ชี้ทางให้ลูกเดิน อย่าใช้เงินจูงใจ

ชีวิตจะปกติสุข
ถ้ารู้จักใช้วิจารณญาณ
ได้ว่า อะไรถูก-ผิด



ชี้ทางให้ลูกเดิน อย่าใช้เงินจูงใจ


                วันนี้บังเอิญผู้เขียนได้มีโอกาส สัมผัสบรรยากาศแบบพ่อแม่-ลูกของชาวเยอรมัน กำลังจูงมือกัน ที่ลูกตัวเล็กหน่อยก็ใช้เขนรถเด็กทยอยเดินกันไปรับแสงแดดริมบึงน้ำธรรมชาติ พวกเด็กๆ และพ่อแม่ก็ส่งเสียงพูดกันเป็นภาษา Duetsche ถึงแม้ผู้เขียนจะฟังไม่เข้าใจนัก แต่ก็สัมผัสสถานการณ์ได้ด้วยภาพที่เห็น ท่าทางที่แสดงออกถึงความสนุกสนาน อย่างมีความสุข แบบพ่อแม่-ลูกอย่างเป็นธรรมชาติปกติ ที่ทำให้คิดตรงข้ามว่า “สิ่งขยะแขยงที่สุดของชีวิตคือ การเสแสร้งและสร้างภาพ” ที่บัณฑิตเข้าใจดี


                คนยุโรปส่วนใหญ่มักจะดีใจมากๆ เมื่อได้เห็นแสงแดด เพราะประเทศเขาเป็นเมืองหนาว ฤดูร้อนจึงเป็นอะไรๆ ที่สำคัญเอามากๆ เลย พวกเด็กๆ จึงสนุกเอามากๆ พอนึกเข้าไปถึงประเพณีวัฒนธรรม แล้วก็บรรยากาศการเลี้ยงลูก คนยุโรปเลี้ยงลูกอย่างอิสระไม่มีการตีลูก ใครตีลูกถือว่าผิดกฎหมาย ถูกตำรวจจับได้ง่ายๆ เราอาจจะนึกสอนตัวเองได้ว่า “ลดการคิดถึงเรื่องคนอื่นให้น้อยลง เราจะรู้สึกตัวได้สติมากขึ้น ได้ความคิดใหม่ๆ แล้วได้ทำงานมากขึ้น” คือ มุ่งใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น


แต่พวกเขาควบคุมลูกๆ ด้วยกฎระเบียบ แบบอย่าง สอนให้ลูกทุกคนช่วยเหลือตัวเองได้ ผู้เขียนเคยไปพักตามบ้านของฝรั่งล้วนๆ ส่วนใหญ่จะสอนให้ลูกทานอาหารเองตั้งแต่อายุสองขวบคือ มีโต๊ะอาหาร มีจาน ช้อน มีเก้าอี้ล็อกเบล ให้นั่งอยู่กับที่ไม่ให้ไปไหน จนกว่าจะทานอาหารหมด ฝึกให้ช่วยตัวเองในการกินจนเกิดเป็นนิสัย จนทำให้เด็กยุโรปส่วนใหญ่เป็นคนแข็งแกร่ง เป็นการมอบ “ชีวิตที่เกินทน เพื่อหล่อหลอมคนให้ทนทาน สร้างปราการแห่งความคิด นำชีวิตไปสู่จุดหมายได้” ด้วยการพึ่งตนเอง


ชี้ทางให้ลูกเดินแบบไทย


พอผู้เขียนหันมามองคนไทยส่วนใหญ่เลี้ยงลูก กลับมองว่า บางสิ่งทำให้ลูกเสียคนง่ายๆ ตามใจทุกอย่าง บางทีเด็กอายุสองสามขวบ พ่อแม่บางคนต้องไล่ป้อนระยะทางเป็นกิโลเมตรเลย กว่าจะกินข้าวอิ่ม พ่อแม่บางคนไม่สอนลูกอย่างมีแผน ใช้วิธีสอนแบบเอาเงินวางไว้ให้ลูกใช้อย่างเดียว ไม่สอนวิธีการช่วยตัวเอง ไม่สอนให้รู้ว่า การได้เงินมาแต่ละครั้งยากลำบากแค่ไหน มันเหมือนตำราที่ว่า “โอกาสที่จะเป็นเศรษฐี อาจมีไม่เท่ากัน แต่โอกาสที่จะเป็นคนดีมีเท่ากัน ขึ้นอยู่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น” ลองทบทวนดู


แม้สุภาษิตคำพังเพยของไทยเราแต่โบราณที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” จริงๆ แล้ว เราต้องสอนให้ถูกวิธี ทำตัวอย่างให้ดี มีบทลงโทษตามเหตุ ตามผล จึงไม่แปลกที่หลายครอบครัว จะตัดสินใจสั่งสอนลูกกันด้วยวิธีฝากรอยฝ่ามือ รอยไม้เรียว หรือรอยก้านมะยมไว้เตือนใจลูก เวลาเด็กๆ ทำผิด ตามกฏิกาที่ได้สัญญากันไว้


การตีเด็กซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างหนึ่งของคนเป็นพ่อแม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้พร่ำเพรื่อ แต่ต้องทำอย่างมีเหตุมีผล มีกฎกฏิกา ลงโทษโดยไม่ขาดสติ แต่ควรมีหลักที่ต้องคำนึงถึงด้วย เพื่อให้การตีนั้นๆ ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ต้องให้ลูกรู้ด้วยว่า ตนทำผิดอย่างไร แล้วผลที่ได้รับนั้นจะเกิดผลร้ายแรงแค่ไหน แต่คนที่เลี้ยงลูกเก่งๆ กันก็ไม่ตีกันหรอก ใช้ปฏิบัติตัวให้ดูจึงสอนได้สำเร็จ


มองให้ดีว่า “อย่าตีเด็ก ทุกความผิด” พฤติกรรมชวนปวดหัวของเด็กๆ เช่น การที่ลูกชอบสวมบทศิลปินน้อยชอบวาดภาพบนฝาผนัง การปัสสาวะรดที่นอน การเถียงพ่อแม่ หรือร้องไห้โวยวาย บางครั้งแม้จะทำให้พ่อแม่อารมณ์เสียสุดขีด แต่หากพิจารณาให้ดี พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะทำเมื่อต้องการเรียกร้องความรัก ความสนใจ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นการขาดความอบอุ่นก็เป็นได้ พ่อแม่ต้องพิจารณาตัวเองให้ดีว่า เป็นแบบอย่างได้แค่ไหน


ทุกครอบครัวมีสิทธิ์พบเจอพฤติกรรมแบบนี้ พ่อแม่สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องลงไม้ลงมือแต่อย่างใด แต่พฤติกรรมเช่น โกหก ขโมยของ ฯ เหล่านี้ต่างหากที่พ่อแม่ควรใส่ใจ ควรใช้การลงโทษให้หลาบจำ ไม่ให้ลูกติดนิสัยนี้เมื่อเขาโตขึ้นไป ต้องสอนเสมอว่า “อันตรายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราคือ อันตรายที่เกิดจากกรรมชั่วที่เราคิดว่า ทำแล้วเป็นความถูกต้องของเราเอง” ตรงนี้ชี้ทางให้เห็นชัดๆ


สิ่งแรกที่พ่อแม่ต้องให้ลูกก่อน คือ “คำสอนว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก” นี่สำคัญมาก อย่าพึ่งลงมือ ส่งสัญญาณก่อน ทันทีที่เห็นว่าลูกทำผิด อย่าพึ่งฟาดเพี้ยะ พ่อแม่หลายคนมือไวกว่าความคิด เจอปุ๊บฟาดปั๊บ ทางที่ดีควรมีการส่งสัญญาณเตือนก่อน เช่น การใช้สายตา และเสียงที่เข้มขึ้น


ตามเหตุผลที่สอนไว้ พร้อมประโยคเด็ดที่ว่า “ถ้าลูกทำอีก จะต้องโดนลงโทษแล้ว” ในคราวต่อไป โดยธรรมชาติจิตสำนึกของเด็กจะเข้าใจสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเตือนนั้นๆ เป็นอย่างดี ถ้าเด็กดื้อมาก นั่นแหละถึงจะโดนทำโทษ สิ่งสำคัญพ่อแม่ อย่าแสดงอาการที่ทำให้ไม่เข้าใจว่า “สิ่งไหนผิดกันแน่” ทำให้ลูกไม่เข้าใจกลายเป็นเด็กดื้อไป


ว.ปัญญาวชิโร






Free TextEditor


Create Date : 06 มกราคม 2554
Last Update : 7 มกราคม 2554 0:01:08 น. 1 comments
Counter : 513 Pageviews.

 
We always get what we have done...


โดย: Kokanut IP: 166.205.136.160 วันที่: 7 มกราคม 2554 เวลา:7:00:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com