ถ้าทุกคนยืนอยู่ฝั่งพระเจ้ากันหมด โลกคงน่าเบื่อแย่..!!
Group Blog
 
All blogs
 

รักพิลึก

รักพิลึก



วันหนึ่งในตอนปลายของฤดูฝน ผมก็ได้รับจดหมายเชิญให้ไปร่วมงานมงคลสมรส ของเพื่อนสนิทมากสมัย ม.ปลาย... แน่นอนที่ผมจะไม่รอช้าที่จะตัดสินใจไปร่วมงานนี้ ผมรีบทำเรื่องลางาน และจับจองตั๋วรถไฟขาล่องลงสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทันที ในขณะที่ในใจก็กำลังเต้นระทึก เพราะจะได้พบกับเพื่อนสนิทคนนี้มานานถึง 6 ปีแล้ว หลังจากที่เราต้องแยกย้ายกันไปเรียนยังมหาวิทยาลัยที่ต่างๆในประเทศไทย

อาทิตย์ คือชื่อของเพื่อนผมคนที่ส่งจดหมายเชิญมาให้ ผมยังจำได้ดีว่าอาทิตย์เป็นคนใจดี และออกจะเงียบๆไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ แต่เขากลับเป็นขวัญใจของเพื่อนๆด้วยมีเสน่ห์แห่งความจริงใจที่เขามีให้กับทุกคน หลายครั้งที่พวกผมเคยไปก่อวีรกรรมสร้างความเดือดร้อนไว้ ก็มีเขานี่ล่ะที่คอยยืนหยัดช่วยเหลือโดยไม่เคยหนีหน้า...!
“เพื่อนแท้ ไม่ใช่แค่เพื่อนกิน!” เขามักชอบพูดเช่นนี้เสมอๆ แต่เท่าที่ผมจำได้ ผมไม่เคยเห็นอาทิตย์คบหาดูใจกับผู้หญิงคนไหนเลยในช่วงตลอดชีวิต ม.ปลาย ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่มีผู้หญิงมาชอบเยอะมาก แล้วผู้หญิงคนที่มาแต่งงานกับเขาเป็นใครกัน? อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่คนที่ผมรู้จักในสมัยก่อนแน่ๆ หรือบางทีคงอาจจะเป็นผู้หญิงที่รู้จักกันในช่วงตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เป็นได้... ซึ่งช่วงที่เรียนอยู่นั้นผมไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย!!
รถไฟเคลื่อนเขาเทียบชานชาลาของสถานีรถไฟจังหวัดขอนแก่น ผู้คนมากมายที่กระสันจะกลับยังถิ่นเกิดต่างรีบร้อนกันลงรถ สำหรับตัวผมที่ไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว ก็นั่งคอยให้ฝูงชนเหล่านั้นก้าวลงรถให้บางตาลงก่อน... ยังไงๆเสีย! เวลาผมก็ยังมีเหลือถมเถไป ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งวันกว่าจะถึงกำหนดพิธีแต่งงานของอาทิตย์..... พอคนลงจากรถไปหมดแล้ว ผมก็ค่อยๆก้าวลงจากรถไฟอย่างระมัดระวัง แต่พอลงมายืนบนชานชาลาก็ต้องตกใจ เพราะมีคนที่คุ้นเคยมายืนยิ้มแฉ่งรออยู่บนชานชาลาแล้ว
“ว่าไงกฤต มาช้าจังนะมึง?” เจ้าของรอยยิ้มที่ตะโกนทักเสียงดังนั้นคือ “ดนัย” เพื่อนสนิทของผมอีกคนหนึ่งที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก หลังจากเรียนจบผมก็เลือกที่จะทำงานต่อที่กรุงเทพฯ แต่เขาเลือกที่จะกลับมาช่วยที่บ้านขายของอยู่ที่บ้านเกิดนี้!
“อ้าว.. ก็แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่ากูจะกลับมากับรถเที่ยวนี้?” เท่าที่จำได้ ผมไม่ได้บอกมันล่วงหน้าเลยซักนิดว่าผมจะกลับมาร่วมงานนี้
“ก็กูไปถามแม่มึงมานี่หว่า....!” เขาพูดแล้วแสยะยิ้ม ผมรู้สึกดีใจในท่าทางนั้น ดูๆไปแล้วระยะเวลาที่ผ่านเลยมา มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพื่อนคนนี้ของผมไปเท่าไหร่เลย ดนัยนิสัยทะเล้นอย่างไรก็ยังคงทะเล้นอยู่อย่างนั้น..!
“ไปๆ กูเอารถมาเดี๋ยวกูแวะไปส่ง” ดนัยฉุดแขนผมกึ่งดึงกึ่งลากไปยังรถเก๋งคันงามโดยที่ผมไม่ทันจะตั้งตัว พอผมเห็นรถเก๋งป้ายแดงใหม่เอี่ยมจอดอยู่ ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าที่จริงดนัยมันไม่ได้กะจะมารับผมหรอก แต่มันจะเอารถคันใหม่มาอวดผมที่ไม่ได้เจอกันมานานมากกว่า... ช่างเป็นคนที่กวนบาทาได้เสมอต้นเสมอปลายได้ดีจริงๆ!!!
รถคันงามบ่ายหน้าจากถนนใหญ่สู่ถนนซีเมนต์เก่าๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับหนาทึบตลอดสองข้างทางอย่างช้าๆ สำหรับผมแล้วยิ่งรถแล่นเข้าไปใกล้บ้านซักเท่าไหร่ กลิ่นที่รู้สึกคุ้นเคยก็ยิ่งลอยมาเตะจมูกมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นกลิ่นดินที่หอมหวนเคล้ากลิ่นหญ้าของบ้านเกิดที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น และสบายใจจากความเครียดในการทำงานที่สะสมมาอย่างที่สุด..! เวลาผ่านไปอีกเล็กน้อยรถจึงวิ่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านปูนชั้นเดียวกลางสวนผลไม้ ที่ผมใช้เป็นที่อาศัยมาตลอดในระยะเวลาสิบกว่าปี...!!
“วันงานให้กูมารับไหม?” ดนัยหันมาถาม ตอนที่รถจอดสนิทแล้ว
“เออ.. อย่าเสือกมาสายก็แล้วกัน กูกลัวเมิงหลับเพลินเดี๋ยวกูไปไม่ทันงาน” ผมปิดประตูแล้วโบกมือไล่ดนัยที่กำลังหัวเราะชอบใจให้ไปพ้นๆหน้าซะที.... ในบ้านผมเข้าไปยกมือไหว้พ่อกับแม่ที่รออยู่นานแล้ว หลังจากนั้นก็หลบเข้าห้องนอนแล้วเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย..!

คืนนั้นผมฝันถึงชีวิตในช่วงที่ยังสวมชุดนักเรียน กับกางเกงขาสันสีน้ำตาลอยู่ ในความฝันผมยังไม่มีความกังวลในจิตใจให้ต้องรู้สึกรับผิดชอบใดๆ ผมกับเพื่อนๆยังเที่ยวเล่นไปให้หมดไปวันๆ... ฝันถึงแม้กระทั่งเพื่อนเก่าๆที่อาจจะได้พบหน้ากันในงานแต่งงานพรุ่งนี้ ใบหน้าของบางคนผมก็ยังจำได้อย่างชัดเจน แต่บางคนนี่สิ! ผมนึกหน้ายังไงก็นึกไม่ออกเหมือนมีเส้นขาวๆมาบังหน้าพวกเขาไว้ สุดท้ายที่จำได้ในความฝัน มันคือภาพเบลอๆของอาทิตย์ในชุดแต่งงานที่กำลังเต้นแทร็ปอยู่คู่กับช้างตัวใหญ่โดยมีผู้หญิงขี่อยู่บนหลังของมัน..!!
ผมสะดุ้งตื่น..!! ภาพทั้งหมดที่กำลังวนเวียนถูกกระชากออกไปจากหัวทันที!
ผมหายใจถี่แรง และใจเต้นไม่เป็นระส่ำ... นี่ผมฝันถึงเรื่องบ้าอะไรกัน? ความฝันมันทับซ้อนกันอย่างปนเปจนผมรู้สึกคลื่นไส้!!
“กฤต.. ตื่นรึยังลูก?” เสียงแม่แว่วมาจากห้องครัวเคล้ากับเสียงนกที่แข่งกันร้องยามเช้า
“ครับ.. ตื่นแล้วครับ!!” ผมพยายามใช้มือลูบเหงื่อที่ชุ่มโชกอยู่ที่ใบหน้า และซอกคอ
“งั้นก็ดีแล้ว รีบแต่งตัวเถอะอีกมี่กี่ชั่วโมง ก็ต้องไปงานแต่งงานเพื่อนแล้วนี่?” ผมชำเลืองมองนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วก็ระลึกขึ้นมาได้.. จริงของแม่ นี่มันเจ็ดโมงกว่าๆแล้ว เดี๋ยวอีกซักพักก็ได้เวลาที่เจ้าดนัยจะมารับแล้ว ผมต้องรีบแต่งตัวแล้ว..!
ผมอาบน้ำ และเลือกสวมเสื้อผ้าในชุดที่คิดว่าดูดีที่สุด แล้วจัดแจงหิ้วเอาห่อของขวัญแต่งงานใส่ถุงกระดาษมานั่งเล่นฆ่าเวลาอยู่ที่หน้าบ้าน พอมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก็เป็นไปตามคาดที่ดนัยมันยังจะอุตส่าห์มาสายตามเคย เจ้าหมอนี่ถ้านัดมันเจอกันห้าโมงเช้า มันก็จะตื่นห้าโมงเช้าจริงๆ
อีกสิบกว่านาทีผ่านไปผมจึงมองเห็นรถเก๋งที่ดูคุ้นตาวิ่งบ่ายหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่นานก็มาจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านผม ในรถมีดนัยที่ใส่ชุดเหมือนกับอาเสี่ยจะหนีเมียไปเที่ยวคาเฟ่ แถมสวมแว่นดำอีกต่างหาก นี่ถ้าไม่บอกผมคงไม่รู้ว่ามันกำลังจะไปงานแต่งงาน.
“งานแต่งจัดที่ไหน?” ผมถามทันทีเมื่อรถเริ่มแล่นออกไป
“โรงแรมโซฟิเทล” ดนัยหันหน้ามาแล้วยิ้มขำๆ “ห้องจัดเลี้ยงโถงใหญ่ด้วยนะมึง!!”
“โห..! อาทิตย์มันไปรวยมาจากไหนวะ” ผมร้องเสียงหลง ดีนะที่ผมสวมเสื้อเชิ้ตที่ดูดีที่สุดมาแล้ว ไม่งั้นมีหวังอายเขาตาย!!
“โอ๊ย.!! มันไม่ได้รวยอะไรที่ไหนมาหรอก ก็แค่พนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆ”
“แล้วทำไมมันมีปัญญาจัดงานในที่หรูๆ?” ดนัยหัวเราะ
“คนที่รวยน่ะไม่ใช่มัน... แต่เป็นฝ่ายเจ้าบ่าวโน้นที่รวย!” คำตอบนั่นมันยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปใหญ่.. พอลองนิ่งเงียบทบทวนความคิดในสมองซักพักหนึ่ง ก็ได้คำตอบที่น่ารังเกียจปรากฏออกมาในหัว..!
“อย่าบอกกูนะว่า มันแต่งงานกับผู้ชาย?” ผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องอัปปรีย์ผิดธรรมชาติเช่นนี้แล้ว แต่การที่ดนัยพูดแบบนั้นออกมา มันทำให้ผมคิดได้เพียงด้านเดียว..
“ขี้เกียจอธิบายว่ะ เรื่องมันยาวชิบหาย.... เอาเป็นว่าเดี๋ยวไปถึงมึงก็จะเข้าใจเอง” ดนัยพยายามพูดโดยกันเสียงหัวเราะ ไอ้เจ้าคนนี้มันชอบเหลือเกินที่จะทำให้คนอื่นแปลกใจ การที่เผลอบอกรายละเอียดให้ผมรู้ไปเล็กน้อยก่อนหน้า สำหรับมันแล้วก็คงเหมือนเผลอให้ผมกินจานเรียกน้ำย่อยไปเท่านั้นล่ะ...แสดงว่ายังมีเรื่องอะไรให้แปลกใจเป็นจานหลักตามมาอีกเป็นแน่!!
ในหัวของผมตอนนี้กำลังถูกความคิดหลากหลายเข้ามาแทรกแซง ทั้งภาพของอาทิตย์เพื่อนชายที่บึกบึนในความทรงจำ และภาพของอาทิตย์ที่กลายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันที่ผมกำลังพยายามจินตนาการขึ้นมาที่เริ่มทับซ้อนกันเอง แ ล้วเพื่อนผมคนนี้มันกลายเป็นเกย์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทำไมผมไม่เคยทราบเลย? ... หรือว่า มันจะเป็นมาตั้งแต่สมัย ม.ปลาย ก็เป็นไปได้ เพราะมันไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนให้ผมเห็นมาก่อนเลย!!! ไม่นานนักรถที่ผมนั่งอยู่ก็หักเลี้ยวเข้าไปในยังลานจอดรถใต้ดิน ของโรงแรงสุดหรูชื่อดังประจำจังหวัด...

สถานที่จัดเลี้ยงงานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราในแบบของทางตะวันตก มีผู้คนมากมายในชุดราตรีสุดเก๋มาร่วมงานกันอย่างเนื่องแน่น รวมทั้งกลุ่มเพื่อนรวมชั้นในสมัย ม.ปลาย ที่เกือบจะยกกันมาทั้งชั้นที่พอเจอหน้าก็เข้ามารุมกอดผมด้วยความคิดถึงอย่างล้นเหลือ ทุกคนดูท่าทางมีความสุขดีมันพลอยทำให้ผมรู้สึกสุขใจไปด้วย.... ผมพยายามมองหาคู่บ่าวสาวเจ้าของงานที่ทำให้ผมเคลงใจว่าเพื่อนผมมันแต่งงานกับผู้ชายจริงๆหรือเปล่า! กวาดสายตามองเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แล้วสายตาของผมก็ต้องไปสะดุดกับป้ายบนเวที ที่ประดับประดาด้วยรูปหัวใจสีขมพูดวงใหญ่สองดวงที่มีลูกศรปักทะลุทั้งสองไว้ด้วยกัน..!
งานมงคลสมรสของ นายอาทิตย์ และ นางสาวนิตยา...!!
แปลก...! ชื่อคู่สมรสเขียนไว้โต้งๆว่านางสาว ก็ต้องเป็นผู้หญิงชัดๆ แล้วทำไมดนัยมันบอกผมว่าอาทิตย์ไม่รวย แต่ที่รวยน่ะเป็นฝั่งเจ้าบ่าว??.. ก็อาทิตย์มันต้องเป็นฝั่งเจ้าบ่าวนี่! หรือว่าดนัยมันแกล้งพูดให้ผมสงสัยเล่นเท่านั้นเอง?
ผมหันไปทางดนัยที่ยืนห่างออกไป (เพราะมันมัวแต่ยืนคุมโต๊ะอาหารด้วยความตะกละ) แล้วชี้มือไปยังป้ายบนเวทีเป็นเชิงขอคำตอบ แต่ดนัยยิ้มกับมาแล้วยักไหล่ไหล่เป็นเชิงไม่ขอตอบ..!!
อยู่ๆไฟในงานก็หรี่แสงลง แล้วก็ปรากฏภาพของพิธีกรในงานยืนเด่นอยู่บนเวทีที่มีไฟสปอร์ตไลท์ส่องจ้าลงมา
“สวัสดีครับ! ท่านท่านแขกผู้มีเกียรติในพิธีทุกท่าน... วันนี้เป็นวันดี ที่เราทุกคนจะได้ร่วมเป็นสักขีพยานสำคัญในพิธีแต่งงาน ที่อาจจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของประเทศไทยต่อไป!” เขาพูดอย่างยิ่งใหญ่ จนผมอดประหลาดใจไม่ได้ว่างานนี้มันมีเรื่องอะไรยิ่งใหญ่ขนาดที่เขากล่าวกันเชียว?
“ตอนนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับคู่บ่าวสาว พระเอกนางเอกในงานวันนี้ได้แล้ว.... ครับ!!” เมื่อเขากล่าวจบในห้องจัดเลี้ยงก็มืดลงแต่กลับกึกก้องไปด้วยเสียงปรบมือ... ใจผมเต้นระทึก ในที่สุดผมก็จะได้เจอหน้าเพื่อนเก่าคนนี้ซักที!
เมื่อไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง ก็มีคนสองคนปรากฏร่างขึ้นบนเวทีในชุดทักซิโด้สีขาวล้วน และอีกคนในชุดกระโปรงยาวสีขาว เสียงปรบมือยิ่งดังกึก้องขึ้นไปอีก!! ยกเว้นผมคนเดียวที่ยืนนิ่งอ้าปากค้างมองภาพของสองคนนั้นเหมือนกลังถูกสะกด!!
คนในชุดเจ้าสาวไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นไอ้อาทิตย์เพื่อนของผมนั่นเอง....!!
“อย่าพึ่งตะลึง มึงลองมองดูคนข้างๆอาทิตย์มันซะก่อน” ดนัยเดินมาเอาศอกกระทุ้งให้ผมรู้สึกตัว ผมมองตามที่มันบอก แล้วก็ต้องรู้สึกขนหัวลุกวาบอีกรอบ!!
ข้างๆของอาทิตย์ กลับกลายเป็นผู้หญิงในชุดของเจ้าบ่าวแบบทักซิโด้สีขาว...!!
ดนัยหัวเราะที่เห็นผมทำหน้าเหมือนลูกหมาตกน้ำ ที่ไม่รู้จะว่ายตะเกียดตะกายขึ้นฝั่งทางไหนดี ไอ้งานแต่งนี้มันก็พิลึกกึกกือสุดๆชนิดเกิดจากท้องพ่อท้องแม่มาไม่เคยเห็น..!!
“เป็นไง! งานแต่งงานนี้เจ๋งดีไหมล่ะ?” ดนัยถาม
“มันยังไงกันวะเนี่ย!!” ผมยังคงยืนงง
“ก็งานแต่งงานไง.. ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้” ดนัยยังคงยืนยิ้มกริ่มเหมือนคนโรคจิตที่สาแก่ใจในอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆไม่ไปไหน
“แต่มันแปลกนี่หว่า... ไม่สิแปลกชนิดหลุดโลกเลยนะนี่”
“แปลก? แปลกตรงไหน?” ดนัยหยิบเอามันฝรั่งขึ้นมาเคียวจนแก้มตุ่ย แล้วก็ชี้มือไปยังอาทิตย์ที่อยู่บนเวทีในชุดเจ้าสาวสีขาวที่กำลังยืนยิ้มแย้มเหมือนหญิงสาวจริงๆโดยไม่มีท่าทีขัดเขินแม้แต่น้อย!
“นั่นผู้ชายหรือเปล่า?” ดนัยถาม
“เออ.. ถามแปลกๆ ไอ้อาทิตย์มันก็ต้องเป็นผู้ชายสิ” ดนัยพูดจบ ก็ชี้มือไปยังผู้หญิงคนข้างๆในชุดทักซิโด้สีขาวที่ยืนนิ่งอย่างสง่าเหมือนผู้ชายทุกกระเบียดนิ้ว
“แล้วนั่นผู้หญิงหรือเปล่า?”
“ก็ผู้หญิงน่ะสิ!” ผมแปลกใจ ดนัยมันถามอะไรแปลกๆที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
“ก็แล้วมันแปลกตรงไหน? ก็นั่นผู้หญิงกับผู้ชายแต่งงานกัน บวกลบคูณหารกูดูยังไงก็ไม่เห็นขัดกฎธรรมชาตินี่!” เขายักไหล่ ผมเริ่มจะเข้าใจในเหตุการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“กฎหมายประเทศไทยมันให้ชายแต่งชาย หญิงแต่งหญิงได้ซะเมื่อไหร่! นี่กูว่ายังดีนะที่คู่นี้มันรักกันแบบนี้ ถึงมันอาจจะดูขัดลูกตาคนส่วนใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่หว่า!”
“ไอ้อาทิตย์น่ะมันอยากเป็นผู้หญิงมาตั้งนานแล้วตั้งแต่สมัยก่อน ม.ปลายอีก มึงไม่สังเกตเรอะว่ามีคนมาชอบมันเยอะจะตาย แต่มันไม่ยักกับเล่นกะใครซักคน?” ดนัยยังคงพูดต่อ ตอนนี้ผมรู้สึกทึ่งที่เห็นดนัยมันพูดเรื่องมีสาระได้แบบชาวบ้านเขาได้มากกว่าอีก!
“ส่วนยัยนิตนั่นน่ะ อยากเป็นผู้ชายใจจะขาด... มันมารักกันได้โดยเห็นอีกคนเป็นเพศตรงข้ามตัวเอง ถึงจะสลับตำแหน่งกัน แต่ก็ยังลงตัวพอดี!” กล่าวจบ ดนัยก็ตบหัวผมหนึ่งที แล้วเดินหายวับไปในแขกร่วมงาน.....ก่อนที่เท้าของผมจะเตะสวนกลับไปทัน!!

ผมยืนนิ่งดูภาพบนเวทีโดยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิดไปคิดมาก็จริงของดนัยมันพูด ถึงจะดูว่างานแต่งงานคราวนี้มันแปลกแหวกแนวออกไปบ้าง แต่เนื้อแท้จริงๆแล้ว..! มันก็คืองานแต่งงานของชายหญิงหนึ่งคู่ที่รักกัน ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีความรู้สึกที่เบี่ยงเบนไปจากเพศของตนก็ตามที แต่อย่างน้อย!! มันก็ยังดีที่สามารถตามหาคนที่สามารถรัก และเข้าใจในตัวตนของเรามาทดแทนในสิ่งที่ตนเองไม่มีได้..... แถมงานนี้ ทั้งสองคนยังสามารถมีลูกหลานสืบสกุลต่อไปได้อีกต่างหาก ดีกว่าหญิงแต่งหญิง ชายแต่งชาย หรือการไปผ่าตัดแปลงเพศเยอะ!
ผมเริ่มรู้สึกรื่นรมย์ไปกับงานรื่นเริงที่สนุกสนาน.. แต่แล้วผมก็ต้องยืนนิ่ง คิดทบทวนหัวแทบแตกเมื่ออยู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้!
ก็แล้ว.... หากลูกของทั้งคู่นี้เกิดขึ้นมา เด็กคนนั้นจะเรียกใครว่าแม่ดีล่ะเนี่ย.....??!!!



/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2550    
Last Update : 22 มิถุนายน 2550 16:09:35 น.
Counter : 511 Pageviews.  

เวโรนิก้า นักเจรจาแห่งไฮเฮมตั้น

เวโรนิก้า นักเจรจาแห่งไฮเฮมตั้น

แกะนิทรา

__________________________________________
มนษย์เกลียดชังสงคราม แต่มนุษย์กลับยังคงชื่นชอบการทำสงคราม หลักฐานยืนยันเรื่องนั้นดูได้จากในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีหน้าไหนบ้างกันเล่าที่มิได้ถูกขีดเขียนขึ้นด้วยเลือด และน้ำตาของมนุษย์…



เวโรนิก้า ยืนหลับตานิ่งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของกองทหารสองฝ่าย เบื้องหน้าของเธอคือ กองทหารในชุดสีดำสนิทแห่งขุนเขาทางทิศเหนือ ส่วนด้านหลังของเธอมีกองทหารในชุดเกราะสีขาวแห่งทุ่งหญ้าทางทิศใต้ ทหารทั้งสองฝ่ายกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาด้วยกองกำลังที่กล่าวได้ว่าเท่าเทียมกัน

ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกปลดปล่อยออกจากริมฝีปากของเธอ ในขณะที่สายตาของเธอนั้นกำลังกวาดดูกองพลของทั้งสองฝ่ายที่ยังคงสงบนิ่ง ความทรงจำของเธอ ณ ตอนนี้กำลังเริ่มลำลึกไปถึงสาเหตุจำป็นอันต้องทำให้เธอมายืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของสมรภูมิเช่นนี้....



นานมาแล้ว.. มีเรื่องเล่ากันมาปากต่อปากในหมู่บ้านไฮเฮมตั้น ประเทศฝรั่งเศสที่เธออาศัยอยู่ เรื่องกล่าวถึงเก้าอี้ม้าโยกไม้เก่าๆ ที่มักจะปรากฏขึ้นอย่างลึกลับในคืนพระจันทร์เต็มดวง ส่วนมันจะโผล่มาที่ใดในหมู่บ้านนั้น ก็สุดแล้วแต่จะสามารถคาดเดาได้ แต่...หากใครได้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นแล้วหลับตาด้วยจิตอธิฐานอันแรงกล้า พร้อมๆกับโยกมันไปมาครบหนึ่งร้อยครั้ง เมื่อคนๆนั้นลืมตาขึ้น สิ่งที่เขาคาดหวังไว้นั้นจะเป็นจริงขึ้นมา

คืนหนึ่งในวันพระจันทร์เต็มดวง สงครามล้างผลาญโลกครั้งที่สองได้อุบัติขึ้น เครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันเข้าทิ้งรุกทำลายบ้านเรือนในฝรั่งเศสเต็มอัตรา ในที่สุดการรบก็แผ่กว้างจนกลืนหมู่บ้านของเธอไปด้วย และในขณะที่เธอกำลังวิ่งหลบลูกระเบิดราวห่าฝนที่ตกลงมานั้น เธอก็ได้พบกับเก้าอี้โยกตัวนั้นตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางลานโล่งเบื้องหน้ากองไฟที่กำลังลุกไหม้จากบ้านของเธอนั่นเอง ...

พอเธอลืมตาขึ้นบนเก้าอี้หลังจากการอธิฐานเป็นครั้งแรกนั้น เธอกลับพบว่ารอบๆตัวที่ควรจะมีเพียงเปลวเพลิง หรือซากบ้านเรือนที่พังทลายด้วยแรงระเบิด กลับถูกครอบคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เขียวสดดูสบายตา เธอไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้เลย อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ป่า ณ จุดใดจุดหนึ่งใกล้ๆหมู่บ้านขอเธออย่างแน่นอน

เธอมาแน่ใจว่าสถานที่ๆเธอกำลังอยู่นั้นไม่ใช่โลกที่เธอรู้จัก ก็เมื่อได้เห็นลูกม้ายูนิคอร์นที่ควรมีอยู่แต่เพียงในตำนานในป่าเต็มตาเป็นครั้งแรก มันหลงทางมาตัวเดียว และมันก็ติดเธอแจ ไปๆมาๆมันก็ติดตามเธอไปทุกหนแห่งในดินแดนนั้น อีกทั้งมันยังกลายเป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ในยามเผชิญอันตรายต่างๆมากมายที่คืบคลานเข้ามา ไม่ว่าจะจากโดนมังกรสีดำใจร้ายไล่กวด,พ่อมดผู้อยากได้เลือดของยูนิคอร์นไปผสมยาชีพอมตะ หรือแม้กระทั่งงูทรายหินทองที่แฝงกายอยู่ในทะเลทรายสีเหลืองทองเพื่อเล่นงานคนเดินทาง ถึงอย่างนั้นเธอก็สามารถรอดมาได้ทุกครั้งด้วยความสามารถแปลกประหลาดที่สามารถคุยกับสัตว์ได้ที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก บวกกับความช่างเจรจาของเธอที่ ทำให้อีกฝ่ายต้องคล้อยตามพูดของเธอ

ในช่วงท้ายของการเดินทางเธอได้พบกับวู้ดเอลฟ์ เผ่าพันธุ์เอลฟ์ผิวสีเขียวอ่อนที่คอยพิทักษ์ป่ามาช้านาน พวกเขาเล่าให้ฟังอย่างเศร้าสร้อยว่าดินแดนแห่งนี้กำลังจะเกิดสงคราม เนื่องจากราชาแห่งอาณาจักรสีขาวพึ่งสิ้นพระชนไปโดยไร้รัชทายาท อาณาจักรสีดำจึงหมายใช้โอกาสนี้ในการบุกยึดอำนาจในดินแดนนี้

เธอรับฟังเรื่องนั้นด้วยความวิตกราวกับเป็นเรื่องของเธอเอง ตลอดระยะเวลาที่เธอได้เดินทางไปทั่วแผ่นดินนี้ เธอพึ่งรู้ตัวว่าได้หลงรักกลิ่นอาย และวัฒนธรรมของที่นี่ไปเสียแล้ว เธอไม่มีทางยอมให้สงครามอันโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับเธอในโลกโน้น กลับมาเกิดกับคนในโลกนี้ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อเธอตัดสินใจได้ว่าจะทำการเพื่อหยุดยั้งสงครามในครั้งนี้พวกวู้ดเอลฟ์ก็คัดค้านเนื่องจากกลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย แต่เมื่อเธอเน้นย้ำความตั้งใจหนักๆเข้า พวกเขาจึงยอมปล่อยให้เธอไป พร้อมกับมอบสร้อยคอให้เส้นหนึ่ง...



เธอเผยเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง... บนท้องฟ้าเหนือกองทัพทั้งสองฝ่ายปรากฏเงาร่างของฝูงสัตว์ในตำนานทั้งมังกร และกริฟฟอน พวกมันต่างจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งดุจอาฆาตกันมานนานแรมปี และในวินาทีที่แตรสัญญานเริ่มสงครามถูกเป่านั่นเอง ฝูงสัตว์บนฟากฟ้าทั้งสองก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายประดุจทัพหน้าก้วยความดุดัน

“นี่คือสงครามที่มนุษย์ก่อขึ้น.... พวกเจ้าใยต้องเข้าร่วมรบให้เสียเลือดเนื้อไปกันเล่า!?” คำถามของเธอทำให้สัตว์ผู้ครองฟากฟ้าทั้งสองฝ่ายชะงัก ก่อนพากันหันมามองที่เธอ แล้วกล่าวในสิ่งที่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจว่า

“เจ้าพูดภาษาของพวกเราได้!?” เวโรนิก้าพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันหน้าไปยังกองทัพทั้งสองที่กำลังมีเสียงซุบซิบด้วยความตื่นตะลึงในความสามารถของเธอ การหยุดสัตว์ร้ายของสองฝ่ายได้นั้นมันทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆเช่นเธอดูเด่นขึ้นมาในทันทีในสนามรบเช่นนี้ ทุกคนหันไปมองที่เธอ และนี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่เธอจะได้ทำหน้าที่ให้ลุล่วง

เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องของโลกที่เธอจากมาด้วยเสียงอันเศร้าสร้อย เธอเล่าหมดทุกเรื่อง ทั้งเรื่องของเครื่องบินที่ทิ้งลูกระเบิดลงมาจากบนฟ้าในตอนกลางคืน,ทหารที่สามารถฆ่าคนได้เพียงแค่กระดิกนิ้วชี้ หรือแม้แต่เรื่องของอาณาจักรผู้ทรงอำนาจที่สามารถสังหารคนจำนวนมากได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว...

เธอเล่าถึงภาพของซากศพขาวซีดกองทับถมกันสูงท่วมเทียมภูเขา,ระเบิด,ความอดอยาก ภาพเด็กผู้หญิงเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งที่หวีดร้องอยู่ข้างกองเศษหินอิฐที่ทับถมร่างของผู้เป็นแม่ เรื่องพวกนั้นถูกเธอร้อยเรียงเป็นจินตนาการผ่านคำพูดของเธอ

เมื่อเธอเล่าจบ เสียงเซ็งแซ่วิจารย์อื้ออึงจากทั้งสองฝ่ายก็เงียบไป... ทหารบางคนตัวสั่นเทาด้วยการจินตนาการภาพที่เธอเล่า บางคนทิ้งดาบกับโล่ห์ลงบนพื้น บางคนถึงกับใช้มือกุมขมับทำหน้าราวกับจะร้องไห้..

“น้ำตาไม่สามารถลล้างคราบน้ำตาได้ เช่นเดียวกับเลือด ที่ไม่สามารถใช้ขัดล้างคราบน้ำตาได้เช่นกัน..”

สร้อยคอที่วู้ดเอลฟ์ให้เธอมานั้นมันทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ขนาดตัวเธอเองก็พึ่งรู้ว่ามันมีอำนาจมนตราผนึกไว้ให้สามารถขยายเสียงเธอดังพอจะกลบเสียงวุ่นวายของสนามรบได้ หากเธอยังคงกล่าวเรื่องที่ชวนให้คล้อยตามเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานทหารของทั้งสองฝ่ายจะต้องรามือกันเฉกเช่นเดียวกับกองทัพสัตว์บนอากาศที่บัดนี้พากันถอยร่นกลับถิ่นฐานของตนไปหมดสิ้นแล้ว

บรรยากาศที่เต็มไปด้วยจิตสังหารถูกลบล้างลงไปด้วยเพียงคำกล่าวของหญิงสาว ยูนิคอร์นน้อยเองก็ร้องเบาๆด้วยความดีใจเมื่อเห็นสถาณการณ์ดีขึ้น และในขณะที่เธอกำลังจะยิ้มรับกับการยุติสงครามอันไร้สาระนั้นเอง ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งปักเข้าใส่จนร่างของเธออย่างจัง...!!

ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพริบตานั้น ไม่มีใครรู้ว่าลูกธนูนั้นพุ่งมาจากที่ไหน แต่มันก็เป็นเหตุผลที่พอจะทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันและกัน ว่าเป็นผู้ลงมือกระทำการอำมหิตในครั้งนี้ ยิ่งเลือดของเธอทะลักออกมาจากบาดแผลมากเท่าใด มันก็ยิ่งเร่งเร้าให้ทั้งสองฝ่ายต่างโกรธแค้นกันจนแทบคลั่ง ในที่สุดความบาดหมางในเรื่องของเธอกลับทำให้สงครามอุบัติขึ้นอีกครั้ง

เธอมองดูภาพสงครามนั้นด้วยความอ่อนแรง ปากของเธอกำลังซีดพร้อมสั่นเทาด้วยอาการขาดเลือด ยูนิคอร์นน้อยทำหน้าตื่นวิ่งวนไปมาอยู่ข้างกายเธอโดยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เธอยิ้มให้มันนิดหนึ่ง ก่อนจะรวบแรงที่เหลือทั้งหมดกล่าวขึ้นเป็นประโยคสุดท้ายทั้งๆที่ดวงตาเริ่มพร่ามัว เสียงของเธอในวินาทีนั้นเบายิ่งกว่าเสียงลมหายใจ แต่ดัวยอำนาจของสร้อยคอ เสียงของเธอนั้นจึงกลับดังพอดึงความสนใจของทหารทั้งมวลให้กลับมาที่เธอได้อีกครั้ง

“พวกท่านทั้งหลายยังมีคนที่รักรอคอยอยู่ที่บ้านไม่คุ้มหรอกที่ท่านจะมาถูกพรากชีวิตในที่นี้เพราะโกรธเคืองแทนข้า... ข้าขอภาวนาเถิด ให้ผืนดินที่ร่ำร้องหาคาวเลือดนี้ ได้สูบเลือดจากข้าเพียงลำพังคงเพียงพอแล้ว หากไม่เช่นนั้น ดินแดนนี้อาจเต็มไปด้วยภูเขาซากศพดั่งเนดินแดนของข้าอีกครา.. ข้าไม่อยากเห็นภาพเช่นนั้นอีกแล้ว!?.

สิ้นคำทหารทั้งหมดก็หยุดรบ.....!! ทุกคนหันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังประมือด้วยสายตาแสดงความเห็นใจ ถูกอย่างที่เธอกล่าวทุกประการว่า จะมีใครบ้างที่อยากรบประหัตประหารชีวิตคนอื่นกันเล่า..

สายตาจากทุกมุมของสนามรบหันไปมองร่างของหญิงสาวที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นดิน หน้าของเธอซีดขาวปากสั่นเทา ความตายกำลังเข้ามาประชิดเธอทุกขณะ แต่... แววตาของเธอยังคงแสดงความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่ตนเองตั้งใจไว้แล้ว

นักรบคนหนึ่งปลดดาบเสียบลงกับพื้นดินพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่งเป็นการให้เกรียติเธอ พอคนอื่นๆเห็นเช่นนั้นก็ต่างพากันทำตาม.... วินาทีนี้หากใครได้มองภาพเหตุการณ์นี้จากบนท้องฟ้าแล้ว เขาจะได้เห็นว่าทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังล้อมกันเป็นวงกลมซ้อนๆกันเป็นสีขาวสลับดำ โดยเว้นที่ว่างตรงกลางไว้ให้ร่างๆหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้น...

“มีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยท่านได้ไหม!?” ทหารคนหนึ่งเอ่ยถาม เธอพยายามฝืนยิ้มตอบให้เขาก่อนกล่าวตอบเบาๆว่า

“ข้ารู้สึกเหนื่ยอเหลือเกิน ข้าขอพักผ่อนซักครู่เถิด.....ในเวลาเหนื่อยๆแบบนี้ ถ้าได้เอนหลังนอนบนเก้าอี้โยกคงจะดีไม่น้อย ข้าขอแค่เก้าอี้โยกตัวเก่าๆที่ตั้งอยู่ลานกว้างหน้าบ้านของข้าก็พอแล้ว”

สิ้นคำ..!! ลมหายใจของเธอก็หาดห้วง เธอพพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมๆกับภาพบ้านเกิดในช่วงเวลาอันสุขสงบของเธอได้ผ่านวูบเข้ามาในความทรงจำ ภาพแสงแดดในฤดูร้อนใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินช่างดูอบอุ่น มันช่างสวยงามจนน้ำตาใสๆของเธอไหลออกมา



สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านไปแล้ว... แรงลมนั้นช่วยพัดหอบเอาไฟสงครามไปจากดินแดนแห่งนี้ พร้อมกับพัดพาเอาห้วงคำนึงทั้งปวงไปจากร่างของหญิงสาว ผู้กำลังนอนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางสมรภูมิ...



**********************************************************************************




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:16:02 น.
Counter : 419 Pageviews.  

คำสารภาพบาปของคนใกล้ตาย

คำสารภาพบาปของคนใกล้ตาย


----------------------------------------------------------

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งเปลือยเปล่ากายท่อนบนอยู่บนขอบดาดฟ้าของตึกสูงใจกลางเมืองกรุง... ลมเย็นยามราตรีไหลเวียนมาปะทะเข้ากับร่างกายของเขาหนแล้ว หนเล่า ราวกับละลอกคลื่น เสียงลมที่พัดมานั้นดังอื้ออึงด้วยความแรงของมัน ....ยิ่งเวลาล่วงเลยนานเข้าไปเพียงใด มันยิ่งกลับช่วยให้โสตประสาทของเขานั้นด้านชา ถึงสายลมจะพัดแรง และหนาวเหฯบซักเพียงไหน ณ ตอนนี้เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันทั้งสิ้น เพราะสติของเขากำลังจดจ่ออยู่กับความคิดเดิมๆ ที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในสมอง ราวกับเครื่องเล่นเทปที่เร่งความเร็วกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น....



ผมที่ยาว และหยาบกร้านเนื่องจากไร้การดูแลบำรุงรักษาของเจ้าของ ถูกแรงลมกระชากให้มันปลิวพลิ้วไหวไปมาเหมือนกับรากฝอยของต้นไม้ที่มีชีวิต เส้นผมที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นแตกกระจายลู่ตามลมจนมันกระแทกใส่ใบหน้า พร้อมทิ่มแทงใส่ดวงตาของชายหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า......... ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงนั่งนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สากับมัน

เพราะตอนนี้... ทั้งดวงตา และจิตสัมผัสทั้งมวลของเขานั้น กำลังดำดิ่งลงไปใต้จิตสำนึกหวนรำลึกกลับเข้าไปสู่อดีตที่ห่างไกลอย่างช้าๆ....



ความทรงจำ และประสบการณ์ต่างๆ ค่อยๆถูกดึงกลับออกมาจากเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของเขา และในที่สุดความทรงจำพวกที่กำลังถูกขุดคุ้ยออกมานั้น ก็ไปหยุดอยู่ในเศษเสี้ยวหนึ่งยังอดีตของเขา

เขากำลังนั่งอยู่บันไดหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีเพียงชั้นเดียว และกำลังถูกบรรดาสุนัขสามสี่ตัวที่เลี้ยงไว้เข้ามาห้อมล้อมทั้งหน้าและหลัง พวกมันพยายามแย่งกันกระโดดเข้าเลียตามใบหน้าของเขา พร้อมกับกระดิกหางไปมาอย่างดีใจ ซึ่งมันทำให้เขาหัวเราะ... และพยายามปัดป้องร่างที่เปื้อนดินของของพวกมันอย่างสุดกำลัง

ห่างออกไปเล็กน้อย คือ ภาพของน้องสาวของเขาที่กำลังนั่งคร่ำเคร่งอยู่กับกองตำราเรียน และการบ้านที่วางอยู่บนโต๊ะหินขัดข้างบ้านอย่างเงียบๆ นานๆครั้ง เขามักได้ยินเสียงของเธอที่บ่นว่าใส่สุนัขบางตัวที่พยายามเข้าไปชวนเธอเล่นด้วยอย่างไม่รู้กาลเทศะ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกขำทุกครั้งที่เธอบ่นว่าพวกมันว่าเตือนไม่จำ ก็มันเป็นเพียงแค่สุนัขมันจะไปเข้าใจภาษาคนทุกคำได้อย่างไร.... เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขายิ้มขำท่าทางของน้องสาว

....แล้วอยู่ๆเขาก็รู้สึกว่าประตูไม้หน้าบ้านที่อยู่เบื้องหลังถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง พร้อมๆกับเสียงย่ำเท้าหนักๆด้วยโทสะที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ฉับพลัน..! เขาก็กระเด็นออกจากจุดที่นั่งอยู่ลงไปนอนคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นดิน!!........... สุนัขที่ห้อมล้อมกายของเขาตอนนี้ต่างพากันส่งเสียงร้องวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวจากเจ้าของแรงกระแทกนั้นด้วยความตกใจ พวกมันส่งสายตาเศร้าๆพร้อมครางอย่างร้อนรนมาที่ร่างของชายหนุ่ม ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาช่วยเขา

“โอ๊ย..!!” ชายหนุ่มรู้สึกเสียดที่หลัง.... จนเขาต้องร้องออกมา พร้อมกับใช้ฝ่ามือทาบทับจุดที่โดนแรงกระแทกนั้นไว้ด้วยความเจ็บปวด

“นี่มันผลการเรียน หรือผลการเป็นโจร!?....... ชั้นจำได้ว่าไม่เคยเลี้ยงลูกมาให้โง่พอให้เรียนได้คะแนนต่ำขนาดนี้” เสียงหนึ่งเสียงของชายวัยกลางคนคำรามก้องมาจากด้านหลัง ท่าทางเจ้าของเสียงนั้นคงเดือดดานเต็มทน....... ชายหนุ่มพยายามหันกลับไปอย่างช้าๆ ทั้งๆที่เขายังไม่หายเจ็บดี เพื่อเผชิญหน้ากับคนที่เขาเรียกว่า “พ่อ”

“ถ้าเรียนแล้วทำได้แค่นี้ ไม่เรียนยังจะดีเสียกว่า.........แกมันเลี้ยงเสียข้างสุก ขายควายส่งควายเรียนชัดๆ!” ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบข้าราชการครูยังคงกล่าวต่อไปด้วยท่าทางดุดัน ในมือของพ่อของเขามีใบแจ้งผลการเรียนที่ถูกขยี้จนยับเยินยู่ยี่...... ชายหนุ่มมองภาพของพ่อตนเองด้วยสีหน้าหวาดๆ พร้อมกับค่อยๆยันกายลุกขึ้นยืนเหมือนกลัวว่าพ่อของตนเองจะกระโจนเข้าใส่ในนาทีใดนาทีหนึ่ง

“เกรดแค่นี้ จบ ม.หกไปแล้วจะไปต่อที่ไหนได้!?....”

“อ้อ.! หรือว่าที่แกทำตัวชุ่ยๆไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ เพราะคิดจะไม่เรียนต่อ.. แต่คิดจะไปเป็นโจรจริงๆหรือยังไง”

ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าจะตอบผู้เป็นพ่อว่าอย่างไรดี.....!!

“ดูตัวอย่างน้องสาวแกมั่ง... โน้นเกรดเขาดีทุกเทอม อนาคตไม่เป็นหมอ ก็ต้องเป็นทนาย... แค่น้องสาวตัวเอง แกยังสู้ไม่ได้ แล้วชาตินี้แกจะไปทำอะไรกิน!?” พ่อกล่าวพร้อมกับเอาก้อนกระดาษที่อดีตเคยเป็นใบแจ้งผลการเรียนเขวี้ยงใส่หน้าเขาเต็มแรง........... ถึงเขาจะเจ็บจากแรงกระแทกของกระดาษนั้น และบวกความเจ็บปวดจากแรงเท้าของผู้เป็นพ่อที่หลัง ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เจ็บเท่ากับสิ่งที่พ่อกำลังทำร้ายจิตใจของเขาอยู่ในตอนนี้ ..... ชายหนุ่มมองผู้เป็นพ่อของตนเองด้วยแววตาปวดร้าว

“ไหน..! แกช่วยใช้สมองเน่าๆของแกบอกชั้นหน่อยสิว่าแกจะไปทำอะไรกิน..หา!?” พ่อของเขายังคงกระชากเสียงใส่หน้าอย่างไร้ความปรานี ...ใจจริงชายหนุ่มที่กำลังกำหมัดแน่นจนสั่นริกๆด้วยอารมณ์ตอนนี้อยากจะต่อยโครมเข้าที่ใบหน้าของผู้เป็นพ่อซักหมัด

แต่.............. เมื่อเขามองไปทางน้องสาวที่กำลังเริ่มใช้มือฝ่ามือปิดใบหน้าที่ซ่อนคราบน้ำตา และเสียงสะอึกสะอื้นในลำคอต่อเหตุการณ์ตรงหน้าตนเองแล้ว มันก็ทำให้เขาต้องคลายหมัดลง อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อยากให้น้องสาวเพียงคนเดียวต้องรู้สึกทุกข์ใจไปมากกว่านี้

“ผมอยากเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะ... ครูบอกว่าผมมีหัวในด้านนี้” เขาตอบเรียบๆ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่พร้อมจะล้นเอ่อออกมาได้ทุกเมื่อ

“ศิลปะ!?” พ่อของเขาอุทานออกมา คล้ายได้ยินอะไรซักอย่างที่แสลงหู......

“ครูบอกว่าให้ผมเรียนต่อในสาขาอะไรก็ได้ที่ผมอยากจะเรียน มันช่วยให้ผมสามารถเรียนได้ดีขึ้น........ ถ้าหากผมชอบ เอ่อ.! อย่างวิชาศิลปะ” ชายหนุ่มชอบวิชาศิลปะ เพราะมันทำให้เขาสามารถสื่อความคิดในหัวออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าคำพูดมากนัก

“ศิลปะ...... ไอ้พวกที่จบออกมาแล้วแต่งตัวเหมือนชาวป่าชาวเขา ไว้ผมยาวรุงรังเหมือนพวกสติไม่ดีนั่นน่ะรึ.....” ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างรุนแรง เขาพยายามจะเอ่ยปากพูดสนับสนุนสิ่งที่เขาพูดออกไป แต่กลับถูกผู้เป็นพ่อพูดดักขึ้นมาก่อน

“พอเลย... แกไม่ต้องแม้แต่ที่จะคิด ชั้นเป็นคนออกเงินให้แกเรียน เพราะอย่างนั้นแกต้องเรียนตามที่ชั้นต้องการเท่านั้น ..... ถ้าไม่พอใจเราก็ตัดพอตัดลูกกัน!!” พ่อกล่าวพร้อมใช้นิ้วชี้ ชี้หน้าเขาจนนิ้วจี้ชิดหน้าผาก เมื่อเสียดสีจนสาใจแล้วเสร็จพ่อก็ยืนหอบหายใจแรงอยู่ครู่หนึ่งด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการตะคอกด่า เห็นว่าชายหนุ่มไม่กล่าวอะไร..... พ่อก็เดินกระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์กลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มยืนก้มหน้านิ่ง...... ตอนนี้น้ำอุ่นๆที่เอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตามันเขามากระจุกอยู่ที่ริมหางตามากพอที่จะรวมตัวกันไหลอาบลงไปบนแก้มของเขาได้ทุกเมื่อ.... สุนัขที่เขาเลี้ยงไว้ เมื่อเห็นว่าลมพายุที่เรียกว่าพ่อพัดผ่านไปแล้ว พวกมันก็ค่อยก้าวออกมาจากที่หลบซ่อนต่างๆเขามาคลอเคลียส่งสายเศร้าๆให้เขาเป็นเชิงปลอบใจ............ ยิ่งเขามองสายตาของพวกมันแล้ว นาทีนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากปลดบ่อยอารมณ์ที่อัดอั้นไว้ข้างในออกมาเหลือเกิน

“พี่คะ...” น้องร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวร้องถามเขาอย่าเป็นห่วงดังมาจากม้าหินขัดอีกด้านหนึ่งดึงความรู้สึกของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มมองตามไปยังน้องสาวที่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวท่าทีของพ่อที่มีต่อพี่ชายของตนอย่างหวาดกลัว... มันทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่าเขาไม่สมควรแสดงความอ่อนแอออกมาให้น้องสาวได้เห็น มันจะทำให้เธอพลอยกังวลใจไปด้วยเสียเปล่าๆ

เขายกแขนเสื้อที่มอมแมมด้วยคราบดินขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา แล้วหันไปยิ้มกว้างๆให้กับน้องสาว เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต......

เขาเกลียดพ่อที่ชอบเอาลูกสองคนมาเปรียบเทียบกัน พวกเขาทั้งสองเก่งกันคนละแบบ มันไม่ใช่ความผิดของเขาที่พ่อชอบในสิ่งที่น้องเก่ง แต่...! เกลียดในสิ่งที่เขาเก่ง....... ทำไมโลกนี้ความยุติธรรมมันจึงมีเหลืออยู่น้อยนัก.......

“ไม่มีอะไรหรอก..... ไม่มีอะไรต้องกลัว” เขาพร่ำประโยคนั้นกับน้องสาวซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกับตุ๊กตาไขลานที่มีฟันเฟืองตัวใดตัวหนึ่งชำรุดไป



หลังจากวันนั้นกว่า 4 ปีที่เขาจากบ้านเกิดเข้ามาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองกรุง กว่า 4 ปีที่มากลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่าเมื่อถึงวันนี้...... และมันเป็น 4 ปี ที่ปวดร้าวจากการคาดหวังจากของคนที่เขาพร่ำเรียกเสมอๆเมื่อเจอหน้าว่า “พ่อ”



“เพล้ง....!!.” ขวดสุราที่ยังเหลือกว่าค่อนขวดในมือของเขาถูกเหวี่ยงใส่เสาตนหนึ่งบนดาดฟ้าอย่างจัง มันแหลกกระจายกลายเป็นเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยอารมณ์ของชายหนุ่ม เมื่อขวดแก้วที่ใช้บรรจุมันแตกสลายไป กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆบาดจมูกกระจายคลุ้งไปตามแรงลมทันที

เขาหวังให้ฤทธิ์ของน้ำสีอำพันในมือช่วยลบลืมความทุกข์ในหัวพวกนั้น เขาดื่มมันอึกแล้วอึกเล่าตั้งแต่เมื่อตอนเย็น แทนที่มันจะช่วยให้เขาลืมความทุกข์ไปได้จริงๆตามคาด มันยิ่งกลับช่วยตอกย้ำให้เสียงเยาะเย้ยในหัวของเขาให้ดังขึ้นมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก....... ชายหนุ่มสะบัดหัวไปมา พยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้น

สายตาของชายหนุ่มตอนนี้จับจ้องลงไปยังพื้นคอนกรีตข้างถนนที่ห่างออกไปจากร่างของเขาหลายร้อยเมตร เขามองดูฝูงชนที่พากันเดินสวนกันไปมาจากความสูงที่เห็นคนพวกนั้นกลายเป็นเพียงจุดสีดำ........ อยู่ๆเขาก็รู้สึกขำจนต้องหัวเราะออกมา เขารู้สึกตลกฝูงชนที่อยู่เบื้องล่างนั้น เขาไม่เข้าใจเลยซักนิดเลยว่าความคิดความต้องการของคนที่อยู่เบื้องล่างตอนนี้กำลังเป็นเช่นไรกัน? พวกเขากำลังต้องการอะไร? หวังสิ่งใด? และสุดท้ายจะมีใครกำลังกลุ้มใจในสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่นี้บ้างหรือเปล่า จะมีซักกี่คนกันที่กำลังเดินคอตกพร้อมกับคิดเรื่องหนักหัวเรื่องเดียวกับเขาบ้าง?.......

ชายหนุ่มคิดไปพลาง หัวเราะเหมือนคนเสียจริตไปพลางอยู่บนดาดฟ้าของตึกนั้น......

แต่เรื่องพวกนั้นมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาก็ได้เวลาอำลาโลกอันแสนวุ่นวายแห่งนี้แล้ว.... ชายหนุ่มสะบัดต้นคออีกครั้ง เขาจะมามัวคิดเรื่องพวกนี้อยู่ทำไมให้ปวดหัว!!

เขาพยายามขยับแขนขาที่ด้านชาด้วยความหนาวเย็นของลมกลางคืน มันเป็นการช่วยกระตุ้นประสาทของตัวเขา ที่ตอนนี้เขาเริ่มยืนเอียงเพราะฤทธิ์สุราอีกทางหนึ่ง...... เขาพยายามยืนให้ตัวตรงมากที่สุด ก่อนที่จะออกเดินไปทีละก้าวอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยังขอบของดาดฟ้าตึกอันไร้รั้วกั้นสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น..

ชายหนุ่มหลับตาลงพร้อมกับเหยีอดแขนทั้งสองข้างออกจนสุดหล้า เขากลั้นใจ และกำลังจะทิ้งตัวเองลงไปยังพื้นเบื้องล่างด้วยอารมณ์มากมายที่ประดังเสริมเติมแต่งความตั้งใจแน่วแน่ยิ่งขึ้น... ตอนนี้ภาพชีวิตในอดีตที่ผ่านมาตลอด 22 ปีของเขา กำลังฉายผ่านเข้ามาในหัวอย่างช้าๆ ภาพแล้ว ภาพเล่า............

“ชีวิตแสนสั้น... ใยต้องคิดสั้นตัดชีวิต” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆหูของชายหนุ่ม มันทำให้เขาสะดุ้ง!! จนหลุดพ้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิดทันที

“ใคร!?” ชายหนุ่มมองลงไปที่พื้นอากาศที่ดำมืดล่าง แล้วพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่า อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะได้อำลาจากโลกแห่งนี้ไปแล้ว.......... เขาชะงักเท้าไว้ แล้วหมุนตัวกลับมามองหาที่มาของเสียง

“นายอยากเป็นส่วนหนึ่งของรัตติกาลเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ..!?” เสียงนั้นยังคงร้องดังต่อไปแต่แฝงด้วยน้ำเสียงอันเย้ยหยัน.... ชายหนุ่มหันมองทั้งด้านหน้า และด้านหลังของตนเองเพื่อตามหาเจ้าของเสียง แต่ปรากฏว่าเจ้าของๆเสียงนั้น ตอนนี้กำลังนั่งทอดน่องอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆเขานี่เอง.....



หญิงสาวผมยาวสลวยถึงกลางหลังคนหนึ่งนั่งอยู่บนขอบตึกสูงโดยไร้ท่าทางของความเกรงกลัว เธอสวมชุดนอนแขนขายาวสีฟ้าลายทางตัวใหญ่เหมือนของผู้ชาย..... ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอถูกบดบังไว้ด้วยเส้นผมที่ยาวนั้น มันเกะกะเสียจนทำให้เขาสามารถเห็นเพียงโครงหน้าของหญิงสาวได้เพียงลางๆจากไฟที่สะท้อนกลับมาจากตึกตรงข้ามเพียงเท่านั้น....

หากดูเพียงโครงหน้าแล้ว หญิงสาวคนนี้คงจัดได้ว่าเป็นคนสวยมากคนหนึ่งทีเดียว....!!

“เธอเป็นใคร?” แม้ชายหนุ่มจะยังสงสัยว่าหญิงสาวคนนี้มานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความสงสัยที่ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหนนั้นมันมีมากกว่า...

หญิงสาวหันมายิ้มให้ชายหนุ่มนิดหนึ่ง ลักยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นเป็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้มของเธอช่วยเสริมเสน่ห์ให้แก่หญิงสาวในสายตาของชายหนุ่มในขณะนี้...

แค่คนๆหนึ่งที่นอนไม่หลับ เลยขึ้นมาเดินเล่นรับลมน่ะ” เสียงใสๆของหญิงสาวตอบ

ชายหนุ่มเกาหัวแกรกๆ... ดึกดื่นค่อนคืนอย่างนี้ดันมีคนบ้าขึ้นมาบนดาดฟ้าตึกที่สูงลิบลิ่วเพื่อรับลม .....มิหนำซ้ำยังมาขัดจังหวะในเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เขาไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรดี หรือว่าจะโดดๆลงไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีไหม?

แต่ไม่ดีกว่า เรื่องที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย... มันจะกลายเป็นภาพติดตาที่ลบไม่ออกไปสำหรับหญิงสาวเสียเปล่าๆ...!!

“แล้วนายล่ะ..พักอยู่ที่นี่หรือ?” หญิงสาวถามโดยไม่ได้หันหน้ามา

“ อืม” ชายหนุ่มตอบรับเออออไปตามเรื่อง... ที่จริงเขาไม่ได้พักอยู่ที่ตึกแห่งนี้หรอก พอเขารู้สึกตัวจากความคิดสะเปะสะปะมากมายในหัวเขาก็ขึ้นมายืนอยู่บนนี้แล้ว..

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ท่าทางนายดูไม่ค่อยสบายใจนะ?” หญิงสาวยังคงรุกยิงคำถามต่อ เธอหันหน้ามาอย่างรวดเร็วจนแววตาของทั้งคู่นั้นได้ประสานกันอย่างไม่ทันให้เขาตั้งตัว

“นิดหน่อย” ชายหนุ่มตอบแล้วเบือนหน้าหนีทันที เขาไม่กล้าสบตากับแววตาคู่งามที่ส่อแววสงสัย อันทำให้ใจของเขาสั่นไหวคู่นั้นนานๆเป็นแน่..

เงียบกันไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มแอบภาวนาในใจให้หญิงสาวไปให้พ้นๆจากที่แห่งนี้เสียที เขาจะได้ดำเนินพิธีกรรมแห่งความตายของเขาต่อ.. แล้วเขาก็รู้สึกว่ามันได้ผลเกินคาด!! ซักครู่หญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินกลับไปยังเบื้องหลังของชายหนุ่ม..

แต่ปรากฏว่าหญิงสาวเพียงแค่เดินไปเก็บเศษแก้วที่แตกจากขวดสุราด้วยน้ำมือของชายหนุ่ม ที่กระจายอยู่บนพื้นเบื้องหลังเขาเท่านั้นเอง..!

ว้า....แย่จัง ใครกันเอาเศษแก้วมาทิ้งไว้กันนะ มันอันตรายนะนี่” เธอพูดพลางใช้กระดาษทิชชูเก็บเอาเศษแก้วใส่ถุงพลาสติกไปพลาง..

ชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นกุมขมับ...เพราะหญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยกลับไปอย่างง่ายๆแต่โดยดี ... .ตอนนี้ข้างหลังของเขามีผู้หญิงในชุดนอนกำลังก้มลงเก็บเศษแก้วไปพลาง ร้องเพลงไปพลางอย่างอารมณ์ดี..!!!

เขารู้สึกปวดหัวตุ้บๆ.. อาการนั้นมาจากทั้งเรื่องที่ชวนให้ช้ำใจจนเขาอยากที่จะจบชีวิตของตนเองลงเสีย ณ ตรงนี้ และมาจากหงุดหงิดกับอากัปกริยาของผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังเขา ผู้ไม่ยอมจากไปเสียที...

“เฮ้อ............!!” ชายหนุ่มถอนหายใจ แล้วทรุดลงนั่งลงที่ขอบตึกเช่นเดิม ตอนนี้เขาทำได้เพียงรอคอยเวลาให้หญิงสาวเบื่อและจากไปเท่านั้น........



เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ที่ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งอยู่ ณ จุดนั้น เขากำลังคิดฟุ้งซ่านไปไกลว่า ถึงขนาดที่ว่าหากเขาจบชีวิตลงที่นี้แล้วจะมีคนที่ร้องไห้เพื่อเขาไหม แม่จะเสียใจเพียงไร? พ่อจะเสียน้ำตาเพื่อเขาบ้างไหมหนอ? ......ถึงพวกเขาเหล่านั้นคงเสียใจ แต่นั่นก็คงยังดีกว่าที่ต้องทนกลับไปที่บ้านแล้วนำความผิดหวังติดตัวไปมอบให้แก่ท่านทั้งสอง.....

“นี่!” เสียงนี้ทำให้ชายหนุ่มผงะถอยไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ พอรู้สึกตัวหญิงสาวก็มานั่งอยู่ข้างๆเขาแล้ว

“ไม่หิวเหรอ..เอ้า...นี่!” หญิงสาวยื่นขนมปังกับน้ำอัดลมจากในถุงสะดวกซื้อมาให้

ชายหนุ่มยังคงมองหญิงสาวอย่างงงๆ หญิงสาวเลยชักมือที่ถือขนมปังและน้ำอักลมกลับ......

“ถ้าไม่เอา.....เรากินคนเดียวก็ได้” เธอพูดงอนๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเคี้ยวขนมปังด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย...

ณ ตอนนี้ในโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล และราตรีที่ยาวนานแห่งนี้ จะมีคู่หญิงชายซักกี่คู่ในโลกกันที่กำลังนั่งกินขนมปังบนยอดตึกเช่นที่นี่ตอนนี้..

อยู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกหิวขึ้นมา......!!



เขาพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้า นอกจากเหล้าขวดเดียวที่ถือติดมืออกมาด้วย เขาหันไปมองหญิงสาวที่ยังงอนอยู่ พร้อมๆกับเห็นขนมปังในถุงพลาสติกที่เปิดอ้าไว้ข้างๆเขาเหมือนกับเป็นการเชื้อเชิญ.................เขามองมันด้วยความหิวกระหาย แล้วเอื้อมมือไปยังขนมปังชิ้นหนึ่ง....

“โอ๊ย!!” หญิงสาวก็ไวไม่แพ้กัน เธอหยิกเข้าที่มือข้างที่พยายามจะหยิบขนมปังของชายหนุ่ม ................เขาร้องด้วยความตกใจมากกว่าความเจ็บ..

“ขอโทษก่อน!!” หญิงสาวตาเขียวใส่

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายมองขนมปัง แล้วมองดูหญิงสาวที่ท่าทางเอาจริงเอาจังขึ้นมา

“ขอโทษ” ชายหนุ่มพึมพำจนแทบไม่ได้ยิน

“อะไรนะ?....ไม่ได้ยิน!!” หญิงสาวแกล้งกวนประสาทเขา

“ขอโทษ” ชายหนุ่มตะเบ็งเสียง

“ครับ?” หญิงสาวแกล้งพูดเน้นคำลงท้ายประโยค

“ขอโทษ..........ครับ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ยกธงขาวที่แสดงถึงความพ่ายแพ้... มันเป็นความพ่ายแพ้อันมาจากขนมปังเพียงแค่ก้อนเดียว

“ดีมาก.........เอ้า!นี่รางวัล” หญิงสาวยิ้มอย่างมีชัย ก่อนที่จะหันไปหยิบขนมปังอีกชิ้นหนึ่งมาเพิ่มให้ชายหนุ่มเป็นสองชิ้น



ชายหนุ่มนั่งเคี้ยวขนมปังอยู่อย่างเงียบๆ โดยมีหญิงสาวที่แกล้งเดินไปมาแอบมองหน้าชายหนุ่มที่สะท้อนกับแสงไฟเป็นระยะๆ

อยู่ๆเขาก็คิดถึงบ้านขึ้นมา เขาคิดถึงแม่ คิดถึงอาหารที่แม่เคยทำให้กิน.... น้ำตาที่อุตส่าห์สะกดกั้นไว้ในเบ้าตามันก็เริ่มจะทะลักออกมาด้วยอารมณ์ที่พลุกพล่าน... ไม่นานนักหยาดน้ำตาใสๆก็ไหลลงมาจากนัยน์ตาข้างขวาเป็นทางยาวสะท้อนกับแสงไฟของตึกเป็นประกาย...

“นายร้องไห้อยู่หรือ?” ชายหนุ่มสะดุ้งรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา

“เปล่า”

“ยี้...คนโกหก เห็นอยู่ชัดๆว่าขี้แย” หญิงสาวล้อเขา

“ก็บอกว่า.....เปล่า!!” เสียงต่อล้อต่อเถียงของชายหนุ่มค่อยๆเบาลงๆ แล้วมันก็ถูกกลบด้วยเสียงสะอึกสะอื้นในลำคอของเขา ......แม้ว่าลูกผู้ชายที่ว่ากันว่าเสียน้ำตาได้ยากยิ่งเพียงใดแล้วนั้น หากถูกรุกเร้าด้วยการจี้ใจดำมากๆเข้า บางครั้งพวกเขาก็ไม่อาจที่จะทนฝืนความรู้สึกไว้ได้ ทุกคนต่างก็มีเวลาที่อ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น.... เขาชันเขาขึ้นแล้วซุกใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาแอบไว้หลังเข่าที่ชันขึ้นมานั้น...

“โอ๋.....ขอโทษ หยุดร้องเถอะผู้ชายตัวใหญ่ร้องไห้ดูไม่ดีเลยนะ” หญิงสาวหยุดล้อเลียนแล้วใช้มือตบหลังเขาเบาๆเป็นการปลอบใจ

“เราไม่รู้หรอกว่านายมีปัญหาอะไร แต่เรื่องบางเรื่องน่ะ... .ระบายมันออกมาบ้างก็ดีนะ...”

“คนเราน่ะเก็บเรื่องราวที่เป็นปัญหาทุกเรื่องไว้เพียงคนเดียวไม่ได้หรอก” ถึงเธอจะกล่าวเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังคงสะอึกสะอื้น!!

“เฮ้อ..” หญิงสาวถอนหายใจในท่าทีของชายหนุ่ม



เวลาผ่านไปนานชายหนุ่มก็ยังคงสะอื้นอยู่ หญิงสาวปล่อยให้เขาร้องไห้อยู่ลำพังอย่างเงียบๆ ณ เวลานี้สิ่งที่จะปลอบใจเขาได้คงมีเพียงเวลาที่ผ่านไปเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง.... แต่ในที่สุดหญิงสาวก็นึกวิธีที่จะปลอบใจชายหนุ่มได้..



เธอเริ่มขับร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงใสๆ เหมือนกับเครื่องดนตรีแก้วที่ผ่านการเจียระไนมาอย่างดี เธอส่งเสียงไพเราะจับจิตเหมือนดังเทวดามาร้องเพลงอวยชัยดังก้องไปในราตรีอันมืดมิดสะกดจิตใจที่ปวดร้าวของชายหนุ่มให้ผ่อนคลายลง....

“ขอพระองค์พระเจ้าประทานความสุข” หญิงสาวยังคงหลับตาพริ้มไปตามท่วงทำนองของเพลง

“ให้ลูกพ้นทุกข์ได้รักสุขศานต์” เสียงร้องที่เป็นคำสวดภาวนาปลุกชายหนุ่มให้ลุกขึ้นจากความเศร้าหมอง

“ให้รักซึมทราบตราบนานเท่านาน” เขามองดูหญิงสาวที่ในขณะนี้ที่กำลังวาดมือไปมาอยู่บนอากาศเหมือนวาทยกรมืออาชีพ..

“ขอองค์ภูบาลประทานพรหลั่งดั่งสายพิรุณ” เสียงเพลงช่วยทำให้ชายหนุ่มลืมเรื่องที่ทำให้เขาครุ่นคิด

“เพื่อสุขสมหมายมากล้นหนทางรัก...เอย” เสียงเพลงจบลง ชายหนุ่มยิ้มนิดหนึ่ง

“ฮั่นแน่..ยิ้มแล้ว...สบายใจขึ้นบ้างรึยัง?” หญิงสาวลุกขึ้นยืนมือทั้งสองข้างไขว่ไว้ข้างหลังแล้วก้มหน้าลงมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่...

พระจันทร์เต็มดวงที่ถูกเมฆบดบัง ณ ตอนนั้น ได้ถูกสายลมเบื้องบนพัดเมฆให้เคลื่อนออกห่างจากกัน เผยให้เห็นแสงจันทร์นวลผ่องดวงกลมโตอยู่เบื้องหลังของหญิงสาว .... มันเป็นภาพที่สะดุดความรู้สึกของชายหนุ่มในขณะนี้เป็นอย่างมาก......!!

“นิดหน่อย” ชายหนุ่มก้มลงหลบภาพเบื้องหน้าก่อนที่จะตอบ แต่เขาแอบตั้งใจไว้ลึกๆในใจแล้วว่า ภาพเมื่อซักครู่ที่เห็นนั้นเขาจะเก็บมันไว้ในความทรงจำตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

“บอกได้รึยังว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร?” หญิงสาวกระโดดขึ้นไปยืนบนขอบตึกโดยไร้ซึ่งความกริ่งเกรงแม้แต่น้อย...

ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือปัดเอาเส้นผมออกไปจากใบหน้าด้วยความรำคาญ พอเขามาคิดๆดูแล้วก็ถูกของเธอ มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะระบายความอ่อนแอให้ใครซักคนฟัง ยิ่งเป็นคนแปลกหน้าด้วยกันทั้งคู่ด้วยแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวที่จะถูกเอาเรื่องพวกนี้ไปโพนทะนากับคนรู้จักคนอื่นๆ

“ผมทำให้แม่ต้องร้องไห้!” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ

“ทำให้พ่อต้องผิดหวัง!” หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ทำให้เวลา 4 ปีที่ทำมาต้องเสียเปล่า...จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลย” เขากล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนกางแขนทั้งสองข้างออกไปจนสุดแขน ราวกับอยากให้สายลมที่พัดมาสัมผัสกับตัวเขาทุกอณู

“แล้วทำให้ท่านผิดหวังในเรื่องไหนล่ะ?” หญิงสาวกระโดดเข้ามาใกล้

“เรื่องเงิน?” ชายหนุ่มส่ายหน้า

“เรื่องชกต่อย ทะเลาะวิวาท?” ชายหนุ่มสั่นหัว

“งั้น...!!” หญิงสาวหยุดคิด ใช้นิ้วจ่อที่ริมฝีปาก ท่าทางครุ่นคิดเอาจริงเอาจัง...

“เรื่องผู้หญิง....... นี่นายไปทำให้ใครเค้าท้องมาหรือเปล่า?” ชายหนุ่มหัวเราะพรืด.... เขาไม่ได้หัวเราะมานานแล้วตั้งแต่มีเรื่องกลุ้มใจเรื่องนี้เกิดขึ้น

“ผมยังไม่มีแฟน....หึๆ” เขาตอบไปหัวเราะไป ตอนนี้หญิงสาวกำลังตั้งท่าใกล้เริ่มงอนที่เขาหัวเราะแบบไม่เกรงใจ ......ถึงอย่างนั้นตอนที่หญิงสาวกระโดดหนีจากชายหนุ่มใบหน้านั้นกลับปรากฏยรอยยิ้มแวบหนึ่งที่ริมฝีปาก.. .

ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาแห่งความขบขันออกจากหางตา....

“น่า...อย่างอนน่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะซักหน่อย” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ยอมหันมาชายหนุ่มก็เลยจำเป็นต้องง้อ ทั้งที่รอยยิ้มของเขายังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า..

“งั้นตอบมา... มีเรื่องอะไรกันแน่ ฉันขี้เกียจเดาแล้ว” เธอถามโดยที่ยังหันหลังให้

ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง................

“เรื่องผลการเรียนของผมน่ะ.!!” ชายหนุ่มตอบหลังจากนิ่งเงียบไปได้ซักครู่หนึ่ง

“ผล.....การ.......เรียน!!” หญิงสาวหันมาทำหน้าฉงน แล้วค่อยๆลากเสียงทีละคำอย่างช้าๆชัดๆ

“อืม”

“เพราะเรื่องเพียงเท่านี้น่ะเหรอที่ทำให้นาย อยากที่จะ.......ตาย?” เธอทำหน้าแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“อืม” ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“แล้ว..มันแบบว่า..เอ่อ คือเกรดของเธอมันย่ำแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ....ผลการเรียนของเธอตอนนี้น่ะ?”

“ก็ไม่แย่เท่าไหร่..แต่ว่ามัน” ชายหนุ่มอึกอัก

“ขนาดที่จะโดนรีไทน์เลยหรือเปล่า?” หญิงสาวยังคงรุกต่อไป

“เปล่า”

“งั้นเกรดก็น้อยมาจนเกินไปเลยน่ะสิ” หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้

“เอ่อ..ก็เปล่า”

“หรือ..ต่ำกว่า 2.00?” หญิงสาวยังคงเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็ก้มหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ก็เปล่าอยู่ดี” ชายหนุ่มพยายามถอยหนีให้ห่างใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ข้างหลังของเขาคืออากาศธาตุอันเวิ้งว้าง... หากถอยไปมากกว่านี้มีหวังเขาคงต้องตกลงไปยังพื้นคอนกรีตเบื้องล่างเป็นแน่

“สรุป...แล้วเพราะอะไร?” ตอนนี้ใบหน้าของหญิงสาวอยู่ห่างจากชายหนุ่มเพียงแค่ฝ่ามือกั้นเท่านั้น ดวงตาและลมหายใจที่ถูกพ่นออกมากระทบใบหน้าของชายหนุ่ม มันทำให้เขาเขินจนหน้าแดง เขาไม่อาจทนกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนีจากเธอเท่านั้น

“เอ่อ..ก็” เขาเหลือบหางตามอง หญิงสาวยังคงจ้องหน้าเขาเขม็ง..... ชายหนุ่มสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า

“เกรดผมไม่ถึง 4.00 น่ะ !!”

“หา..อะไรนะ?” หญิงสาวแทบจะล้มทั้งยืนด้วยเหตุผลของชายหนุ่ม

“เกรดผม........ไม่ถึง 4.00”

“จะบ้าตาย...แล้วนายได้เกรดเท่าไหร่!?”

“3.93” ชายหนุ่มสารภาพ

หญิงสาวหมุนตัวหันหลังให้ชายหนุ่มแล้วนั่งยองๆลงกอดเข่าไม่พูดอะไรอีก.......

“นี่ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า!” ชายหนุ่มกังวลใจในท่าทางนิ่งเงียบของเธอ ถึงจะเจอกันไม่นานแต่อาการหันหลังให้กับคู่สนทนาของหญิงสาวนี้ เขาก็พอรู้ว่ามันเป็นการแสดงออกเวลาที่เธอใกล้แสดงอาการงอนออกมา.... เขายื่นมือขวาไปหมายจะจับบ่าหญิงสาว...!!

ตอนนั้นเองที่ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม แล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะใสๆออกมาจนสุดเสียง.....!!

“.......” ชายหนุ่มยืนทำหน้างง หญิงสาวยังคงนั่งหัวเราะไม่หยุดจนชายหนุ่มชักฉุน และตั้งท่าที่จะเดินหนีออกมา..

“น่า...น่า อย่าใจน้อยนักเลย” หญิงสาวเดินตามมายืนข้างๆ ทั้งๆที่ยังปิดปากหัวเราะอยู่

“......” ชายหนุ่มไม่ตอบ

“ก็มันน่าหัวเราะจริงๆนี่ โธ่....มีอย่างที่ไหน คนเกรดตั้ง 3.9 กว่าๆ ยังอยากจะตาย หวังว่าโลกเราตอนนี้มันคงยังไม่ร้อนเกินไปหรอกนะนี่ เลยทำให้คนเราเพี้ยนไปหมด” เธอหัวเราะ

“เกรดมันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกมั้ง...เกรดมันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนะ”

“แต่มันสำคัญสำหรับตัวผมและครอบครัวที่เค้าหวังในตัวผม” ชายหนุ่มชักมีอารมณ์

“ในเรื่องไหนล่ะ?”

“พวกเขาต้องการให้ผมได้รับเกียรตินิยม” เขาพูดเสียงหนักแน่น

“แต่....เกียรตินิยมก็ไม่ได้ทำให้คนเราเป็นคนดีได้” หญิงสาวเสนอทางออก

“แต่มันทำให้เรามีงานทำ และกินอยู่อย่างอิ่มท้องได้.......!!” ชายหนุ่มกระชากเสียงใส่จนหญิงสาวต้องผงะด้วยความหวาดกลัว

“ขอโทษ........ ผมไม่น่าจะขึ้นเสียงกับคุณ แต่คุณคงไม่เข้าใจหรอกว่าคนที่เคยได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มาโดยตลอดน่ะ พอถึงเวลาที่เราทำเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้วจะเสียใจซักแค่ไหน” ชายหนุ่มที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดแรงไปเสียงอ่อนลง

หญิงสาวยืนกำมือแน่นทั้งสองข้างจนต้นแขนสั่นระริกด้วยอารมณ์ แต่แววตาที่แนวแน่ของเธอที่จ้องมายังชายหนุ่ม จนทำให้เขาสั่นสะท้านในแววตาคู่นั้น...

“เข้าใจสิ” ในที่สุดหญิงสาวก็เปิดปากพูดทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียด

“เข้าใจทุกอย่างเลยล่ะที่นายพูดมา”เธอยังคงพูดต่อไป

“แต่คนที่มันไม่เคยยอมที่จะเข้าใจอะไรเลยน่ะ....มันน่าจะเป็นนายมากกว่า....!!”

หญิงสาวตะโกนใส่หน้าชายหนุ่มแล้ววิ่งไปยังทางลงไปยังบันไดสู่ชั้นล่าง ท่ามกลางความตกตะลึงของชายหนุ่มที่ไม่คาดคิดว่าจะถูกหญิงสาวขึ้นเสียง... แต่เหมือนหญิงสาวจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยหมุนตัวเอาร่างที่บอบบางนั้นกลับมาประจันหน้ากับชายหนุ่มอีกครา...

“อ้อ... แล้วก็อีกอย่างหนึ่งนะ มีคนในโลกนี้มากมายพอๆกับดวงดาวบนฟ้าที่เรียนๆแล้วได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งของนาย แต่พวกเขาก็สามารถที่จะจบไปทำงานหาเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างมีความสุข”

เธอหยุดพูดแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ....



“มีแต่คนบ้าที่โง่เง่าเต่าล้านปีเท่านั้นล่ะ ที่จะด่วนตัดชีวิตของตัวเองไปอย่างง่ายๆโดยที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไรที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองแม้แต่เพียงอย่างเดียว...”

“คิดดูให้ดี...ไปล่ะ” พูดจบเธอก็วิ่งลงบันไดไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นจนเสียงฝีเท้าที่ก้องจากการวิ่งลงบันไดค่อยๆเบาลงๆ จนในที่สุดทุกอย่างก็กลายเป็นความเงียบสงตามเดิม..



สายลมพัดมาอีกครา แต่ชายหนุ่มก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เรื่องราวสองเรื่องที่ประดังเข้ามาในชีวิตของเขาในหนึ่งวันนั้น ตอนนี้มันกำลังผสมปนกันจนเขาเองก็ไม่สามารถแยกมันออกมาจากกันได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาเมื่อยล้า และสมองก็อ่อนเพลีย....

เมื่อระบบความคิดของสมองถูกจำกัดด้วยความเมื่อยล้า สมองของเขาก็จะสั่งให้ร่างกายทำตามในสิ่งสุดท้ายที่ได้ตัดสินใจไว้ในขณะที่สติยังครบถ้วน... ขาของเขาค่อยๆก้าวไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ไปยังพื้นที่ๆเป็นสุญญากาศที่ว่างเปล่า...อันถัดจากขอบตึกไปเพียงก้าวเดียว!!

อีกก้าวเดียวชีวิตนี้ก็จะจบลงแล้ว... แม้เมื่อซักครู่จะมีตัวกวนเข้ามาขัดขวางการตัดสินใจ แต่ความแน่วแน่ของจิตใจก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง...

ลมจากเบื้องล่างพัดขึ้นสู่ด้านบน... กระป๋องน้ำอัดลมเปล่าที่วางทับกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่บนขอบตึกถูกลมที่เปลี่ยนทิศกระทบจนกระเด็นตกลงไปเบื้องล่าง เมื่อสิ่งที่กดทับอิสรภาพหลุดลอยไป .....กระดาษแผ่นนั้นก็ถูกแรงลมโอบอุ้มปลิวตามลมมาติดอยู่หน้าอกของชายหนุ่ม...........!!

ชายหนุ่มก้มลงมองดูกระดาษแผ่นนี้ด้วยความรำคาญ ทำไมวันนี้มีแต่เรื่องที่คอยเป็นอุปสรรคขัดขวางความตั้งใจของเขากันนะ... เมื้อกี๊ก็ถูกก่อกวนโดยผู้หญิงคนหนึ่ง มาตอนนี้ก็มาถูกกระดาษเพียงแผ่นหนึ่งขัดขวางซ้ำอีก... เขากระชากแผ่นกระดาษออกมาจาหน้าอกหมายขยำทิ้ง แต่แล้วเขาก็ต้องเอะใจกับอะไรบางอย่างที่ถูกเขียนไว้ในอีกด้านหนึ่งของกระดาษ...

ชายหนุ่มพลิกอีกหน้าหนึ่งของกระดาษขึ้นมาดูอย่างสนใจ........!!

บนแผ่นกระดาษเขียนไว้ว่า

ถึง คุณผู้ไม่รักในชีวิต

ชีวิตทุกชีวิตมีค่ามากกว่าที่คุณคิด หากมีปัญหาแล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยตัว คนเดียว ก็ควรอย่างยิ่งที่จะหาคนมาช่วยคิดแก้ไข ไม่ใช่หลีกลี้หนีปัญหาโดยการจบชีวิต หากหาคนดั่งที่ว่ามาไม่ได้แล้ว เราก็พร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาให้ทุกเวลา........เสมอ!!



จาก ผู้หญิงขี้งอน

06-73xxxxxx



ชายหนุ่มยืนนิ่ง.... นี่ผู้หญิงคนเมื่อซักครู่เป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?



เวลาผ่านไปอีกซักเล็กน้อยของชายหนุ่ม เขายังคงอยู่ในห้วงความคิดทบทวนในเรื่องที่หญิงสาวคนเมื่อครู่พูดมา จริงอยู่ที่เขายังสามารถแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้ด้วยสองมือที่ยังมี และสองเท้าที่ยังดี หากดูจากคนพิการที่เขาสู้ชีวิตอย่างไม่ย่อท้อแล้ว ปัญหาของเขานั้นมันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กมาก ...ส่วนเรื่องผลการเรียนนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่เราก็ยังสามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าในอนาคตต่อให้ไม่ได้รับเกียรตินิยมก็ยังสามารถที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตไปได้.....

“เอาล่ะ....ลองสู้ใหม่อีกครั้ง!!” หญิงสาวลึกลับได้ช่วยจุดประกายให้กับชายหนุ่มในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข เหมือนกับเป็นคนใหม่ที่มีกำลังใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง...



ในขณะที่เขากำลังจะก้าวลงจากขอบตึกนั่นเอง สายลมที่พัดแรงที่สุดในทุกครั้งก็ได้พัดกระแทกร่างของชายหนุ่มอย่างเต็มแรงจนเขาเสียหลัก ชายหนุ่มต้องใช้มือทั้งสองข้างในการเกาะเกี่ยวเสาอากาศไว้ไม่ให้ตัวเองเสียศูนย์ตกลงไปข้างล่าง แต่ตอนนั้นมันก็ทำให้แผ่นกระดาษใบนั้นลื่นหลุดมือไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นเบื้องล่าง....!!

“อ๊ะ...เดี๋ยว” ชายหนุ่มอุทานก่อนจะเผลอปล่อยมือจากเสาอากาศ เขาพยายาวิ่งตามมันโดยไม่สนในในวิสัยทัศรอบๆตัว เขาพยายามคว้าจับเอาแผ่นกระดาษที่เป็นเหมือนกับใบเบิกทางสู่สวรรค์ใบนี้ไว้ไม่ให้หลุดลอยไป....

อีกนิดเดียวเขาก็จะจับกระดาษไว้ได้แล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่ากระดาษใบนั้นกลับบินสูงขึ้นไปทุกทีๆ ดูเหมือนว่าแรงลมจากเบื้องล่างมันจะยิ่งแรงขึ้น.... พร้อมๆกับความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหมือนเขากำลังบินอยู่ในอากาศเสียอย่างนั้น.....!!



“พลั่ก..!!!” เสียงก้อนเนื้อขนาด 60 กว่ากิโลกรัมตกลงมากระแทกพื้นคอนกรีตอย่างจัง เลือดสดๆแดงฉานสาดกระเซ็นไปทุกทิศทุกทาง........ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกของผู้ที่สัญจรผ่านไปมาเบื้องล่าง........................................!!

ชายหนุ่มนอนหายใจรวยริน....อยู่บนทางเท้า ลิ่มเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่ถูกกระดูกในร่างกายหักทิ่มทะลุออกมาเจิ่งนองไปทั่วทางเท้าเหมือนก๊อกน้ำแตก......

เมื่อสักครู่เขาไม่สามารถเอื้อมมือไปคว้ากระดาษใบนั้นไว้ได้ และเห็นมันค่อยๆบินสูงขึ้นไป.... มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่จริงกระดาษมันไม่ได้บินสูงขึ้น แต่เป็นเขาเองต่างหากที่ตกลงมายังพื้นเบื้องล่าง......... พอมาคิดๆดูแล้วตอนนี้เขาอยากหัวเราะให้กับการกลั่นแกล้งของโชคชะตา ทั้งๆที่เมื่อครู่เขาอยากตายแต่ก็ถูกขัดขวางตลอด .....แต่พอมาถึงตอนนี้เขาไม่อยากที่จะตายเลยแม้แต่น้อยก็กลับถูกกระดาษที่เห็นเป็นใบเบิกทางสู่สวรรค์ทำให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพนี้...



“อ๊อก......ก...!!” ชายหนุ่มเริ่มหายใจไม่ออก เขาอึดอัดเพราะลมหายใจที่ขาดห้วง กระดูกซี่โครงที่หักบางซี่คงทิ่มทะลุปอดเป็นรูทำให้ไม่สามารถเก็บอากาศไว้ได้ และอีกไม่นานเลือดที่ไหลออกมามากนี้คงทำให้เขาช็อกเพราะเสียเลือดมากและตายไปในที่สุด.... เลือดที่กำลังไหลออกมาจากบาดแผลที่หน้าผากกลบดวงตาจนมองเห็นโลกทั้งโลกกลายเป็นสีแดง.....!!

ในขณะที่สติของเขากำลังจะหมดไปนั่นเอง เขาก็ได้เห็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวพลิ้วลงมาจากอากาศเบื้องบนอย่างช้าๆ มันถูกแรงลมดันให้สะบัดไปมาซ้ายทีขวาทีเหมือนอย่างจงใจ แต่สุดท้ายมันก็ตกลงบนหน้าอกที่โชกเลือดของเด็กหนุ่มอย่างนิ่มนวล......

ผู้คนที่รุมมองอยู่รอบๆ ต่างเห็นกระดาษสีขาวบริสุทธิ์บนหน้าอกของชายหนุ่มค่อยๆซึมซับเลือดสีแดงที่เจิ่งนองจนกลายเป็นสีแดงอย่างช้าๆ จนกระดาษทั้งแผ่นก็กลายเป็นสีแดงอำพัน....

เสียของรถพยาบาลฉุกเฉินดังแว่วมาแต่ไกล กับเสียงสายลมที่พัดครวญครางยามราตรีเท่านั้นที่ยังคงดังก้องกระทบโสตประสาทของฝูงชนที่เฝ้ามุงดูเหตุการณ์นั้น....

นอกนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเงียบ......

ไม่มีเสียงอะไร แม้แต่เสียงลมหายใจของชายหนุ่มที่นอนจมกองเลือดด้วยรอยยิ้มอยู่ภายใต้แสงจันทร์........................!

///////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:15:35 น.
Counter : 691 Pageviews.  

คำชวนตกสวรรค์

คำชวนตกสวรรค์
-----------------------------------------------------------
มันเป็นวันที่น่ายินดีของหมู่บ้านดอนเทพซึ่งตั้งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากตัวเมือง ถึงหมู่บ้านแห่งนี้จะตั้งอยู่ในป่าลึกห่างไกลจากความบันเทิงแห่งแสงสีศรีวิไลก็ตาม ที่ปีนี้ก็ยังอุตส่าห์มีพระรูปใหม่เดินทางเข้ามาจำพรรษาที่วัดป่า อันเกือบจะร้างเนื่องด้วยเหลือพระจำวัดอยู่เพียงสามรูปเท่านั้น



หลวงพี่นากร พระใหม่ใบหน้าคมคาย ซึ่งทำพิธีอุปสมบทรับใช้ศาสนามาตั้งแต่ยังเด็กๆ จนวัยตอนนี้ล่วงเลยเข้าเบญจเพศ เดินทางจากอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ก่อนจะเดินทางมาหมายจำพรรษาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพี่นากรเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หรือมีความสัมพันธ์อะไรกับหมู่บ้านแห่งนี้จึงได้เจาะจงเดินทางนานนับวันมาที่นี่ แถมแล้วยิ่งความตื่นเต้นดีใจของชาวบ้านที่มีพระใหม่เข้ามาในหมู่บ้านแล้วด้วย ใครล่ะจะสนใจกับเรื่องหยุมหยิมเหล่านั้น.... ทุกคนมัวแต่ตื่นเต้นกับรอยยิ้มร่าของคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่ได้เห็นมานานเต็มทน

หลวงพี่นากรจัดเป็นพระหนุ่มที่เทศน์ได้ลึกซึ้งกินใจบรรดาป้าแก่แม่ยกทั้งหลาย ทุกครั้งที่สำนวนที่ไพเราะนั้นพรั่งพรูออกจากปากผิดกับรูปลักษณ์ท่าทางของพระหนุ่มวัยยี่สิบเศษ ก็ยิ่งทำให้ความศรัทธาลุกลามไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ฟาง ไม่นานหลวงพี่นากรก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาประจำวันของหมู่บ้านไปโดยปริยาย จนถูกชาวบ้านยกยอว่าเป็นนักเทศน์อันดับหนึ่งของตำบลด้วยศรัทธาที่แรงกล้า

ความศรัทธาที่รินล้นไหลเอ่อออกออกจากหมู่บ้านไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง ปากต่อปากก็ยิ่งทำให้เกิดข่าวลือที่บิดเบือนต่างๆนานา ลือกันให้แซ่ดว่าที่จริงหลวงพี่นากรเป็นสาวกของพระพุทธองค์ตั้งแต่ปางก่อนกลับชาติมาเกิด แล้วนำคำเทศนาของพระพุทธเจ้าตั้งแต่กาลโน้นมาสั่งสอนคนให้บรรลุธรรม มันก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านจากทั่วสารทิศแห่แหนกันมาขอนมัสการฟังเทศฟังธรรมจนเต็มลานวัดโล่งๆ ที่มีเพียงต้นหญ้ารกทึบและแสงแดดแรงกล้าที่ไม่อาจบั่นทอนความศรัทธาลงได้แม้แต่น้อย

ยิ่งนาน ยิ่งมีคนมาเคารพหลวงพี่นากรมากขึ้นเท่าใดหมู่บ้านก็ยิ่งเจริญขึ้นๆตามลำดับมากเท่านั้น ชาวบ้านพากันเอาของกินมาวางขายให้แก่ผู้ศรัทธาที่หน้าวัด มีกระทั่งการตั้งโต๊ะให้เช่าวัตถุมงคลจนกลายเป็นการสร้างรายได้ให้กับหมู่บ้านมากขึ้นเท่านั้น หลวงพ่อผู้ชราภาพ และอาพาตออดๆแอดๆมานานหลายปีก็ค่อยรู้สึกวางใจว่าหลวงพี่นากรผู้นี้ล่ะ จะเป็นผู้สืบทอดเจตนาของสงฆ์ให้ชาวบ้านปฏิบัติตามได้ในอนาคตต่อไป….. หลวงพี่เองก็รู้สึกดีใจที่มีญาติโยมมากมายมาศรัทธาเชื่อถือตน ซึ่งหลวงพี่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะปฎิบัติกิจของสงฆ์ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป



“หลวงพี่เมื่อไหร่จะให้ศีล ให้พรพวกกระผมซักที!” ขี้เมาสม นักเลงหวยประจำหมู่บ้านที่ขยันเข้าวัดเข้าวาด้วยจุดประสงค์ต่างจากผู้อื่นเอ่ยขึ้นในวันหนึ่ง

“อาตมาก็ให้ศีล ให้พรทุกครั้งที่พวกโยมมาเข้าวัดทำบุญทำทานทุกเช้าค่ำนั่นล่ะโยม” หลวงพี่นากรกล่าวขึ้นด้วยกิริยาสงบนิ่ง

“มิใช่เช่นนั้นดอกหลวงพี่ ไอ้ศีลพรพวกนั้นพวกกระผมก็ได้รับจนอิ่มหนำดีทุกวันอยู่แล้ว” ขี้เมาสมเหลียวมองดูซ้ายขวาอย่างหวาดๆ พอเห็นคนอื่นๆมัวแต่สนใจยกมือขึ้นอธิฐานพึมพำหลังจากเอาสตางค์ในกระเป๋าใส่ลงในตู้บริจาคโดยไม่สนใจตนแล้ว เขาก็หันกลับมาเอามือป้องปากพูดกับหลวงพี่นากรอย่างแผ่วเบา

“กระผมหมายถึงการให้ศีล ให้พรแบบอื่นๆต่างหากล่ะท่าน” ขี้เมาสมเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

“ที่โยมสมพูดหมายถึงกระไรรึ!?” หลวงพี่นครถามด้วยความงง แต่ขี้เมาสมกลับเกาหัวแกรกๆด้วยความหนักใจความด้อยประสบการณ์ทางโลกของหลวงพี่นากร ในที่สุดแกก็ตัดสินใจพูดให้ชัดๆขึ้นว่า

“กระผมหมายถึง การให้โชคให้ลาภแก่ญาติโยมบ้างน่ะพระคุณท่าน”

หลวงพี่แทบจะร้องอ๋อ!!....เมื่อเข้าใจความหมายของขี้เมาสม แต่มิวายยังรักษาท่าทีวางตัวให้สมกับการเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์

“การทำเช่นนั้น มันขัดกับหลักสงฆ์นะโยมสม!” ขี้เมาสมจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ ก่อนที่จะกระซิบบอกหลวงพี่ด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า

“ช่างหัวกฎมันสิท่าน กฎพวกนั้นน่ะท่านไม่ได้เป็นคนเขียนขึ้นมาเองเสียหน่อย” หลวงพี่นากรยังคงมีทีท่าไม่สบายใจ ตาสมจึงเสริมเหตุผลเข้าไปอีก

“น่าท่าน...! ทำหนเดียวก็ไม่ได้เสียหายอะไร ท่านลองคิดดูสิว่าจะดีเพียงใดหากท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาเคารพท่านขึ้นอีกมากโข เผลอๆดีไม่ดี วัดบ้านเราที่แทบจะรกร้างเต็มทนนี่อาจจะได้บุญได้กุศลพัฒนาตามแรงศรัทธาไปไกลอีกโขด้วยซ้ำ”

หลวงพี่นากรยังคงนิ่งอยู่ เพราะคิดหนักถึงผลได้ผลเสียที่ตามมา มันก็จริงของตาสมที่ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องยากเลยหากหลวงพี่นากรจะใช้การใบ้หวยเพื่อเพิ่มความศรัทธา ขนาดแค่ฝีปากตอนนี้ของหลวงพี่นากรก็พอเพียงแล้วเสียด้วยซ้ำกับการกล่อมคน ถึงกระนั้นการทำแบบที่ตาสมบอกมาเลยมันก็ไม่ถูก เพราะหลวงพี่คิดยังไงก็เห็นแต่ผลเสียมากกว่าผลดี

“เผลอๆ... ที่วัดจะได้ศาลาการเปรียญด้วยนะท่าน!?” ด้วยคำพูดคำนี้ของตาสมนั้นล่ะ ที่ทำให้วิถีชีวิตของหลวงพี่นากรต้องเปลี่ยนไปจากนักเทศน์ฝีปากดี กลายเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ขัดกับอุดมการณ์ดั่งเดิมของตัวหลวงพี่เอง



หลวงพี่นากรเริ่มเรียนรู้วิธีการหยดเทียนในนำมนต์ให้แปลกๆ เหมาะแก่การตีความหมายแฝงได้เป็นนัยๆ ในขณะที่ตาสมก็เริ่มไปเสาะแสวงหาต้นไม้พันธ์แปลกๆมาปลูกในวัด หาสัตว์ที่ดูแปลกพิสดารมาปล่อยลงทั้งลานวัด และบ่อน้ำของวัด โดยที่มีเจ้ามือหวยประจำหมู่บ้านทำตัวเป็นเจ้ากรมข่าวลือช่วยปล่อยข่าวลือเรื่องอิทฤทธิ์ปาฎิหารเกี่ยวกับหลวงพี่นากร ซึ่งเป็นเรื่องพร่ำโม้งี่เง่าที่แต่งขึ้นมาให้มันโหมมากกว่าความเป็นจริง.... คนในหมู่บ้านเริ่มถูกหวยกันมากบ้างน้อยบ้าง จนมาถึงหวยงวดหนึ่งที่เป็นเหมือนฟ้าผ่าดังเปรี้ยงมาที่หมู่บ้านดอนเทพแห่งนี้!

เลขเด็ดจากพระนครทำให้คนทั้งหมู่บ้านดอนเทพถูกหวยรวยกันถ้วนหน้า....!!

ขนาดตัวหลวงพี่นากรเองยังถึงกับลืมกิริยาอันบังควรของสงฆ์ เผลอกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่บนกุฏิเสียงดัง จนหลวงพ่อที่เฝ้ามองกิริยานั้นอยู่ต้องตะโกนด่า...!



แล้วสิ่งที่ขี้เมาสมกล่าวไว้ก็เป็นความจริง วัดที่เกือบร้างของหมู่บ้านแห่งนี้ถูกถากถางกอหญ้ารกทึบออกเสียใหม่จนดูโล่งตา ที่กลางลานวัดที่ว่างเปล่าก็ถูกทดแทนด้วยศาลาการเปรียญหลังใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเงินบริจาคของชาวบ้าน(ซึ่งส่วนใหญ่ถูกหวย) พร้อมกับกุฏิหลังใหม่ของหลวงพี่นากรที่ติดแอร์เสียเย็นฉ่ำ พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าครบครัน จากเหตุการณ์นี้ตัวขี้เมาสมเองก็พลอยได้ดีไปด้วย จนกลายเป็นเศรษฐีสมไปในชั่วค่ำคืน

แต่ภาพความเจริญที่ผิดธรรมดาพวกนี้ มันทำให้หลวงพ่อที่ชราภาพมากแล้วไม่ค่อยสบายใจมากมากนัก.....!!

เคยมีคนกล่าวว่า เมื่อคนเรามีปัจจัยมากขึ้น จิตใจก็มักจะเสื่อมมากขึ้นตามไปด้วยไม่เว้นแม้แต่ตัวของหลวงพี่นากรเองที่กำลังจะกลายเป็นเช่นนั้น

ไม่นานหลวงพี่นากรก็กลายเป็นเหมือนพระพุทธรูปทรงเครื่องที่เต็มไปด้วยเงินทองที่ญาติโยมนำมาสุมกองถวายกันจากทุกทั่วสารทิศ ยิ่งนานพระนครก็ยิ่งหลงคะนองว่าตนเองสำคัญผิดจากสงฆ์รูปอื่นๆ หลวงพี่เริ่มหยิ่งจองหองมากยิ่งขึ้นๆจนไม่แม้แต่จะลงมาเสวนาธรรมกับหลวงพ่อเหมือนในอดีตอีกต่อไป

แต่.... จากสายตาของคนนอกที่ไม่รู้เบื้องลึกหนาบางข้างในวัด ใครๆก็คิดว่าเจ้าอาวาสคนต่อไปหลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้ว คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลวงพี่นากรเป็นแน่



ทุกคืนหลวงพ่อชอบออกมานั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆทุกเย็น ที่ใต้ต้นไทรใหญ่ที่ยืนต้นอยู่ใกล้ๆริมกุฏิของหลวงพี่นากรโดยอาศัยเพียงแสงไฟเล็กน้อยจากเสาไฟนีออนจากใต้ศาลาการเปรียญหลังใหม่เท่านั้น แต่คืนนี้หลวงพ่อรู้สึกว่าทุกอย่างมันแปลกไปจากวันปกติ ทั้งๆที่วันนี้หลวงพ่อยังไม่ได้เดินไปเปิดไฟที่ศาลาการเปรียญเพื่ออ่านหนังสือเช่นทุกครา แต่หลวงพ่อกลับสามารถมองเห็นตัวหนังสือได้อย่างชัดเจนด้วยแหล่งไฟจากที่อื่น

หลวงพ่อมองไปตามทิศทางแสงที่ตกมากระทบกับหนังสือในมือ ท่านเห็นแสงไฟจากกุฏิของหลวงพี่นากรสว่างจ้าเป็นประกายอยู่ในความมืด ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่ยามเย็นเช่นนี้หลวงพี่นากรจะเปิดไฟเพื่อให้เห็นสิ่งรอบกายในความมืดของกุฏิ มันจะไม่แปลกถ้าหลวงตาไม่บังเอิญมองไปเห็นร่างๆหนึ่งในเงามืดเดินลัดเลาะริมรั้ววัดเดินตรงขึ้นไปยังประตูกุฏิของหลวงพี่นากรอย่างรวดเร็ว...!!

หลวงพ่อหรี่ตาลงมองฝ่าความมืด หลงพ่อเห็นร่างๆนั้นท่าทางลุกลี้ลุกลนท่าทางน่าสงสัย ร่างนั้นเคาะประตูกุฏิของหลวงพี่นากรสองสามครั้งเบาๆก่อนที่ประตูจะเปิดออก แล้วมีหลวงพี่นากรโผล่หน้าออกมามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดๆ ก่อนที่จะรีบดึงร่างนั้นเข้าไปในกุฏิโดยไว

หลวงพ่อใช้ใบไม้แห้งขั้นหน้าหนังสือที่อ่านค้างไว้ แล้วลุกเดินไปที่กุฏิของหลวงพี่นากรด้วยความสงสัย ท่านค่อยๆเดินขึ้นบันได้อย่างช้าๆด้วยสังขารที่โรยรา แต่พอจะเคาประตูเรียกหลวงพี่นากรท่านก็ต้องหยุดเพราะเห็นเงาสีดำวูบวาบขยับไปมาผ่านรอยแยกเล็กๆของผ้าม่าน จากหน้าต่างข้างๆตัวหลวงพ่อที่สูงระดับเทียมหัว

ลานวัดในยามเย็นช่างเงียบสงบสมกับเป็นสถานที่พำนักของสงฆ์ แต่บางครั้งความเงียบนั้นมันก็ทำให้คนเราได้ยินเสียงบางอย่างชัดเจนจนเกินไป ตอนนี้ก็เช่นกัน ความเงียบมันทำให้หลวงพ่อได้ยินเสียงกระเส่าเย้ายวนของสตรีเพศจากในกุฏิของหลวงพี่นากรได้อย่างชัดเจน...... หลวงพ่อรู้สึกใจหายวาบ ขณะที่กำลังพยายามเขย่งปลายเท้าดันตัวขึ้นไปที่หน้าต่างข้างๆจนสามารถส่องดูสถานการณ์ภายในห้องจากรอยแยกของผ้าม่านนั้นได้อย่างถนัด

ภาพเบื้องหน้าของหลวงตาชรา คือภาพของเนื้อหนังของบุคคลสองคนกำลังเสียดสีกันไปมาด้วยอารมณ์ราคะอันร้อนแรง....!!

หลวงตารู้สึกหน้าร้อนผ่าว ในขณะที่ค่อยๆเดินกลับมากุฏิของหลวงพี่นากรมาด้วยน้ำตาที่ไหลเปื้อนบนใบหน้าที่เหี่ยวย่น..



“ทางวัดขอขับพระนากรออกจากวัด เนื่องจากทำตัวไม่สมควรตามกิจแห่งสงฆ์” หลวงพ่อกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวบ้านที่มาร่วมฟังเทศน์ตอนเช้ากันเต็มศาลาการเปรียญ

“ทำไมล่ะครับหลวงพ่อ มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆที่หลวงพี่นากรจะทำผิดกฎของสงฆ์ ดูสิครับ! หากไม่มีหลวงพี่นากรทั้งวัด และหมู่บ้านก็คงไม่เจริญขนาดนี้!!” อดีตขี้เมาสมส่งเสียงร้องทักท้วงเสียงดังขึ้นมาก่อนใคร ชาวบ้านหลายคนหยักหน้าเห็นด้วย

“จริงอยู่ที่วัดนี้เจริญขึ้นมาได้ขนาดนี้ก็เหมือนกับเป็นหนี้พระนากร แต่ยังไงเสียก็ยังจำเป็นที่ต้องขับพระนากรออกไปจากวัดอยู่ดี” หลวงพ่อยังคงกล่าวต่อไป ท่ามกลางเสียงร้องอื้ออึงไปทั้งศาลา

“ทำไมล่ะครับหลวงพ่อ?” หลายคนเริ่มร้องขึ้นขอคำตอบด้วยความไม่พอใจ และโกรธแค้น

หลวงพ่อทอดสายตามองชาวบ้าน ในขณะนี้ทุกคนมีแต่แววตาแห่งโทสะบังเกิดขึ้น ทุกคนหลงงมงาย และเชื่อเป็นแน่แท้ว่าสิ่งที่พระนากรทำจะต้องถูกต้องทุกอย่าง........ หลวงพ่อมองดูสายตาทุกคู่ด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนที่พระนากรจะมาเหยียบที่หมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านทุกคนเคยเป็นคนที่ขยันขันแข็งตั้งใจทำการทำงาน พอมาตอนนี้ กลับกลายเป็นหมู่บ้านที่นั่งๆนอนๆรอวันหวยออกไม่ต่างอะไรกับซากศพ มิหนำซ้ำยังไม่รู้ตัวด้วยว่าสิ่งที่ตนมันทำนั้นผิด..... ศรัทธาที่ถูกปลูกฝังลงไปมันคงยากที่จะแก้ไขได้แล้วกระมัง!

หลวงพ่อถอนหายใจ สิ่งที่หลวงพ่อกำลังจะพูดออกไปมันอาจจะเป็นการทำลายชีวิตของคนๆหนึ่งทั้งชีวิต แต่หลวงพ่อก็จำเป็นที่ต้องพูดออกไปเพื่อให้ชาวบ้านตาสว่างกันในความจริงเสียที

“ถามสีกาแช่มดูเอาเองก็แล้วกัน อาตมาไม่ขอพูดต่อ” หลังหลวงพ่อกล่าวจบ นางแช่มบุคคลที่ถูกกล่าวถึงก็มีสีหน้าตื่นตระหนกเหมือนเห็นผี พอชาวบ้านทั้งศาลาหันไปมอง นางแช่มก็ทำหน้าตื่นวิ่งหนีฝ่าฝูงชนลงศาลาไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความมึนงงของชาวบ้าน

“หมายความว่ายังไงหรือครับหลวงพ่อ?” ผู้ใหญ่บ้านถามขึ้น ชาวบ้านคนอื่นๆก็พากันหันมามองหลวงพ่อกันหมดอย่างใคร่รู้.... หลวงพ่อรู้สึกเหนื่อยใจ แต่ก็จำเป็นต้องตอบ

“สีกาแช่ม เป็นชู้กับพระนคร” หลวงพ่อกล่าวเบาๆ ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้คนทั้งศาลาหน้าเสียด้วยความตื่นตระหนก

“จริงหรือครับหลวงพ่อ?” หนึ่งในชาวบ้านตะโกนขึ้น

“พระไม่มุสาหรอกโยม.. จะเชื่อหรือไม่นั้น ก็ตามใจพวกโยมเถิด”

ชาวบ้านหลายคนไม่เชื่อ พร้อมทั้งตะโกนส่งเสียงเอะอะหาว่าหลวงตาโกหก แต่พอชาวบ้านยกกันไปหาหลวงพี่นากรเพื่อขอคำอธิบายก็ปรากฏว่า หลวงพี่นากรหอบเงินทองที่ญาติโยมถวายให้หนีไปนานแล้วพร้อมๆกับนังแช่ม....!!



สามเดือนหลังจากคดีหลวงพี่นากรอุ้มสมบัติวัดหนีหายเงียบ ชาวบ้านที่โกรธแค้นเพราะศรัทธาในตัวหลวงพี่นากรก็ค่อยๆคลายความโกรธแค้นลง จนในที่สุดหมู่บ้านก็กลับเข้าสู่ชีวิตปกติที่ไม่ต้องพึ่งพาการเล่นหวยเป็นอาชีพหลัก ถึงอย่างนั้นตาสม กับเจ้ามือหวยที่ขาดรายได้ ก็ยังคงพยายามที่จะสถาปนาร่างทรงคนใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทนหลวงพี่นากรจนได้ถึงคนจะไม่ศรัทธาเท่าหลวงพี่นากรก็ตาม ในขณะที่หลวงพ่อไม่ใคร่สบายใจนักกับพฤติกรรมของตามสมที่กระทำการยั่วยุให้คนหันกลับไปหลงงมงายอีกครา..... ถึงกระนั้นหมู่บ้านก็ยังดูสงบสุขดี

ไม่มีใครเลยซักคนที่จะคาดคิดว่า ความเงียบสงบนั้นมักจะเกิดขึ้นก่อนเวลาที่พายุลูกใหญ่จะพัดผ่านเข้ามาเสมอ....... แม้แต่ในร่มเงาของพุทธศาสนาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

ในคืนพายุฝนพัดโหมกระหน่ำ คืนนั้นที่หมู่บ้านดอนเทพมีคนไปพบศพของเศรษฐีสม หรืออดีตขี้เมาสม นอนตายแข็งทื่อโดยมีบาดแผลฉกรรจ์เหวะหวะเต็มตัวอยู่ริมวัด ชาวบ้านต่างกล่าวกันไปต่างๆนานาถึงสาเหตุการตายของตาสม สาเหตุที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุด เห็นจะได้แก่การที่ลือกันให้แซ่ดว่าอดีตพระนากรกลับมาล้างแค้น เพราะตาสมไม่ยอมช่วยตนเองตอนมีเรื่องอื้อฉาวจนต้องหนีไปเป็นแน่..!!

วันถัดมาเจ้าของบ่อนหวยรายใหญ่ก็ถูกฆ่าปาดคอทิ้งหมกไว้ในคูน้ำข้างๆวัดพร้อมๆกับร่างทรงใบ้หวยคนใหม่ ศพของพวกเขาเกยตื้นเนื่องจากน้ำลดในตอนเช้าจนพวกหาปลาไปพบเข้า คนที่เกี่ยวข้องลึกซึ้งกับหลวงพี่นากรสองคนถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดในเวลาเพียงข้ามวัน มันทำให้ชาวบ้านเริ่มแน่ใจแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเป็นการฆาตกรรมแบบเจาะจงตัวกับคนที่มีส่วนทำลายชีวิตของหลวงพี่นากรเป็นแน่..!

ยิ่งความโหดเหี้ยมรายวันแบบท้ากฎหมายมาเยือน มันก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เมื่อจิตใจอ่อนแอลง ชาวบ้านก็ต้องพากันยกโขยงไปหาหลวงพ่อที่เปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจที่ยังเหลืออยู่เพื่อขอคำปรึกษา แทนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ดูไร้น้ำยา

“เดี๋ยวฝันร้ายก็ผ่านไปเองล่ะโยม จงรออย่างสงบเถิด!” มันเป็นคำตอบง่ายๆที่ออกมาจากปากของหลวงพ่อ ซึ่งมันทำให้ชาวบ้านโล่งใจขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่แล้ว......เหตุการณ์มันก็ยังคงเกิดขึ้นอีก!!

มีคนพบศพนังแช่มที่หายตัวไปพร้อมกับหลวงพี่นากรผูกคอตายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆกับวัดอีกครั้ง....!!

ความตื่นตระหนกที่หนักอยู่แล้วของชาวบ้านก็ยิ่งทวีคูณจนแทบระงับไว้ไม่อยู่ เหยื่อสามคนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นบุคคลใกล้ชิดของหลวงพี่นากรทั้งนั้น... แค่นี้ก็เป็นหลักฐานได้แล้วว่าใครมันเป็นคนลงมือทำการฆาตกรรมเหี้ยมโหดถึงขนาดนี้..!!



หมู่บ้านคอนเทพในวันนี้แตกต่างจากทุกวัน พอฟ้าเริ่มมืด บ้านทุกหลังก็จะพากันปิดหน้าต่างลงกลอน พร้อมกับซ่อนตัวอยู่ในบ้านด้วยความหวาดเกรงต่อแรงอาฆาตของพระนคร

ดึกดื่นค่อนคืนแล้วหลวงพ่อยังนอนไม่หลับ ท่านรู้สึกกระสับกระส่าย จนต้องลุกขึ้นมาเดินออกจากกุฏิไปยังห้องน้ำกลางดึกๆ ทั้งๆที่อาการป่วยของหลวงพ่อเองก็อาการไม่สู้ดีนัก

คืนนั้นก้อนเมฆบดบังแสงจันทร์กระจ่างทำให้ฟ้ามืดลง หลวงพ่อกำลังเดินอย่างช้าๆผ่านใต้ต้นไทรใหญ่ใกล้ๆกับอดีตกุฏิของหลวงพี่นากร ไปยังห้องน้ำที่เห็นแสงไฟอยู่ลิบๆ พอหลวงพ่อกำลังจะเดินผ่านต้นไทรนั้น แสงไฟจากกุฏิของหลวงพ่อ ก็สะท้อนมากระทบกับร่างของใครคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงามืดของต้นไทรเบื้องหลังหลวงพ่อ พร้อมทั้งส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมายังท่าน เมื่อร่างนั้นมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครตามหลวงพ่อมา ก็ล้วงเอามัจจุราชสีเงินเงาที่เหน็บไว้ด้านหลังออกมาจากมาถือไว้ แล้วย่างสุขุมเข้าไปหาหลวงพ่ออย่างช้าๆ และเงียบกริบ...

“อึ๊ก!!” มีเสียงร้องเบาๆลอดออกมาด้วยความตกใจเมื่อมัจจุราชเข้าถึงเป้าหมาย เสียงนั้นถูกเสียงแมลงกลางคืนกลบหายไปในความมืด พร้อมๆกับร่างๆหนึ่งทรุดฮวบลงไปนอนกองกับพื้น อย่างสิ้นเรี่ยวแรงแม้แต่จะเรียกชื่อของอีกฝ่ายที่กำลังยืนแสยะยิ้มอยู่ใต้แสงจันทร์



วันต่อมาที่วัดก็ต้องวุ่นวายกันขนานใหญ่ เพราะอาการของหลวงพ่อไม่ค่อยจะสู้ดี อาการของท่านทรุดฮวบลงตั้งแต่ตอนสายๆ ท่าทางของท่านใกล้จะลาสังขารจากโลงนี้เข้าไปเมทีแล้ว หลวงพ่อเริ่มหายใจสั้นๆถี่ๆ และพึมพำอย่างไม่ได้ศัพท์.... แต่สีหน้าของท่ากลับดี เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อย่างคนที่โล่งใจหลังจากที่ได้ลงมือทำอะไรซักอย่างที่ค้างคามานานจนเสร็จสิ้นแล้ว

ซักพักเสียงเอะอะวุ่นวายก็ยิ่งดังขึ้นไปอีก มีเสียงร้องตะโกน และเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นที่ลานวัด คนอื่นๆที่อยู่บนกุฏิเมื่อได้ยินเสียงดังนั้นก็ลืมหน้าที่เฝ้าดูหลวงพ่อของตน รีบวิ่งไปยังต้นตอของเสียงอย่างรวดเร็ว

ร่างๆหนึ่งนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนลานวัดท่ามกลางวงเลือดที่แห้งกรังบนพื้น ทุกคนจำใบหน้าของชายในชุดฆราวาสที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเหลือกลานนั้นด้วยความตกใจสุดขีดนั้นได้ดี ร่างๆนั้น คืออดีตหลวงพี่นากรที่ตอนนี้ถูกชิงลมหายใจไปแล้วด้วยรอยแผลลึกที่หน้าอก.......... แต่อาวุธที่ใช้คร่าชีวิตของเขานั้นกลับหายไป!!

บนกุฏิหลวงพ่อที่กำลังนอนหายใจอย่างรวยรินอยู่นั้นกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าเหมือนผู้ชนะ พร้อมทั้งพึมพำอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงขาดๆหายๆจนยากที่ใครจะจับความหมายได้!!

“ในที่สุด....ในที่สุด หมู่บ้านนี้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม”

หลวงตากล่าวได้เพียงเท่านั้น ลมหายใจของท่านก็ขาดห้วงหยุดไปตลอดกาล.............................



หนึ่งเดือนหลังจากงานศพของหลวงตา เณรที่มีหน้าที่ทำความสะอาดกุฏิของหลวงตาเพื่อไว้ให้พระรูปใหม่สามารถเข้ามาใช้เป็นที่พักได้ก็ได้ขึ้นมาทำความสะอาดตามหน้าที่ เณรทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมจนสะอาดเรียบร้อย แต่แล้วก็ต้องรู้สึกสะดุด เมื่อพยายามจะกวาดเอาขยะจากใต้เตียงไม้ออกมา มันมีอะไรที่หนักมากจนไม่สามารถใช้ไม้กวาดกวาดออกมาได้บริเวณจุดที่ลึกที่สุดใต้เตียง

เณร ทิ้งตัวลงนอนแนบกับพื้น แล้วค่อยๆใช้มือล้วงเข้าไปคว้านหาอะไรบางอย่างที่ถูกซุกไว้อย่างยากลำบาก พอดึงเอามันออกมาได้หลังจากที่เณรต้องทนเหนื่อยจนเหงื่อแตก มันกลับทำให้เณรร้องลั่น ก่อนที่จะโยนสิ่งนั้นทิ้งลงที่พื้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด.........................................!!

สิ่งนั้นมันคือ มีดปลายแหลมยาวราวหนึ่งศอก ที่มีหน้ากว้างตรงกับบาดแผลที่ใช้สังหารเหยื่อฆาตกรรทโหดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านทุกประการ........!!

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:14:43 น.
Counter : 495 Pageviews.  

เบื้องหลังนครหลวง

เบื้องหลังนครหลวง

----------------------------------------------------------
ศีรษะซีกหนึ่งของผมตอนนี้จมอยู่ในน้ำที่เจิ่งนอนบนพื้น ความเย็นฉ่ำของมันไหลเข้าสู่ประสาทสัมผัสทำให้ผมสั่นสะท้านจนอยากลุกเดินหนีไปจากที่ตรงนี้ แต่..! ผมก็ยังคงต้องทนนอนนิ่งอยู่ที่เดิม หาใช่เพราะผมไม่อยากลุก มันเป็นเพราะผมไม่สามารถต่อต้านแรงเหยียบที่กดผมไว้แน่นกับพื้นดินเหมือนท่อนเหล็กแข็งๆนี้ จากกลุ่มคนที่กำลังก้มลงมามองสภาพที่น่าสมเพศของผม ด้วยใบหน้าที่ดุดันพวกนี้ต่างหาก!!



ผมพยายามหลบหนีคนพวกนี้มาตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ผมวิ่งหนีพวกเขามาตั้งแต่ในตลาดสด จนตอนนี้มาสิ้นท่าอยู่ในตรอกเล็กๆที่มืดมิดของนครหลวง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ที่มีคนสัญจรผ่านไปมามากนัก ตอนแรกๆผมก็พยายามลัดเลาะหลบหนีโดยเลี่ยงจากฝูงชนแล้วเพื่อไม่ให้พวกเขาตามรอยเจอ แต่แล้วก็ปรากฏว่าผมตัดสินใจผิดพลาดจนโดนต้อนหนีกระเซิงมาเจอทางตันอย่างตอนนี้...!! เวลานี้ ผมก็เหมือนเป็นผู้พ่ายแพ้ในเกมไล่จับ ที่กำลังนอนรอคำพิพากษาจากกลุ่มผู้ชนะที่กำลังยิ้มกริ่มกันอยู่ตอนนี้!

“จับได้เสียทีไอ้ขี้ขโมย... เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่!!” หนึ่งในกลุ่มนั้นร้องขึ้นอย่างแค้นเคือง แถมไม่พูดเปล่าอีกต่างหาก

“พลั่ก!!!.........พลั่ก” เขาระดมส่งลูกเตะเข้าใส่ชายโครงผมเต็มกำลัง จนผมต้องดินพรวดๆอยู่บนพื้นดินด้วยความเจ็บปวด ผมก็อยากจะร้องตะโกนเพื่อลดความเจ็บปวดในขณะที่โดนเตะบ้าง แต่มันรู้สึกจุกจนไม่อาจส่งเสียงร้องได้เลยซักแอะ...!!

“มึงต้องโดนอย่างนี้! คราวหน้าจะได้ไม่กล้าขโมยอีก” เขายังคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งเตะทั้งถีบใส่ร่างของผมโดนไร้ความปราณี ผมพยายามดิ้นรนโดยหวังเพียงให้รอดพ้นจากสภาพเสียเปรียบนี้ ให้กลับไปอยู่ในสภาพของท่าพอที่จะตั้งท่าสู้ได้.. แต่ดูยังไงๆ กลุ่มคนที่ยืนแน่นจนบังมิดตรอกนี้ก็มีมากกว่าเยอะ! ผมคนเดียวคงหมดหวังที่จะฝ่าออกไปได้โดยครบ 32 ประการ!!

“นี่ๆ เข็ดรึยังมึงๆ!!!” ชายคนนั้นยังคงกระทืบผมที่พยายามดิ้นรนอย่างเมามัน แปลก! ผมไม่ยักกะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปก่อนหน้าเหตุการณ์นี้จะมาเยือนเลยซักนิด..



ผมเป็นผู้พเนจร! ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว ผมผ่านพ้นวัยเด็กมาด้วยความยากลำบากแสนสาหัส ต้องอดมื้อกินมื้อ!! จนร่างกายผายผอมแลดูเป็นลูกระนาดแต่ไกลอย่างชัดเจน ความอดอยากนี่ล่ะ! ที่ทำให้เวลาในวันๆหนึ่งของผมต้องหมดไปกับการนอนที่ริมถนนเพื่อประหยัดพลังงานไม่ให้ท้องหิวมากนัก ขนาดเป็นเวลานอนผมยังต้องระวังตัวเลยว่าวันไหนจะเจอแจ็กพอร์ตจากเจ้าของตึกที่พวกเขาเห็นว่าผมเป็นตัวเกะกะ แล้วออกมาไล่ด้วยความรุนแรงอย่างไร้ปราณี! ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าหากพวกเขาเอ่ยปากไล่ดีๆผมก็ไปให้อยู่แล้ว แต่นี่..? พวกเขากลับชอบคว้าอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือมาเขวี้ยงไล่ผมอยู่ร่ำไป!!

คงจะมีวัดเพียงที่เดียวเท่านั้นที่พอจะเมตตาผมบ้าง ที่นั้นมักมีอาหารเหลือจากการใส่บาตรของญาติโยมเหลือมาเป็นอาหารให้พวกผมทุกวัน ถ้าไม่ได้วัดแล้ว! ผมก็คงอดตายที่ข้างถนนไปนานแล้ว ยังไงเสีย! ขนาดวันเองผมก็ยังอยู่ได้ไม่นาน อันเนื่องมาจากเหล่านักเลงรุ่นพี่จำนวนมากที่มาอาศัยอยู่ก่อน... แถมพวกนี้ยังห้วงก้างสุดๆ ชอบหาเรื่องทะเลาะโดยเหมาว่าผมเป็นตัวจังไรแย่งส่วนอาหารเป็นประจำ! ทำให้เวลาหลวงตาเผลอทีไร ผมต้องรุมทึ้งลับหลังอยู่ร่ำไปจนทนอยู่ต่อไม่ไหว!!!

ไม่นานผมก็กลายมาเป็นผู้พเนจรเต็มตัว! คอยแสวงหาเก็บหาเล็มเศษอาหารจากข้าวกล่องที่เขากินไม่หมดบ้าง จากเศษอาหารที่เขาทิ้งไว้หลังร้านบ้าง! นานๆไปผมกลับคิดว่าชีวิตแบบนี้สนุกดีเสียอีก ผมจะกินตอนไหนก็ได้ไม่ต้องคอยใคร หรือจะนอนตอนไหนก็ได้ไม่ต้องรอให้ใครมาสั่ง แต่แล้ว...! วันอภิมหาซวยของผมก็มาเยือนจนได้



ผมเดินผ่านฝูงชนที่พลุกพล่านอยู่ในตลาดสดอย่างร่าเริง เป้าหมายในการหาอาหารวันนี้ คือการไปขอเศษปลาทูจากพ่อค้าขายปลาทูทอดเจ้าเดิมที่ชอบให้ปลาทูที่กำลังจะคัดทิ้งแก่ผมเป็นประจำ ผมเดินยิ้มตรงไปยังที่ร้านของเขาด้วยความเคยชิน แต่พอไปถึงผมก็ต้องผิดหวัง!! ปรากฏว่าวันนี้เขาปิดร้าน ไม่มาขาย!!

พอพวกพยาธิในท้องแฟบๆของผมรู้ว่าสงสัยมื้อนี้คงต้องอดปลาทูรสเลิศ พวกมันก็ช่วยกันส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงท้องของผมด้วยความไม่พอใจ ใช่สิ!.. พวกมันแค่ไม่พอใจ แต่ผมนี่สิถึงกับถอดใจทีเดียว!!

เมื่อแผนขั้นแรกไมประสบผลสำเร็จ ผมก็ต้องดำเนินการด้วยแผนสำรองเพื่อความอยู่รอด.. ผมเดินตัดกลางตลาดเพื่อหมายไปยังร้านขายเครื่องในต้มที่อยู่อีกฟากของตลาด แล้วแอบภาวนาในใจให้วันนี้เป็นเวรของลูกสาวแม่ค้าเครื่องในต้มมาขาย เพราะหล่อนใจดีจะตาย ยังเคยซื้อลูกชิ้นให้ข้ากินเป็นไม้ๆด้วยซ้ำ..แต่ขืนวันนี้คนแม่เป็นคนขาย แค่ผมผ่านหน้าร้านก็คงจะตายหยังเขียดแน่ๆ!

ทุกครั้งที่ผมเดินผ่านใคร คนๆนั้นก็ต้องถอยหนี และพยายามเดินหลบผมอย่างรังเกียจ บางคนทำหน้าขยะแขยงเหมือนเห็นผมเป็นหนอนเน่าๆตัวใหญ่ๆก็ไม่ปาน..นั่นมันเป็นในความคิดของเขาผมไม่สนใจหรอก! ผมยังคงเดินต่อไปได้อีกซักสองสามก้าวก่อนหยุดนิ่ง แล้วก้มลงดมใต้จั๊กแร้ของตัวเองดู อืม...! กลิ่นมันสุดยอดเกินบรรยายจริงๆ ขนาดผมดมเองยังแทบร่วง สำหรับคนอื่นนี่ไม่ต้องพูดถึง นี่ครั้งสุดท้ายที่ตัวผมถูกน้ำนี่มันเมื่อไหร่กันนะ?

ไม่นานผมก็มาถึงร้านขายเครื่องใน เคราะซ้ำกรรมซัด ปรากฏว่ามันก็ปิดเช่นกัน..!!

ผมคอตก! เหล่าพยาธิในท้องผมก็กำลังสลดเช่นเดียวกัน สงสัยว่าพวกมันคงหิวจนหมดแรงที่จะลุกขึ้นมาประท้วงผมต่อเพราะความหิวแน่ๆ ตอนนั้นเองที่มีเด็กเล็กๆยืนอมฮอทดอกอยู่ใกล้ๆตัวผม ผมหันไปเจอมันตามกลิ่นฮอทดอก!! แต่พอผมยิ้มหวานโชว์ฟันเหลืองอ๋อยด้วยคราบหินปูนให้มันเท่านั้นล่ะ มันก็ตกใจร้องหาแม่ก่อนจะวิ่งหายวับไปในตลาดทันที ทิ้งไว้แต่ฮอทดอกครึ่งไม้บนพื้นที่เสร็จผมในเวลาไม่นาน!!



ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะแผนการที่วางไว้มันดูผิดพลาดไปหมด! ผมตัดสินใจหอบเอาท้องที่กำลังร้องดังยังกับฟ้าร้องเดินตัดผ่านตลาดอีกรอบ เพื่อจะหลงเหลือเศษอาหารให้ผมแทะเล็มบ้าง!

เดินไปซักพักผมก็ต้องสะดุดใจกับกลิ่นเนื้อทอดในน้ำมันเดือดพลั่กๆที่หอมหวน ผมยืนหยุดมองดูเนื้อหมูชิ้นโตสีส้มทองบนตะแกงที่ทอดเสร็จแล้วด้วยตาละห้อย.... แต่พอมองเห็นเจ้าของร้านที่หน้าดำปิดปี๋อยู่หลังเตาเท่านั้นล่ะ ผมก็ต้องรีบเก็บลิ้นที่ห้อยลงมาอย่างรวดเร็ว!! เพราะจากผลสำรวจแล้วพบว่า คนๆนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบของบุคคลไร้เมตตา สุดสถุลไม่รู้จักกระทั่งทานประจำปีนี้ ข้อมูลอ้างอิงมาจากผลประเมินที่พวกผม(เหล่าผู้พเนจร)ช่วยกันสำรวจมา...!!

ผมพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะเดินจากสถานที่อันตรายตรงนี้ไปหาคนใจบุญเอาดาบหน้า แต่ทำยังไงๆขามันก็ยังคงยืนแข็งทื่อไม่ยอมขยับ มันเป็นมนต์เสน่ห์ของเนื้อสีทองที่ชวนชิมอันพันธนาการขาของผมไว้ ผมกลืนน้ำลายฝืดๆในคอ แล้วคิดในใจว่า “เอาว่ะ....!” ก่อนที่จะลองหันไปส่งสายตาน่าสมเพศให้กับเจ้าของร้าน เผื่อวันนี้เขาจะอยากรู้สึกทำบุญขึ้นมาบ้าง..!

“ไป!?” เป็นคำเดียวที่ผมได้รับตอบกลับมาจากใบหน้าที่ดุดันของเขา ยังไงก็ตาม! แค่นั้นมันก็ยังไม่เพียงพอหรอกที่จะทำให้ผมเปลี่ยนความตั้งใจ? ผมยังคงยืนส่งสายตาที่ดูเศร้าสร้อยให้เขาต่อไป แถมคราวนี้ผมยังพยายามฉีกยิ้มหวานส่งให้ด้วย!!

“ไอ้เวรตะไล! กูบอกให้ไปไง เกะกะหน้าร้าน” คราวนี้ผมได้ของแถมจากเขาติดมาด้วย มันเป็นน้ำมันร้อนฉ่าจากกะทะหนึ่งทัพพี! ผมกระโดดหลบไม่ทันเลยโดนเข้าหนึ่งฉาดที่แผงอก จนผมต้องร้องลั่นตลาดด้วยความเจ็บปวด ยิ่งตอนเกาแผลตรงที่โดนน้ำมันนั้นด้วยความแสบร้อน ผมรู้สึกเหมือนมีหนังกำพร้าหลุดติดไปด้วย!!..... คนทั้งตลาดหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน พร้อมกับยิ้มอย่างสะใจ!!!

พอความแสบนั้นริ่มทุเลาลง ผมก็เห็นเจ้าของร้านเนื้อกำลังจ้องมองผมด้วยอากรสมน้ำหน้าผมอย่างแรง ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเลือดขึ้นหน้า! รู้สึกโกรธมากที่เขาทำกับผมรุนแรงขนาดนั้น ผมไม่สนความชอบธรรมอะไรทั้งนั้น!! พอเขาทำท่าเผลอ ผมก็ฉกเอาเนื้อชิ้นใหญ่ที่สุดมา แล้วโกยแนบแบบไม่คิดชีวิต!!

“เฮ้ย...ขโมย!? ใครก็ได้ช่วยจับที..........” เจ้าของร้านตะโกนไล่หลังพร้อมวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไม่นานก็คงไม่ต้องให้ผมเล่าแล้วนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น?



ผมกรอกตาขึ้นไปมองก้อนเนื้อสีทองที่ตกอยู่อีกมุมของตรอกอย่างเสียดาย ท่าทางผมคงไม่ได้ลิ้มรสของมันแล้ว....! ถึงผมจะได้มันมาแทะอย่างกระหาย ณ ตอนนี้ก็ตาม ผมก็คงจะรับสัมผัสรสชาติอะไรไม่ได้นอกจากรสเลือดสดๆที่ปนกับดินทรายในปากของผมเอง!

“จะเอายังไงกับมันดี?” ชายคนหนึ่งในกลุ่มร้องถามกันขึ้น

“โทรเรียกทางการมาเอาตัวไปเลยดีกว่า.. ทำมันแค่นี้ก็พอมั้งสงสารมันมั่ง!!” คนใส่หมวกอีกคนร้องตอบ เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้เข้ามารุมทำร้ายผม..มีหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย!!

“เดี๋ยว...!? กูว่าขืนปล่อยไปเดี๋ยวมันก็กลับมาอีก” เจ้าของร้านขายเนื้อทอดที่กำลังเหยียบคอหอยผมขยี้ไปมากับพื้นเบาๆพูดขึ้น ท่าทางเขาแค้นจัด จนแค่การกระทืบผมไปหลายครั้งหลายหนยังไม่พอที่จะทำให้เขาส่าแก่ใจ!

“แล้วพี่ยังทำยังไง?” อีกคนที่ถือไม้หน้าสามถามขึ้น เจ้าของร้านนิ่งเงียบไปซักครู่จนผมเริ่มรู้สึกไม่ดี ซักครู่เขาก็ดีดนิ้วดัง แป๊ะ! เหมือนนึกอะไรเด็ดๆได้!

“ฆ่ามันทิ้งตรงนี้เลยดีกว่า..ไม่มีใครเห็นหรอก ถ้าเราไม่พูดแล้วใครจะรู้!” คำตอบนั้นมันทำให้ผมผงะ นี่บ้านเมืองมีขื่อมีแป กับการแค่ขโมยเนื้อแค่ชิ้นเดียวก็ถึงกับจะฆ่ากันทิ้งเลยเรอะ?... ผมพยามดิ้นรนเมื่อได้ยินบทสรุปพวกนั้น แต่ดินยังไงก็ยังดิ้นไม่พ้นจากเท้าที่กดแน่นนั้นซักที!

“เออ..ก็ไม่เลว จะเอายังไงก็เอาเถอะเร็วๆเข้า ถ้าไม่รีบไปขายของต่อเดี๋ยวหมดไม่ทันตอนเย็นจริงๆด้วย” ชายที่ถือไม้พูดสนับสนุน เจ้าของร้านเนื้อมองไปรอบๆ เขาเห็นไม่มีใครขัดแย้งอะไรขึ้นจึงยิ้มออกมา...!

เขาเงื้อมีดสับเนื้อแบบปลายแหลมที่ถือวิ่งตามล่าผมขึ้นไปจนสุดแขน สายตาของเขาที่มองมาที่ผมนั้นคมกริบ และแฝงไว้ด้วยความอาฆาตมุ่งร้าย คมมีดนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นเงาแว้บวับ แสงนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบไปทุกรูขุมขน หรือนี่! ชีวิตผมต้องมาจบลงอย่างง่ายดาย เพียงเพราะเหตุผลอภิมหางี่เง่าในตรอกเล็กๆอย่างนี้น่ะรึ?

“ทำอะไรกัน?” วินาทีก่อนที่มีกนั้นจะเสียบลงมาที่ต้นคอของผมนั่นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น ผมหันไปมองตามเสียงก็เห็นพระเจ้าในชุดเครื่องแบบกากีของตำรวจยืนอยู่ตรงปากทางเข้าตรอกด้วยท่าทางทรงอำนาจ เจ้าของร้านเนื้อหยุดชะงักแล้วลดมีดลง...... สรุปว่าตอนนี้ ผมรอดตายแล้วใช่ไหม?!

“อ๋อ..!! อ้ายนี่มันขโมยของซื้อของขายน่ะครับคุณตำรวจ” คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นเรียบๆ ตำรวจคนนั้นชะโงกหน้าผ่านกลุ่มคนนั้นเข้ามามองดูผมที่นอนแอ้งแม้งอยู่ใต้เท้าของคนขายเนื้อ.

“แล้วจะทำยังไงกับมัน?” ตำรวจยังคงกล่าวต่อไปโดยเมินต่อสายตาของผมที่กำลังพยายามส่งสัญญานขอความช่วยเหลืออยู่เร่าๆ!!

“ก็กะว่าจะ ฆ่า!! ทิ้งเลย หรือคุณตำรวจจะว่ายังไง? ยังไงเสียคุณตำรวจจะช่วยเป็นธุระแจ้งให้พวกรับผิดชอบเขามารับไปเลยก็ได้!” เจ้าของร้านเนื้อพูดขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง แต่มีดที่เขาถืออยู่กลับค่อยๆจ่อใกล้ผมเข้ามาทุกทีๆ ....ตำรวจนายนั้นเงียบไปซักครู่หนึ่ง!!

“ยุ่งยากเปล่าๆ...!! จัดการไปเลยก็แล้วกัน แค่ช่วยจัดการเรื่องศพให้ดีๆหน่อยก็พอ” ตำรวจนายนั้นพูดอย่างไร้เยื่อใยจบ ก็เดินจากไป

ผมพยายามร้องเรียกความเห็นใจจากตำรวจคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลยซักนิด!... นี่หรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร? ขนาดชีวิตของผมที่กำลังจะถูกพรากไปมาอยู่ต่อหน้าอย่างนี้ เขายังไม่ยอมเหลียวแลเลยซักนิด!!? ผมรู้สึกสิ้นหวังจนอ่อนแรง..

“อย่าพยายามเลย ยังไงเสียวันนี้มึงก็ไม่รอดแน่!” เจ้าของร้านกระซิบบอกผมที่ริมหู ผมหยุดดิ้นรน...! เหมือนกับกำลังยอมรัยชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น

“โครม...!” เสียงอะไรบางอย่างตกลงมาจากเบื้องบน ทุกคนในตรอกหันไปมองถุงขยะที่ถูกทิ้งลงมาจากหน้าต่างที่เปิดอ้าสู่กองขยะใกล้ๆตามสัญชาติญาณ ไม้เว้นแม้แต่เจ้าของร้านขายเนื้อ

มันเป็นโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าประทานมาให้! พอผมตั้งสติได้ผมก็รวบรวมแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่เอียงตัวมาใช้ปากกัดเข้าที่ขาของเขาสุดแรงเกิด...!!

“โอ๊ย!?” เขาร้องลั่น และทุกคนก็หันไปมองที่เขาด้วยความตกใจ ผมอาศัยเวลาที่ทุกคนตกตะลึงเพียงชั่วพริบตานั่นล่ะออกวิ่งลัดเลาะหลบหลีกคนกลุ่มนั้นไปมาอย่างรวดเร็ว.... เป็นอีกครั้งที่ผมสามารถรอดพ้นจากวิกฤตมาได้ และรู้สึกดีใจที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่!

ผมวิ่งห้อเต็มเหยีอดเหมือนม้าศึกที่คึกคะนองหลังจากสามารถฝ่าทะลวงกองทัพศัตรูนับหมื่นพันบนทุ่งกว้างมาได้ ต่างกันนิดหน่อยตรงที่สนามรบของผมไม่ใช่ทุ่งกว้าง แต่มันเป็นเพียงตรอกที่ดำมืด..!!

ผมวิ่งหนีจากไปไกลแล้ว แต่ประสาทหูที่ไวผิดมนุษย์มนาก็ยังได้ยินเสียงที่แว่วตามมาจากในตรอกนั้นด้วยน้ำเสียงที่เคียดแค้นอย่างชัดเจนว่า!

“ไอ้หมาเวร.... อย่าให้กูเจออีกนะมึง!!”









/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550    
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 16:14:10 น.
Counter : 326 Pageviews.  

1  2  3  4  

อัจฉริยะมืด
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัจฉริยะมืด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.