ถ้าทุกคนยืนอยู่ฝั่งพระเจ้ากันหมด โลกคงน่าเบื่อแย่..!!
Group Blog
 
All blogs
 

อวสานนักเขียนไทย



อวสานนักเขียนไทย



ตอนนี้เป็นยุคที่น่าเจ็บปวดของนักสร้างสรรค์วรรณกรรมไทย เพราะไหนจะเรื่องของคู่แข่งขันในการสร้างสรรค์ผลงานรุ่นใหม่ๆ ที่ผลุดกันขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ด หรือเรื่องของแนวการเขียนที่ถูกลิดรอนแปรเปลี่ยนไปตามความนิยมชมชอบของสังคม จนเหล่าบรรดานักเขียนรุ่นเก่าๆที่ยังไม่สามารถปรับตัวรับกระแสสังคมได้ต้องม้วยมอดดับแสงกันไปเป็นแถวๆ จนไปถึงแม้กระทั่งเรื่องของสำนักพิมพ์ต่างๆที่นับวันจะยิ่ง “เขี้ยว” เรื่องการ พิจารานา ผลงานเพื่อการตีพิมพ์ทางการค้ามากขึ้นทุกขณะ เพียงแค่เหตุผลที่ยกขึ้นมากล่าวเป็นตัวอย่างลอยๆ มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ชนชั้นนักเขียนจำนวนมากถึงกับต้องพากันจำใจยอมแขวนปากกากันเป็นแถว

เรื่องของอุปสรรคภายนอกที่เป็นตัวลิดรอนชีวิตนักเขียนเหล่านั้น อันที่จริงมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว บางทีปัญหาที่ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับการกำเนิดธุรกิจการพิมพ์เพื่อธุรกิจในประเทศไทยเลยก็เป็นได้ แต่ในช่วงแรกๆปัญหาพวกนี้ยังนับว่ายังมีผลกระทบที่อ่อนมาก เนื่องจากในยุคแรกๆมีนักเขียนอยู่น้อยถึงขนาดนับนิ้วได้ จึงทำให้การต่อสู้แย่งชิงแข่งขันในตลาดวรรณกรรมไม่ได้รุนแรงเหมือนในปัจจุบัน

แต่ในปัจจุบันที่ตลาดของการแข่งขันได้ขยายตัวขึ้นกว่าสิบๆเท่านั้น การต่อสู้แย่งชิงกันของบรรดาพลพรรคนักเขียนกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ สภาพของวงการนี้ในปัจจุบันเหมือนจะกลายเป็นระบบของสงครามทุนนิยมที่มาแรงแซงโค้ง เข้ากวาดล้างเอาระบบฝีมือไปแทบจะสิ้นซาก หนังสืออ่านเล่นที่มีโครงเรื่องซ้ำซากเพ้อฝัน หาสาระมีไม่เริ่มรุกคืบยึดครองทุกชั้นวางของร้านขายหนังสือไปจนแทบจะกำชัยได้เด็ดขาด ชนิดสามารถประกาศได้เต็มปากเต็มคำว่า “เหล่านักเขียนอุดมการณ์” นั้น ในปัจจุบันได้พ่ายแพ้ปราชัยไปเรียบร้อยแล้ว

ยิ่งในปัจจุบันวงการวรรณกรรมไทยก้าวหน้าไปมาก เนื่องจากมีสื่อใหม่อย่างอินเทอร์เน็ทถือกำเนิดขึ้นมา ทำให้ในตอนนี้โลกของเรากลายเป็นยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน อินเทอร์เน็ทจึงกลายเป็นสนามทดสอบฝีมือชั้นดีของบรรดา “นักอยากเขียน” ที่จะได้ลองความสามารถในเชิงวรรณกรรมของตนเองว่าอยู่ในขั้นใด

ดังนั้นยุคของใครใคร่จะเขียน... ก็เขียน ใครใคร่จะอ่าน..ก็อ่าน จึงมาเยือนจนได้!

ตอนนี้วงการวรรณกรรมเลยยิ่งปั่นป่วนหนักเข้าไปอีก เพราะไม่รู้ว่าในปัจจุบันมีนักเขียนถือกำเนิดขึ้นมาในโลกไซเบอร์นี้มากเท่าไหร่ และมีคนอ่านมากแค่ไหน!?

การงานวรรณกรรมลงในโลกไซเบอร์นั้นหากคิดในแง่ดีก็นับว่าดี เพราะในส่วนของสนามการฝึกฝนนี้อาจจะช่วยสรรสร้างนักเขียนรุ่นใหม่ๆขึ้นมาประดับวงการได้ แต่หากคิดในอีกแง่มุมแล้ว เรากลับพบว่าปัญหามันมีมากกว่าข้อดีหลายเท่า ทั้งเรื่องของผลงานที่ไม่มีคุณภาพ,ผลงานที่ไร้ซึ่งเหตุผล และความรับผิดชอบ ไปจนถึงกระทั่งผลงานที่หมิ่นเหม่ต่อการถูกฟ้องร้อง

ในเรื่องของปัญหาเหล่านั้น เรื่องที่อันตรายที่สุดสำหรับเหล่านักเขียนรุ่นเยาว์ต้องระวัง และอันตรายมากที่สุด แต่กลับทำเป็นไม่สนใจนั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “การละเมิดลิขสิทธิ์”

ยิ่งมีนักเขียนเกิดขึ้นมากซักเท่าไหร่ แนวความคิด และแนวการเขียนใหม่ๆก็ยิ่งจะบีบตัวเลือกให้น้อยลงทุกขณะ การสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆจะค่อยๆถูกกรอบจากเรื่องราวที่คนอื่นเคยได้นำเสนอไปแล้วบีบอัดเข้ามา หากเป็นนักเขียนที่เจนสนามแล้วคงจะสามารถรับความกดดันในส่วนนี้ได้ แต่หากเป็นนักเขียนใหม่ๆในโลก ไซเบอร์แล้ว ความบีบคั้นทางอารมณ์ตรงนี้มันยากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ ยิ่งโดยเฉพาะสำหรับนักเขียนใหม่ที่มีผลงานได้รับการยอมรับ และมีแฟนผลงานติดตามอ่านงานอยู่เป็นประจำ มันยิ่งจะเป็นการทวีแรงกดดันหนักเข้าไปอีก สุดท้ายเมื่อไม่สามารถหาทางออกได้ นักเขียนคนนั้นก็จะหาทางออกโดยการ “ลอก”เอาส่วนหนึ่งของผู้อื่นมาตัดแปะงานของตัวเองให้รอดพ้นไปวันๆ

การกระทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นเพียงการ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ไปวันๆ สุดท้ายแล้วหากมีคนจับได้ แม้แต่ชื่อเสียงที่เคยสร้างสมมา ก็จะถูกทำลายจนป่นปี้อีกต่างหาก

นั่นเป็นเพียงกรณีหนึ่งของการกระบวนการเริ่มสู่การละเมิดลิขสิทธิ์ในงานเขียนของผู้อื่นเท่านั้น ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่นับได้ว่าน่าประณามที่สุดในทุกๆกรณี มีหลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปอ่านผลงานของนักเขียนในโลกอินเทอร์เน็ทตามเว็บไซต์ต่างๆที่เอื้ออำนวยในการลงผลงานเหล่านี้ และหลายครั้งเช่นกันที่ผมได้พบกับผลงานที่มีประโยค และการดำเนินเรื่องราวเหมือนๆกัน ต่างกันเพียงแค่สลับตำแหน่งการวางประโยค และชื่อเรื่องเท่านั้น ขนาดตัวผมเองที่เป็นเพียงผู้อ่านคนหนึ่งยังรู้สึกฉุนกึกแทนเจ้าของผลงานที่ถูกลอกเลียน เพราะเรื่องราวที่เขาสรรสร้างขึ้นนั้น ต้องใช้ความคิด ประสบการณ์ และความทุ่มเทมากมายจึงได้งานแต่ละบรรทัดขึ้นมา แต่ยังมีกลุ่มคนที่เห็นว่าความเพียรพยายามเหล่านั้นเป็นเรื่องตลก แล้วหยิบฉวยนำไปใช้ได้อย่างหน้าด้านๆเพื่อชื่อเสียงของตน

นักเขียนในโลกอินเทอร์เน็ทคนหนึ่งที่ผมรู้จัก ถึงกับเลิกเขียนงานอีกต่อไปเมื่อพบว่าผลงานของตนเองถูกคัดลอกไป มิหนำซ้ำคนคัดลอกยังไร้ยางอายถึงขนาดนำผลงานชิ้นนั้นไปเปลี่ยนชื่อ แล้วใส่กลับลงไปในเว็บไซต์เดิมในนามของตนเอง การกระทำแบบนั้นสำหรับคนที่คัดลอกไปอาจจะเห็นเป็นเรื่องสนุก ที่ใช้เวลาในการคัดลอกเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองได้ แต่... มันกลายเป็นการดูหมิ่นจิตวิญญาณของเจ้าของผลงานอย่างที่สุด

การกระทำดังกล่าวใช่ว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม มันเป็นเรื่องที่ผิดตั้งแต่กฎจิตสำนึกของการเป็นมนุษย์ และกฎหมาย ซึ่งกำหนดขอบเขตสิทธิไว้อย่างชัดเจนว่า

“ลิขสิทธิ์งานเขียนจะมีตลอดอายุของนักเขียนผู้นั้นนับแต่สร้างสรรค์ผลงาน และต่อไปอีก 50 ปี นับตั้งแต่นักเขียนผู้นั้นเสียชีวิต”

กล่าวโดยง่าย คือ ไม่ว่าใครก็ตามที่สร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาแล้ว ต่อให้ไม่ต้องจดทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ยังได้รับสิทธิ์ในการคุ้มครองโดยชอบทางกฎหมาย และหากนักเขียนคนนั้นมั่นใจว่าตนเองถูกคัดลอกผลงาน และมีหลักฐานว่าอีกฝ่ายกระทำการคัดลอกจริง ก็สามารถที่จะดำเนินการทางกฎหมายได้ทั้งทางอาญา และทางแพ่ง ต่อให้ผลงานที่ถูกคัดลอกไปนั้นเป็นประโยคเพียงบรรทัดเดียวเท่านั้น โทษที่ได้ก็ไม่ได้ต่างกัน

ดังนั้น... สำหรับคนที่เคยคัดลอก กับ คนที่กำลังคิดจะคัดลอก โปรดไต่ตรองให้ถี่ถ้วน และชั่งใจให้หนักว่าแน่ใจแล้วหรือ ที่จะเอาอนาคต และชื่อเสียงของตนเอง กับวงศ์ตระกูลไปเสี่ยงกับการกระทำที่ผิดกฎหมายเต็มประตูเช่นนี้

ขอวิงวอนให้ความคิดเห็นของผมนี้จงไปถึงเหล่าชนชั้นนักเขียนที่ยังมีจิตสำนึกเหลืออยู่ ศักดิ์ศรีของนักเขียนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ผลงานของใคร ใครก็รัก หากคิดสร้างสรรค์ผลงานออกมาเองได้ ผลประโยคนั้นก็จักตกสู่ตัวท่านเองหาใช่ผู้อื่นไม่ แต่.. ถ้ามืดบอดประสบซึ่งทางตัน ขอท่านจงอ่านหนังสือให้หนัก และตรึกตรองเปิดใจให้กว้างมองดูสิ่งรอบข้าง แล้วกำแพงที่มืดบอดนั้นจักพังทลายลงไปเอง

โปรดอย่าให้ประวัติศาสตร์แห่งวรรณกรรมไทย ได้จารึกไว้เลยว่า ยุคของเรานี้ล่ะ เป็นยุคแห่งการล่มสลายของนักเขียนไทยเลย..

*************************************

ข้อมูล : สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์




 

Create Date : 08 สิงหาคม 2550    
Last Update : 10 สิงหาคม 2550 23:01:56 น.
Counter : 674 Pageviews.  

ดาบสองคม

ดาบสองคม



ตราบแต่อดีตกาลก่อน จวบจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน มนุษย์เรานั้นสามารถรับรู้ข่าวสารได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น กล่าวคือ มนุษย์เราสามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆตัวได้ในระยะจำกัด โดยข่าวสารเหล่านั้น สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาสัมผัส เช่น การมองเห็น,หารได้ยิน หรือ การสัมผัสเท่านั้น ซึ่งมันเป็นขอบเขตอันตายตัว ที่มนุษย์พึงกระทำได้

แต่ก็ใช่ว่าการรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงรอบๆตัวเรานั้น มันจะสามารถนำไปใช้เป็นพื้นฐานประสบการณ์ ประกอบการตัดสินใจในปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ไม่ เพราะเรื่องบางเรื่องมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไกลตัว แถมยังเกิดขึ้นในสถานที่ห่างไกล จนยากที่คนทุกคนจะสามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นได้

มิหนำซ้ำโลกใบนี้มันช่างกว้างใหญ่ จนยากยิงนักที่มนุษย์เราผู้มีช่วงชีวิตที่แสนสั้น จะสามารถเดินทางท่องเที่ยวรับฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยลดทอนเวลาให้สั้นลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มนุษย์จึงได้สรรค์สร้างสิ่งที่เรียกว่า “สื่อ” ขึ้นมา

สื่อ.... คือ ตัวกลางในการนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจอันเกิดขึ้นจริง ให้มนุษย์ทุกผู้ทุกคนรับทราบ ซึ่งมันจัดว่าเป็นเรื่องดีที่มนุษย์สามรถคิดค้นระบบการเผยแพร่ข่าวสารแก่คนหมู่มากได้อย่างรวดเร็ว

แต่.... ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในขณะเดียวกัน สื่อก็ยังเปรียบเสมือนดาบสองคม ที่มนุษย์เรายังมิได้ตระหนักถึง หรือไม่ก็แกล้งมองข้ามไปเช่นกัน…

ด้วยความสะดวกสบาย รวดเร็ว ฉับไว ของสื่อที่นับวันจะยิ่งพัฒนาความสามารถให้สูงมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน การเปิดรับสื่อของมนุษย์ก็ยิ่งมีมากขึ้น ไปๆมาๆขนาดมนุษย์บางพวกที่ไม่ได้สนใจสื่อเหล่านี้โดยตรง ก็ยังพลอยฟ้าพลอยฝนบริโภคสื่อเหลานี้เข้าไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

โดยเฉพาะในปัจจุบัน มีผู้หวังประโยชน์ทางด้านธุรกิจจำนวนมากที่เล็งเห็นความสำคัญของสื่อ จึงมีการเข้ามาจับจองพื้นที่การเผยแพร่ของสื่อ ที่สามารถเอื้อประโยชน์ต่อตนเองได้ จนดูเหมือนว่าจุดประสงค์ในตอนเริ่มแรกของสื่อในการนำเสนอข่าวสาร จะเริ่มถูกเทเฉไถลออกนอกจุดมุ่งหมายเดิม กลายไปเป็นการดำเนินงานในรูปแบบธุรกิจเต็มขั้นแทน โดยมิได้สนใจเลยว่า สิ่งที่ทางผู้หวังผลประโยชน์ทางธุรกิจเอามาป้อนใส่ในการ “สื่อสารมวลชน” นั้น มันคืออะไร...!?

อาจจะจริงที่ว่าการครอบงำของภาคธุรกิจ เสมือนเป็นตัวช่วยให้กิจการ และการพัฒนาทางสื่อต่างๆ เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นก็ตาม สื่อเองก็สมควรที่จะไม่ลืมว่าคำว่า “สื่อ” นั้นมันหมายความว่าอะไร..!?

สื่อนั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์มาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ในสมัยนี้ หากสื่อทุกแขนงช่วยกันประโคมข่าว และโฆษณาบอกกับประชาชนในประเทศว่า “การร่วมเพศก่อนแต่งงาน เป็นเรื่องของแฟชั่นที่โก้เก๋” พร้อมทั้งให้สื่อทุกประเภทช่วยกันสื่อข่าวสารในทำนองนี้ไปเรื่อยๆ รับรองว่าไม่เกินสามปี ประเทศเรานั้นคงมีประชากรโดยเฉลี่ย มากกว่าพื้นที่ดินโดยรวมของประเทศด้วยซ้ำไป

หรือ.. หากให้ยกตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดที่สุด คงไม่พ้นเรื่องของเทรนเกาหลีที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน ที่เด็กไทยเราหันไปคลั่งไคลดาราเกาหลีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพียงเพราะเริ่มมีละครเกาหลีเข้ามาออกอากาศทางโทรทัศน์บ้านเราเท่านั้น ทั้งๆที่เมื่อย้อนไปประมาณสิบปีก่อนเด็กไทย ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะชื่นชอบดาราเกาหลีเลยซักนิด

จากตัวอย่างที่ยกมาคร่าวๆ จะเห็นได้ว่า “สื่อ” นับได้ว่าเป็นดาบสองคมอย่างแท้จริง หากใช้ในทางที่ถูกที่ควรแล้ว มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือชั้นดีในการสร้างความสามัคคีในชาติได้อย่างยอดเยี่ยม แ

แต่.... หากผู้ที่มีอำนาจ “สื่อ” ใยมือใช้มันไปในทิศทางที่ไม่ถูกไม่ควร หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์แล้ว มันก็จะกระเด็นกลับมาทิ่มแทงเข้าที่เส้นเลือดใหญ่ของประเทศ หรือในอีกความหมายหนึ่ง คือ ประชาชนตาดำๆเข้าจนได้ในซักวันหนึ่ง........

*****************************************************************************************




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2550    
Last Update : 16 สิงหาคม 2550 22:35:40 น.
Counter : 523 Pageviews.  

แนะนำเว็บไซต์ สำหรับคนรักวรรณกรรม

แนะนำเว็บไซต์ สำหรับคนรักวรรณกรรม

สำหรับคอลัมแนะนำเว็บไซต์ฉบับนี้… ทางคอลัมจะพาท่านมารู้จักกับเว็บไซต์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากฝีมือของคนไทย เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของกลุ่มผู้รักในการอ่าน และการเขียนวรรณกรรมผ่านทางอินเทอร์เน็ทโดยเฉพาะ พร้อมทั้งเป็นเว็บไซต์เก่าแก่ที่เปิดตัวเว็บไซต์โลดแล่นในกระแสวงการนีมานานถึง 8 ปี
//www.Dek-D.com

ถ้าหากเป็นเหล่าผู้ชื่นชอบในการเขียนงานวรรณกรรม หรือผู้รักในการอ่านงานเขียนทางอินเทอร์เน็ทคงจะได้ยินชื่อนี้มานานแล้วก็ได้ แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักเว็บไซต์นี้ หรือ เพียงแค่เคยได้ยินชื่อแต่ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมเลยซักครั้ง คราวนี้ทางคอลัมของเราจะพากทุกท่านเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้กันครับ

เว็บไซต์ Dek-D.com เว็บคอมมูนิตี้สำหรับวัยรุ่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2542 ล่าสุด เว็บไซต์ Dek-D.com ติดอันดับ 8 เว็บไซต์ที่มีเข้าชมสูงสุดระดับประเทศ ( สถิติโดยTruehits.net ปี 2005 ) ในปัจจุบันมีผู้เข้าเยี่ยมชมรายวันสูงถึง 68,000 คนต่อวัน ( กย.49 ) ผู้เยี่ยมชมกลุ่มใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นวัยวัยเรียน อายุตั้งแต่ 12-23 ปี ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่สนใจทั้งด้านความรู้และบันเทิง

ส่วนเป้าหมายของเว็บไซต์นี้ มีเป้าหมายในการพัฒนาเว็บไซต์สำหรับวัยรุ่นที่ให้ความรู้และบันเทิง และสร้างสังคมเพื่อการรวมตัวกันของกลุ่มวัยรุ่น วัยเรียน ยึดอุดมการณ์ที่จะสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่สร้างสรรค์มีประโยชน์และเป็นมิตรต่อเยาว์ชน

ในปัจจุบันทางเว็บไซต์ได้มีการสร้างหน้าหลักเป็นจำนวน 10 หน้า ได้แก่ Community , What's Hot, Board, Writer, Knowledge, Admission, Tutor, Campus, Entertainment, Meet

สำหรับคนที่สนใจจะนำงานวรรณกรรมที่ตนเองเขียนไว้มาลงเว็บไซต์นี้ เพื่อเผยแพร่ให้เพื่อนๆคนอื่นๆอ่านติชม และรับคำแนะนำเพื่อนำไปเป็นข้อปรับปรุงผลงานให้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถทำได้อย่างง่าดาย เพียงแค่สมัคเป็นสมาชิกของทางเว็บไซต์ พร้อมทำการยืนยันตัวตนกับอีเมลย์ที่ทางเว็บไซต์ส่งมาให้ก็สามารถนำผลงานมาลงได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที และเมื่อคุณได้เป็นสมาชิกของทางเว็บไซต์แล้ว สิทธิที่ท่านจะได้รับนั้นได้แก่สมาชิก 1 คน จะได้รับบ้านของตัวเอง 1 หลัง เรียกว่า My.iD สมาชิกหน้าใหม่จะได้พื้นที่ใช้งานฟรี 10Mb และสามารถเมื่อใช้งานเว็บบ่อยๆจะได้เพิ่มพื้นที่ใช้งานไปเรื่อย จนถึง 1000Mb และในห้องของคุณจะมีส่วนประกอบย่อยๆสำหรับการใช้งานดังต่อไปนี้

-ห้อง My.iD เป็นห้องรับแขกของคุณ จะเป็นหน้ารวบรวม ผลงาน และสิ่งต่างๆ ส่วนตัวของคุณที่มีใน Dek-D.com
-ห้อง Board เป็นห้องที่ดูแลการใช้งานเกี่ยวกับการใช้งาน เว็บบอร์ดของคุณ
-ห้อง Diary เป็นห้องที่ให้คุณเขียนไดอารี่ประจำวัน
-ห้อง Writer เป็นห้องที่เปิดโอกาสให้คุณแต่งบทความ นิยายมาลงใน Dek-D ซึ่งจัดเป็นคอลัมน์ชื่อดังที่มีแมวมองคอปั้นนักเขียนเยาวชนมานักต่อนัก
-ห้อง Gallery เป็นห้องที่คุณสามารถเก็บอัลบั้มรูปไว้โชว์เพื่อนๆ

สำหรับการจัดเก็บผลงานเขียนของเว็บไซต์นี้ งานเขียนของคุณทั้งหมดจะถูกแสดงผลที่หน้า my.id ของคุณ ซึ่งเมื่อคุณทำการ Log in เข้าสู่ระบบ คุณสามารถเข้าไปชมผลงานทั้งหมดที่คุณเคยนำลงเสนอในเว็บไซต์ได้ทั้งหมด ซึ่งนั่นทำให้ง่ายในการค้นหาผลงานเก่าๆ พร้อมทั้งสามารถแก้ไขผลงาเหล่านั้นได้อย่างอิสระอีกด้วย

เมื่อคุณไปใช้งานเล่นส่วนต่างๆในเว็บเด็กดี ด้วยการ Login สมาชิกของคุณ ข้อมูลทุกอย่างใน Dek-D จะได้รับการจัดเก็บเข้าบ้าน My.iD ของคุณโดยอัตโนมัติ และเวลาเรียกเพื่อนๆมาเยี่ยมบ้านของคุณ เพื่อนก็จะรู้ว่า คุณมีผลงานอะไรเจ๋งๆในเด็กดีมาบ้าง เช่น คุณเคยตั้งกระทู้มากี่กระทู้แล้ว? คุณเคยมีกระทู้ติด top5กับเค้าบ้างไหม? คุณเขียนไดอารี่มากี่วันแล้ว? คุณมีบทความอะไรบ้าง? คุณมี Gallery อะไรในบ้านตัวเองบ้าง?

และที่สำคัญ จุดเด่นที่สุดสำหรับเว็บไซต์นี้อยู่ที่มีระบบการป้องกันผลงานของเราจากการถูกคัดลอกนำไปเผยแพร่โดยไม่เต็มใจ ซึ่งการที่ทางเว็บไซต์มีการสร้างระบบนี้ขึ้นมาป้องกันนั้น เป็นการบ่งบอกได้ว่าทางคณะผู้จัดทำเว็บไซต์นี้มีความกระตือรือร้นในการป้องกัน และให้ความสำคัญกับผลงานของทางสมาชิกเว็บไซต์มากถึงขนาดไหน

สำหรับใครที่สนใจในการทำงานเกี่ยวกับการเขียน เพื่อเผยแพร่ให้ผู้อื่นอ่านในอินเทอร์เน็ทโดยไม่จำกัดแนวแล้ว เว็บไซต์นี้อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งในการก้าวสู่ความฝันในถนนวรรณกรรมของคุณก็เป็นได้….









 

Create Date : 16 มิถุนายน 2550    
Last Update : 16 สิงหาคม 2550 22:42:59 น.
Counter : 450 Pageviews.  

บทความ : เรื่อง งานวรรณกรรมออนไลท์

บทความ : เรื่อง งานวรรณกรรมออนไลท์

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทมากประหนึ่งส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นในปัจจุบัน พลอยทำให้บรรดานักเขียน และนักอยากเขียน ทั้งน้อยใหญ่ต่างหันเหความสนใจมุ่งหมายไปเอาดีในด้านนี้กันเป็นแถว ซึ่งบรรดาผู้ให้บริการความบันเทิงในอินเทอร์เน็ตที่หัวใสหยิบยกเอาประเด็นนี้ มาสรรค์สร้างเว็บไซต์สนองตอบความต้องการเขียนกันอย่างมากมาย ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องดีที่ช่วยทำให้วงการวรรณกรรมในบ้านเราได้มีการปั้นนักเขียนจากอินเทอร์เน็ตขึ้นมาประดับวงการนักเขียนได้อีกหลายต่อหลายคน

จากรูปแบบเดิมๆของการเขียนงานที่ต้องได้รับการยอมรับจากกองบรรณาธิการจึงจะได้ตีพิมพ์หนังสือซักเล่ม แถมยังกินเวลาในการพิจรานาอีกหลายเดือน ประกอบทั้งต้องรอพิมพ์อีกนานโข กลับถูกสื่อที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตแปลงโฉมรูปแบบกระบวนการเหล่านี้ใหม่เสียจนเอี่ยมอ่อง ผู้พิจรานากลายเป็นจำนวนเรทติ้งผู้เข้าชม และเสียงตอบรับในรูปแบบผมโหวตแทน ซึ่งยิ่งผู้ยิ่งได้รับการกล่าวถึงในอินเทอร์เน็ทมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีแมวมองของสำนักพิมพ์ต่างๆมาติดต่อเซ็นสัญญาให้ได้รับการตีพิมพ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

ด้วยเหตุผลดังกล่าว บรรดานักอยากเขียนจึงแข่งขันการสร้างสรรค์งาน และโปรโมทผลงานของตนเองในอินเทอร์เน็ทอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยทุกคนต่างมุ่งหวังที่จะได้รับโอกาสนั้น และได้ก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงการนักเขียนมืออาชีพของไทยอย่างเต็มภาคภูมิ….

ถึงจะกล่าวว่า การริเริ่มเขียนงานลงในเว็บไซต์ต่างๆในอินเทอร์เน็ทนั้นนับเป็นก้าวแรกในมุ่งเข้าสู่วงการนักเขียนมืออาชีพ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ใช่ว่าผู้ที่มีความสามารถจะได้ไต่เต้าขึ้นไปสู่วงการเหล่านั้นได้อย่างง่ายๆ เพราะบางครั้งถึงแม้ว่างานของบางคนจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างตั้งอกตั้งใจ และมีเนื้อหาที่ดีเลิศขนาดไหนก็ตาม ในโลกของอินเทอร์เน็ทที่กว้างขวางเปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่แล้ว ผลงานหนึ่งชิ้นในนั้นก็ไม้ต่างอะไรไปกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกวางแทรกอยู่กลางหนังสือเล่มอื่นนับพันๆเล่มเท่านั้น การที่จะมีคนอ่านเข้ามาหยิบอ่านหนังสือเล่มที่เราเขียนนั้นเป็นไปได้ยากมาก เผลอๆคนอ่านเขาจะเดินผ่านไปเสียดื้อๆอย่างไม่ใยดีเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้น นักเขียนในอินเทอร์เน็ทจำนวนมากจึงมีการเรียนรู้ที่จะใช้ปัจจัยอื่นๆเข้ามาเป็นตัวช่วยในการดึงดูดผู้อ่านเข้ามาอ่านงานเขียนของตนให้ได้ เรียกได้ว่าไม่เอาด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล เพราะหากมีผู้อ่านหลงเข้ามาอ่านผลงานบางส่วนของเราแล้ว หากงานของเราถูกอกถูกใจผู้อ่าน ก็จะเกิดพฤติกรรมการเข้ามาซ้ำๆจากผู้อ่านเหล่านั้นเอง ดังนั้นวิธีการดึงคนอ่านของนักเขียนใน

อินเทอร์เน็ทจึงนับเป็นการชิงไหวพริบกันเป็นอย่างมาก โดยมีรูปแบบการสร้างจุดเด่นให้กับผลงานของตนเองหลักๆนั้น ได้แก่ การใช้รูปภาพประกอบเรื่องในการดึงดูดผู้อ่าน,การตั้งหัวข้อเกี่ยวกับผลงานของตัวเองในเว็บบอร์ดต่างๆบ่อยๆ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเคยชินกับชื่อเรื่องของเรา หรือแม้กระทั่งการเข้าไปโฆษณาผลงานกับกลุ่มผู้อ่านโดยตรงผ่านอีเมลย์ก็ยังมี

แต่... สิ่งที่ยากที่สุดในการเขียนงานวรรณกรรมลงในอินเทอร์เน็ทกลับไม่ได้อยู่ที่การดึงดูดให้ผู้อ่านมาอ่านผลงานของเรา แต่มันอยู่ที่การที่เราจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนั้นไปได้จนตลอดรอดฝั่งหรือไม่ต่างหาก เพราะเท่าที่ผ่านมามีผลงานทางวรรณกรรมจำนวนมากที่ผู้อ่านให้ความสนใจ พร้อมทั้งเฝ้ารอคอยให้นักเขียน เขียนตอนต่อไป แต่ตัวนักเขียนเองกลับประสบปัญหาในเรื่องต่างๆที่ไม่อาจทำให้สามารถเขียนงานเรื่องดังกล่าวได้จนจบ บางเรื่องถึงขนาดต้องปล่อยทิ้งค้างอยู่นานหลายเดือน หรือ บางเรื่องถึงขนาดที่นักเขียนต้องปล่อยทิ้งให้ถูกลืมไปเลยก็มีตัวอย่างในเรื่องดังกล่าวให้เห็นอยู่อย่างมากมาย

ยิ่งเป็นนักเขียนที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นเท่าไหร่ ความกดดันก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่สำคัญที่สุดอย่างเรื่องของการ “ละเมิดงานเขียน” หรือ การก็อปปี๊ผลงานนั่นเอง ซึ่งนักเขียนส่วนใหญ่มักจะกลัวกันมากในเรื่องนี้กันมาก เพราะหากผลงานที่คนเขียนอุตส่าห์คิดมาจนแทบตายถูกคนอื่นนำไปเผยแพร่ต่อโดยเจ้าตัวมิได้ยินยอมแล้ว ผลกระทบที่ตามมาอาจหนักหนาถึงขั้นฟ้องร้องกันไปมา หรือ ทำให้นักเขียนคนนั้นหมดกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน บางคนถึงขนาดเลิกเขียนงานไปเลยก็มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ

ดังนั้น.... การนำเสนอผลงานเขียนของตนเองทางอินเทอร์เน็ทจึงเปรียบเสมือนดาบสองคม ที่มีทั้งโอกาสที่ดีในการก้าวเข้าไปในสู่วงการนักเขียน แต่บางครั้งก็อาจจะกลายเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในการสร้างสรรค์ผลงานของนักเขียนคนนั้นไปเลยก็ได้เช่นกัน

ถึงจะกล่าวว่าการเผยแพร่งานเขียนในอินเทอร์เน็ทจะมีทั้งผลกระทบที่ดี และผลเสียก็ตาม แต่ก็ยังเป็นที่น่ายินดีว่าเด็กไทยในปัจจุบันนั้นหันมารักการเขียนกันมากขึ้น ซึ่งสามารถดูได้จากยอดผลงานวรรณกรรมเรื่องใหม่ๆที่สำนักพิมพ์ต่างๆนำออกมารวมเล่มวางขายในปัจจุบัน ถ้าหากผู้อ่านสังเกตจะเห็นได้ว่าช่วงอายุของคนที่ได้ร่วมเล่มผลงานวรรณกรรมนั้นมีอายุลดลงเรื่อยๆ จนปัจจุบันแม้แต่เด็ก ม.3 ก็ยังสามารถสร้างสรรค์งานเขียนรวมเล่มออกมาได้อย่างสนุกจนน่าทึ่ง

นับว่าอย่างน้อยที่สุดโลกของอินเทอร์เน็ทที่ผู้ใหญ่พากันมองว่าเป็นโลกของความยุ่งเหยิง และมีแต่สื่อที่บุตรหลานไม่น่ารับชม ก็ยังมีเว็บไซต์สำหรับวรรณกรรมที่ช่วยเป็นสื่อกลางในการสร้างเสริมจินตนาการ และช่วยปลูกฝังการรักการเขียนให้เด็กไทยในปัจจุบัน มากขึ้น ซึ่งนับเป็นผลดีที่ช่วยให้เด็กไทยได้พัฒนาตนเองในการเขียนไปได้ในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากการเรียนการสอนตามปกติในโรงเรียนไม่น้อยทีเดียว...


*****************************************************************************************






 

Create Date : 16 มิถุนายน 2550    
Last Update : 16 สิงหาคม 2550 22:38:37 น.
Counter : 1128 Pageviews.  

งานเลี้ยงคนเขลา...!?

งานเลี้ยงคนเขลา...!?




ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมรอบๆกายของเราตามช่วงวันเวลาอันยาวนาน จากอดีตถึงปัจจุบันนี้ คงไม่มีใครเลยที่จะสามารถออกมากล่าวปฏิเสธได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่า สภาพแวดล้อมที่เราๆเห็นกันอยู่จนชินตาในเวลา ณ ปัจจุบันนี้ มันสามารถนับเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของคนเราได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นอดีตกาลอันไกลโพ้น

ผมมั่นใจว่าหลายๆคนคงรู้สึกความเปลี่ยนแปลง และเริ่มตะขิดตะขวางใจในการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพรอบตัวอันจอแจ สับสน และเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่ถูกสร้างมาจากน้ำมือแห่งอารยะธรรมของมนุษย์เช่นนี้ ผมรู้ว่าคนเหล่านั้นทราบดีว่าสภาพแวดล้อมรอบๆกาย ณ เวลานี้มันผิดแผกแตกแยกไปจากกฎของธรรมชาติดั่งที่ควรเป็น ถึงกระนั้น ผู้ที่เริ่มรู้ตัวเหล่านั้นก็ยังคงไม่สามารถลุกเดินหนีออกไปจากสภาพอันวุ่นวายเหล่านั้นได้ เนื่องด้วยติดโซ่ตรวนติดตรึงรั้งขาไว้ มันเป็นโซ่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นมาจากระบอบค่านิยมของสังคมอันผิดๆ ที่ถูกพร่ำสอนมาจากรุ่นสู่รุ่นว่า การดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมจอมปลอมเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่นับว่าถูกต้องที่สุดแล้ว

เพราะเชื่อกันเช่นนี้ สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวของเราจึงยิ่งค่อยๆเสื่อมโทรมลงไปทุกขณะๆ โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว.....

บางครั้ง การมานั่งนึกๆว่าสิ่งที่อยู่รอบๆกายเรา อย่างเช่นสิ่งแวดล้อมสังเคราะห์จากน้ำมือของมนุษย์นับเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรหรือไม่? บางครั้งการนั่งคิดขุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งกระทู้ถามมันก็กลายเป็นสิ่งที่น่าขบขันของสังคมไปเสียอย่างนั้น ที่มันน่าขันหาได้ใช่เรื่องของประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาให้คนอื่นคิดต่อยอด แต่ที่มันน่าขันสำหรับคนอื่นๆที่ยังหลงใหลอยู่กับสิ่งแวดล้อมจอมปลอมของสังคมเมือง เห็นจะเป็นเรื่องความคิดของผู้ตั้งความเห็นในเรื่องนี้เป็นคนแรกเสียมากกว่า มันคงน่าขันพิลึกสำหรับเขา เหมือนหากอยู่ๆจะมีลิงในสวนสัตว์ลุกขึ้นมาร้องตะโกนปาวๆว่าขอกลับไปอยู่ในป่าได้ไหม?

พอคนเราหลงใหลไปกับสิ่งแวดล้อมของสังคมเมือง สิ่งแรกที่ผมเห็น และได้ยินจากปากของคนที่ยอมรับสภาพแวดล้อมเช่นนี้อยู่บ่อยๆ กลับไม่ใช่เรื่องของความพึงพอใจในสิ่งแวดล้อมเลยซักนิด พวกเขามักจะบ่นว่าร้อน ฝุ่นเยอะ รถติด ฯลฯ ผมไม่เข้าใจเลยว่า ก็ในเมื่อพวกเขายอมรับที่จะดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างสังคมเมืองแบบนี้แล้ว พวกเขาจะบ่นไปทำไมกัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่พวกเขาบ่นๆกันนั้น มันเป็นเรื่องปกติอันเกิดขึ้นมาจากฝีมือของพวกเราเองที่สรรสร้างมันขึ้นมา

ยิ่งเวลาผ่านไปนาน มนุษย์ก็จะยิ่งลืมสิ่งแวดล้อมที่ธรรมชาติมอบให้ในตอนแรกเริ่ม ยิ่งนานคนเราก็ยิ่งจะพร่ำทำลายสิ่งแวดล้อมรอบๆกายให้มันเลวๆลงๆพร้อมทั้งหลงหัวเราะอย่างมีความสุขในสิ่งแวดล้อมจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้น โดยหลงคิดไปเองว่าการทำเช่นนั้นจะมีความสุขมากกว่าการกลับไปอยู่ร่วมกับธรรมชาติดั่งเช่นที่บรรพบุรุษของพวกเราได้เคยทำ พวกเราไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าหนทางข้างหน้าในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเทียม จำพวกตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางที่เจริญก้าวหน้ามันจะไปสิ้นสุดที่ใด ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังคงทำมันต่อไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับบดขยี้สิ่งแวดล้อมดั้งเดิมให้มันพินาศคามือไปอย่างน่าเศร้าใจ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนเราถึงจะลืมตาตื่นจากสิ่งแวดล้อมจอมปลอม เพื่อกลับไปยังสิ่งแวดล้อมดั้งเดิมกันเสียที!? เพราะหากพวกเราไม่รีบลืมตาขึ้นจากงานเลี้ยงคนเขลาที่วันๆเอาแต่นั่งกินนอนความสุขในสังคมปลอมๆ มาพบความจริงว่าสิ่งแวดล้อมดั้งเดิมของโลกเรานี้กำลังพินาศย่อยยับไปด้วยน้ำมือของเราจนไม่อาจกู้สภาพของมันคืนมาได้ในเร็ววันนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็เห็นทีว่าลูกหลานของเราในอีกรุ่น หรือสองรุ่นข้างหน้าคงได้เห็นเพียงภาพของสิ่งแวดล้อมดั้งเดิมจากหนังสือภาพ หรือไม่ก็พิพิธภัณฑ์ อย่างแน่แท้........

ผมหวังเพียงว่า อย่างน้อยที่สุด พวกเราบางคนจะสามารถลืมตาตื่นขึ้นมาพบความจริงได้แล้วว่า ตอนนี้พวกเรากำลังย่ำเท้าอาศัยอยู่ในงานเลี้ยงคนเขลาที่จัดกันอยู่อย่างซ้ำซาก มันเป็นงานเลี้ยงที่สวาปามความสุขรื่นเริงอยู่บนความพินาศฉิบหายของสิ่งแวดล้อมดั้งเดิมที่ถูกกร่อนเซาะด้วยเมฆเงาบังตาแห่งเราเอง........




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2550    
Last Update : 16 สิงหาคม 2550 22:40:16 น.
Counter : 428 Pageviews.  

1  2  3  

อัจฉริยะมืด
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัจฉริยะมืด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.