ถ้าทุกคนยืนอยู่ฝั่งพระเจ้ากันหมด โลกคงน่าเบื่อแย่..!!
Group Blog
 
All blogs
 
โลก Positive

โลก Positive

ในชั่วชีวิตของคนเราหนึ่งคนที่ได้รับการประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยเท่าเทียมกันเพียงคนละหนึ่งชีวิตนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเราต้องผเชิญกับปัญหอันค่อยๆคืบคลานเข้ามาในชีวิตเหมือนคลื่นมรสุมในทะเลทีทั้งสูง และรุนแรง มันพร้อมถาโถมโหมกระหน่ำเข้ามาซัดกระแทกใส่ชีวิตดวงน้อยๆของเราละลอกแล้วละลอกเล่า ถึงแม้… มีบางครั้งที่เราต้องอ่อนล้าโรยแรลพ่ายแพ้ให้กับปัญหาพวกนั้นบ้างซัก 100 ครั้งในชีวิต แต่ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจกับปัญหานั้นได้อย่างถ่องแท้แม้เพียงซักครั้งเดียว ใน 100 ครั้งนั้น เราก็ยังสามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้ และถึงเราต้องพ่ายแพ้จนลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นซัก 1,000 ครั้ง ก็คงมีซัก 10 ครั้งจากความพ่ายแพ้นั้นช่วยทำให้เราคนพบอะไรบางอย่าง ถึงในตอนสุดท้ายต่อให้เราแพ้นับแสนนับล้านครั้ง หากเราคิดในแง่ดีแล้วก็ยังคงมีอะไรในหลายๆครั้งนั้นที่ได้ช่วยขัดเกลาให้เราแข็งแกร่งขึ้น

น่าเสียดายแทนพวกวันรุ่นทีกินปริมาณจำนวนประชากรไปเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรวมของโลกในปัจจุบัน พวกเขากลับไม่เล็งเห็นถึงความสำคัญอันซ่อนอยู่หลังความหมายของความพ่ายแพ้ ถึงอย่างนั้น…. เราก็คงไม่สามารถกล่าวโทษว่าเป็นความผิดพวกเขาได้เต็มปากนัก พวกเขายังคงเยาว์วัย บวกกับประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับโลกที่โหดร้ายยังคงน้อยอยู่ และยังต้องการคนที่เข้าใจในตัวเขามาคอยดูแล………….. แต๋โปรดสังวรไว้เถิด ว่าการดูแลเหล่าวัยรุ่นที่อารมณ์แปรปรวนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อเขาย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น นั่นก็หมายความว่าตอนนี้พวกเขาคือกิ่งไมืที่เจริญเติบโตจากไม้อ่อนที่ดัดง่าย กลายเป็นกิ่งไม้แก่ที่ดัดให้โค้งงอได้อย่างยากลำบากไปเสียแล้ว

ถ้าเราอยากทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของพวกเขาเรามีทางเดียวเท่านั้นที่ทำได้นั้นคือการเฝ้ามอง และต้องเป็นการเฝ้ามองตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งปกติแล้วคงไม่มีผู้ใหญ่ที่ชอบบ่นๆว่าเวลาไม่มี งานยุ่ง ฯลฯ ที่ไหนมาทำอย่างที่ผมว่าหรอก แต่…. หากทำด้ซักครั้ง เราก็จะเห็นพฤติกรรมของพวกเขาอันแตกต่างไปจากอดีตมาก

พวกวัยรุ่นมีกทำตัวเหมือนซากศพของมั่มมี่ราชาผู้ประดับประดาด้วยขุมสมบัติล้ำค่า พวกเขาพอใจกับของพวกนั้นทั้งๆที่ตนเองนอนนิ่งอยู่ในโลงหินอันเย็นชืด พวกเขาสามารถอยู่แบบนั้นได้ทั้งๆที่ตนเองไร้ซึ่งชีวิต และจิตวิญญาณ ขอแค่พวกเขาพอใจก็สามารถอยู่ที่นั้นได้ตลอดไป มองแล้วมันต่างกับซากศพที่มีชีวิตตรงไหนกัน?

ยิ่งคำกล่าวของพวกผู้ใหญ่ที่บอกว่า “ให้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” อันถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่จำความกันได้ก็กำลังถูกลืมเลือน มันถูกทดแทนด้วยคำสอนใหม่ที่ฝังหัวเน้นย้ำให้เพียงสามารถอยู่รอดไปวันๆโดยห้ามีปากเสียงที่เด็กสามรถเรียนรู้ได้จากสังคมเมือง ซึ่งคนที่สามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ได้คงมีเพียงพวกคนใบ้ที่ไม่มีปากมีเสียง หรือไม่ก็คนตาบอดที่มองไม่เห็นการกระทำโง่ๆดักดานของสังคมก็เท่านั้น และคนประเภทสุดท้ายจำพวกคนอันเห็นแก่ตัวที่ไม่สนใจใครนอกจากผลประโยชน์ของตนเองเพียงเท่านั้นล่ะ จึงสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ได้อย่างยาวนาน แล้วเราจะโทษใครได้ล่ะ? นอจากโทษพวกต้นแบบที่ยัดเยียดความคิดฝังหัวแบบนี้ให้พวกวัยรุ่นเอง

พวกผู้ใหญ่มักชอบพูดว่า “จงเรียนให้เก่ง แล้วสอบเข้าในมหาวิทยาลัยดีๆ จบไปจะได้ทำงานดีๆ เพราะทำแบบนั้นแล้วจะมีความสุข” แต่พวกผู้หใญ่ทราชอบพร่ำสอนอะไรแบบนั้นเคยหันกลับมาเหลียวมองซักครั้งไหมว่า ความสุขที่พูดถึงน่ะ มันหมายถึงความสุขของใครกันแน่? มันเป็นความสุขของตัวผู้กระทำ หรือเป็นความสุขส่วนตัวของผู้ที่ให้กระทำ และคาดหวังไว้ แล้วเอาความคาดหวังนั้นมายัดเยียดให้กับพวกเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงวัยแห่งความสับสนในชีวิตกันแน่?

ถึงอย่างนั้น การกล่าวโทษต้นแบบเพียงฝ่ายเดียวนั้นก็ไม่ถูกนัก เพราะหากเพียงบทความนี้เป็นแค่บทความด่าทอสังคมเพียงด้านเดียวด้วยมุมมองของตัวผู้เขียนเองที่ยังเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งอยู่มันก็เป็นการเห็นแก่ตัวจนเกินไป ถึงพวกวัยรุ่นเองจะไปเที่ยวกู่ก้องร้องตะโกนตะโกนป่าวๆ ว่าตนเองนั้นดวงไม่ดี ตนเองเป้นผู้เคาะห์ร้ายอันได้รับผลกระทบจากสังคมจนพฤติกรรมของตนเสื่อมถอยลงทุกวันๆ นั่นมันก็ถือเป็นเพียงข้อแก้ตัวเท่านั้นเอง ประเเด็นสำคัญจริงๆของเรื่องนี้มันอยู่ตรงจุดที่ทุกคนมองข้ามไปต่างหาก มันตั้งอยู่ใกล้ๆตัวมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ ใกล้มากจนไม่มีใครมองมันเห็นเสียซักคน……… มันจะอยู่ตรงไหนได้ หากไม่ได้ตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่างความคิดของทางฝั่งผู้ใหญ่ และวัยรุ่นเอง มันตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเข้าใจ และพอใจในตัวของอีกฝ่ายเอง

เราไม่สารถมามองออกได้ว่าค่านิยมของทั้งสองฝ่ายมันต่างกันอย่างไร? ในเมื่อพวกวัยรุ่นนั้นมีนาฬิกาดิจิตอลราคาเหยียบหมื่น ในขณะที่ผู้ใหญ่เองก็มีนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ราคาเกินแสน วัยรุ่นพอใจในกางเกงยีนส์เก่าๆขาดๆในราคาอันแพงลิบลิ่ว ทั้งๆที่ผู้ใหญ่เองก็พอใจในชุดสูทของอามานี่ราคาหลักล้าน หรือแม้แต่ที่วัยรุ่นพอใจในรถสปอร์ดเปิดประทุน แต่พวกผู้ใหญ่พอใจในรถจากัวร์ ไม่ก็รถเบนซ์ แล้วมันต่างกันตรงไหนกัน?

ความแตกต่างมันอยู่ตรงไหนระหว่างทั้งสองขั้วอายุ สิ่งที่ยกกล่าวๆมาทั้งสองอย่างก็ถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือยเหมือนๆกัน มันก้แค่มีพื้นฐานมาจากการความพอใจของตนเองเหมือนๆกัน มองอย่างไรมันก็แตกต่างกันเพียงที่ว่าพวกผู้ใหญ่ทำงานมีรายได้แล้ว กับพวกวัยรุ่นที่ยังไม่ได้ทำงาน และไม่มีรายได้ก็เท่านั้น!

พวกผู้ใหญ่ใส่ชุดโก้หรู เพราะต้องการความยอมรับจากสังคมทำงาน พวกวัยรุ่นเองก็ต้องการแต่งตัวเท่ห์ดูดี เพื่อได้รับการยอทมรับจากสังคมวัยรุ่นเหมือนกัน?

เพราะความแตกต่างแบบนี้ล่ะที่มักทำให้มีปัญหาตามมาเสมอ การที่ไม่มีเงินมาซื้อสิ่งที่ตนชอบหรือพอใจนั้น มันมักทำให้มีผลสะท้อนตามมา ยิ่งสำหรับพวกวัยรุ่นที่รักความสบายเข้าว่าแล้ว หากต้องการของพวกนั้นก็คงเลือกเอาทางที่ง่าย อละได้เงินมากๆเข้าว่า แล้วท่านคิดว่างานที่ง่ายๆสบายๆแบบนั้นจะมีอะไรบ้างล่ะ? นอกจากการประกอบอาชญากรรมของวกผู้ชาย กับการขายบริการทางเพศของพวกผู้หญิง

“จ้ะ..สำหรับมาโคโตะ ฮิโรโกะคิดสองหมื่นเยนเท่านั้น” นี่เปนเพียงประโยคคำพูดสั้นๆที่ผมยกมันออกมาจากหนังสือวรรณกรรมแปลเล่มหนึ่งเท่านั้น แน่นอน! ว่ามันเป็นเพียงประโยคอันถุกแต่งขึ้นจากจินตนาการของคนเขียนเท่านั้น แต่…. ถ้าคุณลองหลับตาลง แล้วสร้างภาพในหัวดูว่าถ้าในวันหนึ่งผู้หญิงคนที่คุณรัก คนที่คุณเทิดทูนหลงไหลในตัวเธออย่างสูงยิ่งหันกลับมาพูดแบบนี้กับคุณ ในจิตใต้สำนึกของคุณมันจะร่ำร้องว่าอะไร? มันเป็นความใคร่ที่กระสันขึ้นมาจนตัวคุรเองแทบระงับไว้ไม่ได้ หรือคุณอาจรู้สึกขยะแขยงที่คนที่คุณรักตีค่าคุณด้วยค่าเงินตราเพียงสองหมื่นเยนเท่านั้น อยากเพียงให้ลองคิดดูเล่นๆ ไม่จำเป็นต้องจริงจังคิดตามที่บอกเสียมากมาย มันเป็นเพียงเรื่องสมมุติ แต่ถึงกระนั้น.. คุณลองเก็บเอาเรื่องนี้ไปเก็บไว้ในใจส่วนลึกให้ดีเถิด เพราะไม่มีใครสามารถรับประกันกับคุณได้หรอกว่า เหตุการณ์แบบนี้ กับคำพูดแบบนี้จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับตัวคุณ

บทความบทนี้ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นการประชดประชัน ตีแผ่ หรือประจานสังคมแต่อย่างไร มันดป็นเพียงมุมมองอันถุกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึก ความคิดเห็นส่วนตัวของคนๆหนึ่งที่เป็นเพียงฟันเฟืองตัวเล็กๆตัวหนึ่งในกลไกของสังคมก็เท่านั้น บทความบทนี่เมื่อถูกขีดเขียนจนเสร็จสิ้นแล้ว มันอาจเป็นเพียงผลงานที่ใครหลายๆคนได้มีโอกาสอ่านมันแบบผ่านๆ มันคงเป็นเพียงตัวหนังสือบนหน้ากระดาษที่ไม่ได้ทำให้สังคมดีขึ้นได้ในทันที เพราะอย่าไงไรก็ตาม ตัวผู้เขียนเองก็ยังกล่าวได้เต็มปากว่าตนเองก็ยังคงเป็นทาสของระบบสังคมที่ไม่มีทางดินรนให้หลุดพ้นนี้ได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนอยากจะลองเฝ้าภาวนากับท้องฟ้าในเรื่องๆหนึ่ง ผมไม่ได้ขอให้สวรรค์ให้รางวัลผมที่สามารถมองมุมมองสังคมได้ผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ผมเพียงแต่… อยากขอให้ท้องฟ้าสีฟ้าสวยงามแบบนี้ยังคงสดใสตลอดไป ขอให้มันไม่มีทางหม่นหมองดั่งจิตใจของคนในสังคม ที่นัทีจะยิ่งมืดดำ และดิ่งลงก้นเหวเช่นนี้ตลอดกาล…………..




Create Date : 10 มิถุนายน 2550
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:32:15 น. 0 comments
Counter : 404 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อัจฉริยะมืด
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัจฉริยะมืด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.