|
ความหวาดกลัวในความมืด
ความหวาดกลัวในความมืด
ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมมักเกลียดช่วงเวลายามที่รัดติกาลนั้นจะมาเยี่ยมเยือน ผมยอมรับว่าผมกลัว
.กลัวในสิ่งที่อยู่ในความมืดมิดรอบๆตัว กลัวภูติผีปีศาจที่จิตประสาทผมมันหลอกหลอนสรรสร้างมันขึ้นมาเอง
ตอนที่ผมโตขึ้นมาอีกหน่อย ผมก็ยังคงเกลียดช่วงเวลาแห่งราตรีอยู่เช่นเดิม ถึงมันจะไม่ใช่การหวาดกลัวภูติผีจากจินตนาการของตน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังใกล้เคียง มันเป็นความหวาดกลัวจากอะไรบางอย่างที่อยู่ในความมืดมิดที่พร้อมจะเข้ามาทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ โดยที่เราไม่ทันจะรู้ตัว
ถึงผมจะรู้ดีว่าเรื่องพวกนั้นมันเป็นเพียงจินตนาการของตนเอง
.ผมก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี!
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับมนุษย์ชนธรรมดาที่ยังคงมีความหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่าง ผมเชื่อว่าตัวคุณเองก็เคยเป็นเช่นกัน แต่..!! อย่างน้อยคุณก็คงรับทราบรับรู้ไว้เถิดว่า มันไม่ใช่คุณเพียงคนเดียวที่ๆด้มาผเชิญหน้ากับความหวาดกลัวเหล่านั้นตามลำพัง ยังมีคนอีกหลายร้อยล้านคนในโลกนี้ที่ยังคงหวาดกลัวเช่นเดียวกับคุณ
มนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่หวาดกลัวความมืด สิ่งที่มนุษย์หวาดกลัวนั้น มันเป็นสิ่งที่แฝงตัวอยู่ในความมืดเสียมากกว่า มนุษย์กลัวในสิ่งที่ตนไม่สมารถมองเห็นหรือคาดเดาได้ว่า ในความมืดนั้นมันจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้า หรือตนเองจะต้องไปประสบกับอะไรบ้าง?
ดังนั้น เมื่อมนุษย์ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตนเองจะได้พบอะไร? มันจึงกลายเป็นการปิดกั้นตนเองด้วยคำว่า ความหวาดกลัว มากกว่าที่จะกลัวมันจริงๆ
เคยมีเพื่อนคนหนึ่งของผมบอกกับผมว่า จงอย่าหวาดกลัวต่อความมืด เพราะความอบอุ่น บางสิ่งบางอย่าง มันสามารถหาได้จากความมืดมิดเท่านั้น เขาพูดให้ผมได้คิดหาคำตอบด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายที่จนปัจจุบันผมก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่จะมาเป็นข้อสันนิฐานที่สมควร ในเหตุผลที่เขาพูดกล่าวมาได้
บางครั้ง หากคุณลองลืมตาอยู่ในความมืดที่โอบล้อมตัวคุณเพียงลำพังในห้องที่คุณคุ้นเคย มันอาจทำให้คุณเกิดความหวาดกลัว หวาดระแวง หรือฟุ้งซ่าน แต่หากคุณลอง หลับตาลง ในห้องที่เดิม ในเวลาตอนกลางคืนเหมือนเดิม มันกลับทำให้คุณรู้สึกไม่หวาดกลัว ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย จากความเมื่อยล้าในการตรากตรำในการทำงานของวันนั้นๆ
แล้วมันแตกต่างกันตรงไหนกัน? ทั้งๆที่คุณ ยืนอยู่ในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน แตกต่างกันเพียงการปิด หรือเปิดเปลือกตาก็เท่านั้นเอง? ความรู้สึกที่ได้ ก็ถึงกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เรื่องที่ผมกล่าวมาโดยยกตัวอย่างให้คุณเห็น คุณอาจจะค้านผม เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะพึงกระทำได้ในชีวิตจริง ซึ่งผมก็ไม่ขัดที่คุณจะคิดเช่นนั้น มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าเผ่าพันธุ์ของเรานั้น ณ ช่วงเวลานี้พึ่งพาวิทยาการแห่งแสงไฟยามค่ำมาขับไล่ความมืดไปได้กือบหมดสิ้นแล้ว แต่คุณอย่าลืม!! ว่าวิทยาการที่ว่านี้ มันชนะได้เพียงความมืดภายนอกร่างกายในระยะสายตาที่เราสามารถมองเห็นได้เท่านั้น มันหาได้ช่วยขับไล่ความมืดมิดที่เกาะกุมจิตใจที่หวาดกลัวของคนเราไปไม่
เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มนุษย์ยังไม่มีแม้แต่เปลวไฟมาขับไล่ทั้งความมืดมิด และให้ความอบอุ่นแก่ตนเอง ถึงกระนั้นในความมืดมิด และหนาวเหน็บของถ้ำหิน มนุษย์ก็ยังสามารถอยู่มาได้โดยไม่เกรงกลัวต่อความมืดนั้น แต่พอมาหลายหมื่นปีให้หลัง มนุษย์กลับลืมเลือนการอยู่เช่นนั้น กลายเป็นสิ่งที่อ่อนแอที่อยู่อย่างหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองต้องเจออยู่ทุกวันๆ อย่างน่าสมเพศ
ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีที่จะนำเสนอด้านความอ่อนแอของมนุษย์ ผมเพียงอยากจะหยิบยกความหวาดกลัวที่ยังงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์ออกมานำเสนอบ้าง ส่วนแนวคิดที่ผมกล่าวออกไปนั้น คุณจะเชื่อถือ หรือเห็นชอบด้วยหรือไม่นั้น? มันก็เป็นสิทธิของตัวคุณเอง
สุดท้ายนี้ผมขอกล่าวสรุปถึงความหวาดกลัวต่อความมืดของมนุษย์ในทัศนะคติของผมว่า
มนุษย์ไม่ได้หวาดกลัวต่อความมืด เนื่องจากมนุษย์นั้น เพียงแต่หวาดกลัวในสิ่งที่ตนมองไม่เห็น คาดเดาไม่ได้ในความมืดนั้นก็เท่านั้น มันเป็นสันชาติญานแห่งการปกป้องตนเอง ถูกสร้างขึ้นมาปกป้องชีวิตของตนเองให้รอดปลอดภัยโดยไม่ต้องเสียงอันตราย ดังนั้นการที่คนเราหวาดกลัวในคามมืดจึงไม่ใช่ความผิดของบุคคลนั้นๆ มันต่างกันเพียงการยอมรับในความมืด หรือไม่ยอมรับในความมืด เท่านั้นเอง
Create Date : 10 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:31:44 น. |
|
1 comments
|
Counter : 689 Pageviews. |
|
|
|
โดย: masterpeace วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:13:48:29 น. |
|
|
|
| |
|
|
ซึ่งเคยลองทำตามบางทีที่เรากลัวความือจากพุ่มไม้เวลาค่ำคืน ก็เพ่งมองจนจิตของเราหายกลัวว่าสุดท้ายสิ่งที่เรากลัวนั้นก็ไม่มีอะไรให้เราต้องกลัว ก็พอช่วยได้ครับ ลองดูนะครับ