หัดตายทุกวัน คงเข้าใจความจริง
ชีวิตต้องมีการพิจารณาเสมอๆ
หัดตายทุกวัน คงเข้าใจความจริง สมัยที่ผู้เขียนเข้ากรรมฐานปฏิบัติธรรม เจริญภาวนาในสำนักของครูอาจารย์... ท่านให้ความสำคัญเกี่ยวกับสัมมาทิฐิ เพราะว่า ความเห็นชอบ เป็นประตูบานแรกที่เปิดทางของการปฏิบัติกรรมฐานที่แท้จริง ถ้าเราขาดสัมมาทิฐิเมื่อไร ธรรมะใดๆ วิปัสสนากรรมฐานใดๆ จะมันเกิดขึ้นไม่ได้เลย ไม่ว่าเราจะเพียรพยายามทำสักเท่าไร..? ชาวพุทธที่เคยฝึกเรียนกรรมฐาน ปฏิบัติธรรมมาก่อนจะเข้าใจว่า ความเห็นผิด ปิดบังความจริง เพราะมันทำให้ใจเราผิดไปจากธรรมดา ทำให้ใจเราเป็น มิจฉาทิฐิ ความคิดใดๆ ก็ตามหากเรายึดติดมากเกินไป มันอาจเป็นตัวปิดกั้นเราไม่ให้เห็นความจริง ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า ยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งกังวล เพราะใจมันเห็นผิดด้วย ความโลภ โกรธ หลง มันเสี่ยมสอนอยู่ตลอดเวลา บางทีเราได้คิดว่า การให้ความเคารพแนวคิดของผู้อื่นบ้าง เสมือนหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ต่างไปจากเรา เท่านั้นเอง มันอาจเป็นการจุดประกายแห่งความสว่างไสวก็อาจเป็นได้ ทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า หัดตายทุกวัน คงเข้าใจความจริง ตรงนี้ไม่ได้ตายจากชีวิต แต่ตายจาก มิจฉาทิฐิ ความหลงผิด ที่คอยปิดบังความจริง ให้เราไปหลงยึดมั่นถือมั่นตลอดเวลา หากเราลองทบทวนใจเราดีๆ ลองพิจารณาให้ดีสิว่า ความรัก ความเกลียดเป็นสิ่งที่ใครก็สอนกันไม่ได้ มันเกิดจากใจที่ปรุงแต่งขึ้นอย่างมีมิจฉาทิฐิ มันจะกลายเป็นความเกลียดไปทันที แล้วแอบซ่อนอยู่ในใจ ที่สำคัญมันคอยบัญชาการให้ตัวเราเอง แสดงออกมาเป็นบทบาททำลายล้าง ในรอยแห่งความทรงจำที่เกลียดแสนเกลียดนั่นเอง เราอาจจะรู้ว่า ความจริงมักสวนทางกับความคิดเสมอ หลายคนอาจจะสรรหาเหตุผลเพื่อปฏิเสธหรือลดความน่าเชื่อถือของความจริงนั้น เพราะถ้าเรายอมรับความจริงดังกล่าวเมื่อไร ก็ต้องละทิ้งความคิดอันเป็นมิจฉาทิฐิของตนเองนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์เองยอมไม่ได้ แม้ในใจเราเองก็ยังไม่ยอมรับความจริงในบางครั้งได้เลย ขอให้ได้เกลียดสักนิดก็ยังดี มนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งที่หาไม่ได้ ในบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตด้วยกัน สิ่งนั้นก็คือ รอยยิ้ม สัตว์โลกทุกชนิดที่ยกย่องว่ากันว่า เป็นสัตว์ฉลาด และฝึกหัดได้นานัปการ แต่ฝึกให้ ยิ้ม ไม่ได้ ยิ้มของคนซื้อขายไม่ได้ แต่มันจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อใจเรามี สัมมาทิฐิ เต็มหัวใจ ดังการกระทำทุกอย่าง จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีการสั่งสม มีการกระทำบ่อยๆ จึงเป็นพฤติกรรมดีๆ กลายเป็นความรัก เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างจริงใจ ฟางเส้นสุดท้าย ตัวอย่างนิทาน... คนเก็บฟางคนหนึ่ง เฝ้าเพียรเก็บฟางทีละเส้น มาใส่หลังลา หากเขาไม่ขยันเก็บ ฟางก็จะถูกสายลมพัดปลิวไปหมด เขาจึงค่อยๆ สะสมเส้นฟางบนหลังลาไปเรื่อยๆ ฟางแต่ละเส้นเป็นเพียงแค่ฟาง ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ อาศัยความเพียรค่อยๆ เก็บสะสมทุกวันทุกเวลา ทุกทีที่มีโอกาสเก็บฟางแต่ละเส้น แม้จะดูเบาหวิว แต่หากรวมกันเยอะๆ ก็จะมีน้ำหนักขึ้นมาได้ เมื่อสะสมน้ำหนักบนหลังลามาจนพอสมควร สุดขีดจำกัดที่ลาจะรับได้ ฟางอีกเส้นที่ใส่ลงไปจะทำให้ลารู้สึกว่าหนักเกิน ที่จะยืนหยัดไหวต่อไปได้ หากเราใส่ฟางเส้นสุดท้ายลงไป ลาก็จะล้มลงเพราะไม่อาจแบกน้ำหนักต่อไปได้ ฟางเส้นสุดท้ายนี้ก็เหมือนกับฟางเส้นแรก ฟางเส้นสุดท้ายนี้ก็เหมือนกับฟางเส้นอื่นๆ เป็นเพียงฟางเส้นหนึ่ง แต่อาศัยความพยายามของคนเก็บฟางที่เพียรเก็บสะสมเส้นฟางใส่หลังลา จนลามิอาจทานทนได้ จุดตรงนี้...นักปราชญ์ท่านเปรียบเทียบให้ฟังเรื่องการปฏิบัติธรรม เราก็เพียรเฝ้าสะสมความรู้ความเข้าใจในความจริงไม่ต่างจากคนเก็บฟาง เราหมั่นสังเกตกายและใจของเรา เอาความจริงมาตีแผ่ให้จิตดูอยู่เรื่อยๆ สะสมความจริงให้จิตมันเรียนรู้ไป จนเข้าใจถึงจุดสุดท้ายให้ได้ นั่นแหละเป็นจุดเปลี่ยน เป็นจุดบรรลุถึงความสำเร็จนั่นเอง ความจริงที่ว่า กายและใจนี้เป็นทุกข์ ไม่อาจจะทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ กายและใจนี้มีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป อยู่ตลอดเวลา กายและใจนี้ไม่ใช่ตัวตนของเราหรือของใคร ไม่อาจจะบังคับอะไรได้ ค่อยๆ แสดงความจริงให้จิตเห็น จนเมื่อจิตได้สะสมความรู้ความเข้าใจในความจริงนั้น เมื่อเห็นความจริงอีกครั้ง ก็เข้าใจทันที กิเลสต่างๆ ก็ไม่อาจจะทนทานต่อความจริงได้ กิเลสจะถูกชำระล้างไปตามลำดับขั้นของความเข้าใจความจริง ลองทบทวนดูสิว่า ความเป็นใหญ่ในกายนี้แท้จริงคือ ผู้ยึดกุม ผู้เอาชนะใจเราเองได้ จึงเป็นผู้นำได้ในกายนี้อย่างแท้จริง เพราะใจเป็นใหญ่ เราทุกคนควรปฏิบัติธรรมเช่นคนเก็บฟาง ค่อยๆ สะสมความรู้ความเข้าใจ เหมือนคนเก็บฟางใส่หลังลา หมั่นคอยสังเกตกายและใจของเราไป กายเคลื่อนไหวก็รู้ทัน ใจเคลื่อนไหวก็รู้ทัน มีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นก็รู้ทัน ดีใจ เสียใจ โลภ โกรธ หลง อยากได้ อิจฉา ริษยา สงสัย ลังเล เบื่อ ยินดี พอใจ ฯ เรารู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ว.ปัญญาวชิโร
Create Date : 02 พฤษภาคม 2556 | | |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2556 19:32:28 น. |
Counter : 535 Pageviews. |
| |
|
|
|