โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย

บันทึกธรรมะของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง 4

เรื่อง คุยกับสัตว์

ภายในบริเวณวัดถ้ำยายปริก เป็นพื้นที่ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปถึงยอดเขา อากาศโปร่งสบาย เนื่องด้วยอยู่ริมทะเล รวมทั้งร่มรื่นด้วยพรรณไม้ สัตว์น้อยใหญ่ก็ชอบมาอาศัยอยู่ นอกจากสัตว์ป่าเช่นกระรอกขาว ซึ่งเป็นสัตว์ประจำเกาะสีชังด้วยแล้ว ยังมีสุนัขจรจัดหลายตัวเร่ร่อนเข้ามาอยู่อาศัยในวัด บ้างก็เดินตามพระบิณฑบาตรกลับมา หรือไม่ก็มีแม่ชีในวัดอุ้มมาด้วยสงสาร ทุกตัวก็เข้ามาอยู่ในวัดด้วยความสงบสุข ไม่กัดตีกัน เรื่องมีอยู่ว่า มีโยมผู้หนึ่งเคยถามหลวงพ่อว่า "วัดนี้มีสุนัขจรจัดอยู่หลายสิบตัว ปล่อยอยู่กันตามสบาย ไม่เคยอบรมใดๆ แต่ทำไมไม่มีตัวไหนถ่ายเรี่ยราดให้สกปรกให้เห็นเลย หลวงพ่อสอนมันยังไงหรือ" หลวงพ่อตอบว่า "ก็บอกมันสอนมันดีๆสิ ความจริงพูดกับใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ พึงพูดด้วยสติ อย่าพูดด้วยความรู้สึก มันก็ให้ผลดีเองหรอก"

หรือเมื่อมีแมวจรจัดเข้ามาในเขตวัด สุนัขก็เข้ามาจะรุมกัด แต่เมื่อหลวงพ่อเห็นจึงอุ้มแมวขึ้นแล้วลูบตามหัวหรือตัวแมวหลายๆครั้งด้วยความเอ็นดู พอวางแมวลง สุนัขก็ไม่เคยทำอะไรแมวอีกเลยนับแต่นั้น ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อหรือไม่ก็ตาม ผมถามว่าหลวงพ่อว่า เป็นเพราะอะไร ท่านก็บอกว่า "ทำงานทุกชนิดด้วยความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่ง กับทำด้วยสตินั้น ผลที่ได้ต่างกันมาก ฉะนั้นจงพิจารณาให้ดี" หลวงพ่อก็ตอบให้คิดอย่างนี้

ครั้งเมื่อมีเรื่องประหลาด ที่พระในวัดรูปหนึ่งพบเห็นเต่าทะเลรูปร่างแปลกๆตัวหนึ่ง(กระดองมีหนามแหลมๆเล็กน้อย และปลายหัวของเต่าก็แหลม) ตัวไม่ใหญ่นัก(ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย) เดินต้วมเตี้ยมอยู่บนยอดเขา จึงอุ้มขึ้นแนบตัว ทันใดเต่าก็หดตัวเข้ากระดองไม่สู้หน้าใครเลย พระรูปอื่นและแม่ชีลองอุ้มบ้าง โยมบางคนลองลูบกระดองบ้าง เต่าก็ไม่ยอมยืดตัวออกจากกระดองเลย สุดท้ายจึงนำไปถวายหลวงพ่อให้ท่านพิจารณา เมื่อหลวงพ่อรับมาแล้ว ท่านพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกล่าวว่า เต่ารูปร่างแปลกดี จากนั้นท่านก็ลูบมือไปตามกระดองเต่า ทันใดเต่าก็ยืดหัวและตัวออกมา แสดงอาการกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง พระรูปหนึ่งในนั้น ถามหลวงพ่อว่า ทำไมพวกผมจับมันแล้วมันนิ่ง แต่พอหลวงพ่อลูบมันแล้วมันก็ขยับออกมา หลวงพ่อตอบทันใดว่า "คนมีความรู้สึกกับไม่มีความรู้สึกน่ะ ทำอะไรมันให้ผลต่างกันโว้ย"

จากนั้น หลวงพ่อก็ให้นำเต่าไปปล่อยที่ทะเลหลังวัด

Ref. //larndham.net




 

Create Date : 20 กันยายน 2548   
Last Update : 20 กันยายน 2548 12:31:25 น.   
Counter : 504 Pageviews.  

บันทึกธรรมะของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง 3

คราวหนึ่งหลวงพ่อและพระสงฆ์ติดตามราว ๓ รูป มีธุระต้องข้ามฝั่งจากเกาะสีชังไปยังฝั่งศรีราชาเพื่อไปประชุมพระสังฆาธิการตามปกติ เมื่อข้ามไปถึงฝั่งแล้ว ท่านก็ยืนรอรถที่ลูกศิษย์ผู้หนึ่งจะนำมารับ ระหว่างรอรถอยู่ หลวงพ่อยืนด้วยอาการสงบนิ่งมองรถที่วิ่งผ่านไปมาและผู้คนมากมายขวักไขว่ สักพักหนึ่งท่านหันมาถามผมว่า "เอ็งรู้ไหมว่า รถพวกนี้มันวิ่งไปไหนกัน และผู้คนมากมายเหล่านี้เขาเดินทางไปไหนกันนัก" ผมตอบว่า "ไม่ทราบครับ" (เพราะผมจะไปทราบได้อย่างไร และไม่เคยสนใจด้วย)
แต่แล้วหลวงพ่อก็พูดขึ้นทันใดว่า "ทุกคนทั้งหมดนี้ ทั้งเดินทั้งขับรถ ต่างก็มุ่งหน้าเข้าเตาเผาด้วยกันทั้งนั้นน่ะแหละ"

เท่านี้แล้วผมก็ยกมือขึ้นนมัสการหลวงพ่อด้วยเพิ่งจะเข้าใจว่า ท่านจะสอนธรรมให้แก่เรา

Ref. //larndham.net




 

Create Date : 20 กันยายน 2548   
Last Update : 20 กันยายน 2548 12:30:05 น.   
Counter : 553 Pageviews.  

บันทึกธรรมะของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง 2

"งานมงคล"

เป็นสิ่งปกติไปแล้วที่เมื่อมีเรื่องราวใดๆ ลูกศิษย์หลายคนของหลวงพ่อฯจะนำเรื่องนั้นๆมาถามหรือปรึกษาขอความเห็นจากหลวงพ่อเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่จะทำนั้นถูกต้อง ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคน ห้ามกันไม่ได้ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นการดูดวงผูกดวงจับยามหรืออะไร เป็นเพียงการถามหลวงพ่อว่าทำอย่างนั้นๆดีหรือไม่ ท่านก็จะตอบแนะนำไปด้วยหลักแห่งธรรมเสมอ ก็มีอยู่เท่านั้น

นายแพทย์ท่านหนึ่งของโรงพยาบาลเกาะสีชัง (ปัจจุบันบวชอยู่กับหลวงพ่อฯมา ๒ ปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะสึก และแนวโน้มคงจะไม่สึก เพราะทำเรื่องลาออกไปแล้วตั้งแต่เมื่อบวชใหม่ๆ) ท่านใช้ชีวิตโดยอาศัยวัดเป็นบ้านมานานแล้ว คือมาอาศัยกุฎิว่างหลังหนึ่งเป็นที่หลับนอน และยกบ้านพักที่ราชการจัดให้ให้แก่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคนอื่นไป ตอนเช้าท่านก็กินข้าววัดแล้วออกไปทำงาน ตอนเย็นก็กลับมานอนวัดเป็นปกติ ส่วนเงินเดือนก็นอกจากจะให้พ่อแม่ส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ถวายวัดทั้งหมด วันหนึ่งนายแพทย์ท่านนี้ได้รับการ์ดเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนแพทย์ร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านไม่อยากไปร่วมงานสังสรรค์ประเภทนี้เท่าใด ด้วยคงจะระอาในความวุ่นวายอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยมารยาท อย่างไรเสียก็ต้องส่งเงินและการ์ดอวยพรกลับไปให้ ท่านจึงนำการ์ดเชิญนั้นไปถวายหลวงพ่อให้พิจารณา พร้อมขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า ควรจะเขียนอวยพรคู่บ่าวสาวอย่างไรดี
หลังจากหลวงพ่ออ่านการ์ดเชิญแล้ว ท่านตอบว่า "ไม่ยากหรอก ให้เขียนลงไปในด้านหลังของการ์ดว่า "แด่คู่บ่าวสาว...การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง" ว่าเท่านั้นคุณหมอก็รับคำหลวงพ่อ และรีบทำตามโดยเร็วมิได้แสดงอาการสงสัยใดๆ
หากแต่ผมเองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย กลับเป็นฝ่ายสงสัย ก็อดถามหลวงพ่อไม่ได้ว่า "มันจะดีหรือครับหลวงพ่อ คนเขาแต่งงานกัน เป็นงานมงคล แต่ไปบอกเขาว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เดี๋ยวเขาจะหาว่าไปแช่งไม่ให้เขามีลูก"หลวงพ่อตอบว่า "เอ็งน่ะพูดผิดแล้ว ใครว่า งานแต่งงานเป็นงานมงคล" ผมฟังแล้วก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
หลวงพ่ออธิบายเพิ่มเติมว่า "งานแต่งงานน่ะเป็นงานอวมงคลนะ คือ การที่คนเราไอ้อยู่คนเดียวดีๆ แล้วไปหาเรื่องใช้ชีวิตคู่ แถมมีลูกมีเต้าให้มันวุ่นวายน่ะ มันเป็นมงคลที่ไหนกัน แทนที่จะได้บริหารจิตบริหารขันธ์ตัวเองก็ยุ่งพอดีอยู่แล้ว ยังจะต้องมารับภาระขันธ์คนอื่นอีก ทั้งการเตรียมการงานแต่งก็วุ่นวายต้องแต่งหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว โปะใบหน้าให้มันดูดีก็จัดเป็นมารยาอย่างหนึ่งล่ะ ไหนจะชุดที่สวม ไหนจะเรื่องเงินๆทองๆ ไหนจะข้าวปลาอาหาร ไหนจะชักชวนแขกเหรื่อผู้ใหญ่ผู้โตมาคุยโวกัน แล้วทุกวันนี้มีหรือที่งานแต่งงานแล้วจะไม่มีเหล้าเข้าปาก ยิ่งตามบ้านนอกแล้ว ต้องล้มวัวล้มควายกัน มีแต่เรื่องล้วนแล้วแต่วุ่นวายด้วยโลกีย์วิสัย อย่างนี้มันเป็นมงคลที่ไหน

ส่วนงานมงคลที่แท้จริงน่ะ คือ"งานศพ"ต่างหาก เพราะเราไปแล้วได้พิจารณาธรรมหลายอย่าง เช่น ได้เห็นศพก็ได้ปลงอสุภกรรมฐาน ได้เห็นรูปถ่ายของคนตายดูยังดีๆ แต่เจ้าตัวตายไปแล้วก็ได้เห็นความไม่เที่ยง ว่าดูเถอะรูปถ่ายก็ยังดูดี แต่ที่อยู่ในโลงนั้นเตรียมเผาเสียแล้ว เมื่อฟังพระสวด หากพิจารณาบทสวดก็ได้บทธรรมกุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมาฯ พิจารณาเนื้อธรรมให้ดี ก็อาจมีดวงตาเห็นธรรมได้ เห็นไหมเล่ามีแต่เรื่องกุศลทั้งนั้น อย่างนี้งานศพจะไม่ใช่งานมงคลดอกหรือ"
Ref. //larndham.net




 

Create Date : 20 กันยายน 2548   
Last Update : 20 กันยายน 2548 12:27:58 น.   
Counter : 750 Pageviews.  

บันทึกธรรมะของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง 1

วันหนึ่งมีคณะแม่ชี ๓ ท่าน จากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มากราบนมัสการหลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อก็ออกต้อนรับตามปกติ แต่แล้วแม่ชีท่านหนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นว่า "พวกอิฉันรู้ทางสมาธินะว่า หลวงพ่อน่ะพ้นแล้ว"
หลวงพ่อตอบกลับทันใดว่า "ยังหรอกโยม ถ้าตายแล้วนั่นน่ะ หมดลมน่ะ พ้นแน่ ไม่ต้องมากิน ถ่าย หลับ ตื่นให้วุ่นวายอย่างนี้ ตอนนี้ยังต้องกิน ต้องนอน ต้องบริหารตัวเองอยู่ จะพ้นแล้วได้ยังไง" เมื่อเป็นดังนี้ เรื่องการเสี่ยงต่อการอวดอุตริฯก็เป็นอันยุติไป
และหลวงพ่อกล่าวต่อว่า "นี่แหละที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า การบริหารขันธ์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง แล้วยังจะเอากับมันอีกเหรอ"

Ref. //larndham.net




 

Create Date : 20 กันยายน 2548   
Last Update : 20 กันยายน 2548 12:27:12 น.   
Counter : 1099 Pageviews.  

เรื่องของ อ.กำพล

อ.กำพล ทองบุญนุ่ม อาจารย์วิทยาลัยพลศึกษาอ่างทองวัย 24 ปี ผู้กำลังมีอนาคตอันสดใสต้องประสบอุบัติเหตุขณะกำลังสอนกระโดดน้ำโดยกระดูกต้นคอข้อที่ 5 หักร่างกายเป็นอัมพาตทั้งตัวในทันทีที่ศีรษะกระแทกพืนก้นสระความหวังที่จะบวชในอีกราว 20 วันต่อมาต้องเป็นอันยกเลิก และที่สำคัญคือ ความฝันที่จะได้แต่งงานมีความสุขในชีวิตอนาคตร่วมกับพยาบาลสาวที่รักยิ่งต้องกลายเป็นฝันสลาย ความผิดหวังในชีวิตตนเอง ทำให้จิตใจของอาจารย์พละหนุ่มผู้เคยมีร่างกายและจิตใจอันเข้มแข็ง ต้องทนทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัสอยู่นานถึง 16 ปี จึงได้ค้นพบหนทางแห่งการเอาชนะความทุกข์ด้วยวิธีการปฏิบัติธรรมเจริญสติ อาจารย์เป็นคนพิการที่ไม่เคยท้อแท้ อาจารย์เป็นคนพิการที่ให้กำลังคนซึ่งเป็นคนปกติดี คนซึ่งเกิดมามีแขนขาครบบริบูรณ์ แต่ทว่าอาจารย์กำพลกลับรู้สึกว่า
“ผมรู้สึกยินดีอย่างมากที่จะเป็นอุปกรณ์ให้กับพระธรรม คือให้คนมาเห็นความพิการของผม ให้คนได้เค้าปลงสังเวช ให้เค้ารู้สึกสงบใจเพื่อให้เค้าจะได้ก้าวหน้าในทางการปฏิบัติธรรมต่อไป”

ชีวิตของอาจารย์ทุกวันนี้นอกจากจะปฏิบัติธรรมแล้วยังคอยให้คำแนะนำเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังโดยที่ไม่หวังผลอะไร อาจารย์ไปบรรยายมากมายหลายสถานที่ทั้งวัด โรงเรียน โรงพยาบาล ร้านค้าห้างร้านต่างๆ หรือแม้แต่ในเรือนจำ

มีคำถามมากมายถามอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่น คนเราเกิดมาเพื่ออะไร?การมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?และอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คนเราควรจะได้รับ?”(พบคำตอบได้ในซีดีตอนแนวทางการปฏิบัติธรรม)

อาจารย์กำพลได้พิสูจน์แล้วว่าชีวิตของคนพิการ ไม่ใช่ชีวิตที่รอคอยเพียงแค่วันตาย หรือมีลมหายใจอยู่เพียงเพื่อชดใช้กรรมเท่านั้น “หากยังสามารถสร้างกรรมใหม่และพัฒนาชีวิตให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิมได้ กรรมใหม่ที่ว่านี่คือการปฏิบัติหรือทำกรรมฐาน ธรรมของพระพุทธองค์นั้นเป็นสากลที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้โดยไม่เลือกเพศวัย หรือสถานะ โดยที่ความพิการทางกายหาได้เป็นอุปสรรคขัดขวางแต่อย่างใด”

หลังจากที่รี่ได้พบเจอคนที่มีความพิการเป็นส่วนมากและคนพิการนั้นมักจะมีสภาพจิตใจที่ท้อแท้และสิ้นหวัง ซึ่งตอนแรกๆอาจารย์กำพลก็เป็นอย่างนั้นแต่ทำไมทุกวันนี้….อาจารย์กลับเป็นคนที่เข็มแข็งกว่าเดิมมากว่ายิ่งเสียกว่า..คนที่มีความปกติเสียอีก…

ความพิการทางกายไม่สามารถทำอะไรจิตใจของอาจารย์ได้เลย
แม้กระทั่งเรื่องการเดินเหินไม่ได้ หรือการหายใจไม่สะดวก
อาจารย์เคยคิดว่า “ความพิการนี้คงจะทำให้อาจารย์มีอายุอยู่ได้อีกไม่ถึง 5 ปี เป็นแน่เพราะว่าว่าถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนตายก็ต้องเป็นโรคประสาทตายก่อนเพราะความเครียดเป็นแน่”แต่มาวันนี้เหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 20 ปีแล้ว อาจารย์ก็ยังคงแข็งแรง ซึ่งเทียบกับผู้ป่วยที่มีความพิการระดับเดียวกับอาจารย์นั้นได้เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว อาจารย์กล่าวว่า “อดีตเก่าๆมันผ่านไปแล้ว มันไม่กลับมาอีกต่อไป ฉะนั้น อาจารย์มีหลักยึดว่า ไม่เสียดายอดีต ไม่วิตกถึงอนาคต และจงฆ่าความคิด คือความคิดที่จะฆ่าตัวตาย จงฆ่าความเห็นที่ผิดนั้นเสียก่อน ความทุกข์ก็จะหมดไป” เป็นคำกล่าวที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลเพียงใด

//www.tourtham.com/friend/

ข้อความจากเวบกล่าวว่า

“เมื่อเห็น อ.กำพล...แล้วว่าคนแบบนี้เขายังสามารถ ปฏิบัติธรรมได้
แสวงว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยไม่เกี่ยวกับลัทธินิกาย ไม่เกี่ยวกับพิการ ตาบอดหูหนวก ถ้ามันรู้สึกตัวอยู่ ก็แสดงว่าทำได้แล้วทำให้ คนทั้งหลายก็กระตือรันขึ้นมา บางครั้งก็คนพิการก็มีกำลังใจขึ้นมา ไม่ท้อแท้... คนเราเดินไปไหนมาไหนได้ ยังมีทุกข์อยู่มันใช้ได้เมื่อไร…”




 

Create Date : 20 กันยายน 2548   
Last Update : 20 กันยายน 2548 12:05:21 น.   
Counter : 661 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

sriphat
Location :
ภูเก็ต Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




โลกนี้มีเรื่องราวดีๆ ไว้ให้แบ่งปันกันมากมาย
New Comments
[Add sriphat's blog to your web]