Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
3 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 1》 三十九


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 39


2 มกราคม 2550 / ปรับปรุงแก้ไข :




39-1


กัวเส่อเหริน ก้วนฟู และหลี่หลิง ทั้งสามคนกำลังเร่งฝีเท้าม้าเพื่อรีบเดินทางกลับสู่ฉางอัน หลี่หลิงมองไปข้างหน้าเห็นทหารคนหนึ่งกำลังตวัดปลายแส้เข้าใส่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกจับมัดขึงพืดอย่างไม่ยั้ง

“ตรงโน้นดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นนะ” หลี่หลิงบอกกับพรรคพวก

กัวเส่อเหรินไม่อยากให้เข้าไปยุ่งจึงรีบเอ่ย “แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นซะ อย่าเข้าไปยุ่งเลยจะดีที่สุด”

“แต่พวกนั้นจะตีคนตายอยู่แล้วนะ เห็นทีข้าจะต้องเข้าไปดูสักหน่อย” หลี่หลิงรีบขี่ม้าตรงเข้าไปทันที

“นี่..นี่..จะดูก็ดูแต่ตาสิ ไม่เห็นจะต้องเข้าไปยุ่งด้วยเลย” กัวเส่อเหรินตะโกนห้าม

“ข้าก็จะเข้าไปดูด้วยเหมือนกัน” ก้วนฟูยื่นเชือกบังคับม้าให้กัวเส่อเหรินแล้วตนเองก็รีบลงจากรถม้าทันที

“เจ้าอย่าไปอีกคนสิ แล้วม้าล่ะ ข้าบังคับม้าไม่เป็นนะ” กัวเส่อเหรินบ่น



39-2


“จะบอกหรือไม่บอก เจ้าเป็นคนเอายาถ่ายให้ม้ากินใช่ไหม” นายทหารเอ่ยถามพร้อมกับตวัดแส้ลงไปบนแผ่นหลังของเว่ยชิง แต่เว่ยชิงไม่ยอมรับ “เจ้าเด็กเวร ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะง้างปากเจ้าให้พูดไม่ได้”

“พวกเจ้าห้ามรังแกคนนะ” เสียงของหลี่หลิงดังขึ้น

เหล่านายทหารพอเห็นว่ามีคนมาก็รีบทิ้งแส้แล้วหนีไป

“อะไรกันเนี่ย พวกเรายังไม่ทันจะได้ยืดเส้นยืดสายกันเลย พวกมันก็วิ่งหนีไปซะแล้ว” ก้วนฟูซึ่งตามเข้ามาทีหลังเอ่ยด้วยความเสียดาย

“ข้าว่ารีบไปช่วยเค้ากันดีกว่า” หลี่หลิงบอกก้วนฟู

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเป็นยังไงบ้าง” หลี่หลิงเอ่ยถามขณะแก้เชือกที่มัดมือเว่ยชิง

“เจ้าสิเด็กน้อย” เว่ยชิงไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเด็กน้อย

หลี่หลิงไม่ยอม รีบบอกอายุของตนเอง “เร็วๆนี้ข้าก็จะอายุสิบแปดแล้ว”

“ข้าก็อายุไล่เลี่ยกันกับเจ้านั่นแหละ” เว่ยชิงเถียง

“เอาน่า อย่ามามัวแต่นับอายุกันอยู่เลย ไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสาบาน(拜把子)กันสักหน่อย” ก้วนฟูรีบห้ามศึก “จริงสิ พวกนั้นจะตีเจ้าให้ตายด้วยเรื่องอะไรกัน”

“ข้าวางยาถ่ายม้าของพวกมัน”

“แล้วพวกมันเป็นใครกันล่ะ” หลี่หลิงถาม

“ข้าไม่สนหรอกว่าพวกมันจะเป็นใคร ข้าแค่อยากจะให้คนนั้นหนีไปให้ไกลจากพวกมันจนตามไม่ทัน”

“แล้วคนที่เจ้าพูดถึงคนนั้นน่ะ เค้าทำอะไรเหรอ” ก้วนฟูถาม

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าเค้าทำอะไร เค้าแค่บอกให้ข้าไปหาเค้าที่บ้านของผิงหยางกงจู่ที่ฉางอัน เค้าบอกว่าเค้าแซ่เฉา ชื่อไท่จื่ออะไรนี่แหละ”

“ไท่จื่อเหรอ” หลี่หลิงกับก้วนฟูเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

“น้องชาย เจ้าช่วยไท่จื่อไว้ใช่ไหม” หลี่หลิงเขย่าตัวเว่ยชิงด้วยความดีใจ

“เบาๆหน่อยสิ” เว่ยชิงเจ็บแผล

ก้วนฟู เจ้าช่วยข้าด้วย รีบมาช่วยข้าเร็วๆ เค้าจะฆ่าข้าแล้ว” เสียงของกัวเส่อเหรินดังขึ้น

ก้วนฟูกับหลี่หลิงหันไปทางต้นเสียงก็เห็นกัวเส่อเหรินถูกทหารจับตัวเอาไว้พร้อมกับกระบี่พาดอยู่ที่คอบังคับให้นั่งอยู่กับพื้น จึงรีบเข้าไปช่วย

“พี่กัว รีบขึ้นรถเร็วเข้า” หลี่หลิงตะโกนบอกขณะที่กำลังจัดการกับพวกทหาร

“ข้าเป็นตะคริว(抽筋)ที่น่อง(腿肚子) ข้าลุกไม่ไหว” กัวเส่อเหรินรู้สึกตกใจจนขยับขาไม่ออก

ก้วนฟูจึงรีบเข้าไปพยุงตัวกัวเส่อเหรินพาไปที่รถม้าแล้วขับออกไปทันที ส่วนหลี่หลิงก็ผิวปากเรียกม้าของตนเอง

“เจ้าคนไม่กลัวตาย แล้วพบกันที่ฉางอันนะ” หลี่หลิงตะโกนบอกเว่ยชิงแล้วรีบขี่ม้าหนีไปทันที

เมื่อหลี่หลิงกับพวกขี่ม้าหนีไปแล้ว เหล่าทหารก็เบนเข็มมาทางเว่ยชิงทันที เว่ยชิงเห็นท่าไม่ดีก็รีบวิ่งหนีทหารกระโดดลงแม่น้ำหวงเหอ



39-3


เย็นย่ำใกล้จะค่ำแล้วรถม้าของก่วนเถากงจู่ก็ได้เดินทางมาถึงประตูเมืองฉางอัน ทหารยามหน้าประตูสั่งให้หยุดรถ

“ป้ายอนุญาตให้เดินทางล่ะ” ทหารยามถาม

“ไม่มี” คนขับรถม้าตอบ

“ไม่มีก็ออกไปนอกเมืองไม่ได้ กลับไปซะ” ทหารยามไล่

เฉินอาเจียวเลิกม่านโผล่หน้าออกมาถาม “แม้แต่รถม้าของก่วนเถากงจู่ก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

ระหว่างนั้นเองโต้วอิงกับทหารผู้ติดตามได้ขี่ม้ามาตรวจตราที่ประตูเมืองพอดี

เฉินอาเจียวเห็นเข้าก็รีบทักทาย “นึกว่าใครที่มาทำวางอำนาจบาตรใหญ่(耀武扬威) ที่แท้ก็น้าเขย(小姨夫)นี่เอง โอ้โห สวมเสื้อเกราะทอง(金盔铁甲) คาดเข็มขัดหยก(玉带围腰)ซะด้วย น้าเขยแต่งตัวแบบนี้ดูหนุ่มขึ้นตั้งสิบปีเชียวนะ”

“ไม่ต้องมาแกล้งยอน้าเลย เจ้าจะออกนอกเมืองไปทำอะไร” โต้วอิงถาม

“ท่านก็เห็นอยู่ว่าพวกเราแต่งชุดไว้ทุกข์ จะให้ออกไปทำอะไรได้ล่ะ”

“พระศพของอดีตหวงตี้ยังไม่ได้ทำพิธีฝังเลย เจ้าจะออกไปร้องไห้ที่หลุมศพ มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอ”

“ก็ยังไม่ถึงวันไว้ทุกข์ให้หวงตี้นี่นา หวังว่าท่านน้าคงไม่คิดที่จะห้ามไม่ให้ข้าออกไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อของข้าหรอกนะ”

“ไปไหว้สุสาน(上坟)พ่อเจ้า จะต้องเป็นวันนี้ด้วยเหรอ”

“แล้วทำไมถึงจะเป็นวันนี้ไม่ได้ล่ะ”

“หวงไท่โห้วทรงมีพระบัญชา ห้ามมิให้ทุกคนออกนอกเมืองโดยไม่มีเหตุผล เจียวเจียว เจ้าเชื่อฟังน้าหน่อยเถอะนะ เปลี่ยนเป็นวันอื่นแล้วเจ้าค่อยไปก็แล้วกัน”

“เปลี่ยนวัน? วันตายของพ่อข้าเปลี่ยนได้ด้วยเหรอ วันนี้เป็นวันตายครบรอบสามปีของพ่อข้านะ”

“ช่างบังเอิญจริงๆเลยนะ” โต้วอิงส่งเสียงแปลกใจ

“ท่านน้า ท่านพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าเองก็ไม่อยากจะให้ท่านพ่อต้องมีวันนี้หรอกนะ ถ้าท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง(硬朗)ก็คงจะดีอยู่หรอก ท่านน้าเป็นราชบุตรเขย(驸马) พ่อของข้าก็เป็นราชบุตรเขยเหมือนกัน ไม่แน่ว่าหน้าที่ดูแลรักษาเมืองในตอนนี้อาจจะยังไม่ตกไปถึงมือของท่านก็ได้”

“ไม่ว่าเจ้าจะพูดยังไง วันนี้ข้าก็ปล่อยให้เจ้าออกไปไม่ได้หรอก”

“ท่านถือว่ามีอำนาจ(权)อยู่ในมือ แล้วจะออกคำสั่งอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ น้าเขย ข้าขอร้องล่ะ”

“ข้าแค่ทำตามหน้าที่ ถึงเจ้าจะโวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ หวงไท่โห้วเป็นคนบอกให้ข้าออกคำสั่ง หากเชื้อพระวงศ์(皇亲国戚) เจ้าผู้ครองนครและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายต้องการจะออกนอกเมือง จะต้องมีป้ายคำสั่งจากหวงไท่โห้ว เจ้าต้องมีป้ายคำสั่งถึงจะออกไปได้”

“ท่านอย่ามาทำเป็นเอาหวงไท่โห้วมาขู่(吓唬)ข้าหน่อยเลย ทรงเป็นยายแท้ๆของข้านะ”

“ขอแค่มีป้ายคำสั่ง เจ้าจะออกไปไหนก็ได้”

“มาแล้วจะให้กลับไปเอามันเสียเวลานะน้าเขย ยังไงท่านก็ช่วยหน่อยเถอะ ท่านช่วยปกปิดไม่ต้องบอกให้ทรงทราบก็ได้นี่”

“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด” โต้วอิงปฏิเสธแล้วสั่งให้ทหารส่งเฉินอาเจียวกลับตำหนัก

ทันใดนั้นก็มีเสียงร่ำไห้จากในรถดังลอดออกมา โต้วอิงได้ยินเสียงร้องไห้ก็เกิดความสงสัย “แล้วคนที่อยู่ในรถคือ...”

“คนดีของข้า เจ้ามาด่วนจากไปเร็วจริงๆ”

โต้วอิงขอคารวะจ่างกงจู่(องค์หญิงใหญ่)”

“ฮือๆ เจ้าจากไปโดยที่ไม่รับรู้อะไร ทิ้งให้ลูกกำพร้า(孤儿)และแม่หม้าย(寡母)อย่างเราสองคนต้องถูกคนอื่นเค้าข่มเหงรังแก ฮือๆ วันนี้เป็นวันครบรอบการตาย(忌日)สามปีของเจ้าแท้ๆ ข้าคิดจะไปกลบดิน(培土)เผากระดาษ(烧纸)ให้แค่นี้ อยู่ใกล้กันก็เหมือนอยู่ไกลกันสุดขอบฟ้าเลย ฮือๆ”

“มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจาเถอะนะ” โต้วอิงปลอบก่วนเถากงจู่

“หากจะโกรธเคืองอะไร ก็โกรธเคืองตัวเจ้าเองเถอะนะ เป็นราชบุตรเขยดีๆเจ้าก็ไม่เอา ตอนไปปราบกบฎเจ็ดอ๋อง(七王之乱)เจ้าว่าเจ้าจะได้แสดงความสามารถ(逞能)แล้วเป็นไงล่ะโดนธนูหกดอกยิงเข้าที่ร่าง ไปรนหาที่ตายแท้ๆเลย ฮือๆ เจ้าไปสบายแล้วนี่ เหลือไว้แต่เราสองแม่ลูก แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไงล่ะทีนี้ ฮือๆ”

โต้วอิงทนฟังเสียงพร่ำพรรณาของก่วนเถากงจู่ไม่ได้จึงตัดรำคาญสั่งทหารอนุญาตให้ขบวนรถม้าของก่วนเถากงจู่ออกไปนอกเมืองได้



39-4


ตลอดทางนับตั้งแต่ออกจากประตูเมืองฉางอันมาก่วนเถากงจู่ก็คร่ำครวญไม่หยุดสักที “แต่ละคืนชีวิตของหญิงหม้ายมันช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเป็นที่สุด ผ้าห่มที่ว่างเปล่าไร้ความอบอุ่น...”

เฉินอาเจียวที่นั่งมาด้วยกันรู้สึกรำคาญนิดๆ “พอได้แล้ว ท่านแม่หยุดร้องได้แล้ว ท่านร้องไห้มาหนึ่งคืน นี่ก็เช้าแล้ว หยุดได้แล้ว ไม่มีคนตามมาแล้วล่ะ”

ได้ยินลูกสาวบอกปุ๊บก่วนเถากงจู่ก็รีบเช็ดน้ำตาหยุดร้องไห้ทันที “อาเจียว แม่คร่ำครวญใช้ได้ไหม เกินไปหรือเปล่า”

“เกินไปนิด แต่ว่ายิ่งเกินก็ยิ่งดี”

“เจ้าอย่าคิดว่าแม่แกล้งร้องไห้นะ ครั้งนี้ทันทีที่แม่ร้องไห้เรื่องเศร้าๆทั้งหลายที่ทำร้ายจิตใจแม่ก็ผุดขึ้นมาหมดเลยล่ะ ฮือๆ” พูดจบก่วนเถากงจู่ก็ร้องไห้ต่อ

“ไม่ต้องร้องแล้ว ท่านแม่”

ก่วนเถากงจู่ต่อว่าบุตรสาว “เจ้าก็เป็นซะแบบนี้ ข้ามฝั่งได้แล้วก็ทำลายสะพาน เจียวเจียว นอกเมืองกว้างใหญ่ขนาดนี้ เจ้าจะไปตามหาเค้าได้ที่ไหนกันล่ะ”

“ข้าไม่จำเป็นจะต้องไปตามหาเค้า ข้าจะรอให้เค้ามาหาข้าเอง”

จ่างกงจู่(องค์หญิงใหญ่)เพคะ มีทหารจากวังหลวงตามมาเพคะ” นางกำนัลที่ตามมาด้วยกราบทูลให้ทรงทราบ

“หยุดก่อน” เสียงตะโกนไล่ดังมาบอกให้รถม้าหยุด

ก่วนเถากงจู่หันไปมองเห็นมีทหารขี่ม้าไล่ตามมาก็ทรงตกพระทัยทำอะไรไม่ถูก “แย่แล้ว แย่แล้ว”

เฉินอาเจียวรีบเอามือห้ามไม่ให้มารดาส่งเสียง

ทหารลงจากหลังม้าแล้วเดินมากราบทูล กงจู่(องค์หญิง)”

“บังอาจนัก เจ้าคิดจะทำอะไร” เฉินอาเจียวเอ่ยถาม

“ท่านราชบุตรเขยโต้วอิงให้ข้าพระองค์นำเครื่องเซ่นไหว้(祭礼)มามอบให้เป็นการชดเชย ขอให้กงจู่กับคุณหนูรับไว้ด้วยครับ”

เฉินอาเจียวบอกให้นางกำนัลรับเครื่องเซ่นไว้

“เจ้ากลับไปขอบคุณน้าเขยแทนข้าให้ด้วยล่ะ”



39-5


“ข้าไปสืบข่าวมาได้ว่า ก่วนเถากงจู่จะไปเซ่นไหว้ที่สุสาน” จางเชียนเอ่ยกับไท่จื่อ

ไท่จื่อยิ้มดีใจกับข่าวที่ได้ยิน ตงฟางซั่วทำนายถูกอีกแล้ว”



39-6


ไท่จื่อไปแอบยืนด้อมๆมองๆอยู่แถวต้นไม้รอบๆสุสานที่ฝังศพเฉินอู่(陈午)บิดาของเฉินอาเจียว

“กราบครั้งที่หนึ่ง กราบครั้งที่สอง กราบครั้งที่สาม” ก่วนเถากงจู่ส่งเสียงให้กราบไหว้หลุมฝังศพพร้อมกัน เฉินอาเจียวได้แต่ชะเง้อชะแง้มองหาไท่จื่อ เมื่อเห็นไท่จื่อแล้วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนางกำนัลนำธูปไปปักในกระถางแล้ว เฉินอาเจียวก็รีบบอกมารดา “ท่านแม่ ท่านไปเดินเล่นรอบๆแถวนี้ก่อนเถอะนะ”

“ก็ดีเหมือนกันนะ ทุกคนอยู่แต่ในวังต้องคอยปรนนิบัติรับใช้ ดูช่างอุดอู้และก็น่าเบื่อ ไปเดินเล่นกันดีกว่า” นางกำนัลเข้าไปพยุงพาก่วนเถากงจู่ออกเดิน เดินไปได้สักพักก่วนเถากงจู่ไม่เห็นลูกสาวเดินตามมาจึงเดินกลับไปถาม

“อาเจียว แล้วเจ้ามามัวยืนทำอะไรอยู่อีกล่ะ”

“ลูกอยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อน่ะค่ะ ท่านแม่”

“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ความรักที่ท่านพ่อมีให้กับเจ้าก่อนตายนับว่าไม่สูญเปล่า” ก่วนเถากงจู่รู้สึกปลื้มใจ เจียวเจียว ทำไมแม่ไม่เห็นลูกเช่อเลยล่ะ”

“แม่ เรื่องนี้ท่านไม่ต้องยุ่งหรอกน่า แค่เอาใจช่วยก็พอ ท่านไปเดินเล่นเถอะนะ”

“แต่ว่า..”

“เจ้ามานี่สิ” เฉินอาเจียวเรียกนางกำนัล “ประคอง(搀)กงจู่ไปเดินเล่นที”

ก่วนเถากงจู่บ่นน้อยใจขณะที่นางกำนัลพาเดิน “ยังไง(好歹)ข้าก็เป็นแม่ จะถามสักประโยคก็ไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะเป็นลูกเขย(女婿)กับแม่ยาย(丈母娘)ทำไมกัน ฮึ”



39-7


“น้องเช่อ เจ้าอยู่ที่ไหนน่ะ” เฉินอาเจียวตะโกนเรียกพร้อมกับส่ายสายตามองหาไท่จื่อ “ข้าเห็นเจ้าแล้ว ไม่ต้องหลบหรอก เจ้ารีบออกมาเร็วเข้า”

ไท่จื่อย่องมาทางด้านหลังของเฉินอาเจียวแล้วเอ่ย หลิวเช่อ ขอคารวะคุณหนูอาเจียว”

เฉินอาเจียวยิ้มดีใจจนแก้มแทบปริหันกลับไปทางต้นเสียงทันที จากนั้นก็แสร้งงอนเข้าไปทุบตบตีไท่จื่อเบาๆ “เจ้านี่แย่ แย่ที่สุดเลย”

“ระวังคนเห็นหน่อยสิ”

“ข้าไม่สนหรอก ว่าแต่เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า” เฉินอาเจียวซบหน้าของตนเองเข้าไปที่อกของไท่จื่อ

“คิดถึง..คิดถึงสิ”

“คิดถึงทุกวันหรือเปล่า”

“คิดถึงทุกวันเลย”

“แล้วทำไมถึงไม่รีบกลับมาล่ะ เจ้าทำให้ข้าร้อนรุ่มใจแทบคลั่งตายแน่ะ บอกมานะ เจ้าแอบไปมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ที่นั่นใช่ไหม”

ไท่จื่ออึกอัก “ข้า..ข้าจะมีผู้หญิงคนอื่นได้ที่ไหนอีกล่ะ เจ้าไม่เชื่อเหรอ” เฉินอาเจียวทำหน้าไม่เชื่อ “ถ้าไม่เชื่อ เจ้าไปถามจางทัง ถามหลี่หลิง หรือถามกัวเส่อเหริน ดูก็ได้”

“ข้าจะไม่ไปถามพวกเค้าหรอกนะ ถึงถามไปพวกเค้าแต่ละคนก็ต้องช่วยเจ้าปิดบังอยู่ดี อยู่ตะเภาเดียวกัน(狐朋狗友)ทั้งนั้นนี่”

“เอาล่ะๆ เจ้ายกโทษให้ข้าก็แล้วกันนะ พี่อาเจียว พวกเรามาคุยธุระสำคัญกันดีกว่าไหม สถานะการณ์ในวังเป็นอย่างไรบ้าง”

“เจ้าอยากจะคุยธุระสำคัญอย่างนั้นเหรอ แต่ว่าธุระสำคัญระหว่างเรายังพูดไม่จบเลยนะ สรุปแล้วเจ้ามีหรือเปล่าล่ะ”

“มีอะไรเหรอ” ไท่จื่องง

“ก็ผู้หญิงยังไงล่ะ ได้ยินมาว่าที่เมืองเยี่ยนชื่อมีหญิงงามดั่งเมฆาอยู่ดาษดื่น หวานระรื่นจริตวาจาน่าเคลิ้มหลง งามล้ำเลิศกลิ่นเย้ายวนชวนให้อภิรมย์ ไท่จื่อไปพักผ่อนที่นั่นก็หลายวันอยู่จะไม่ไปชื่นชมเลยสักนิดได้เชียวหรือ อย่าบอกนะว่า นางปิศาจจิ้งจอกพวกนั้นหันไปกินมังสวิรัติกันหมดน่ะ”

ไท่จื่อรีบปฏิเสธ “ไม่มีอย่างแน่นอน ทันทีที่ข้าไปถึงเยี่ยนชื่อก็ถูกเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อกับลูกชายให้ร้าย แล้วนำตัวไปขังไว้ที่คุกน้ำใต้ดิน เกือบจะถูกเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อจับตัดหัวซะด้วยซ้ำ ถึงข้าคิดอยากจะไปหาสาวๆก็แบ่งร่างไปไม่ได้(分不开身)หรอกนะ”

“ไหนว่าเจ้าไม่คิดจะมีไง” เฉินอาเจียวงอน

“เปล่านะเปล่า เปล่าจริงๆ ตอนที่ถูกขังอยู่ในคุกน้ำใต้ดิน นอกจากเหล่าอันธพาล(凶神恶煞)พวกนั้นแล้วก็มีแต่กัวเส่อเหรินคนเดียวเองที่อยู่ด้วยกันกับข้า”

“แต่งเรื่องเหมือนจริงเลยเชียวนะ”

“ก็ข้าพูดเรื่องจริงนี่”

“งั้นเจ้าก็สาบาน สาบานสิ”

“ก็ได้ๆ ข้าสาบานให้ก็ได้”

“เจ้าสาบานต่อหน้าหลุมศพพ่อของข้า ทุกคำที่เจ้าพูดพ่อของข้าจะได้ได้ยินตลอด ถึงเจ้าจะหลอกข้าได้ แต่ก็ไม่สามารถหลอกวิญญาณพ่อของข้าที่อยู่บนสวรรค์ได้หรอกนะ”

ไท่จื่อชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วแล้วเริ่มเอ่ยคำสาบาน “ข้าขอสาบานต่อหน้าหลุมศพท่านอา”

“เจ้าจะต้องสาบานว่า เจ้าจะไม่ลืมสัญญาเรื่องห้องทองซ่อนเจียว(金屋藏娇)”

“ข้าจะไม่ลืมสัญญาเรื่องห้องทองซ่อนเจียว

“แล้วอะไรอีกล่ะ”

“วันใด(他日)ที่ข้าได้ขึ้นครองราชย์ ข้าจะขอแต่งพี่อาเจียวเป็นหวงโห้ว และจะสร้างห้องทองคำให้นางอยู่”

เฉินอาเจียวเขินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “แล้วอะไรอีก”

“ยังมีอะไรอีกเหรอ”

“ถ้าเจ้าได้เป็นหวงตี้จะต้องแต่งกับข้าคนเดียว ส่วนตำหนักนางสนม(三宫六院)อะไรทั้งหลายนั่นน่ะ ยกเลิกไปให้หมด”

“พี่อาเจียว ทำอย่างนี้ก็เท่ากับละเมิดกฎนะสิ”

“จะละเมิดกฎอะไรกันเล่า เจ้าจะสาบานหรือไม่สาบาน”

ไท่จื่อยกคำสอนของเมิ่งจื่อ(孟子)ขึ้นมากล่าว “ความอกตัญญูต่อบุพการีมีสามอย่าง การไร้ทายาทสืบสกุลถือว่าอกตัญญูที่สุด(不孝有三 无后为大) ถ้าเกิดว่าพวกเราแต่งงานไปแล้วพี่อาเจียวไม่มีลูกชาย ราชวงศ์ฮั่นของเราก็สืบทอดต่อไปไม่ได้นะสิ เจ้าไม่ควรจะห้ามข้าไม่ให้มีนางสนมหรอกนะ”

เฉินอาเจียวไม่สนใจ “ใครบอกว่าข้าจะมีลูกชายให้ไม่ได้ล่ะ ไม่แน่ข้าอาจจะมีลูกยั้วเยี้ย(五男二女)ให้เจ้านับไม่หวาดไม่ไหวก็ได้”

“ข้าก็แค่พูดคำว่า ถ้าเกิดว่า ต่างหากล่ะ”

“ไม่มีคำว่า ถ้าเกิดว่า อะไรทั้งนั้น เจ้าอย่าลืมสิว่าเจ้ายังไม่ได้เป็นหวงตี้ เจ้าอยากจะเป็นหวงตี้หรือเปล่าล่ะ”

ไท่จื่อถอดใจ “เรื่องนั้นน่ะข้าไม่อยากจะคิดอีกแล้วล่ะ ไท่โห้วทรงแต่งตั้งอ๋องเหลียงแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ขอเพียงแค่เจ้าคิดอยากจะเป็น ข้าก็สามารถทำให้เจ้าเป็นได้นะ”

“เจ้านะเหรอ เจ้ามีความสามารถมากขนาดนั้นเชียวเหรอ”

“เจ้าสาบานก่อนสิ”

“ได้ ข้าขอสาบาน”



39-8


“อะไรนะ เจ้าปล่อยให้ก่วนเถากงจู่ออกนอกเมืองไปเหรอ”

“นางว่านางจะไปไหว้สุสานสามี ฟังดูก็มีเหตุมีผล(名正言顺)ดี หม่อมฉันสงสารก็เลยปล่อยให้นางไป”

“เจ้า” ไท่โห้วโต้วกริ้วขึ้นมาทันทีทรงยกพระหัตถ์ขึ้นจะตบโต้วอิง แต่ก็ทรงยั้งเอาไว้

“ขอบพระทัยเสด็จป้าที่ทรงยกโทษให้”

“เจ้าจงตบตัวเองซะ ตบแรงๆและก็ตบหนักๆด้วย”

โต้วอิงตบหน้าตัวเองซ้ายทีขวาที

“พอได้แล้ว เจ้าสำนึกผิดหรือยัง”

“หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหม่อมฉันทำผิดตรงไหน ในเมื่อก่วนเถากงจู่เป็นบุตรสาวของท่าน ถึงแม้ว่านางจะเข้าวังมาขอร้องท่าน ท่านก็ต้องไว้หน้านางอนุญาตนางอยู่ดี”

“นางไม่ได้เป็นแค่ลูกของป้า แต่ยังเป็นว่าที่แม่ยาย(岳母)ของหลิวเช่ออีกด้วย”

“จริงด้วย ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกันเนี่ย”

“อุตส่าห์วางหมากบนกระดานเสียดิบดี ก็ถูกเจ้าทำกระจัดกระจายเสียนี่”

“หม่อมฉันรู้ผิดแล้ว จะรีบนำตัวนางกลับมาทันที พะย่ะค่ะ”

“สายไปแล้ว เจ้ารีบไปปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน แล้วสกัดหลิวเช่อเอาไว้ด้วยล่ะ”

“น้อมรับพระบัญชา”



39-9


“พี่อาเจียว เจ้าเป็นผู้หญิงบอบบางจะเอาอะไรไปต่อกรกับอ๋องเหลียงหรือแม้แต่ไท่โห้วเค้าได้ล่ะ”

“เพราะข้ามีนี่ยังไงล่ะ” เฉินอาเจียวหยิบกล่องพระพินัยกรรมออกมาให้ไท่จื่อดู

ไท่จื่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อะไรน่ะ”

“มันก็คือคำพูดประโยคสุดท้ายที่อดีตหวงตี้ทรงทิ้งเอาไว้ยังไงล่ะ”

ไท่จื่อเปิดกล่องหยิบพระพินัยกรรมออกมาเปิดอ่าน “หลังจากที่เราสิ้นไปแล้ว ให้มอบบัลลังก์ให้แก่ไท่จื่อหลิวเช่อ

“พระพินัยกรรมนี่เป็นฉบับจริงหรือเปล่า” ไท่จื่อถามเฉินอาเจียวอย่างไม่แน่ใจ

“จริงสิ จริงแท้แน่นอน ส่วนฉบับไม่จริงอยู่กับไท่โห้วโน่น”

“เสด็จพ่อ” ไท่จื่อคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จพ่อ พระเจ้าค่ะ”

“น้องเช่อ แล้วเจ้าอย่าลืมสิ่งที่เจ้าเพิ่งจะสาบานไว้เมื่อตะกี้ล่ะ”



39-10


ก่วนเถากงจู่เสด็จกลับมาที่รถม้า พอเห็นไท่จื่อก็ตะโกนเรียกด้วยความดีพระทัย “ลูกเช่อ เจ้ามาแล้วเหรอ เร็วเข้า ไหนมาให้อาดูหน่อยสิ ทำไมเจ้าซูบผอมอย่างนี้ล่ะ”

“ท่านอา..”

“เอาไว้แค่นี้ก่อนเถอะนะ กลับถึงวังหลวงเมื่อไรค่อยคุยกันก็แล้วกัน” เฉินอาเจียวตัดบท



39-11


ขบวนรถม้าของก่วนเถากงจู่ได้พาไท่จื่อเดินทางผ่านประตูเมืองฉางอันกลับเข้าสู่วังหลวงเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนโต้วอิงหลังจากที่เข้าเฝ้าไท่โห้วแล้ว ก็รีบขี่ม้ากลับไปที่ประตูเมืองฉางอันทันที

“ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ ห้ามไม่ให้ใครเข้าเมืองโดยเด็ดขาด หากเห็นก่วนเถากงจู่เสด็จกลับมาเมื่อไรให้รีบมารายงานข้าทันที” โต้วอิงสั่งทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองฉางอัน

“เรียนท่านนายพล ก่วนเถากงจู่ได้เสด็จกลับตำหนักแล้วครับ”

“ว่าไงนะ”



39-12


ทันทีที่ก่วนเถากงจู่เสด็จลงจากรถม้าก็ทรงตกพระทัยที่เห็นไท่โห้วโต้วมาประทับนั่งรออยู่ที่หน้าตำหนัก

“ไปไหว้หลุมศพกลับมากันแล้วเหรอ” ไท่โห้วโต้วทรงทักบุตรสาว

ก่วนเถากงจู่รีบทรุดตัวลงคุกเข่า “หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จแม่ เพคะ”

“ดูท่าทางเจ้าจะเหนื่อยนะ”

“หม่อมฉันออกจากวังโดยพลการ ไม่ได้ทูลบอกเสด็จแม่ หม่อมฉันผิดไปแล้ว เพคะ”

“เราสองคนเป็นแม่เป็นลูกกัน ยังจะพูดอย่างนี้อยู่อีกทำไม กฎระเบียบน่ะเค้ามีไว้ใช้กับคนนอก แล้วบนรถยังมีใครอยู่อีก ทำไมถึงยังไม่ลงจากรถ”

“เจียวๆ เจ้าไม่ต้องกลัว รีบลงมาคารวะเสด็จยายเร็ว”

“นั่นนะสิ เจ้ารีบลงมาเถอะ ไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็เป็นหลานของยายอยู่ดี เป็นถึงสะใภ้จะขี้ริ้วขี้เหร่ยังไงก็ต้องออกมาพบญาติฝ่ายสามีบ้าง เจ้าลงมาเถอะ” ไท่โห้วโต้วสั่งให้ขันทีไปรอรับเฉินอาเจียวลงจากรถ

ขันทีเดินเข้าไปเลิกม่านขึ้น ก็เห็นเฉินอาเจียวนั่งหลับตาอยู่ แสงแดดที่ส่องเข้ามาทำให้เฉินอาเจียวลืมตาขึ้น “ถึงบ้านแล้วเหรอเนี่ย ข้าหลับเป็นตายเลย”

“รีบลงมาคารวะเสด็จยายเร็วเข้า” ก่วนเถากงจู่เรียกบุตรสาว

เฉินอาเจียวไม่ยอมลงจากรถ แต่กลับเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ไท่โห้ว พระองค์ทรงเสด็จมาได้อย่างไรกัน เพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะฝันไปเมื่อตะกี้นี้เองว่าได้พบกับเสด็จยาย”

ไท่โห้วโต้วทรงลุกจากที่ประทับแล้วเสด็จเดินไปสำรวจภายในรถม้าด้วยพระองค์เอง เมื่อไม่เห็นใครอื่นอีกนอกจากเฉินอาเจียวที่นั่งอยู่บนรถคนเดียว ก็ทรงรับสั่งกลับวังทันที




แล้วไท่จื่อหลิวเช่อที่นั่งมาบนรถม้าด้วยกันล่ะหายไปไหน?


Create Date : 03 ตุลาคม 2550
Last Update : 2 มกราคม 2551 9:32:18 น. 0 comments
Counter : 1889 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.