เงินซื้อความเลว ให้เปลี่ยนเป็นดีไม่ได้

จงเปลี่ยนใจเสียใหม่ อย่าให้ความเลวร้ายครองใจเราเลย




เงินซื้อความเลว ให้เปลี่ยนเป็นดีไม่ได้

 


คนที่ไม่มีเงินอย่างบางคน มักใช้ข้อความว่า “ไม่มีเงินบ้าง” ก็แล้วไป แต่ในหัวใจพอทำงานเสร็จทีไร ได้เงินมาก็อดสงสัยกับตัวเองไม่ได้ว่า เงินซื้อไม่ได้ทุกสิ่งจริงหรือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงเช่นนั้น แต่ก็อดที่จะครุ่นคิดต่อไม่ได้ว่า “เงินคือ พระเจ้า” จริงหรือ

 


เงินสามารถสร้างชีวิตให้อยู่ดีกินดีทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้ โดยสามารถเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้ชีวิตมีทางเลือกมากขึ้น ประสิทธิภาพแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วนเทคโนโลยีปัจจุบันทำได้แม้แต่ความอ่อนวัยหรือสวยงามขึ้นก็เป็นไปได้ เงินยังสามารถทำให้เกิดความภาคถูมิใจและเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบในความสุขสูงขึ้น แต่คิดอีกทีชีวิตคนเรานั้น “อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะอยู่นิ่งเฉย Do not be afraid of going slowly, be afraid only of standing still.” มากกว่า เพราะการก้าวไปข้างหน้าด้วยการทำความดี เป็นมงคลสูงสุดของชีวิต

 


เงินสามารถสร้างภาพ...สร้างบุคลิกภาพให้กับตัวเอง แม้แต่จะให้มีองครักษ์หรือผู้ติดสอยห้อยตาม ที่อยู่ในบังคับบัญชาโอนอ่อนนอบน้อมให้กับตนเองทุกอย่าง แต่บางที “เงินก็ซื้อความสนิทชิดเชื้อแห่งมิตรไมตรีที่แท้จริงไม่ได้” ถึงได้ก็แค่ปลอมๆ ให้ได้สุขใจชั่วขณะกับเครือญาติ อีกทั้งยังมีเรื่องความรัก มิตรภาพที่เอื้ออำนวยให้อย่างไม่จริงจังได้แค่นั่น เพราะเมื่อหมดเงินเมื่อไรจึงรู้ความจริงว่า “คนรอบข้างเงินแก่เงิน” เท่านั้น

 


อำนาจของเงินบรรยายได้ตลอดอย่างยาวเหยียดและอำนาจยิ่งใหญ่อีกข้อของ “เงิน” เหมือนเป็นตัวแทนแห่งความสำเร็จของชีวิตปลอมๆ ที่ทุกคนภูมิใจมาก เมื่อเราทำงานสำเร็จแล้วได้เงินมากๆ ผู้คนมักจะยึดเป็นตัววัดความสำเร็จแห่งชีวิตของคนนั้นๆ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่คนยากจนมีความหวังสูงสุดคือ “มีเงินเป็นเทพเจ้าที่สำคัญที่สุดในชีวิต” จนลืมศีลธรรมไป

 


คนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ต้องพยายามทุกวิถีทาง ต่อสู้ดิ้นรน ทำงาน เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เงิน” เพื่อเป็นอำนาจต่อลองคนรอบข้างเพื่อชีวิต บางคนก็แสวงหาโดยไม่คำนึงถึงวิธีการใดๆ ไม่คิดถึงความผิดชอบชั่วดี ก่อเกิดความเดือดร้อนให้กับตนเอง คนรอบข้าง สังคม เป็นเรื่องน่าอนาถ เพราะหลงมัวเมาอำนาจแห่งเงินเกินการยอมรับความจริง เพราะคิดว่า “คนที่เลวกว่าเรายังมีมากกว่า แต่ลืมไปว่าที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะคนดีมีมากกว่าเลวต่างหาก” ลองคิดดีๆ อีกสักครั้ง

 


ชีวิตที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน แต่ก็ได้แค่พอประทังตนไปวันๆ เมื่อผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่าที่ผ่านไป เมื่อไม่สามารถสร้างความจริงให้ปรากฏ จิตใจจะค่อยๆ ปลงตก รับรู้ความเป็นจริง คิดในแง่ดีเป็นการปลอบใจตนเอง ให้เข้าสู่ความคิดเข้มข้นขึ้นว่า “เงินซื้อไม่ได้ทุกสิ่ง” แต่ใจตัวเองก็ยังไม่ได้สัมผัสความจริง เพียงแค่ปลอบใจตัวเองเท่านั้น

 


ลองคิดให้ดีว่า “เงินซื้อความสุขอันเป็นอ้อมกอดนุ่มๆ ได้ แต่ซื้อความอบอุ่นและความจริงใจไม่ได้” เพราะความจริงใจและความอบอุ่นที่แท้ มันเกิดจากความเห็นอกเห็นใจกันและกันต่างหาก คงไม่มีใครหลอกตัวเองได้สำเร็จ

 


แล้ววันหนึ่งคุณจะรู้ว่า “เงินซื้อสิ่งที่ร่างกายสัมผัสอันเป็นสุขได้ชั่วขณะ แต่ซื้อจิตวิญญาณแห่งความสุขของมนุษย์ที่แท้ไม่ได้” เพราะความสุขที่แท้มันเกิดจากสามัญสำนึกที่ถูกต้อง เกิดจากการสร้างเมตตาให้เกิดกับจิตใจของเราเอง

 


เมื่อคุณสำนึกได้ว่า “เงินไม่อาจซื้อสายตาที่จ้องมองคุณอย่างคนเลวร้ายได้ แล้วมันก็ไม่สามารถซื้อการแยกแยะผิด-ชอบ ชั่ว-ดี” เพราะมันเกิดจากจิตใจที่ใฝ่ดีมีคุณธรรมจากจิตใต้สำนึกที่แท้จริง

 


ในที่สุดคุณจะรู้ว่า “เงินซื้อได้เฉพาะการยกยอปอปั้น การตีสนิท การตีหน้าหลดกเล่าความเท็จ ความเสน่ห์หาบางอย่างได้ แต่ไม่ใช่ความห่วงใยที่แท้จริง เปลี่ยใจเสียใหม่หันมาปกป้องหรือรักเมตตา ถนอมใจต่อใจกัน” แล้วใจคุณจะรู้ว่า “เงินซื้อกฎแห่งความตายไม่ได้” เมื่อตายแล้ว ยิ่งไม่อาจซื้อเกียรติยศและความดีงามเป็นอนุสรณ์ให้กับตนเองได้ เพราะดี-ชั่วจะปรากฏให้เห็นตลอดกาล ใครก็เก็บซ่อนไม่ได้


ว. ปญฺญาวชิโร






 

Create Date : 18 ธันวาคม 2555    
Last Update : 18 ธันวาคม 2555 7:44:47 น.
Counter : 1497 Pageviews.  

เปลี่ยนจิตใจใต้สำนึก...วิธีคิดจึงเปลี่ยนไป

คิดสิ่งดีๆ เพื่อเปลี่ยนจิตใต้สำนึก





เปลี่ยนจิตใจใต้สำนึก...วิธีคิดจึงเปลี่ยนไป

 


หลักการพื้นฐานแห่งความคิดบนโลกใบนี้ที่เราควรรู้ทุกอย่างในโลกแห่งตัวเราเองคือ “สภาพจิตใจอันเป็นจิตใต้สำนึก จะเป็นตัวกำหนดสิ่งแวดล้อมของชีวิตเรา” สมมติคนๆ หนึ่งมีชีวิตที่ดี มั่งคั่ง ร่ำรวย มีเพื่อนที่ดี มีครอบครัวที่ดี เป็นที่นับน่าถือตา ใครๆ ก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเยี่ยมเสมอ จุดนี้การกระทำตรงนี้ไม่ได้แปลว่าคนๆ นั้นโชคดีที่สุด แต่เป็นเพราะจิตใจอันงดงามที่เขาสร้างขึ้นต่างหาก รวมถึงการรับรู้ในระดับจิตใต้สำนึกว่า “เรามีแต่ความจริงใจอันบริสุทธิ์ให้กับทุกสิ่งในชีวิต” นั่นเอง

 


ในสภาพจิตใจ ความรู้สึกที่บอกตัวเองว่า “มีน้ำใจ” เราย่อมรู้ว่า “อย่าไปเสียใจกับสิ่งดีๆ ที่มอบให้เขาแล้วเขาไม่รับ แต่ให้เราเก็บมันไว้ใช้เองดีกว่าเราต้องไปทุกข์ใจ” เพราะมันย่อมดึงดูดและเหนี่ยวนำให้เกิดการความรัก ความเมตตาขึ้นจริงในจิตใจ ไม่ว่าจะเป็น “เรื่องดี” หรือ “เรื่องร้าย” ก็ตาม ถ้าถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า จิตใต้สำนึกของเราจะคิดอะไรอยู่ คิดรู้ตัวว่า “ใจเรามีดี” เท่าไร? คิดรู้ตัวว่า “ใจเรามีร้าย” มากเท่าไร?

 


วิธีคิดคือ ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิตประจำวันเรา จิตใจเราเป็นอย่างไร..?

 


รวมถึงความรู้สึกและอารมณ์ที่รับรู้ได้ในระดับจิตใต้สำนึกที่เกิดขึ้น จงจำไว้เสมอว่า “ปริมาณความทุกข์จะลดน้อยตามความยึดมั่นมากน้อยแค่ไหน” ความอยากและความต้องการทุกอย่าง เป็นพื้นฐานมาจากความคิดที่ว่าเราไม่มี แต่จริงๆไม่ใช่ไม่มี เรามีแต่ไม่พอใจมันต่างหาก จิตใต้สำนึกของเรา บางทีรับรู้และตระหนักว่ามีแต่สิ่งร้ายๆ แต่อีกขณะหนึ่งกลับคิดเข้าข้างตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” เลยกลายสภาพเป็นจิตใต้สำนึกที่ร้าย ค่อยๆ ฝังอยู่จนเต็มหัวใจ

 


หากเราคิดดีๆ ไม่ว่า “เราจะเสียอะไรไปบ้าง เพื่อได้บางสิ่งบางอย่างดีๆ กลับมา” จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แม้ว่าผลคือได้มา แต่หารู้ไม่ว่า “มันจะไม่มีวันทำให้ความอยากของเราหมดไปได้” เพราะต้นเหตุที่แท้จริงอยู่ในใจเรา ใจที่มีทัศนคติที่เลวร้าย ใจที่คิดแต่ในแง่ลบหรือ ใจที่ไม่รู้จักพอ นี่เป็นการหลอกตัวนั่นเอง จงจำไว้ว่า “กรรมมันอยู่ที่คนพูด คนกระทำ ไม่ใช่อยู่ที่เรา เพียงเราไม่รับมาใส่ใจชีวิตก็เป็นสุขแล้ว” นี้เป็นทางออก

 


บางทีชีวิตเราเพียงแค่ “หลอก” ตัวเอง หรือ ใจเรา “โดนใจเราหลอก” หลอกตัวเอง โดยจิตใต้สำนึกเก่าๆ วนเวียนมาหลอก จริงๆ แล้วไม่มีใครตั้งใจจะหลอกให้จิตใต้สำนึกของเราหลอกเอง บางทีเราทำงานแย่ๆ แบบซังกระตาย เพราะจิตสำนึกบอกเพียงแค่เบื่อๆ อยากๆ มันน่าเศร้ากับชีวิตจริงๆ พูดง่ายๆ แบบภาษาชาวบ้านคือ เพราะความ “โง่ในดวงจิต” ของเรานี่เอง ทำไมถึงโง่ ก็เพราะเรามีอวิชชาความไม่รู้ว่าอะไรคือ ความจริงของโลกใบนี้ เราเชื่อในสิ่งที่ผิดมาตลอดอย่างเคยชิน แต่เราเข้าข้างตัวเองมาตลอด

 


เรื่องของการทำผิดและการถูกลงโทษในชีวิตบนโลกนี้ นี่คือพื้นฐานความกลัวที่สำคัญ พอมาบวกกับ “อวิชชา” ที่เชื่อในเรื่องต่างๆ อย่างผิดๆ ผลคือ “ชีวิตที่ผิดพลาด” รวมไปถึงเจ้าตัณหาอันเป็นความอยากไม่รู้จบ ค่อยๆ คิดย้อนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ แต่ก็ยังทำไม่ได้

 


ชีวิตเราสำเร็จได้ทุกอย่างตรงที่เราจะตัด “เจ้าตัณหาความอยาก” อันเกิดจากอวิชชาความไม่รู้ของเรานั่นเอง มันเป็นเจ้าความโง่ที่เกิดจากการไม่รู้ว่า ความจริงของโลกแห่งความหลงนี้คือ อะไรกันแน่ แต่เมื่อตอนนี้เรารู้แล้ว ทีนี้เราจะมาหาวิธีเอาชนะ “เจ้าตัณหา” อันเป็นความอยากด้วย “ศีล สมาธิ ปัญญา” ให้ได้ เราต้องเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง


ว. ปัญญาวชิโร






 

Create Date : 15 ธันวาคม 2555    
Last Update : 15 ธันวาคม 2555 1:21:42 น.
Counter : 1216 Pageviews.  

ฝึกใจให้รู้จักเรา-เขา

มองวิถีชีวิตให้ออก




ฝึกใจให้รู้จักเรา-เขา

 


ชีวิตที่เวียนวนบนโลกนี้ เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นลงจริงๆ เมื่อชีวิตเราได้เกิดเป็นมนุษย์สิ่งเดียวที่ต้องทำอย่างหมั่นคงคือ “ความอดทน” ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ที่สวนเวฬุวันว่า “ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา...ขันตี คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง” สมมติว่า “คนนั้นวันนี้ถูกด่าอีกแล้ว เราทุกข์ใจอีกแล้ว สมควรแล้วที่ปล่อยให้กิเลสทำร้าย งกๆ เงิ่นๆ โง่ๆ สิ้นดี” เพราะขาดสติปัญญาที่จะแก้ไข ขาดความอดทนเราจึงเป็นทุกข์ เป็นมนุษย์ที่มีใจเวียนวนทุกขณะจริงๆ

 


บางทีเราทำงานไป ดูบางคน “ไม่เห็นจะทำอะไรเลย เอาแต่ประจบเจ้านาย” กลับได้ดี แปลกแต่จริง ตรงนี้บางทีเราอาจจะมองเรื่องกรรมเพียงแค่ชั้นเดียว แล้วเราเอาไปสรุปว่า “ทำดีไม่ได้ดี” สู้ประจบเจ้านายไม่ได้ ลองดูตัวเองสิว่า “ทำงานทีไรไม่พลาดตรงนั้นก็พลาดตรงนี้หรือเปล่า” เพราะเราขาดสติไหม อิจฉาคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า เราต้องพัฒนาตัวเองแล้วต้องพัฒนาจิตใจเราด้วย จึงมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขได้ อย่ามองเพียงแค่คนประจบเจ้านายแล้วได้ดีเท่านั้น ต้องมองอย่างยุติธรรมด้วยใจเป็นกลาง

 


บางครั้งก็พูดตามอารมณ์ความสะใจของตัวเองออกไป บางครั้งพูดเพื่อให้รู้สึกว่า “ตนเหนือกว่าคนอื่น”ด้วยความอยากดูถูกเขา แต่จะรู้ไหมว่า คนฟังจะรู้สึกอย่างไร เจ็บแค้นน้อยใจ โกรธเกลียดคำพูดเราไหม มันเป็นประเด็นให้เราคิดอย่างมีสติสัมปชัญญะ เพื่อการแก้ไข แต่ก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน...ไปไหนไม่ได้ ลองคิดดูก็แล้วกันว่าสุดท้ายจะลงเอยยังไงข่าวหน้าหนึ่งปรากฏให้เห็นบ่อยๆ ทั้งทะเลาะกัน ทำร้ายร่างกาย ทำลายชีวิตทั้งตัวเอง เจ้าความอดทนจึงเป็นแม่บทสำคัญของการอยู่ร่วมกัน

 


สิ่งที่ทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข คือ “การไม่เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราก็คงอยากให้ทุกคนฟังแต่คำพูดที่เพราะๆ แนะนำด้วยจิตใจที่มีเมตตานี่สำคัญมาก ถ้าติก็ขอให้อยู่ในที่ลับตาไม่พูดกระทบกระเทียบ จงคิดเสมอว่า “สิ่งใดที่เราอยากได้จงนำสิ่งนั้นไปปฏิบัติกับผู้อื่นแล้วจะเรารู้ว่าความสุขทางใจนั้นมีอยู่จริง” แล้วเราจะได้สิ่งนั้นคืนมาจริงๆ แต่ที่สำคัญอย่าใจร้อนเกินไป ทำเพียงครั้งเดียวจะให้เห็นผลตลอดชาติเป็นไปไม่ได้ บางทีอยากให้คนอื่นทำดีกับเรา แต่เราไม่เคยทำดีให้ใครเลยแล้วมันจะได้อย่างไร

 


ใช้อารมณ์สอนใจ

 


ความเป็นอยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้ “ใจเราอย่าโกรธนานเกินไป” เพราะความโกรธเป็นที่ตั้งแห่งความผิดเป็นสิ่งที่หนักที่สุดที่มนุษย์แบกไว้ “คนที่แบกอารมณ์ร้ายๆ ไว้เหมือนคนบ้าหอบฟาง จะทิ้งก็เสียดาย เพราะเก็บมานาน แต่เก็บไว้คาไรก็เจ็บปวดทุกที” นี่เป็นวิธีที่สะท้อนให้เห็นแล้ว เตือนใจเราเองให้คิดพิจารณาเสมอว่า “อย่านำปัญหาเข้าไปนอนด้วย” เพราะมันจะทำลายสุขภาพจิต ทำให้จิตปกติกลายเป็นจิตร้อน นอนอย่างไงมันก็ไม่หลับทุกข์ร่ำไป

 


สุดท้ายมันอาจทำให้คุณนอนอย่างใจกังวล ตลอดคืน ตลอดชีวิตได้ อย่าแบกเอาปัญหาของคนอื่นไว้นานๆ เพราะใจเราเองก็มีภาระที่หนักที่สุดอยู่แล้ว เราจะต้องทำปัญหาของเขาให้เป็นปัญหาที่เขาต้องแก้เอง มิใช่เราไปนั่งคิดแก้ไขให้คนอื่นมันเปล่าประโยชน์ เราต้องพิจารณาเสมอว่า “ยิ้มได้เมื่อปัญหามา ชะตาชีวิตลิขิตด้วยการแก้ปัญหาเอง เพราะชีวิตที่แก้ไขปัญหาได้...เป็นชีวิตบันดาลสุขให้ใจเรา” โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครแก้ไข เพราะมันจะเสียเวลาเปล่าๆ

 


อย่าใช้ชีวิตทั้งชีวิตให้จมอยู่กับอดีต แต่ให้ “อดีตอยู่ในความทรงจำของเราเพื่อเป็นครูแก้ไขและให้ความสุข” เวลาระลึกถึงอดีตให้นึกว่า ครูที่เป็นปัญหาในอดีตต้องแก้ไขให้ได้ แต่อย่าจมอยู่กับอดีต จงสนใจกับปัจจุบัน แล้วเราจะมีความสุขในปัจจุบัน


ว.ปัญญาวชิโร






 

Create Date : 01 ธันวาคม 2555    
Last Update : 1 ธันวาคม 2555 23:47:55 น.
Counter : 771 Pageviews.  

ฝึกดูแรงบันดาลใจ

มองชีวิตให้เข้าใจ





ฝึกดูแรงบันดาลใจ

 


หากเราเพียงอาศัยความคิดที่ช่วยให้ก้าวไปข้างหน้า อย่างอาจหาญแต่เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้คนเรารู้สึกมั่นใจในการแสวงหาความดีกับชีวิตได้ ลองคิดดูว่า “บางทีการที่เราสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไป กลับมีแรงบันดาลใจในการฝึกฝนนิสัยที่ดีที่สุดให้กลับคืนมา” มันเป็นสิ่งประหลาดในใจเราเหมือนกัน บางทีต้องอาศัยเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมอย่างอื่นมาเป็นแรงดลใจอีกชั้นหนึ่ง การแสวงหานั้น จึงเห็นผลชัดเจนขึ้น จนนำไปสู่ความสำเร็จได้

 


สิ่งที่ทุกคนไขว่หาคือ “แรงบันดาลใจของชีวิต” เฉกเช่นพระพุทธเจ้ามีแรงบันดาลใจที่จะออกแสวงหาความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ เพราะพระองค์พิจารณาเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะผู้สงบ อย่างรอบคอบ จึงตัดสินพระทัยหนีออกจากพระราชวัง เพื่อค้นหาคำตอบชีวิตให้กับตัวเอง ในที่สุดพบ “อริยสัจสี่” อันเป็นทางพ้นทุกข์ สยบสังสารวัฏลงได้

 


นักวิทยาศาสตร์ชื่อว่า “นิวตัน ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากการหล่นของลูกแอ๊ปเปิ้ล” จึงพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยสติ ปัญญาและเหตุผล จนค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นมาได้

 


อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ได้แรงบันดาลใจ จากภัยสงครามที่โหดร้าย ทุกข์ทรมานจึงคิด “ปฏิกรณ์ปมรณู” ขึ้นมาเพื่อยุติสงคราม ความควบคุมคนใจร้ายให้กลัวเกรงด้วยอาวุธร้ายแรง

 


พี่น้องตระกูลไรท์ “สามารถสร้างเครื่องบินได้ เพราะมีแรงบันดาลใจจากการเห็นนกที่บินอยู่ บนท้องฟ้าเบื้องบน” จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากบินได้ จึงคิดหาวิธีเอาแบบอย่างนก เราจึงมีเครื่องบินใช้กันในโลกนี้

 


เราลองคิดให้ดีว่า “เรามีแรงบันดาลใจแห่งชีวิต” อะไรบ้าง จึงเป็นนิยามของการแสวงหาคำตอบให้กับตัวเองได้อีกแนวทางหนึ่ง การค้นหาตัวเองว่า “เราต้องการอะไร” บางทีมันอาจยากเกินไป แต่บางครั้งมันก็ง่ายนิดเดียว ตามแนวคำสอนทางพระพุทธศาสนา ใครได้พบความซับซ้อนที่มีอยู่ในตัวเองแล้วจะเห็นว่า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ลองหยิบสิ่งที่มีมาเป็นแรงบันดาลใจเพิ่มมากขึ้นดูสิ

 


ความปรารถนาที่ต้องการจึงจะสัมฤทธิ์ผล เมื่อเราได้เรียนรู้คำสอนของพระพุทธองค์อย่างถูกต้องแล้ว สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์รู้ได้ก็คือ “คำสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นภาวะสากลที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้”เมื่อเข้าใจแล้วจะสามารถสัมผัสสุขอันเกิดขึ้นภายในใจได้ อย่างมหัศจรรย์ที่สุด ในธรรมชาติแห่งจิตใจที่แท้จริง

 


พระพุทธศาสนาไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนเชื้อชาติใด ศาสนาใด และภาษาใด ล้วนมีภาวะแห่งความเป็น “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยใจทุกคน” เหลือเพียงแต่การค้นหาเท่านั้นเอง ชีวิตของคนเรา เมื่อต้องการค้นหาใจตัวเองให้เจอสัจธรรมอันแฝงซ่อนอยู่ในชีวิตควรมีแรงดลใจจากตัวเองเป็นตัวเร่งแรงขับภายในเป็นทุนเอาไว้

 


อุปมา “แรงบันดาลใจ” คือ กัลยาณมิตรสนับสนุนด้วย เพื่อเป็นเครื่องกระตุ้นให้มีการแสวงหาคำตอบของชีวิตให้กับตัวเอง เพราะเมื่อไตร่ตรองด้วยใจที่เป็นกลางแล้ว ชีวิตของเราที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ ไม่มีเวลามากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างอ้อยอิ่งต่อสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะยิ่งเดินเวลาก็ยิ่งเหลือน้อย ทุกสิ่งอย่างพระพุทธค้นคว้าไว้เป็นตัวอย่าง... ให้เราแล้ว รีบปฏิบัติตามแบบพระองค์เถิด


ว.ปัญญาวชิโร



 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2555 20:22:24 น.
Counter : 945 Pageviews.  

ท่าทีต่อชีวิตจริงที่เราต้องเผชิญ

มองชีวิตในสังคมให้ออกนะ





ท่าทีต่อชีวิตจริงที่เราเผชิญ

 


วันนี้ผู้เขียนมองไปที่ป้ายโฆษณาสารพัดเรื่องอย่างพิจารณา โฆษณามิเพียงแค่ส่ง “ข่าวสาร” มาให้ผู้คนได้ซึมซับเข้าไปสู่จิตเท่านั้น แต่มันทำให้หลายคนกลายเป็นผู้บริโภคที่ไร้จิตสำนึกไป เพราะคนโฆษณาก็ไร้จิตสำนึกเช่นกัน แต่ถ้าใครมองอย่างมีจิตสำนึกมันจะเป็นกระจกสะท้อนค่านิยมของผู้คนในสังคมปัจจุบันว่า “ชีวิตเราควรแก้ไขอย่างไร..?” เราควรมีท่าทีอย่างไรกับโฆษณานั้นๆ เพราะคนโฆษณาส่วนใหญ่หวังคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของป้ายโฆษณาว่า มีความเชื่อเช่นนั้นอยู่แล้ว สื่อโฆษณาทั้งหลายจึงใช้ความเชื่อเหล่านั้นเป็นเครื่องมือเพื่อให้คนบริโภคนิยมหลงใหลเกิดความรู้สึกดีต่อสินค้าที่ต้องการเสนอขาย เพื่อผลกำไร

 


แต่จริงๆ แล้ว สินค้าที่รายได้ดีมากๆ ในโลกปัจจุบันคือ ความสนุกสนาน เกมความสำเร็จ เซ็กส์ และความเป็นหนุ่มสาว เป็นปัจจัยแห่งความสุข ทุกวันนี้รายได้ต่อหัวของคนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับมีชีวิตหมกหมุ่นอยู่กับวัตถุนิยมมากเกินไป จนลืมคิดว่า “โลกแห่งความจริงไม่มีใครหนีได้ จริงจังและตั้งใจคือ กุญแจไขสู่ความสำเร็จ” ที่ไม่ต้องกลับไปทุกข์ใจ

 


ขณะที่สิ่งอำนวยความสนุกสนานและสถานบันเทิงเริงรมย์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ความสุขของผู้คนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย กลับจะลดลงด้วยซ้ำ หากดูจาก “สถิติคนเป็นโรคจิตโรคประสาทและอัตราการฆ่าตัวตายที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี” รวมทั้งการใช้ยาระงับความเครียดที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด การวิจัยเมื่อไม่กี่ปีมานี้พบว่าตามโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ มีการสั่งยาคลายเครียดหรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทถึง ๑ ใน ๔ ของใบสั่งยาทั้งหมด มองเห็นชัดไหมว่า “ชีวิตมนุษย์เรากำลังเผชิญกับอะไร” ต้องมองให้ออกแล้ว

 


คนจนใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์รู้จักประหยัดและรอบคอบอย่างมีสติสัมปชัญญะ ย่อมมีโอกาสร่ำรวยในวันหน้าได้ เพราะมีความเข้าใจชีวิตได้ดีกว่า มีมุมมองแง่คิดง่ายๆ ว่า “เราจะอยู่อย่างไร้สาระหรือสร้างสาระของชีวิต เพราะค่าแท้จริงชีวิตคือ ชีวิตจริงที่อย่างปกติสุขรู้จักตนเอง” เป็นข้อคิดประจำใจได้

 


ส่วนคนรวยที่ใช้เงินทองอวดตนว่า มั่งมีกว่าใครหรือใช้หาความสะดวกสบายเกินจริงอย่างขาดสติ อาจถึงกาลล่มสลายอย่างง่ายดาย เพราะการหลงตัว หลงใจตัวเองเดินทางผิดได้ ถ้ามองให้ดีคนมีเงินน้อยใช้เงินคล้ายคนจนก็มีสิทธิ์รวยและอยู่อย่างเป็นสุขได้ คนรวยใช้เงินน้อย ย่อมรักษาชีวิตที่สุขสบายได้ยาวนานและร่ำรวยขึ้นอย่างคาดไม่ถึง บางทีเงินอาจมาให้เรารู้จักจุดสูงสุด-ต่ำสุดของชีวิตได้ เพราะ “คุณค่าแท้ๆ ของชีวิตคือ ความบริสุทธิ์ใจ ที่ไม่มีแก่เจ็บตายไปตามร่างกาย” เป็นความดีเฉพาะใจ เฉพาะชีวิตนั่นเอง

 


ถ้าใช้เงินตามใจตัวเองเต็มที่ อาจกลายสภาพเป็นคนจนได้ในพริบตาเดียว ทุกคนควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังใจไม่ให้หลงทางและประหยัดอดทนอย่างถูกหลักตามทางสายกลาง “ถือเป็นสูตรแห่งความสำเร็จและสูตรรักษาความสำเร็จไว้กับตนและครอบครัวได้ยาวนาน” ถ้ามองให้เป็น

 


มองค่าของเงินให้ออก

 


เงินมีส่วนทำให้คนมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงทางจิตใจทั้งหมด แล้วไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต “เงินที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ช่วยให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น เพียงแค่สะดวกมากขึ้นเท่านั้น” เพราะชีวิตเราจะทำอะไรหวังแค่เงินเท่านั้น ก็เลยติดสุขที่เปลี่ยนแปลงไป พอขาดไปก็กลับทุกข์ยิ่งกว่าเดิมหรือใช้เงินไปซื้อบางสิ่งไม่ได้เช่นความจริงใจ แก่ เจ็บ ตาย พอเผชิญจริงๆ ก็กลายเป็นทุกข์อีก

 


จากการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่ร่ำรวยกับยากจน...ประเทศร่ำรวยไม่จำเป็นต้องมีความสุขมากกว่าประเทศที่มีรายได้ปานกลางหรือยากจน อาจกลับกันด้วยซ้ำ เช่น อาเจนติน่าอาจมีความสุขมากกว่าโปร์ตุเกสและเยอรมนีก็อาจเป็นได้


ว.ปัญญาวชิโร






 

Create Date : 21 ตุลาคม 2555    
Last Update : 21 ตุลาคม 2555 10:56:11 น.
Counter : 852 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  
 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com