ดร.โชติชัย ส. แนะนำ หนังสือ 9 เล่ม ที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
มีคนแนะนำอย่างนี้ต้องขอเอามาเก็บไว้ก่อนจะหายไป แล้วค่อยทะยอยหามาอ่านครับ
-----------------------------------------------------------
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้ ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ chodechai@fpo.go.th กรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2549
หลังจากที่รอคอยกันมานาน ผมได้คัดเลือกหนังสือดีที่ควรอ่านในชีวิตนี้ 9 เล่ม โดยเป็นหนังสือที่ผมได้เลือกจากหนังสือที่เคยอ่าน ในช่วงตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก และเป็นหนังสือที่ได้จากการแนะนำของศาสตราจารย์ ผู้รู้ นักคิด นักวิชาการในสมัยที่อยู่ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี หากท่านอยากจะได้หนังสือดีมีคุณค่าและช่วยสร้างพลังความคิด นี่คือหนังสือ 9 เล่มที่ควรเก็บไว้อ่านในชีวิตนี้ 1.หนังสือเรื่อง The Wealth of Nations โดย Adam Smith ผู้ซึ่งได้ทำให้เศรษฐศาสตร์กลายเป็นสาขาวิชาที่สำคัญที่สุดสาขาหนึ่ง เขาได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ หนังสือของเขาสอนให้เรารู้ว่าเศรษฐกิจของประเทศทำงานอย่างไรด้วยมือที่มองไม่เห็น Invisible Hand
2.หนังสือเรื่อง Lombard Street : A Description of the Money Market ผู้แต่งคือ Walter Bagehot เป็นหนังสือคลาสสิก ที่ให้หลักคิดด้านเศรษฐศาสตร์ ในเรื่องหลักของเงิน ธนาคารและระบบการเงิน หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้อ่านที่ต้องการเข้าใจพฤติกรรม และกลไกตลาดการเงิน ความสัมพันธ์กับการค้าและระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งวิกฤตการณ์ทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อเกิดวิกฤติศรัทธาในระบบธนาคาร หรือความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางหายไป ตลอดจนการบริหารจัดการกับความเสี่ยงและวิกฤติการเงินที่ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้เขียนเมื่อปี ค.ศ.1873 หรือกว่า 133 ปีที่แล้ว แต่หลักคิดยังใช้ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีสร้างความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน และหลักที่ธนาคารกลางควรใช้ ในการจัดการกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน และยังเสนอให้ใช้ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นอิสระเป็นผู้บริหารธนาคารกลางของประเทศ (แทนบุคคลภายในธนาคารกลางเอง) Lombard Street เป็นชื่อของย่านธุรกิจการเงินในกรุงลอนดอน และเป็นที่เกิดของตลาดการเงินที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
3.หนังสือเรื่อง The Competitive Advantage of Nations และ Competitive Strategy โดย Michael Porter ซึ่งอธิบายถึง ความได้เปรียบในเชิงแข่งขันได้มาจากองค์กรที่ต้องทำตัวให้พร้อมในการปรับตัวเข้ากับสภาวการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้น และความตระหนักรู้ในตลาดที่ตนอยู่และปรับตัวกับตลาดนั้นได้มากเท่าไร Porter ได้คิดค้นพัฒนากลยุทธ์ทั่วไป (Generic Strategies) และกำหนดปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแข่งขัน (Competitive Forces) 5 ประการ ซึ่งสามารถนำไปใช้ กับอุตสาหกรรมต่างประเภท 5 กลุ่ม ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ยังเปราะบาง เพิ่งเกิดใหม่ เติบโตเต็มที่ ตกต่ำ และอุตสาหกรรมระดับโลก แนวคิดของ Porter มีความชัดเจน มีเหตุมีผลที่มิอาจปฏิเสธได้ เพื่อตรวจสอบ ขีดความสามารถเชิงแข่งขัน ภายในองค์กร Porter สนับสนุนให้ใช้เครือข่ายแห่งคุณค่า (Value Chain) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์กระบวนการและปฏิสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ขององค์กร เพื่อกำหนดออกมาให้ได้ว่า ตรงจุดไหนสามารถเพิ่มคุณค่าให้แก่สินค้าหรือบริการและเพิ่มอย่างไร ในหนังสือเรื่อง The Competitive Advantage of Nations Porter ศึกษาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจของโลก 8 แห่ง พบว่า บริษัทในประเทศใดก็ตาม ที่สภาวะการแข่งขันในตลาดภายในประเทศของตนเองมีความเข้มข้นมากที่สุด มักจะมีแนวโน้มปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เร็วที่สุด Porter ได้วางกรอบแนวคิดว่าด้วย National Diamond โดยระบุปัจจัย 4 ประเภท ที่มีอิทธิพลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศชาติอันได้แก่ ทรัพยากร อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนกัน ลูกค้าที่มีอุปสงค์มาก (หรือตลาดภายในประเทศ ที่มีความต้องการมาก) และการแข่งขันภายในประเทศ หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ผมชอบมากที่สุดเล่มหนึ่ง
4.หนังสือเรื่อง The Fifth Discipline โดย Peter M. Senge ผู้ผลักดันศัพท์องค์กรแห่งการเรียนรู้ The Learning Organization โดยให้แนวคิดที่สำคัญที่องค์กรต้องตระหนักถึงภัยคุกคามและโอกาส วินัยต่างๆ ที่พนักงานและองค์กรต้องมี เพื่อเปลี่ยนองค์กรที่ด้อยประสิทธิภาพให้กลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย 5 หลักแนวคิด System Theory, Personal Mastery, Mental Models, Shared Vision และ Team Learning
5.หนังสือเรื่อง Chasing Daylight : How My Forthcoming Death Transformed My Life โดย Eugene O Kelly หนังสือเล่มนี้แต่งโดยผู้เขียนซึ่งเป็นประธาน และเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดของบริษัทที่ปรึกษาการเงิน และบัญชี ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บริษัท KPMG ผู้ซึ่งหมอบอกว่า เขามีมะเร็งในสมองและเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 100 วัน เขาจึงใช้เวลาในช่วงที่เหลืออยู่นั้น เขียนหนังสือเล่มนี้ สอนให้คนอ่านรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะอยู่อย่างมีความหมาย ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้นก็ตาม เขาเปรียบความตายที่กำลังจะมาเยือนเหมือนกับเกมของกอล์ฟที่กำลังจะจบลง ณ สิ้นวัน ในขณะที่การเล่นกอล์ฟกำลังดำเนินไป ตะวันเริ่มงวดลง เงาของแสงตะวันทอดยาวขึ้น ผู้เล่นไม่ต้องการให้เกมจบลง พวกเขาเล่นแข่งกับแสงตะวันที่กำลังงวดลง เหมือนกับการไล่ล่าแสงตะวัน ในขณะที่เกมกำลังจะจบลง ด้วยข้อคิดที่ยอดเยี่ยมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หากท่านยังไม่เคยอ่านหนังสือที่คนเขียนได้เขียนในขณะที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ท่านควรลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู
6. หนังสือเรื่อง A Random Walk Down Wall Street โดย Burton G. Malkiel เป็นหนังสือที่ให้แนวคิดด้านการลงทุนที่ไม่ได้เขียนโดยนักขาย "Salesman" แต่เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์การเงิน "Financial Economist"เป็นหนังสือที่สอนด้านการลงทุนที่ดีที่สุด ตั้งแต่ยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์ จนถึงการล่มสลายของธุรกิจดอทคอม "Random Walk" หมายความว่า ราคาของหุ้นในระยะสั้นไม่สามารถทำนายได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ นักลงทุนที่ไม่พยายามทำกำไรจากการทำนายการเคลื่อนไหวของตลาด สามารถทำกำไรได้มากกว่านักเก็งกำไร ที่พยายามทำกำไรจากการทำนายระยะสั้น นักลงทุนควรอ่านหนังสือเล่มนี้ทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน
7. หนังสือเรื่อง Blue Ocean Strategy โดย W. Chan Kim และ Renee Mauborgne หนังสือเล่มนี้ให้หลัก และแนวคิดที่เป็นระบบ แต่ไม่เหมือนใครในการกำหนดกลยุทธ์ ที่ทำให้การแข่งขันจากภายนอกลดลง และผลตอบแทนมากขึ้น โดยอิงกับงานวิจัยที่เชื่อถือได้ เป็นหนังสือที่ผู้ประกอบการทั้ง SME และรายใหญ่ควรอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ
8. หนังสือเรื่อง Prisoners Dilemma โดย William Poundstone เป็นหนังสือที่ให้มุมมองแบบ 3 มิติของทฤษฎี Game Theory โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี Prisoners Dilemma ที่ทำให้ผู้อ่านได้คิดอย่างลึกซึ้ง และยังถ่ายทอดปรัชญาความคิด ของนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง John Von Neumann
9. หนังสือเรื่อง In Search of Excellence โดย Tom Peters และ Robert Waterman เป็นหนังสือด้านการจัดการที่ทรงอิทธิพล และปลุกเร้าความคิดที่มุ่งหาความเป็นเลิศ เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาล
หากท่านอ่าน 9 เล่มนี้จบแล้ว และยังมีเวลาพอสมควร ท่านน่าจะพิจารณาอ่านหนังสืออีก 11 เล่ม ดังต่อไปนี้
- The Singapore Story : Memoirs of Lee Kuan Yew โดย Lee Kuan Yew
- Development as Freedom โดย Amartya Sen ผู้ซึ่งได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี 2540 ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชีย
- The General Theory of Employment, Interest and Money โดย John Maynard Keynes
- Financial Shenanigans โดย Howard Schilit เป็นหนังสือที่สอนให้เราจับกลโกงทางการเงิน รวมทั้งงบการเงินและการบัญชี
- Capitalism and Freedom โดย Milton Friedman ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และเพิ่งเสียชีวิตเมื่อเร็วๆ นี้
- Input-Output Economics โดย Wassily Leontief ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1973 หนังสือที่อธิบายถึงผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงในภาคหนึ่งของเศรษฐกิจต่อภาคอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ
- Co-Opetition : A Revolution Mindset that Combines Competition and Cooperation : The Game Theory Strategy thats Changing the Game of Business โดย Adam M. Brandenburger และ Barry J. Nalebuff
- The Moral Consequences of Economic Growth โดย Benjamin M. Friedman ที่อธิบายถึงผลกระทบของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกระแสโลกาภิวัตน์
- Fisher Black and the Revolutionary Idea of Finance โดย Perry Mchrling ท่านที่ชอบหนังสือเล่มนี้ ควรอ่านหนังสือเรื่อง My Life as a Quant : Reflections on Physics and Finance โดย Emanuel Derman
- Small is Beautiful : Economics as if People Mattered โดย E.F. Schumacher เป็นหนังสือคลาสสิกเล่มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจขนาดเล็กก็ยอดเยี่ยมได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่โตมากมาย และหลักเศรษฐศาสตร์ที่ดีต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-----------------------------------------------------------
ใครอ่านเล่มไหนแล้วบ้างบอกกันหน่อย ที่ทำงานเขาชอบเอา The Fifth Discipline มาพูดถึงกัน ส่วนเล่ม Small is Beautiful แปลเป็นไทยมาสองครั้งแล้ว เห็นอาจารย์ที่สอนเศรษฐศาสตร์ก็แนะนำ นัยว่าเป็นเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
Create Date : 23 ธันวาคม 2549 |
|
4 comments |
Last Update : 23 ธันวาคม 2549 11:47:07 น. |
Counter : 2225 Pageviews. |
|
|
|
ว่าแต่ ... คุณคนขับช้า มีหนังสือเหล่านี้ในครอบครองบ้างอะป่าวครับ แล้วมีโครงการให้ยืม ... ไหมน๊า