ชีวิตเหมือนกระดาษวางเปล่า
โลกแห่งความจริง ใครๆ ก็หนีไม่พ้น
ชีวิตเหมือนกระดาษเปล่า วันนี้หลังจากผู้เขียนได้บรรยาย ธรรมกับชีวิตจริง ให้เด็กๆ จากโรงเรียนมัธยมใกล้ๆ วัดในจังหวัดโคราชแล้ว จึงกลับมาที่พักพร้อมกับหยิบกระดาษเปล่าริมหนึ่งขึ้นมาแล้วก็หยิบออกมาหลายแผ่น โอกาสแห่งความคิดได้แล่นขึ้นมาแวบหนึ่งว่า โอ้...! ชีวิตเราช่างเหมือนกระดาษที่ว่างเปล่า แล้วแต่เราจะเขียนอะไรลงไป มันเป็นข้อคิดสะกิดใจอย่างประหลาดๆ บางทีเราเขียนชีวิตมากเกินไป บทบาทก็แปรเปลี่ยนจากเรื่องจริงกลายเป็นเรื่องเครียดไป ลองคิดดูให้ดี ชีวิตเราจะละโมบโลภมากกันไปถึงไหน...? เพราะจุดหมายปลายทางจะเหมือนกันทุกคน แต่คำพูดกับความคิดยังสำเร็จไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ลงมือกระทำความดีอะไร..? แน่นอนเราก็จะไม่ได้รับความดีอะไรให้กับชีวิตเลย อย่างน่าเสียดาย บางทีวินาทีแห่งความวิตกกังวลในจิตใจเรากับเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกแห่งความน่ากลัวที่ดูสับสนวุ่นวาย ฟุ้งซ่านกับทุกเรื่องราวแห่งความสับสนวุ่นวาย.. เราลองเริ่มต้นหยุดพักใจสักนิด หยุดแย่งชิ่งทุกสิ่งบนโลกนี้สักหน่อย แล้วคิดให้ดีว่า สูงสุดล้วนต้องคืนสู่สามัญด้วยกันทุกคน ใยต้องดิ้นรนให้เป็นทุกข์ใจไปด้วยเล่า ลองแอบคิดในใจดีๆ เพื่อได้ธรรมะขึ้นมาบ้าง มันอาจจะให้เราได้ฉุกคิดอะไรบ้าง ที่ซ่อนอยู่ในความรู้เราอย่างมหัศจรรย์ก็ได้ บางทีเราได้หยุดความสับสน กลับมาสร้างความคิดใหม่ที่จะไม่ให้วุ่นวาย ให้สงบ เย็นขึ้นที่กลางใจของเรา พยายามสลัดความรู้สึกที่ดูสับสน วุ่นวาย ด้วยการนั่งนิ่ง ๆ สักนาที.. แล้วลองสังเกตตัวเองดู..ว่า การพัฒนาร่างกายต้องเคลื่อนไหวจึงแข็งแกร่ง แต่จิตใจต้องสงบนิ่งจึงเกิดพลัง ขอเพียงนาทีเดียว ที่สามารถหยุดความสับสน กระวนกระวายลงได้กับทุกๆ เรื่อง ความสว่างไสวแห่งปัญญาจะเกิดขึ้นกลางใจทันที ธรรมะศิษย์กับครู ตัวอย่าง... ตอนนี้เองทำให้คิดถึงเรื่องราวสอนใจเรื่องหนึ่งระหว่างครูกับศิษย์มีเรื่องอยู่ว่า ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง หลังจากสอบกลางภาคเสร็จใหม่ๆ ครูสมชายเดินผ่าน บริเวณที่นั่งริมสวนหย่อม เห็นเด็กชายพิภพลูกศิษย์คนสนิท นั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว เกิดความสงสัยจึงเดินตรงเข้าไปถาม ครู : แหม...! ขยันจังเลยนะ สอบเสร็จไม่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเหรอ ทำไมจึงมานั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว..? พิภพ: ยกมือไหว้พร้อมกล่าวว่า สวัสดีขอรับ คุณครู... อ๋อ! ผมเผอิญอ่านหนังสือค้างไว้ตั้งแต่ก่อนสอบ พอสอบเสร็จแล้วจึงมานั่งอ่านต่อกำลังสนุกได้ความรู้เลยขอรับ ครู: ตัวครูเองก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เอาไว้วันหลังครูจะเอาหนังสือดีๆ มาให้เธออ่านบ้าง แต่เธอเคยคิดไหมว่า ชีวิตเราก็คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ บทประพันธ์เป็นของตัวเราเอง ที่เขียนอย่างไร..? ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา พิภพ : อย่างไรหรือขอรับ? ครู: คือว่า หนังสือเหมือนชีวิตของเราไง ชีวิตเราแรกเริ่มเดิมทีเป็นเสมือนกระดาษเปล่าไม่มีอะไร ที่เราต้องใช้ประสบการณ์ในชีวิตของเราเป็นเนื้อหาของหนังสือ ชีวิตที่จริงแล้วก็เป็นเพียงหน้ากระดาษของเวลา อันว่างเปล่า เราต้องใช้ความคิดของเราเพื่อสร้างสรรค์สาระขึ้นมา ไม่มีใครเขียนแทนให้เราได้ วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิตเราจะมีอะไร...? เป็นตัวต่อลอง ต่อสู้บ้าง บอกแนวทางดีๆ แก่ใจเราบ้าง เราเคยคิดไหม..? บางทีมันได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสงลงอย่างฉลับพลัน และเหมือนชีวิตมืดมน... หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญว่า ชีวิตไม่มีหนทางเลือกไปไหน โลกไม่มีที่ให้อยู่อย่างเป็นสุขแล้ว ถ้าใจเราไม่เป็นสุข นี่คือ ประเด่นสำคัญที่ใจเราจะมองโลกนั่นเอง จริงๆ แล้วเราเป็นผู้เขียน เป็นผู้อ่านบทความที่เราเขียนเองทุกวัน สุขใจและทุกข์ใจเอง ทุกวันเราอาจโกหกคนอื่นได้เป็นหมื่นเที่ยว แต่เราโกหกใจของตัวเองไม่ได้เลย ลองคิดดูว่า น้ำในคลองแสนแสบก็ระเหยขึ้นไปรวมกลุ่มกับเมฆบนฟ้าได้เหมือนน้ำแร่เช่นกัน ดังนั้นคนยากจนจึงมีสิทธิ์ทำดีเท่าๆ กับมหาเศรษฐี แต่เงื่อนไขอยู่ตรงที่เราจะกล้าพอไหม ถ้าเราทำดีแล้วได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเราก็จะบันทึกเรื่องที่ดีๆไว้ในใจ เหมือนภาพวีซีดีที่ไม่มีใครมาลบออกได้ เราก็มีความสุข ถ้าเราทำชั่วหรือไม่ได้ตามสิ่งที่ต้องการเราก็มีความทุกข์ เราก็บันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ในความทรงจำของเราเสมอ พิภพ : เหมือนจดไดอารี่ใช่ไหมขอรับ ครู: คิดว่ามันคล้ายๆ อย่างนั้น แต่นอกจากนั้นก็คือ เราเป็นผู้กำหนดเรื่องราวของชีวิตตัวเองด้วย ทั้งความสำเร็จและล้มเหลว ไม่ใช่แค่บันทึกเรื่องราวๆ ต่างๆ อย่างเดียว แต่เป็นพระเอกที่สำคัญในเรื่องเสมอ พิจารณาให้ดีว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งต่ำก็ยิ่งเย็น เพราะโลกมีสามมิติ ทางใดสูงหรือทางใดต่ำ เราต้องประมาณเอง จึงเข้าใจได้ พิภพ : ไม่เข้าใจขอรับ เราจะเลือกเป็นอะไรได้ตามใจเราหรือขอรับ ส่วนใหญ่ ผมว่าเราถูกสภาพ แวดล้อมกำหนดมากกว่า เช่น มีคนมาทำให้พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง บางทีก็มีโชคชะตากำหนดให้โชคดีโชคร้ายสลับกันไปอย่างคาดไม่ถึง ครู : เธอยังไม่เข้าใจ ตัวเราเองนี่แหละกำหนดชะตาชีวิตของเราเอง ในทางพระพุทธศาสนาสอนว่า เรา ไม่ควรพูดว่า ชะตาชีวิตเราถูกกำหนดไว้แล้ว มีแต่เพียงกรรมที่เราสร้างไว้ในอดีตต้องรับมัน แต่กรรมปัจจุบันเรากำหนดเองได้ ตั้งแต่เราเกิดแล้ว ให้มีรูปร่างหน้าตาต่างๆ กันอันนี้กรรมเก่ากำหนดให้ ส่วนสติปัญญาความรู้ นิสัยใจคอ เรากำหนดขึ้นมาเอง เราหาเพิ่มเติมสะสมเอง จริงๆ ทุกสิ่งอย่างที่เรากระทำต่างหาก เป็นตัวกำหนดการกระทำด้วยเจตนาที่ดีและชั่วเป็นกรรมต่อไปในชาตินี้และชาติต่อไป อาจมีบางครั้งที่กรรมในอดีตมาให้ผลบ้างเช่น ประสบอุบัติเหตุ ประสบชะตากรรมที่ไม่ดี มีโรคประจำตัว มีโรคร้ายแรง หรือ มีศัตรูคู่เวรมารังควาญ ก็เป็นเพียงฉากหนึ่งให้เราเลือกแสดงกรรมเท่านั้น ผู้ไม่รู้ก็คิดว่าเป็นโชคชะตา ผู้รู้ก็จะทำใจได้ว่าเป็นผลของกรรมเก่าและกรรมไม่ดีในปัจจุบันมาร่วมกันส่งผลแค่นั้นเอง เราก็ทำกรรมใหม่ประคับประคองไปได้ โดยไม่ต้องปล่อยใจให้ทุกข์จนเกินไป เพราะทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของใครเลย สรุปก็คือ เรานี่แหละเป็นคนเขียนหนังสือกำหนดอุปนิสัย บทบาทของตัวละคร และเป็นตัวแสดงเสียเอง เมื่อแสดงไปนานๆ ก็จำไม่ได้ว่าเรากำหนดอะไรไว้ ทำอะไรไว้ อาจเป็นเพราะบทบาทที่เราต้องเลือกแสดงในแต่ละวันเหมือนไม่มีใครกำหนดหรือบังคับ พอเกิดเรื่องอะไรไม่ดีก็โทษโชคชะตา โทษกรรม แล้วใครเล่าจะเป็นคนกำหนดโชคชะตาหรือกรรม ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง ล้วนเป็นสิ่งที่เราทำไว้แล้วเป็นต้นทุนทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้รอเพียงเวลา สถานการณ์ และโอกาสที่จะให้ผลแค่นั้นเอง ว. ปัญญาวชิโร
Free TextEditor
Create Date : 07 พฤษภาคม 2554 | | |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2554 14:44:25 น. |
Counter : 1425 Pageviews. |
| |
|
|
|