไว้เก็บสินค้า เอาที่ไหนดีละ” ตุ๊ถาม “เราไปเช่าออฟฟิศแถวแนวรถไฟฟ้าไหมใครไปใครมาจะได้สะดวก ส่วนเรื่องจ้างผลิตก็หาโรงงานที่ได้มาตรฐานผลิตออกมาแล้วเอาไปเสนอห้าง” พวกเรานั่งถกกันไปมาแบบพวกไร้เดียงสาในวงการอุตสาหกรรมน้ำผลไม้ไร้เดียงสาขนาดที่เราไม่เคยรู้เลยว่าทำน้ำทำยังไงแต่มันสนุกเมื่อได้วาดภาพเรารับเงินที่ขายในแต่ละวัน ถ้าขายได้วันละ 1000 ขวด กำไรขวดละสัก 5 บาทแค่นี้เราก็สบายแล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร จ้างเขาผลิต จ้างเขาออกแบบ หาขวดสวยๆแปลกๆเอาเข้าเสนอห้าง สบายดีเนอะ พี่แมวมาถึงตอนที่อาหารพร่องไปเล็กน้อยแต่ความคิดน่ะขยายไปไกลขนาดที่จะเลือกทำเลออฟฟิศไปแล้วพี่แมวไม่พูดพล่ามทำเพลงลงมือกินอาหารราวกับว่าไปผ่านศึกแบบอดข้าวอดน้ำมาสักสิบวันก็ไม่ปานหลังจากอาหารถูกจดการไปหมดระหว่างที่รอของหวานก็เข้าเรื่องได้เสียที “ฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านของไทยนี่ละ มีทั้งไทยเวียตนาม พม่า แต่ที่นิยมมากที่สุดก็เวียตนาม เขาเรียกว่า แก๊คจะเอาไปหุงกับข้าวให้เป็นข้าวสีแดงถือว่าเป็นข้าวมงคล มักทำในงานสำคัญๆเช่นแต่งงานตรุษญวน ในไทยเราก็เอาผลอ่อนมาจิ้มน้ำพริกกินผลแก่ก็โยนให้นกกากินเพราะคิดว่ามันจะเป็นพิษต่อมาก็มีนักวิจัยนำเจ้าฟักข้าวนี้ไปวิจัยแล้วพบว่าในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวมีไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศ 70 เท่าเ บต้าแคโรทีนมากกว่าแครอท 20 เท่า แถมมัยยังอยู่ในรูปของโอเมก้า 6,-9 ซึ่งอยู่ในรูปแบบเดียวกับเซลล์ในร่างกายเรามันจึงดูดซึมเข้าร่างกายได้ทันที มันเหมือนเป็นเซลล์นาโนแบบธรรมชาติ” พี่แมวพูดเนิบๆ ตามแบบนักวิชาการ “เยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวคือตรงไหนของมันคะ”ฉันถามแบบโง่ๆ “ตรงที่หุ้มเม็ดมันเหมือนเวลาเราจะต้มฟักขาวทำน้ำแกง เราจะเอาใส้ตรงกลางที่มีเม็ดออกเหลือแต่เนื้อนั่นละตรงกลางฟักข้าวก็เป็นแบบนั้น ประโยชน์อยู่ตรงที่เราทิ้งไปแล้วกินตรงเนื้อที่ไม่มีประโยชน์อะไร” “เออเนอะมีผลไม้หลายอย่างนะที่เราทิ้งส่วนที่เป็นประโยชน์ไปแล้วมากินส่วนที่ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นักอย่างเช่นข้าวนี่ไง เอาไปขัดสีจนขาวทิ้งของดีไป” เยาวนิตเสริม พี่แมวก้มลงไปคว้าถุงที่วางข้างๆตัวขึ้นมา เธอนำขวดน้ำสีส้มๆขวดเล็กๆออกมาวางตั้งบนโต๊ะหกขวด “นี่เป็นน้ำฟักข้าวที่มีคนทำขายพี่สั่งมาจากเชียงใหม่ พอดีคนที่รู้จักกันเขาจะไปเชียงใหม่เลยฝากเขาหิ้วมาให้ 100ขวด แต่คนที่หิ้วให้พอชิมว่าอร่อยเลยแบ่งไป 20ขวดแล้วพี่ก็แบ่งขายคนในสำนักงานไปเหลือมาแค่นี้เอาไปชิมคนละ 2 ขวด”เธอเลื่อนมาตรงหน้าฉันพร้อมคะยั้นคะยอให้ชิม ฉันเปิดขวดน้ำพลาสติคเล็กๆตรงหน้ามันเป็นขวดน้ำผลไม้แบบตามที่ขายในตลาดนัด ไม่มีตรายี่ห้อ ไม่มีวันที่ผลิตไม่มีชื่อผู้ผลิต ไม่มีอะไรเลย รสชาติแรกที่แตะลิ้นคือมันหวานมาก หวานจนฉันกลัวหวานขนาดที่ฉันเติมน้ำแข็งเจือจางด้วยน้ำเปล่าแต่มันก็หวานมากกว่าที่ฉันดื่มได้อยู่ดี “ฟักข้าวหวานมากขนาดนี้เลยเหรอคะ”ฉันถามหลังจากที่ฝืนกลืนลงไป พร้อมยื่นที่เหลือให้เพื่อนๆ “ไม่หรอกค่ะ ฟักข้าวไม่มีรสชาติเลยต้องผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆอย่างอันนี้เขาผสมเสาวรส” พี่แมวอธิบาย “ที่ทำงานพี่ชอบมากถึงขนาดสั่งจองเป็นประจำเพราะถ้ากินเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้ทั้งยังช่วยชะลอวัย พี่กะว่าจะตั้งสโลแกน ชะลอวัย ไกลมะเร็ง” “แล้วพี่คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปจะทำธุรกิจแบบไหน” ฉันถามเข้าเรื่อง หลังจากเชื่อแน่ละว่ามีสรรพคุณดีเด่นในสามโลก“เราจะทำอะไรบ้าง พี่จะอยู่ตรงส่วนไหนในโปรเจกต์นี้ ดูแลเรื่องข้อมูล R&Dหรือว่าตรงไหน” พี่แมวทำสีหน้างงๆ “หมายความว่าไงคะพี่ก็คงดูแลเรื่องหาลูกค้าโดยมากคงเป็นคนในออฟฟิศพี่ก่อนถ้ามีคนซื้อจากพี่สักวันละ 100-200 ขวดพี่ก็พอได้ค่ากับข้าว พี่แค่อยากได้ค่ากับข้าวเพิ่มสักวันละร้อยสองร้อยถ้าพวกน้องรับจากพี่ไปทานแล้วบอกต่อหรือรับประจำ พี่ก็จะเอามาส่งให้” ค่ากับข้าว!!! โอ้ ไม่นะ ความฝันที่ว่าเราจะมีธุรกิจน้ำคู่แข่งโออิชิตกน้ำป๋อมแป๋มไปในบัดดล “พี่ต้องการแค่ค่ากับข้าว” ฉันทวนคำสบตากับเพื่อนตัวแสบที่ทำหน้าเหรอหรา “ที่นัดเราคืออยากให้เราช่วยซื้อ” “อืม พี่ก็อยากมาเจอพวกน้องๆด้วยคิดถึงน่ะแล้วก็พอดีเล่าให้คุณนิตฟังว่ากำลังทำน้ำสมุนไพร อยากให้ช่วยอุดหนุน” “แล้วเราจะซื้อจากพี่ได้ไงคะเราอยู่บางกะปิ พี่อยู่ฝั่งธน” บริกรเสริฟของหวานหน้าตาน่ากินแต่ฉันหมดอารมณ์อยากแล้ว ฉันอยากกลับบ้าน “นั่นสิ พี่ก็คงขายคุณนิตได้คนเดียวเพราะอยู่ใกล้กัน แต่ได้แค่นี้พี่ก็โอเคมากๆเลยนะพี่กะว่าจะหากระติกน้ำแข็งใส่ไปแล้วไปวางขายแถวจตุจักรด้วย” พี่แมวตอบจัดการกับของหวานตรงหน้าโดยไม่รู้เลยว่าทุกคนกำลังรู้สึกอะไร “แล้วพี่ไม่คิดทำเองเหรอคะถ้าเราทำเป็นสินค้าของเราเองก็ขายได้มากขึ้น” ฉันซัก “อ็ย ไม่เอาหรอก พี่ขี้เกียจยุ่งยากซื้อเค้ามาขายง่ายดี ไม่ต้องคิดมากเพราะพี่เองสามารถเซลเองได้เลย แค่เล่าสรรพคุณทุกคนก็ซื้อพี่หมด” “พี่กำลังจะบอกว่าสินค้าตัวนี้ขายได้เพราะเป็นพี่ถ้าอย่างนั้นคนอื่นก็จะขายไม่ได้หรือขายไม่เท่าพี่เพราะชื่อเสียงพี่เพราะความเชื่อมั่นในความรู้ของพี่” ฉันทวน “ใช่ เชื่อไหมพอพี่บอก พวกเขาก็ซื้อทันที”พี่แมวพยักหน้าอย่างภูมิใจ “แต่ที่เรามาวันนี้เพราะเรานึกว่าพี่อยากทำเราก็จะทำด้วยทำให้ใหญ่ไปเลย จ้างเค้าผลิตวางขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศพี่อยู่ฝ่ายข้อมูล ประชาสัมพันธ์ในฐานะนักวิชาการสินค้าต้องขายได้ด้วยตัวมันเองเพราะถ้ามันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขคนคนเดียวแรงเดียวทำให้ตายก็ไม่โต” “พี่ไม่เอาหรอกถ้าพวกคุณอยากทำก็ทำเลยถ้าอยากรู้อะไรก็ถามพี่ได้แต่จะให้พี่ไปทำแบบนั้นไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แบบนี้ได้เงินเห็นๆแถมไม่ยุ่งวุ่นวายด้วย” งั้นเราก็คงต้องไปคนละทางแล้วละฉันเอนหลังพิงพนัก หมดคำถาม พี่แมวไม่ได้ค้องการความช่วยเหลือจากเราแต่เราคิดเองเออเอง อีกอย่างสิ่งที่พี่แมวต้องการแค่ค่ากับข้าวที่เพิ่มขึ้นขณะที่เราต้องการเห็นธุรกิจที่เติบโตออกไปทั่วประเทศบางครั้งคนเราก็มีความฝัน ความต้องการคนละอย่าง ไม่ใช่ว่าเราโลภหรือพี่เค้ามักน้อยหากแต่ว่าเรายืนคนละจุด เห็นคนละอย่างตามแต่ประสบการณ์ที่เราแต่ละคนถูกหล่อหลอมมาเท่านั้นเอง
Create Date : 23 มีนาคม 2555 |
Last Update : 23 มีนาคม 2555 8:11:20 น. |
|
2 comments
|
Counter : 661 Pageviews. |
|
|
อ่านจบแล้วไม่รู้จะ comment ว่ายังไงดี เรียกว่าพี่เค้าเป็นนักวิชาการที่ขาดแรงบันดานใจในการทำธุรกิจรึป่าวคะ หรืออาจะเป็นอย่างคนว่ายืนอยู่คนละจุด คนละสังคม คนละสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมก็ได้