ร่มเงาไม้ใหญ่ในบ้านที่ให้ความรักไม่รู้จบ

รักไม่รู้จบ
คือ ของแม่



ร่มเงาไม้ใหญ่ในบ้านที่ให้ความรักไม่รู้จบ


ชีวิตเราทุกคนอาจเคยได้ยิน ได้ฟังเสียง อุแว้ๆ อุแว้ๆ... เสียงนี้ หลายคนคงจำได้ว่า เป็นเสียงใครร้องไห้ยามเกิด แท้จริงเป็นเสียงของพวกเราเอง เกิดมาปุ๊ปก็ร้องไห้เลยไม่ได้ขอบคุณ... คุณแม่ของเราเลย ที่ท่านได้ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวดมาสุดแสนทรมานเพื่อใคร? พูดง่ายๆ ก็เพื่อเราไง...?


ตั้งแต่ถือกำหนดมาดูโลก ตอนเรายังเด็กๆ เราถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักที่ยิ่งกว่าเทพนิยายรักที่แสนจะหวานซึ้งที่สุดเสียอีก เราเคยรู้ไหมว่า “มีผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่เธอจะเจ็บปวดแค่ไหน เธอก็ยังทนได้เสมอเพื่อลูก” ซึ่งเป็นสิ่งยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แม้แต่ตัวหนังสือบรรยายไม่หมด ไม่รู้จบ เพราะมันมากเหลือล้นสุดแสนจะค้นหาพบ พ่อแม่เราท่านเสียเวลาอันมีค่าไปมากมายจริงๆ ลองคิดให้ดีว่า เพื่อใครกันเล่า?


จริงๆ แล้ว พ่อแม่ท่านเสียเวลา เสียเงินทอง น้ำตา เหงื่อ และอีกหลายสิ่งที่มากมายเหลือล้น ตั้งแต่เราเกิดจนถึงบัดนี้..กี่ปี่ กี่เดือน กี่วันแล้วละ? แล้วที่เรากิน เราอยู่ เราใช้นี้ของใคร? ลูกบางคนเคยนึกไหม... หรือต้องรอให้เสียสิ่งที่เรารักที่สุดไปแล้วถึงสำนึกได้ ลองคิดดีๆว่า “จะรักคนอื่นได้อย่างไร ถ้าคุณยังไม่รักตัวคุณเอง เพราะรักตัวเองได้ต้องสนใจทำดี มีกตัญญู” รู้คุณผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง


แล้วผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างคือ ใคร..? คงนึกถึงคำตอบนี้ได้ว่า “พ่อแม่เราไงละ... อาหารทุกๆ มื้อ เงินทุกๆ บาท เป็นของพ่อแม่เราทั่งนั้น เหตุใด ? ท่านถึงต้องลำบาก เหนื่อยมากยิ่งเพียงนี้ เพื่อให้ลูกที่สุดแสนจะรักนั้นมีชีวิตเติบโตไปในวันข้างหน้า โดยที่ท่านไม่มีทางรู้ได้เลยว่า อนาคตที่ไม่แน่นอนนั้นลูกคนนี้จะมาตอบแทนหรือไม่ แล้วท่านจะทำแบบนั้น เพื่ออะไร? แค่นี้ก็แสดงถึงการให้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทนในวันข้างหน้าแต่อย่างใด


พ่อแม่ท่านมีบุญคุณมากเหลือล้นจริงๆ ยอมเหนื่อย ยอมเสี่ยง เพื่อให้เราโตไปในวันข้างหน้าเท่านั้นลองนั่งหลับตา นึกดูสิว่า “มีผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่ทุกทีที่เราหิวข้าว เขาจะไปหาอาหาร ทำกับข้าวให้ลูกกิน” แม้เธอจะไม่ได้กินก็ตาม ตั้งแต่เด็กจนมาบัดนี้พ่อแม่ของเรา ตอนนี้ท่านมีความสุขหรือยัง ถ้ายัง..ทำเลย ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด เหมือนดังที่ท่านทำให้เรามีความสุข ทำให้ความหวังของพ่อแม่มีค่า


ตอบแทนท่านด้วยสิ่งที่วิเศษณ์ที่สุดคือ ควารเคารพรัก อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่เราสามารถมอบให้ท่านได้ทุกๆ เวลา กำลังใจที่เราให้ท่าน “อย่าอายที่จะบอกรักแม่ อย่ารอจนหมดโอกาสบอกคำนี้” แล้วตอนพ่อแม่ท่านกอดเราละ ท่านยังไม่อายเลย ท่านมากอดเราโดยไม่คิดถึงเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น บางทีอ้อมกอดเล็กๆ ของลูกมันอาจเป็นกำใจอย่างสุดซึ้ง อาจเป็นความสุขที่สุดของแม่ที่ไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้


เราก็ทำให้ท่านมีความสุขเสียเถิด ภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “การได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่เรารักนั่นคือ ความสุขที่สุดในสรวงสวรรค์บนโลกนี้อันแท้จริง” แต่สำหรับท่านผู้อ่าน ที่ไม่มีผู้คนที่อารีรักเรา คือพ่อแม่ท่านไม่ได้อยู่แล้วละก็...ไม่ต้องเสียใจ


ลองทบทวนสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตกับท่าน หากคุณเคยทำอะไรให้ท่านเสียใจก็ไปสารภาพกับท่านเสีย แม้ว่าท่านอาจไม่อยู่กับเราแล้ว ความผิดที่เคยทำมาเชื่อว่า พ่อแม่ท่านย่อมให้อภัยได้เสมอ หากท่านผู้อ่านได้นึกทบทวนและไปตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ท่านแล้ว... นั้นแหละได้ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตใจอันกตัญญูแล้ว แต่หากท่านยังไม่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่..ไม่เป็นไร แล้วสักวันท่านจะเข้าใจแล้วรู้ซึ้งเองว่า หากเราไม่ตอบแทนพระคุณพ่อแม่แล้ว ในอนาคตใครกันเล่า? จะมาตอบแทนเรา... รักท่านให้มากๆ แล้วลูกของท่านก็จะรักท่านเช่นกัน


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 12 มกราคม 2554    
Last Update : 12 มกราคม 2554 0:17:31 น.
Counter : 777 Pageviews.  

ชี้ทางให้ลูกเดิน อย่าใช้เงินจูงใจ

ชีวิตจะปกติสุข
ถ้ารู้จักใช้วิจารณญาณ
ได้ว่า อะไรถูก-ผิด



ชี้ทางให้ลูกเดิน อย่าใช้เงินจูงใจ


                วันนี้บังเอิญผู้เขียนได้มีโอกาส สัมผัสบรรยากาศแบบพ่อแม่-ลูกของชาวเยอรมัน กำลังจูงมือกัน ที่ลูกตัวเล็กหน่อยก็ใช้เขนรถเด็กทยอยเดินกันไปรับแสงแดดริมบึงน้ำธรรมชาติ พวกเด็กๆ และพ่อแม่ก็ส่งเสียงพูดกันเป็นภาษา Duetsche ถึงแม้ผู้เขียนจะฟังไม่เข้าใจนัก แต่ก็สัมผัสสถานการณ์ได้ด้วยภาพที่เห็น ท่าทางที่แสดงออกถึงความสนุกสนาน อย่างมีความสุข แบบพ่อแม่-ลูกอย่างเป็นธรรมชาติปกติ ที่ทำให้คิดตรงข้ามว่า “สิ่งขยะแขยงที่สุดของชีวิตคือ การเสแสร้งและสร้างภาพ” ที่บัณฑิตเข้าใจดี


                คนยุโรปส่วนใหญ่มักจะดีใจมากๆ เมื่อได้เห็นแสงแดด เพราะประเทศเขาเป็นเมืองหนาว ฤดูร้อนจึงเป็นอะไรๆ ที่สำคัญเอามากๆ เลย พวกเด็กๆ จึงสนุกเอามากๆ พอนึกเข้าไปถึงประเพณีวัฒนธรรม แล้วก็บรรยากาศการเลี้ยงลูก คนยุโรปเลี้ยงลูกอย่างอิสระไม่มีการตีลูก ใครตีลูกถือว่าผิดกฎหมาย ถูกตำรวจจับได้ง่ายๆ เราอาจจะนึกสอนตัวเองได้ว่า “ลดการคิดถึงเรื่องคนอื่นให้น้อยลง เราจะรู้สึกตัวได้สติมากขึ้น ได้ความคิดใหม่ๆ แล้วได้ทำงานมากขึ้น” คือ มุ่งใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น


แต่พวกเขาควบคุมลูกๆ ด้วยกฎระเบียบ แบบอย่าง สอนให้ลูกทุกคนช่วยเหลือตัวเองได้ ผู้เขียนเคยไปพักตามบ้านของฝรั่งล้วนๆ ส่วนใหญ่จะสอนให้ลูกทานอาหารเองตั้งแต่อายุสองขวบคือ มีโต๊ะอาหาร มีจาน ช้อน มีเก้าอี้ล็อกเบล ให้นั่งอยู่กับที่ไม่ให้ไปไหน จนกว่าจะทานอาหารหมด ฝึกให้ช่วยตัวเองในการกินจนเกิดเป็นนิสัย จนทำให้เด็กยุโรปส่วนใหญ่เป็นคนแข็งแกร่ง เป็นการมอบ “ชีวิตที่เกินทน เพื่อหล่อหลอมคนให้ทนทาน สร้างปราการแห่งความคิด นำชีวิตไปสู่จุดหมายได้” ด้วยการพึ่งตนเอง


ชี้ทางให้ลูกเดินแบบไทย


พอผู้เขียนหันมามองคนไทยส่วนใหญ่เลี้ยงลูก กลับมองว่า บางสิ่งทำให้ลูกเสียคนง่ายๆ ตามใจทุกอย่าง บางทีเด็กอายุสองสามขวบ พ่อแม่บางคนต้องไล่ป้อนระยะทางเป็นกิโลเมตรเลย กว่าจะกินข้าวอิ่ม พ่อแม่บางคนไม่สอนลูกอย่างมีแผน ใช้วิธีสอนแบบเอาเงินวางไว้ให้ลูกใช้อย่างเดียว ไม่สอนวิธีการช่วยตัวเอง ไม่สอนให้รู้ว่า การได้เงินมาแต่ละครั้งยากลำบากแค่ไหน มันเหมือนตำราที่ว่า “โอกาสที่จะเป็นเศรษฐี อาจมีไม่เท่ากัน แต่โอกาสที่จะเป็นคนดีมีเท่ากัน ขึ้นอยู่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น” ลองทบทวนดู


แม้สุภาษิตคำพังเพยของไทยเราแต่โบราณที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” จริงๆ แล้ว เราต้องสอนให้ถูกวิธี ทำตัวอย่างให้ดี มีบทลงโทษตามเหตุ ตามผล จึงไม่แปลกที่หลายครอบครัว จะตัดสินใจสั่งสอนลูกกันด้วยวิธีฝากรอยฝ่ามือ รอยไม้เรียว หรือรอยก้านมะยมไว้เตือนใจลูก เวลาเด็กๆ ทำผิด ตามกฏิกาที่ได้สัญญากันไว้


การตีเด็กซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างหนึ่งของคนเป็นพ่อแม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้พร่ำเพรื่อ แต่ต้องทำอย่างมีเหตุมีผล มีกฎกฏิกา ลงโทษโดยไม่ขาดสติ แต่ควรมีหลักที่ต้องคำนึงถึงด้วย เพื่อให้การตีนั้นๆ ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ต้องให้ลูกรู้ด้วยว่า ตนทำผิดอย่างไร แล้วผลที่ได้รับนั้นจะเกิดผลร้ายแรงแค่ไหน แต่คนที่เลี้ยงลูกเก่งๆ กันก็ไม่ตีกันหรอก ใช้ปฏิบัติตัวให้ดูจึงสอนได้สำเร็จ


มองให้ดีว่า “อย่าตีเด็ก ทุกความผิด” พฤติกรรมชวนปวดหัวของเด็กๆ เช่น การที่ลูกชอบสวมบทศิลปินน้อยชอบวาดภาพบนฝาผนัง การปัสสาวะรดที่นอน การเถียงพ่อแม่ หรือร้องไห้โวยวาย บางครั้งแม้จะทำให้พ่อแม่อารมณ์เสียสุดขีด แต่หากพิจารณาให้ดี พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะทำเมื่อต้องการเรียกร้องความรัก ความสนใจ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นการขาดความอบอุ่นก็เป็นได้ พ่อแม่ต้องพิจารณาตัวเองให้ดีว่า เป็นแบบอย่างได้แค่ไหน


ทุกครอบครัวมีสิทธิ์พบเจอพฤติกรรมแบบนี้ พ่อแม่สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องลงไม้ลงมือแต่อย่างใด แต่พฤติกรรมเช่น โกหก ขโมยของ ฯ เหล่านี้ต่างหากที่พ่อแม่ควรใส่ใจ ควรใช้การลงโทษให้หลาบจำ ไม่ให้ลูกติดนิสัยนี้เมื่อเขาโตขึ้นไป ต้องสอนเสมอว่า “อันตรายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราคือ อันตรายที่เกิดจากกรรมชั่วที่เราคิดว่า ทำแล้วเป็นความถูกต้องของเราเอง” ตรงนี้ชี้ทางให้เห็นชัดๆ


สิ่งแรกที่พ่อแม่ต้องให้ลูกก่อน คือ “คำสอนว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก” นี่สำคัญมาก อย่าพึ่งลงมือ ส่งสัญญาณก่อน ทันทีที่เห็นว่าลูกทำผิด อย่าพึ่งฟาดเพี้ยะ พ่อแม่หลายคนมือไวกว่าความคิด เจอปุ๊บฟาดปั๊บ ทางที่ดีควรมีการส่งสัญญาณเตือนก่อน เช่น การใช้สายตา และเสียงที่เข้มขึ้น


ตามเหตุผลที่สอนไว้ พร้อมประโยคเด็ดที่ว่า “ถ้าลูกทำอีก จะต้องโดนลงโทษแล้ว” ในคราวต่อไป โดยธรรมชาติจิตสำนึกของเด็กจะเข้าใจสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเตือนนั้นๆ เป็นอย่างดี ถ้าเด็กดื้อมาก นั่นแหละถึงจะโดนทำโทษ สิ่งสำคัญพ่อแม่ อย่าแสดงอาการที่ทำให้ไม่เข้าใจว่า “สิ่งไหนผิดกันแน่” ทำให้ลูกไม่เข้าใจกลายเป็นเด็กดื้อไป


ว.ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 06 มกราคม 2554    
Last Update : 7 มกราคม 2554 0:01:08 น.
Counter : 512 Pageviews.  

เราควรเข้าใจสุข... อยู่ตรงไหน

เข้าใจชีวิต
เหมือนเข้าใจ
ใจเราเอง




เราควรเข้าใจสุข... อยู่ตรงไหน


คำถามง่ายๆ ที่ว่า ความสุขคืออะไร?


เอาละสิ...! หลายคนกำลังเริ่มมองหาความสุขที่แท้กันแล้ว ...ความสุขคือ ความสบาย หรือความสำราญใจ แยกออกได้เป็นสองฝ่าย คือ ความสุขทางกาย กับความสุขทางใจ นี่เป็นคำตอบรวมๆ ที่ทุกคนเข้าใจกันไปตามเรื่อง เข้าทำนองปรัชญาสั้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงว่า คนอื่นที่ไม่เข้าใจเรา แต่ต้องเป็นห่วงว่า เราไม่เข้าใจคนอื่น” นั่นสำคัญกว่า


แต่ในทางกลับไม่มีใครได้มีโอกาสสัมผัสเนื้อแท้แห่งความสุขได้เลย เพราะความสุขทางใจต้องลงมือกระทำจึงได้ผล... จะให้อยู่เฉยๆ แล้วใจเป็นสุขคงไม่ได้แน่ ถ้าเราไม่พยายามฝึกใจละโลภ โกรธ หลง เราต้องพยายามฝึกใจให้มีสติ มีปัญญาเป็นเครื่องกำกับใจไม่ให้ใจอยู่ในอำนาจของกิเลส ตัณหา ต้องพิจารณาบ่อยๆ ว่า “การรอคอยไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน มันทรมานใจได้ทุกเวลา แม้จะสักแค่เพียงอึดใจเดียว” ของคนที่มีจิตใจเร่าร้อน


ความสุขทางกายเป็นอย่างไร...? ไม่มีใครบรรยายออกมาได้ แต่เรารู้เพียงแค่ความสุขที่สัมผัสได้จากประสาททั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ เรียกว่า “กามคุณ ๕” จัดว่าเป็นฝ่ายรูป หรือความสุขที่เกิดจากเนื้อหนังมังสา อันเป็นสิ่งสกปรก แต่คนส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่กับโลกียสุขเหล่านี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น... ทั้งที่รู้ว่า เป็นความสุขขึ้นชั่วคราว แต่ใจยังชอบอยู่


ความสุขทางใจเป็นอย่างไร...?  


ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะอธิบาย เพราะเราไม่สามารถมองเห็นได้หรือสัมผัสได้ แต่ความสุขที่สัมผัสได้ทางจิตคือ ความสบายใจ ความสุขใจ ความอิ่มใจ ความพอใจ อันเกิดจากจิตใจที่สงบ ว่าง และเย็น จัดว่าเป็นฝ่ายนามธรรม อันเป็นปีติที่เกิดจากความสะอาด สว่าง สงบ เป็นสุขที่ไม่ต้องอธิบาย แต่มันเกิดขึ้นในใจเรา รู้ได้เฉพาะใจ เข้าทำนองว่า “ถ้าชนะกิเลส ก็แพ้คน ถ้าชนะคน ก็แพ้กิเลส ถ้าหลงกล ก็แพ้ทั้งคนและกิเลส” เราต้องดูใจเราให้ออกนั่นเอง


ความสุขทั้งกายและใจ ย่อมมีส่วนสัมพันธ์กันไม่อาจจะแยกให้ขาดจากกันได้ เพราะต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งหาได้ไม่ เพราะ “ถ้ากายป่วย... ใจก็พลอยป่วยไปด้วย ถ้าใจป่วยกายยิ่งป่วยหนักเข้าไปอีก” เพราะทั้งสองสิ่งมีสายสัมพันธ์กัน


การปฏิบัติธรรมให้เกิด “ความพอดีในชีวิต” ไม่มากและไม่น้อยเกินไปไม่ว่าในส่วนกายหรือใจก็ตาม ย่อมจะเกิดความสุขโดยปราศจากความทุกข์ ที่แอบแฝงตามมา ในความสุขทั้งสองฝ่ายนี้ ความสุขทางใจ นับว่าเป็น “สุดยอดแห่งความสุข” ทั้งหมด


ถ้าเรากระทำสิ่งใดแล้วจิตใจไม่มีความสุขแม้ว่าเราจะมีวัตถุมากมายครบถ้วนคอยอำนวยความสุขทุกรูปแบบ ก็หาได้เกิดความสุขที่สมบูรณ์อย่างแท้จริงไม่ เพราะว่า “คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก” นั่นคือ รู้จักทำใจให้สุขเอง


ในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงพร่ำสอน ทรงย้ำให้พระมีชีวิตอยู่อย่าง “สงบ สันโดษ เรียบง่าย” และ “มักน้อย พอใจในสิ่งที่มีอยู่อย่างธรรมชาติที่สุด” ให้มีอาหารหรือปัจจัย ๔ หล่อเลี้ยงชีวิต “เหมือนน้ำมันหยอดเพลาเกวียนเท่านั้น” ก็สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างเป็นสุข เพราะอำนาจแห่งความรู้จักพอดีนั่นเอง มากล่อมจิตใจเราให้ปรับตามสภาพที่เป็นจริง


หลัก “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ ทางสายกลาง ไม่ตึงไม่หย่อนจึงเป็นแนวทางที่ควรนำมาดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าใช้เป็นและใช้ให้ถูกต้องกับกาลเทศะ บุคคลและอัตภาพของตน สุขจะเกิดได้ทุกขณะ


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 03 มกราคม 2554    
Last Update : 3 มกราคม 2554 4:43:14 น.
Counter : 522 Pageviews.  

ปริญญา...แห่งชีวิตที่แท้จริง

ปริญญานั้นหรือคือกระดาษ
หาใช่มารถวัดความเป็นคนไม่
ความรู้คุณธรรมและน้ำใจ
อีกนิสัยรู้งานนั่นแหละคน



ปริญญา...แห่งชีวิตที่แท้จริง


วันนี้เจ้าลูกศิษย์คนหนึ่งเขาจบปริญญาตรีแล้ว บอกให้ผู้เขียนถ่ายรูปด้วยกัน เป็นที่ระลึก ทำให้ผู้เขียนคิดว่าผู้คนมากมายเมื่อได้รับปริญญาตรี โท เอกแล้ว ต่างพากันดีใจมาก โดยคิดว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เพราะคิดว่านี่คือ “ปริญญาแห่งชีวิต” แต่จริงๆ มันยังไม่ใช่...!


เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ขุ่นมัว และที่ไม่พอใจ เราจะแสดงอาการโกรธแค้นออกมา อยากโกรธทุกๆ คนที่ขวางหน้า อย่างนี้ปริญญาที่ได้รับไม่ได้สอนไว้ แต่ปริญญาชีวิตของพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ลองปรับเปลี่ยนสภาพอารมณ์เสียใหม่ “พยายามหยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด ถึงสิ่งที่เลวร้าย” หายใจออกยาวๆ เข้าลึกๆ เพื่อให้ปอดได้รับออกซิเจนมากๆ แล้วกำหนดใจตัวเองอย่างมีสติสัมปชัญญะ


หายใจออกยาวๆ เพื่อให้ปอดขยาย จนกว่าใจจะสงบเย็นสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า “โลกแห่งความโกรธมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบกให้มันหนัก” เพราะอารมณ์เป็นบ่อเกิดแห่งกิเลส ตัณหา คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้ เขาไม่น่าทำอย่างนั้น เพราะไม่มีใครทำตามความคิดเราได้แม้แต่ตัวเราเอง เพราะถ้าเราทำตามที่เราคิดได้โลกคงพินาสแน่อน เพราะเราเองเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายนั่นเอง


พิจารณาดูใจสมมติว่า เรากำลังเดินกลับเข้าบ้าน มองเห็นควันมีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา สิ่งแรกที่เราคิดคือ อะไร..? ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม แต่ใจเราก็อดที่จะกังวลไม่ได้ ตกใจไม่ได้ แล้วเราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า...! ไฟไหม้ได้อย่างไร... แต่ถ้ามี “สติสัมปชัญญะ” ครบบริบูรณ์ เราก็สามารถแก้ไขได้อย่างปกติ


สัญชาตญาณแรกสิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ ขณะมีสติให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ หากระสอบชุบน้ำ ฯ ทำดีที่สุด เพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้  มันเป็นอุบัติเหตุหรือมีใครลอบวางเพลิง มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่ นั่นคือ ประเด็นรองลงมา เห็นหรือยังว่า “สิ่งที่ได้ผลที่สุดคือ การดับไฟก่อน” รอไม่ได้


เมื่อเกิดอารมณ์ ไม่พอใจ โกรธแค้น ไม่ต้องคิดหาเหตุว่า “ใครผิด ใครถูก ระงับความร้อนใจระงับความโกรธของตัวเองให้ได้เสียก่อน” ดับไฟโกรธเสียก่อน ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หายใจออกยาวๆ เพื่อให้สมองได้คิด


เมื่อใจสงบแล้ว จึงค่อยคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล นั่นคือประตูแห่งสติปัญญา ที่รู้เท่าทันเหตุอันเป็น “ปริญญาแห่งชีวิต” ที่แท้จริงต่างหาก เพราะปริญญาที่แท้จริงคือ การมีธรรม การมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเปกขา ที่มีอยู่ในใจมนุษย์เท่านั้นที่สำเร็จได้จริงๆ


ว. ปัญญาวชิโร







Free TextEditor




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2553    
Last Update : 23 ธันวาคม 2553 23:54:01 น.
Counter : 825 Pageviews.  

ข้อคิดดีๆ ในชีวิตคู่

อยู่คนเดียวแสนสบายแต่ไม่สนุก
อยู่สองครองทุกแสนสนุก แต่ไม่สบาย



ข้อคิดดีๆ ในชีวิตคู่


ข้อคิดดีๆ สำหรับผู้ที่กำลังหาแฟน หรือจะแต่งงานกันใหม่ ผู้เขียนก็อยากนำมากล่าวเพื่อเป็นการเรียนรู้ ตนเองให้มากขึ้น พอดีได้มีโอกาสไปพบกับเจ้าหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์มาก่อนบอกว่า กำลังจะมีแฟน แล้ววันนี้ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเขาถึงที่บ้าน ก็เลยถามแบบคุ้นเคยกันว่า “มีแฟนยัง” เขาก็บอกว่า กำลังตกลงว่า จะแต่งดีหรือไม่...!


ผู้เขียนเป็นผู้ชำนาญทฤษฏีแห่งการอยู่ร่วมกัน เลยบอกวิธีดูผู้หญิงดีๆ ไปว่า...นี่ แกเข้าใจความหมายของคำว่า สมรสไหม ??


หนุ่ม : อ๋อ...! ก็การแต่งงานไง...? ขอรับ..


ผู้เขียน : ไม่ใช่ ว่าแล้วแกต้องไม่รู้แน่ๆ เรื่องลึกๆ อย่างนี้


หนุ่ม : แล้วมันแปลว่า อย่างไงกันละ ขอรับ... !


เดี๋ยวอธิบายให้ฟังก็ได้...สมรส แปลว่า “รสเสมอกันหรือรสนิยมเสมอกัน” รสเสมอกันมี ๔ อย่าง ฉะนั้นการแต่งงานต้องใคร่ครวญให้ดี ดูว่ามีรสเสมอกันหรือไม่...!


ถ้าไม่...มี..! อย่าแต่ง เพราะแต่งแล้วจะเกิดปัญหามากมาย อยู่กันไม่นาน แต่ถ้าเสมอกัน...แต่งเลย ชีวิตครอบครัวจะสุขแน่ๆ รับรองได้


หนุ่ม : แล้วรสนิยม ๔ อย่างคือ อะไร...? ขอรับ..


มีศรัทธา... แปลว่า “ความเชื่อเสมอกัน” ไม่ใช่สามีจบวิทยาศาสตร์มา แล้วเป็นคนเชื่อทุกอย่างแบบมีเหตุผล ตามแบบชาวพุทธที่แท้จริง ทำอะไร...มีที่มาที่ไปพิสูจน์ได้ ส่วนแฟนศรัทธาต้นไม้รูปร่างประหลาด ไหว้ปรกๆ แปะยันต์รอบบ้านดูสิ... คิดอะไรให้ตัวเองไม่เป็น เชื่อซินแส... ชอบดูหมอตลอดเวลาอย่างนี้... อยู่กันยาก เพราะทัศนคติไม่ตรงกันตั้งแต่แรกเสียแล้ว อยู่ร่วมกันเมื่อไรเป็นทุกข์แน่นอน ลองคิดดูดีๆ นะ


แต่ถ้าทั้งสอง... มีความเชื่อไปในทางเดียวกัน ความคิดไปทางเดียวกัน อย่างนี้อยู่รอดแต่งได้เลย เพราะจะไม่เกิดความขัดแย้งในความคิดภายหลัง “อย่ามองคนที่หน้าตา แต่จงเรียนรู้คุณธรรมที่เขาปฏิบัติ” เราจึงอยู่กันรอด


มีศีลเสมอกัน ข้อนี้สำคัญ สมมุติว่า สามีกินเหล้าเป็นอาจินต์...เล่นการพนันทุกวัน โกหกภรรยาทุกวัน แต่ภรรยาทำบุญทุกวัน... รักษาศีลอย่างนี้ อยู่ด้วยกันไม่รอด แต่ถ้ามีศีลเสมอกัน สามีบอกจะไปวัด ภรรยาเตรียมอาหารไปทำบุญ สามีไม่เคยโกหกภรรยาเลย ภรรยารักเคารพสามี ไม่โกหกกัน อย่างนี้อยู่ด้วยกันรอด เข้าทำนองว่า “ความกังวลเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสองวัน คือวันวานและวันพรุ่งนี้” เพราะต่างฝ่ายต่างพร้อมในศีล


มีเมตตาเสมอกัน สามีใจบุญโอบอ้อมอารี...ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ภรรยายิ่งกว่าเกลือ...ปล่อยเงินกู้...ทุกอย่างต้องมีค่าตอบแทนเป็นเงิน อย่างนี้... อยู่ด้วยกันทะเลาะกันตายแน่ เพราะจิตมันไม่ตรงกัน แต่ถ้ามีมิตรไมตรี มีเมตตาเหมือนกันอยู่ได้สบาย ไม่ต้องมัวกังวล เข้าทำนองว่า “เกิดมาทั้งทีทำดีให้ได้ ตายไปทั้งทีทำดีฝากไว้ให้โลกรู้” เข้าใจกันอย่างนี้ อยู่กันอย่างเป็นสุข


มีปัญญาเสมอกัน สามีดูข่าว...อ่านผู้จัดการทันโลกทันเหตุการณ์... ภรรยาอ่านข่าวดารา ข่าวซุบซิบนินทา...ดูละครน้ำเน่า ไล่ตบยุ่ง... อย่างนี้...อยู่แล้วหาความสุขลำบากแน่ แต่ถ้าทั้งสองปรับชีวิตให้เข้าใจด้วยปัญญา เหตุผลตามทำนองครองธรรม อยู่กันสบาย


พออธิบายเสร็จก็บอกเขาว่า ถึงมันจะเก่าแต่ก็ยังใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย เลือกใครต้องดูให้ดีอย่าสักแต่จะให้ถูกใจ ต้องดูกันนานๆ ดูที่น้ำใจมีให้กันและกันหรือเปล่า...!


หนุ่ม: รู้สึกดีใจจังที่มีญาติผู้ใหญ่ดีๆ ใกล้ตัว... เจ้าหนุ่มพูดอย่างดีใจ


ตรงนี่แหละเป็นรสชาติแห่งชีวิตที่ต้องคิดให้ดี ในหลายมุมมอง ลองเก็บไปพิจารณาไว้เพื่อว่า เราไปเจอปัญหา ในเรื่องนี้ให้เราได้ตัดสินบ้าง.. นี่แหละคือ “การเรียนธรรมะ... เพื่อตนเอง” แล้วเราจะพบสุข


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2553    
Last Update : 21 ธันวาคม 2553 6:35:34 น.
Counter : 1678 Pageviews.  

 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com