ชีวิตเหมือนกระดาษวางเปล่า

โลกแห่งความจริง ใครๆ ก็หนีไม่พ้น



ชีวิตเหมือนกระดาษเปล่า


วันนี้หลังจากผู้เขียนได้บรรยาย “ธรรมกับชีวิตจริง” ให้เด็กๆ จากโรงเรียนมัธยมใกล้ๆ วัดในจังหวัดโคราชแล้ว จึงกลับมาที่พักพร้อมกับหยิบกระดาษเปล่าริมหนึ่งขึ้นมาแล้วก็หยิบออกมาหลายแผ่น โอกาสแห่งความคิดได้แล่นขึ้นมาแวบหนึ่งว่า “โอ้...! ชีวิตเราช่างเหมือนกระดาษที่ว่างเปล่า แล้วแต่เราจะเขียนอะไรลงไป” มันเป็นข้อคิดสะกิดใจอย่างประหลาดๆ บางทีเราเขียนชีวิตมากเกินไป บทบาทก็แปรเปลี่ยนจากเรื่องจริงกลายเป็นเรื่องเครียดไป


ลองคิดดูให้ดี “ชีวิตเราจะละโมบโลภมากกันไปถึงไหน...?” เพราะจุดหมายปลายทางจะเหมือนกันทุกคน แต่คำพูดกับความคิดยังสำเร็จไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ลงมือกระทำความดีอะไร..? แน่นอนเราก็จะไม่ได้รับความดีอะไรให้กับชีวิตเลย อย่างน่าเสียดาย


บางทีวินาทีแห่งความวิตกกังวลในจิตใจเรากับเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกแห่งความน่ากลัวที่ดูสับสนวุ่นวาย ฟุ้งซ่านกับทุกเรื่องราวแห่งความสับสนวุ่นวาย.. เราลองเริ่มต้นหยุดพักใจสักนิด หยุดแย่งชิ่งทุกสิ่งบนโลกนี้สักหน่อย แล้วคิดให้ดีว่า “สูงสุดล้วนต้องคืนสู่สามัญด้วยกันทุกคน ใยต้องดิ้นรนให้เป็นทุกข์ใจไปด้วยเล่า” ลองแอบคิดในใจดีๆ เพื่อได้ธรรมะขึ้นมาบ้าง มันอาจจะให้เราได้ฉุกคิดอะไรบ้าง ที่ซ่อนอยู่ในความรู้เราอย่างมหัศจรรย์ก็ได้


บางทีเราได้หยุดความสับสน กลับมาสร้างความคิดใหม่ที่จะไม่ให้วุ่นวาย ให้สงบ เย็นขึ้นที่กลางใจของเรา พยายามสลัดความรู้สึกที่ดูสับสน วุ่นวาย ด้วยการนั่งนิ่ง ๆ สักนาที.. แล้วลองสังเกตตัวเองดู..ว่า “การพัฒนาร่างกายต้องเคลื่อนไหวจึงแข็งแกร่ง แต่จิตใจต้องสงบนิ่งจึงเกิดพลัง” ขอเพียงนาทีเดียว ที่สามารถหยุดความสับสน กระวนกระวายลงได้กับทุกๆ เรื่อง ความสว่างไสวแห่งปัญญาจะเกิดขึ้นกลางใจทันที


ธรรมะศิษย์กับครู


ตัวอย่าง... ตอนนี้เองทำให้คิดถึงเรื่องราวสอนใจเรื่องหนึ่งระหว่างครูกับศิษย์มีเรื่องอยู่ว่า ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง หลังจากสอบกลางภาคเสร็จใหม่ๆ ครูสมชายเดินผ่าน บริเวณที่นั่งริมสวนหย่อม เห็นเด็กชายพิภพลูกศิษย์คนสนิท นั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว เกิดความสงสัยจึงเดินตรงเข้าไปถาม


ครู : แหม...! ขยันจังเลยนะ สอบเสร็จไม่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเหรอ ทำไมจึงมานั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว..?


พิภพ: ยกมือไหว้พร้อมกล่าวว่า สวัสดีขอรับ คุณครู... อ๋อ! ผมเผอิญอ่านหนังสือค้างไว้ตั้งแต่ก่อนสอบ พอสอบเสร็จแล้วจึงมานั่งอ่านต่อกำลังสนุกได้ความรู้เลยขอรับ


ครู: ตัวครูเองก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เอาไว้วันหลังครูจะเอาหนังสือดีๆ มาให้เธออ่านบ้าง แต่เธอเคยคิดไหมว่า “ชีวิตเราก็คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่ง” แต่ “บทประพันธ์เป็นของตัวเราเอง” ที่เขียนอย่างไร..? ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา


พิภพ : อย่างไรหรือขอรับ?


ครู: คือว่า หนังสือเหมือนชีวิตของเราไง ชีวิตเราแรกเริ่มเดิมทีเป็นเสมือนกระดาษเปล่าไม่มีอะไร ที่เราต้องใช้ประสบการณ์ในชีวิตของเราเป็นเนื้อหาของหนังสือ ชีวิตที่จริงแล้วก็เป็นเพียงหน้ากระดาษของเวลา อันว่างเปล่า เราต้องใช้ความคิดของเราเพื่อสร้างสรรค์สาระขึ้นมา ไม่มีใครเขียนแทนให้เราได้ “วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิตเราจะมีอะไร...?” เป็นตัวต่อลอง ต่อสู้บ้าง บอกแนวทางดีๆ แก่ใจเราบ้าง


เราเคยคิดไหม..? บางทีมันได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสงลงอย่างฉลับพลัน และเหมือนชีวิตมืดมน... หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญว่า ชีวิตไม่มีหนทางเลือกไปไหน “โลกไม่มีที่ให้อยู่อย่างเป็นสุขแล้ว ถ้าใจเราไม่เป็นสุข” นี่คือ ประเด่นสำคัญที่ใจเราจะมองโลกนั่นเอง


จริงๆ แล้วเราเป็นผู้เขียน เป็นผู้อ่านบทความที่เราเขียนเองทุกวัน สุขใจและทุกข์ใจเอง ทุกวันเราอาจโกหกคนอื่นได้เป็นหมื่นเที่ยว แต่เราโกหกใจของตัวเองไม่ได้เลย ลองคิดดูว่า “น้ำในคลองแสนแสบก็ระเหยขึ้นไปรวมกลุ่มกับเมฆบนฟ้าได้เหมือนน้ำแร่เช่นกัน ดังนั้นคนยากจนจึงมีสิทธิ์ทำดีเท่าๆ กับมหาเศรษฐี” แต่เงื่อนไขอยู่ตรงที่เราจะกล้าพอไหม


ถ้าเราทำดีแล้วได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเราก็จะบันทึกเรื่องที่ดีๆไว้ในใจ เหมือนภาพวีซีดีที่ไม่มีใครมาลบออกได้ เราก็มีความสุข ถ้าเราทำชั่วหรือไม่ได้ตามสิ่งที่ต้องการเราก็มีความทุกข์ เราก็บันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ในความทรงจำของเราเสมอ


พิภพ : เหมือนจดไดอารี่ใช่ไหมขอรับ”


ครู: คิดว่ามันคล้ายๆ อย่างนั้น แต่นอกจากนั้นก็คือ เราเป็นผู้กำหนดเรื่องราวของชีวิตตัวเองด้วย ทั้งความสำเร็จและล้มเหลว ไม่ใช่แค่บันทึกเรื่องราวๆ ต่างๆ อย่างเดียว แต่เป็นพระเอกที่สำคัญในเรื่องเสมอ พิจารณาให้ดีว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งต่ำก็ยิ่งเย็น เพราะโลกมีสามมิติ ทางใดสูงหรือทางใดต่ำ เราต้องประมาณเอง” จึงเข้าใจได้


พิภพ : ไม่เข้าใจขอรับ เราจะเลือกเป็นอะไรได้ตามใจเราหรือขอรับ ส่วนใหญ่ ผมว่าเราถูกสภาพ แวดล้อมกำหนดมากกว่า เช่น มีคนมาทำให้พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง บางทีก็มีโชคชะตากำหนดให้โชคดีโชคร้ายสลับกันไปอย่างคาดไม่ถึง


ครู : เธอยังไม่เข้าใจ ตัวเราเองนี่แหละกำหนดชะตาชีวิตของเราเอง ในทางพระพุทธศาสนาสอนว่า เรา “ไม่ควรพูดว่า ชะตาชีวิตเราถูกกำหนดไว้แล้ว มีแต่เพียงกรรมที่เราสร้างไว้ในอดีตต้องรับมัน แต่กรรมปัจจุบันเรากำหนดเองได้ ตั้งแต่เราเกิดแล้ว” ให้มีรูปร่างหน้าตาต่างๆ กันอันนี้กรรมเก่ากำหนดให้ ส่วนสติปัญญาความรู้ นิสัยใจคอ เรากำหนดขึ้นมาเอง เราหาเพิ่มเติมสะสมเอง


จริงๆ ทุกสิ่งอย่างที่เรากระทำต่างหาก เป็นตัวกำหนดการกระทำด้วยเจตนาที่ดีและชั่วเป็นกรรมต่อไปในชาตินี้และชาติต่อไป อาจมีบางครั้งที่กรรมในอดีตมาให้ผลบ้างเช่น ประสบอุบัติเหตุ ประสบชะตากรรมที่ไม่ดี มีโรคประจำตัว มีโรคร้ายแรง หรือ มีศัตรูคู่เวรมารังควาญ ก็เป็นเพียงฉากหนึ่งให้เราเลือกแสดงกรรมเท่านั้น ผู้ไม่รู้ก็คิดว่าเป็นโชคชะตา


ผู้รู้ก็จะทำใจได้ว่าเป็นผลของกรรมเก่าและกรรมไม่ดีในปัจจุบันมาร่วมกันส่งผลแค่นั้นเอง เราก็ทำกรรมใหม่ประคับประคองไปได้ โดยไม่ต้องปล่อยใจให้ทุกข์จนเกินไป เพราะทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของใครเลย


สรุปก็คือ “เรานี่แหละเป็นคนเขียนหนังสือกำหนดอุปนิสัย บทบาทของตัวละคร และเป็นตัวแสดงเสียเอง” เมื่อแสดงไปนานๆ ก็จำไม่ได้ว่าเรากำหนดอะไรไว้ ทำอะไรไว้ อาจเป็นเพราะบทบาทที่เราต้องเลือกแสดงในแต่ละวันเหมือนไม่มีใครกำหนดหรือบังคับ พอเกิดเรื่องอะไรไม่ดีก็โทษโชคชะตา โทษกรรม แล้วใครเล่าจะเป็นคนกำหนดโชคชะตาหรือกรรม ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง ล้วนเป็นสิ่งที่เราทำไว้แล้วเป็นต้นทุนทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้รอเพียงเวลา สถานการณ์ และโอกาสที่จะให้ผลแค่นั้นเอง


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2554 14:44:25 น.
Counter : 1425 Pageviews.  

ฝึกภาวนาให้รู้ทันจิต

ชีวิตที่รู้ทันความคิด จะเป็นชีวิตที่มีความสุข




ฝึกภาวนาให้รู้ทันจิต


วันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสสำรวจใจตัวเอง ตรวจสภาพจิตใจกับสภาวะที่มากระทบ ทำให้มองเห็นว่า การปฏิบัติธรรมจริงๆ เมื่อปฏิบัติไปได้สักระยะหนึ่ง จะรู้สึกว่า “ตัวเองเปลี่ยนไป” สภาพจิตใจดีขึ้น บางทีทำไมถึงไม่รู้สึกสนุกกับการปฏิบัติ แปลก..! มาก แต่บางทีก็ไม่รู้สึกเบื่อเป็นสภาวะว่างๆ แต่เพลิดเพลินกับสภาพที่รับได้ เห็นทุกอย่างที่ดำเนินไปเป็นเพียงแรงผลักดันจากความคิดให้เกิดการปล่อยวาง ทำใจได้ดีขึ้น ไม่ทำให้จิตใจจมอยู่กับอดีต แต่กลับรู้ทันปัจจุบันอย่างมีสติมากขึ้นเป็นลำดับ


ทำให้นึกถึงคำที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “พอปฏิบัติตามอริมรรคมีองค์แปดได้ อวิชชามันก็จะดับไปเอง” อุปมาเหมือนจุดไฟสว่างขึ้น ความมืดก็หายไป อีกพระดำรัสหนึ่งที่ว่า “ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติชอบตามอริยมรรค พระอรหันต์จะไม่ว่างจากโลก” ตรงนี้สำคัญ ทำให้ผู้ปฏิบัติมองเห็นทางอริยมรรค เป็นบันไดแห่งการหลุดพ้นได้


สิ่งที่ปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคมากระทบหัวใจก็จะทำให้ใจพองฟูด้วยความยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่สบอารมณ์กระทบมาก็รู้สึกอึดอัดไม่ชอบใจอยากผลักไสออกไป แต่คราวนี้เริ่มรู้ทันสภาวะที่เข้ามากระทบอย่างประหลาด อาจเป็นเพราะสติเริ่มรู้ทันขึ้น เราควรพิจารณาว่า “มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า ไม่มีวันรอหรือวันหลัง เมื่อวานหมดโอกาสแล้วเป็นอดีต พรุ่งนี้อาจสายเกินแก้” ควรใคร่ครวญให้ดีในปัจจุบันขณะ อย่างมีสติสัมปชัญญะ


บางทีอดคิดไม่ได้ว่า “ชีวิตเราคนส่วนใหญ่มักดำเนินไปตามความคิดของตัวเองเป็นหลัก” บางทีดำเนินไปตามครอบครัว ตามสังคม เมื่อสังคมครอบครัวยอมรับและเห็นด้วยกับสิ่งใด เราก็ต้องทำตัวให้เป็นไปตามสิ่งที่ครอบครัวและสังคมยอมรับ เอ๋..! ตรงนี้จะต่างจากการปฏิบัติธรรมที่ต้องรู้ทันทุกสิ่งที่เข้ามากระทบอย่างมีสติ อย่าปล่อยให้ใจหลงเพลินได้เป็นอันขาด


การรู้เท่าทันความคิดเป็นบันไดแห่งความดีขั้นแรก เพราะความคิดเป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมและความเคยชินอยู่ในสภาวะใดนานๆ จะก่อให้เกิดเป็นนิสัยและความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เคยฟังนักร้องชื่อเสียงโด่งดังมากคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า “เวลาที่เขาโด่งดังมากๆ หาเงินได้มากๆ ใจเขาลืมทุกอย่างไปหมด นอกจากหาเงินอย่างเดียว” อย่างนี้เขาเรียกว่า “ขาดสติ” รู้ทัน เพราะความหลงเพลินเป็นเหตุ


พอวันเวลาผ่านไป พ่อแม่ตายจาก ครอบครัวแตกแยก ลูกเต้ามีปัญหา เวลานั้นจึงเข้าใจว่า “เงินมากมายที่ตัวเองมี ชดเชยกับสิ่งต่างๆ ที่สูญเสียไปไม่ได้” บางทีสู้เป็นคนธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย มีความสุขกับครอบครัวยังจะดีกว่า ตรงนี้กลับเริ่มมีสติกลับคืนมา แต่บางทีมันอาจสายเกินไป ดังนั้นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติดีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก


หลายคนอาจบอกว่า “กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว” กว่าจะรู้ว่า “ความเอื้อเฟื้อมีคุณค่าเกินกว่าที่คิด” เราก็ไม่อาจย้อนเวลาให้กลับคืนมาได้ น่าเสียดายจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงแค่เสียดายเท่านั้น แก้ไขไม่ได้เหมือน “ความว่างเปล่าจากความดี ทำให้เกิดรอยแผลเป็นขึ้นมา” ไม่อาจปรับเปลี่ยนอะไรได้


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2554 15:03:14 น.
Counter : 1035 Pageviews.  

โสดหรือไม่โสด...เป็นสุขได้

มองชีวิตให้ออก



โสดหรือไม่โสด...เป็นสุขได้


คนเราเกิดมาบนโลกกลมๆ ใบนี้มาแล้วกี่ครั้งแล้ว ไม่มีใครรู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตามที่เกิดมาแล้วส่วนใหญ่มักจะทุกข์ในเรื่องคู่เสมอ ลองคิดให้ดีว่า “คนโสดไม่เคยมีครอบครัว หวังว่า มีครอบครัวแล้วจะมีความสุข พอมีเข้าจริงๆ กลับทุกข์ยิ่งกว่าเดิม” มันแปลก...! แต่จริง... คนส่วนใหญ่ เมื่อถึงระยะหนึ่งตามกฏของนักชีววิทยา ทุกคนการมีคู่ สร้างครอบครัว เพิ่มประชากร หรือไม่ก็ขอมีคู่อย่างที่คนอื่นเขามีกัน เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว กลัวความอ้างว้าง หว้าเหว่ ทนชีวิตเหงาๆ ไม่ได้


คนเราทุกคนไม่ใช่ว่าต้องทำตามสัญชาตญาณตามธรรมชาติเสมอไป เพราะคนเรามีเหตุผล มีความคิดเป็นนของตัวเอง มีกรรมเป็นของตัวเอง บางอย่างเราต้องทำตามความต้องการของธรรมชาติ เช่น การกิน การขับถ่ายฯ... แต่บางอย่างเราทำตามใจต้องการได้ การมีคู่ครองจงสังเกตว่า “ในการคบคน... ความรู้ใดๆ ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้” อย่างนี้จะอยู่ร่วมกันอย่างมีสุข


ชีวิตคนเราอาจมีสิ่งไม่จำเป็นต้องทำตามใครก็ได้ เพราะชีวิตเป็นของเราเอง ไม่มีใครมาบงการเราได้ แต่ใจจริงเรามี “ความต้องการหรือความอยาก” แล้วก็เลยโบ้ยไปว่า เป็นเรื่องของธรรมชาติเป็นตัวบังคับ ไม่ทำก็จะแปลกหรือผิดธรรมชาติจากคนธรรมดาไป เขาเรียกว่า “ลัทธิเข้าข้างตนเอง” มีอิทธิพลเหนือจิตใจ


จริงๆ การเป็นโสดหรือมีคู่นั้น ถือว่า “เป็นเรื่องของทางเลือกของเราเองมากกว่า”  ไม่ใช่ภาคบังคับเหมือนกินอาหาร ถ้าไม่กินแล้วต้องตาย เพราะคนไม่มีคู่เยอะแยะก็สามารถอยู่เป็นสุขดีได้ ไม่ได้ตายเหมือนอดอาหารหรือขาดอากาศหายใจ บางทีไม่มีคู่กลับได้รู้คุณค่าของชีวิตมากมาย


เราลองมองทั้งการเป็นโสดและการมีคู่ ต่างก็ล้วนเป็นเรื่องของทางเลือกทั้งสิ้น ทุกคนไม่ว่าจะเลือกทางใด ด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ “อยากมีความสุขในทางเลือกนั้นๆ” จึงสร้างจิตนาการแห่งความคิดขึ้นมาว่า “คนเป็นโสด ก็อยากอยู่เป็นโสดแบบมีความสุข คนมีคู่ก็อยากมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุข” ตรงนี้สำคัญมาก


ความสุขเราหาได้ในขณะปัจจุบัน


เราลองมองดูสิว่า “ความสุขไม่ได้อยู่ที่ตอนจบ แต่มันเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของชีวิต” ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึงเท่านั้น ใครบางคนบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงานและมีลูกแล้ว ชีวิตของเราจะสุขที่สุดไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่เมื่อมีลูก และลูกของเรายังเล็กอยู่ เราก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายที่สุดหมดห่วงแล้ว


แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น เรากลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกแล้ว พอลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้
เราคิดว่า “ชีวิตเราคงมีความสุขมากขึ้น” แต่เรากลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ  จัดการกับตัวของเขาเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน วัฏจักรตรงนี้คงไม่มีใครหลีกพ้นหลอกนะ บางทีเหมือนหลอกตัวเองให้รับรู้ว่า “เรากำลังจะมีความสุขในวันข้างหน้า” แต่พอถึงจริงๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิด


เราลองหันมามอง “ความสุขจริงๆ ของชีวิตอยู่ที่ตรงไหนกันแน่?  แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ตรงแค่ช่วงเวลาขณะปัจจุบัน” ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบันขณะทั้งชีวิตโสด ชีวิตคู่ทำได้ทันที


 ชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป แต่จะดีหรือร้ายไม่อาจรู้ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทุกคนจัดการเอง เราควรกำหนดรู้ว่า “กะทิยิ่งเคี่ยวยิ่งมัน กะท้อนยิ่งทุบยิ่งหวาน ชีวิตยิ่งผ่านความอดทนยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งพบปัญหายิ่งฉลาด” นี้เป็นธรรมชาติที่แท้จริง


ว.ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 28 เมษายน 2554    
Last Update : 28 เมษายน 2554 23:06:21 น.
Counter : 778 Pageviews.  

ชีวิตกับสิ่งพิเศษทุกๆ ขณะ

ใช้ชีวิตให้เป็น อย่างมนุษย์

ชีวิตกับสิ่งพิเศษทุกๆ ขณะ


ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้ เหมือนแสงแดดยามเช้าที่ให้วิตามินดีผ่านทางผิวหนังเราเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก “ไม่ธรรมดา” ที่เป็นความผูกพันฉันท์มิตรกัน บางทีอาจเรียกว่า “สิ่งพิเศษ” ที่เราสัมผัสแล้วสบายใจ


เราอาจจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ ก็ในเมื่อคำว่า “พิเศษ” จำเพาะความแปลกแยก
ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิดให้ “ความรู้สึกดีดี” จากจิตใจที่ดีต่อกันและกัน อย่าลืมว่า “
ความสุขใดๆ จะเท่ากับการที่เราเห็นตัวเองหัวเราะอย่างปกติสุข” ได้อย่างไม่กังวลใดๆ ในจิตใจที่เบิกบาน


ถ้าในยามทุกข์ใจให้ “ความเอื้ออาทรต่อกัน” จากจิตใจที่นึกถึงกัน อย่างน้อยคนพิเศษสองคนแรกคือ คุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่เรารักที่สุด ก็อย่าลืมไปเสียละ ยามเราห่างไกลกันให้ “ความห่วงใย” จากจิตใจที่เป็นห่วงอย่างแท้จริง เพราะอย่างน้อยที่สุดมันจะสร้างความสุขใจให้เราทั้งสองฝ่ายได้อย่างแนบสนิท


ในยามได้อยู่ร่วมกันก็มอบสิ่งดีๆ อย่างมี “สติสัมปชัญญะ” ตักเตือนกันอย่างมีสุขให้กัน ให้อย่างอบอุ่น แต่ไม่ “คุกรุ่น” ด้วยริษยาในใจ เราจะได้สิ่งนั้นตอบแทนมาเท่าๆ กับที่เราให้ไป... ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้คืนมาเท่านั้นแหละ ถ้าเราคิดให้ดี ไม่คาดหวังเกินจริง


สิ่งใดๆ ก็ตามที่เราให้ไปแล้ว “ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้มใจ” นั่นเป็นความสุข หากเมื่อใดจิตใจระส่ำระสาย สะดุด กลัวกับอะไรขึ้นมาบ้าง ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โกรธโถมพัด “สิ่งดีดี” จนกระจัดกระจายออกจากใจเราไป


การให้สิ่งดีๆ กับใคร ไม่ใช่ “ให้เพื่อการตั้งความหวัง” เพราะถ้าตั้งความหวังแล้ว เรามักจะผิดหวัง
คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน แต่คนสองคน “จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน” นี่คือ ประตูใจที่เปิดเพื่อให้ความดีตอบแทนแก่กัน


การตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง “การเรียกร้อง” ในสิ่งที่ตนอยากได้ อยากมี อยากเป็น กลายเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ โดยที่ไม่รู้ตัว อะไรก็ตามถ้ามันร้อนนัก หนาวนัก มันจะไม่เป็นสุข เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิที่จิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ ด้วยเมตตา กรุณาเสมอ


เหมือนชีวิตเราหากเริ่มรู้สึกตัวว่า “ความร้อนเริ่มทวีขึ้น” เราต้องค่อยๆ ปรับอารมณ์เดินออกมาสูดอากาศเย็น ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ให้ออกซิเจนมันสร้างความสบายใจ หากตรงกันข้ามถ้าเป็นความหนาว เราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวออกมาหาไออุ่นของแสงแดดเช่นกัน


อย่าลืมว่า “สิ่งพิเศษ” ไม่ได้จำกัดว่า จะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด ในคนคนเดียวกันทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตที่มี “สติ ปัญญา” ได้หลายลักษณะ พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้ จะไม่ทุกข์เพราะใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถูกต้อง


ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา เราก็ย่อมเลือกให้สิ่งพิเศษกับใครก็ได้ ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา จงให้ “สิ่งพิเศษ อันเป็นศีล สมาธิ ปัญญา” เป็นชีวิตชีวาเป็นแววตาที่แจ่มใส แววตาที่มีเมตตา ปรารถนาดี เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้ “ไม่วิ่งหนี แต่ไม่ต้องวิ่งตาม ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่ ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหวเกินไป แต่เป็นใจที่บริสุทธิ์” แล้วความสุขมันจะกลับมาหาชีวิตที่เราอยู่ร่วมกัน


ว.ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 21 เมษายน 2554    
Last Update : 21 เมษายน 2554 21:31:19 น.
Counter : 525 Pageviews.  

เราสุขใจ...เมื่อได้รักใครสักคน

ทำชีวิตให้เป็นสุขเสียวันนี้ ดีกว่าคอยสุขวันอื่น



เราสุขใจ...เมื่อได้รักใครสักคน


                ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนมีสิทธิ์รักใครก็ได้ แต่ความรักนั้นขอเพียงให้อยู่ในกรอบแห่งความถูกต้อง... ในขอบเขตแห่งความดี ความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน บางครั้งมันก็เป็นเพียงความรักที่อยู่ในใจเท่านั้น... แต่หลายคนอาจมีความรักมากมายให้กับคนทั้งโลกได้อย่างพระพุทธเจ้า พระองค์มีความรัก เมตตา กรุณาให้กับเวไนยสัตว์ทั้งโลกให้มีความสุข... ปรารถนาให้ทุกคนพ้นทุกข์ เราจึงต้องพิจารณาเสมอๆ ว่า “ความไม่ประมาท คือ การไม่ทำอะไรโง่ๆ ไม่ทำอะไรอย่างงมงาย ฝันลมๆ แห้งๆ ขาดสติ เพราะสติเป็นบ่อเกิดแห่งความไม่ประมาท” จึงอยู่เป็นสุขได้


พระพุทธตรัสไว้ว่า “ททัง มิตตานิ คันถติ. ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้” คือ เพียงแค่ให้สิ่งของก็ยังผูกไมตรีไว้ได้ แล้วการให้ความรัก ความเมตตา กรุณายิ่งผูกไมตรีมากขึ้นหลายเท่า... เพราะการให้เป็นความรัก ความเมตตา มันได้ถูกกลั่นกรองไปจากดวงจิตดวงใจ บาลีว่า “ทท มาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก” นั่นเอง


ให้ความรักกันเป็นประตูแห่งสวรรค์


                ความรัก ความเมตตา กรุณา จึงเป็นเหมือนบันไดขึ้นไปสู่สวรรค์... เพราะรักนั้นประกอบด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความจริงใจ... เพราะถ้าคนเราไม่มีความรักให้กันและกันแล้ว โลกทั้งโลกก็ไม่อาจจะอยู่ได้... เพราะความรักทำให้เรามองโลกอย่างสดใส... มองโลกอย่างเบิกบาน เข้าทำนองที่ว่า “มองไปข้างหน้าก็มีความหวังด้วยความรัก มองไปข้างหลังก็มีความสุขด้วยความเมตตา” เพราะเราให้ความรัก ความเมตตาแก่กันนั่นเอง ชีวิตเราจึงอยู่ในโลกแห่งความสุข


ถ้าเมื่อใดเราให้ความเกลียดต่อกัน ความแค้นต่อกัน จะเข้าทำนองว่า “มองไปข้างหน้าก็หมดหวังด้วยความเกลียด มองกลับไปข้างหลังมันก็บรรลัย เพราะความแค้นและแก้แค้นกัน” เพราะเราไม่ได้สร้างความดี จึงเสียดายเวลา แต่มันกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายกัน... แล้วเราจะสุขได้อย่างไร.... ถ้ายังเต็มไปด้วยความปองร้ายกัน ความเคียดแค้นที่เต็มอยู่ในใจ โลกในใจเราคงมีแต่ทุกข์เป็นแน่


จริงๆ แล้วเรามักจะคิดกันว่า ผู้ได้รับสิ่งของจากผู้อื่นให้เป็นผู้โชคดี เป็นคนฟลุ๊ก... ส้มหล่น...หรือบางคนพูดว่า วันนี้โชคดีจัง...นะ...! มีคนให้นาฬิกามาเรือนหนึ่ง แต่ถ้าเราคิดให้ลึกๆ...ให้ดีๆ... อย่างมีปัญญา ไม่เห็นแก่ตัว คนโชคดีไม่ใช่คนรับ แต่เป็นคนที่ให้ต่างหาก เพราะคนที่ให้คนอื่นได้ ถือว่า เป็นผู้เสียสละ... ถือว่าเป็นคนโชคดี มีความกล้าหาญอย่างผู้เสียสละ มีคำพูดคำหนึ่งว่า... “มันไม่สำคัญว่า คุณทำงานแล้วจะได้เลื่อนขั้นสักกี่ขั้น... แต่มันสำคัญอยู่ว่า คุณเคยเสียสละให้ใครได้เลื่อนขั้นบ้างไหม...” ถ้าเราคิดแต่ได้อย่างเดียวไม่เคยเห็นใจคนอื่นเลย... แล้วเราจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร “ถ้าเราสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ก็อย่าสุขมันเสียดีกว่า” เพราะมันจะเป็นบันไดแห่งความทุกข์ในไม่ช้า


ในเมื่อคนรอบข้างเรามีแต่ความทุกข์... เราได้ความสุขด้วยการเหยียบบ่าคนอื่น จะมีความสุขอย่างจริงจัง จริงใจ...ได้อย่างนั่นหรือ...? เพราะ “ความสุขที่อยู่อย่างฝืนคุณธรรมเป็นความทุกข์ที่ไม่รู้จบ” นั่นเอง


สมมติว่า เราได้สิ่งที่เราปรารถนาด้วยการเหยียบหย่ำไปบนความทุกข์ยาก บนน้ำตาของคนอื่นแล้วเราจะมีความสุขได้นานอย่างไร... ถึงจะสุขมันก็เป็นเพียงชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น แต่พอคิดอีกทีความทุกข์กลับมากกว่าเดิมจนล้นหัวใจ คิดให้ดีว่า “ยอดนักรบที่แท้จริงคือ คนที่ชนะใจตนเองได้” เป็นสุดยอดเหนือความสุดยอดบนโลกกลมๆ ใบนี้


คำสอนทางพุทธศาสนาจึงเน้นการเสียสละ เน้นไปที่การให้ที่ว่า “มนา ปทายี ลภเต มนาปัง ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ” เมื่อเราให้ความรักกับเขา เราย่อมได้รับความรักตอบ... ถ้าเราให้ความเกลียดกับเขา เราย่อมได้รับความเกลียดตอบแทนกลับคืนมาเท่ากับที่เราให้เขา... หลายคนอาจจะได้ยินได้อ่านบ่อยๆ แต่เชื่อเหลือเกินว่า การอ่านแต่ละครั้งความรู้สึกต่างกันไป ความรู้สึกแรกอาจเห็นด้วย ความรู้สึกสองอาจรับไว้พิจารณาดูก่อน สุดท้ายเฉยๆ รู้แล้วไม่ทำกรรมมันไม่เกิด กรรมดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเรากระทำ


สภาพของจิตของผู้อ่านจะมีการยอมรับ กับไม่ยอมรับแตกต่างกันนั่นเอง เราต้องคิดไว้ว่า “จงทำใจให้ร่าเริงเข้าไว้ ก่อนเหตุการณ์ร้ายแรง อาจจะเกิดขึ้น” ถ้าเวลาใดใจเรายอมรับตามสภาพที่เป็นจริง เวลานั้นเราก็มีความสุขใจ เวลาใดเราไม่ยอมรับตามสภาพที่เป็นจริง เวลานั่นเราก็ทุกข์ใจ... เพราะใจเราไม่กล้าพอที่จะเผชิญกับความจริง


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 14 เมษายน 2554    
Last Update : 14 เมษายน 2554 18:44:30 น.
Counter : 775 Pageviews.  

1  2  3  
 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com