ระวังกรรมจนเจียนจะสิ้นใจ

อย่าให้กรรมไม่ดี
มาชี้ทางเดินให้เรา




อาสันนกรรม (จวนเจียนจะตาย)


กรรมจำแนกสัตว์โลกให้ต่างกันไป มนุษย์แต่ละคนมีกรรมต่างกันไป ที่ผู้เขียนได้หยิบเอาเรื่องกรรมใกล้ตาย จวนเจียนหมดลมหายใจเรียกว่า อาสันนกรรม มาเป็นข้อคิดเตือนใจ เพราะเป็นกรรมที่มักระลึกถึงในเวลาที่ใกล้จะตาย ซึ่งมีทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว ที่ได้กระทำไว้อย่างเคยชิน ควรกำหนดให้รู้เสมอว่า “อย่าใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยบนความทุกข์ยากของคนอื่น อย่าลำบาก เพราะกิเลส ตัณหาพาไป” เพราะมันเป็นกรรมสะสมไว้ให้เราระลึกถึงเวลาจะสิ้นลมหายใจ


กรรมใกล้ตาย มีสองลักษณะคือ “กรรมที่ทำบ่อยๆ จนเคยชินกับกรรมหนัก(ครุกรรม)” ที่มีผลร้ายแรงต้องตอบสนองทันที ในขณะจวนเจียนใกล้ตาย จิตเราจะนึกถึงกรรมเหล่านี้ทันที พอสิ้นลมหายใจ ถ้าเป็นอกุศลกรรมเราจะมีทุคติไปในภพต่อไป


คนบางคนเก็บเอาความโกรธ เป็นที่ตั้งไว้ในใจ ทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นเป็นประจำ ทั้งชกต่อยเตะถีบด้วยหมายฆ่าฟันผู้อื่นด้วยฤทธิ์โกรธ ฝังใจอยู่กับความแค้น พยาบาท แต่ฝีมือสู้เขาไม่ได้ จึงผูกอาฆาตไว้ หาจังหวะแก้แค้น ถ้าสมมติถูกเขาฆ่าหรือตายในขณะนั้นไปเป็นผีตายโหงทันที เพราะกำลังโกรธอยู่ อย่างนี้เป็นกรรมใกล้ตายฝ่ายชั่ว ย่อมไปสู่ทุคติ อย่างไม่มีปัญหา เพราะช่วงจิตไม่ว่างจากอกุศล กำหนดรู้แก้ความโกรธง่ายๆ ว่า “ฝึกรู้รัก เมตตาตัวเองให้น้อยลง เรากลับได้เพิ่มความรัก ความเมตตาให้คนอื่นมากขึ้น” ความเคียดแค้นมันจะหายไปเอง


บางคนประกอบมิจฉาชีพเป็นประจำด้วยการปล้นทรัพย์ ลักทรัพย์ เผอิญถูกเจ้าทรัพย์หรือตำรวจยิงตาย ก็เป็นกรรมใกล้ตายฝ่ายชั่ว อย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้ต้องไปสู่ทุคติ นรกอย่างแน่นอน ดังนั้นก่อนทำอกุศลอะไรควรคิดเสมอว่า “ถ้าไม่เก่ง ไม่จำในความดี ขอให้รอบคอบเข้าไว้ ถ้าเก่งแล้วจำสิ่งดีๆ อย่าประมาท” เพราะอาจเผอิญทำกรรมชั่วได้อย่างไม่รู้ตัว


ใครบางคนตอนใกล้จะตาย ใจมัวแต่คิดห่วงสมบัติ ห่วงคนโน้น คนนี้ ด้วยจิตกังวลและหงุดหงิด แถมยังโมโหร้ายอีกด้วยเหล่านี้ ถ้าเป็นกรรมที่ทำบ่อยๆ อย่างนี้ก่อนตาย จิตจะระลึกถึงกรรมชั่ว ที่อยู่ในช่วงของความหลงใหล จะมีทุคติคือ ภพของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก อย่างแน่นอนตามคำสอนของพระพุทธองค์ ควรฝึกพิจารณาเตือนใจไว้ว่า “ลดความห่วงใยสมบัติให้น้อยลง เรากลับได้ความกล้าที่จะทำความดีมากขึ้น” เป็นจุดเริ่มในการแก้ความหลง


คนบางคนเป็นคนดี ใฝ่กุศลอยู่เสมอ แต่เคยได้กระทำกรรมไม่ดีไว้ในอดีตแล้วก็ลืมไปสิ้น พอก่อนใกล้ตาย จิตพลันไปนึกถึงความไม่ดีอะไรบางอย่าง จนจิตใจเศร้าหมอง จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ก็เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายชั่วเหมือนกัน มีพลังอำนาจพาไปสู่ทุคติทันที เราจึงต้องเตือนใจตนเองเสมอว่า “แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้โกรธน้อยลงได้  ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้” ลองทบทวนบ่อยๆ ใจจะได้เบิกบานขึ้น ในขณะที่จิตเป็นกุศลตายไป จะไปสู่สุคติทันที


บางคนตั้งแต่เกิดมาไม่ค่อยสนใจในบุญกุศล แต่ภายหลังเกิดศรัทธาคิดสร้างบุญใหญ่ ให้ทาน รักษาศีล เจริญวิปัสสนา จิตเพลิดเพลินอยู่ในบุญกุศลเหล่านี้ โดยที่จะสร้างเสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จก็ตามจนถึงวาระสุดท้าย เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี มีสุคติเป็นที่ไปในภพหน้า เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับกุศลกรรมเสมอ


แม้แต่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วย รู้ว่าตัวเองไม่รอดแล้วเกิดใจคอไม่ดี เพราะขณะยังแข็งแรงอยู่เย็นเป็นสุขอยู่นั้นไม่เคยสนใจสร้างบุญกุศลเลย จึงคิดอยากทำบุญขึ้นมาทันใด โดยให้ไปนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อถวายทานบ้าง รักษาศีลเองบ้าง ฟังธรรมบ้าง ฝึกสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง ผู้ที่ไม่ค่อยได้สร้างกุศลสักเท่าไร แต่ก็เคยได้ทำบุญไว้บ้างนานแล้ว ลืมไปแล้ว แต่ว่าตอนใกล้ตายกลับระลึกถึงคุณงามความดีนั้นได้ ทำให้จิตใจชุ่มชื่น แจ่มใส กุศลฝ่ายดีเกิดทันที เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี สามารถไปสู่สุคติได้ สุคติ ก็คือ ภพ มนุษย์ สวรรค์ พรหม... ถ้าเกิดจิตใจหลุดพ้นจากกิเลสได้พอดีเป็นนิพพานทันที


ว.ปัญญาวชิโร







Free TextEditor




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2553    
Last Update : 17 ธันวาคม 2553 23:32:23 น.
Counter : 952 Pageviews.  

หัดมองชีวิตให้เป็นสุข

ชีวิตจะเป็นสุข
เมื่อชนะใจตนเอง




หัดมองชีวิตให้เป็นสุข


จริงๆ แล้วชีวิตเราคงไม่มีอะไรที่สามารถบงการระบบประสาทของเราได้ บางทีใจอาจสัมผัสได้เท่ากับเสียงโทรศัพท์ในการรอคอยอะไรบางอย่าง ไม่ว่ากำลังกินข้าว ดูหนัง กำลังนอน หรือสั่งสอนลูกชาย/ลูกสาวจอมซน ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นต้องรีบสาวเท้าหรือคว้ามือไปรับโทรศัพท์ อะไรที่กำลังทำอยู่ ต้องเลิกโดยฉับพลัน แม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม แสดงว่า “ใจเราเป็นทาสอะไรบางอย่างหรือเปล่า... น่าคิดจัง


เอ๋...! ลองคิดวนให้ดี สมมติเราลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้ามนุษย์ต่างดาวเผอิญหลงมาที่โลกนี้ คงจะงงงวยว่าโทรศัพท์มีอะไรน่ากลัวหรือ คนบนโลกนี้ถึงชอบพลุนพลันไปรับคำบัญชาจากมัน แปลกจัง..! แต่คิดอีกทีว่า “เพราะเรามันเอาแต่ใจ เพราะฉะนั้นเหตุผลของใครจะน่าฟังเท่าเหตุผลของเรา” ฟังดูแปลก แต่น่าคิด


เพียงแค่เสียงของมันสามารถหยุดหลายสิ่งหลายอย่างได้ที่จริงมนุษย์ต่างดาวเข้าใจผิดทั้งเพ ไม่มีใครกลัวโทรศัพท์หรอก แต่ส่วนลึกของหัวใจคนคิดถึงความสำคัญแห่งข้อความที่เป็นข่าวสำคัญต่างหา เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่า “จะตั้งตาแข่งขันความสำคัญกันไปถึงไหน” สุดท้ายเราจะไม่ได้อะไรติดมือไปเลย


บางทีไม่ใช่แค่เพียงเสียงโทรศัพท์เท่านั้น มีอีกหลายอย่างที่เราปล่อยให้มันเข้ามาบงการชีวิตเรา มาบงการจิตใจเราอย่างอัตโนมัติเช่นสัญญาณไฟตามสี่แยกจริงอยู่ มันอาจไม่ถึงกับทำให้แขนขาของเรากระตุกทันทีที่มันวาบขึ้น แต่บ่อยครั้งมันก็ไปกระตุกใจเราแทน ตามสัญญาณไฟ ลองคิดดูว่า “Freedom is nothing else but a chance to do better. อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น” ไม่เป็นทาสอะไรอย่างไรเหตุผล


หลายคนอาจตกใจหลายครั้งเมื่อขับรถทันทีที่เห็นไฟแดงข้างหน้าจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็เครียดกรุ่นไปตลอด จนกว่าไฟเขียวจะมาปลุกใจเราให้ยินดี อารมณ์เราช่างแปรพลันเหลือเกิน ถ้าคิดให้ดีแล้ว “การฟังอย่างตั้งใจทำให้คนฉลาดขึ้น การดูอย่างขุ่นมัวอาจทำให้เกิดปัญหาในบางเวลา” ควรเพิ่มสติไว้บ้าง


ไฟเขียวอาจเป็นข่าวดีถ้าเราเป็นคนขับรถ ไม่ใช่คนข้ามถนน แต่ถ้าเป็นคนข้ามถนนก็อาจเป็นข่าวร้ายของเขาให้ชั่วขณะหนึ่ง แต่มันก็ทำให้เราทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ เวลามันยังไม่โผล่มา เราก็กระวนกระวายใจ หรือถึงกับเครียดในเวลาเราเร่งรีบ คนจึงแบ่งกันเครียดระหว่างคนเดินถนนกับคนขับรถ คิดให้ดี “จะชิงชังเคียดแค้นกับสิ่งที่เราต้องเผชิญกันไปถึงไหน...?” ลองปรับให้เป็นธรรมชาติดีกว่าแล้วเราจะขับอย่างเป็นสุขได้อย่างมีสติ


แต่ถ้ามองกันจริง ๆ แล้ว จะโทษไฟเขียวว่า มาช้าก็ไม่ถูกมันก็มาตามจังหวะของมัน สาเหตุที่เราทุกข์นั้นเป็นเพราะเราใจเร่าร้อน รีบร้อน หรือคอยไม่เป็นต่างหาก เป็นตัวปรับใจเรานั่นเอง เพียงแค่เราทำใจให้รู้จักคอยไฟเขียวเท่านั้น ความเครียดจากการขับรถจะลดลงไปทันที ที่เรารีบเร่ง


ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่รวยพอที่จะมีรถยนต์ส่วนตัว หากคอยรถเมล์เป็น โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นไม่น้อย เพราะเราปรับใจเป็น “ถ้าชีวิตต้องการความเป็นอิสระ ให้พยายามชนะใจตัวเอง” แล้วจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2553    
Last Update : 16 ธันวาคม 2553 0:09:15 น.
Counter : 859 Pageviews.  

จิตแปรเปลี่ยนตามอารมณ์

โลกแห่งตัวตนทำให้เราทุกข์มาก
ขึ้นทุกขณะ



จิตแปรเปลี่ยนตามอารมณ์


เราเคยเห็นใครสักคนแล้วรู้สึกเกลียดทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนบ้างไหม...? มันเหมือนเป็นบทนิยามแปลกๆ แต่ก็จริง เคยมีคนบอกไว้ ถ้าเจออย่างนี้แสดงว่า เคยเป็นศัตรูกันมาไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวา มองไปมองมา “มะเร็งร้ายมันเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเสียแล้ว” เป็นไปได้นะ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน เพราะมันเป็นกฎแห่งกรรมในอดีต ที่เราจะแก้ไขได้ต้องอาศัยปัจจุบันนี้เท่านั้น


เราเคยเห็นใครแล้วรู้สึกถูกชะตาทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนบ้างไหม?  ถ้าเจออย่างนี้แสดงว่า เคยมีความผูกพันในจิตใจที่เมตตาร่วมกันมาก่อน เคยเกี่ยวดองกันมาในส่วนของชาติใดชาติหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวา มองไปมองมา “กรรมดีมันกำลังเกิดในใจ” จะอธิบายอย่างไร ถ้าไม่ใช่เรื่องอำนาจกรรมที่เป็นจริง


ผู้เขียนเคยเจอมาแล้วทั้งสองกรณี บางคนเจอหน้าแล้วรู้สึกถูกชะตาเหลือเกิน ดูท่าทางเป็นคนดีชะมัด พอลองคบดู ถ้าพบว่าเขาดีจริงๆ ก็ภูมิใจว่า เราดูคนเก่ง แต่บางคนกลับตรงข้ามชนิดสุดกู่ อยากเขกหัวตัวเองสักทีฐานคิดผิด เลี้ยงงูพิษไว้ใกล้ตัว สิ่งอะไรบนโลกนี้ไม่แน่นอนจริงๆ ทำให้คิดว่า “คนที่อดทน อดกลั้น ไม่โต้ตอบ ใช่ว่าเป็นคนโง่ แต่เป็นคนฉลาดที่เหนือการพ่ายแพ้ คุณธรรมปักอยู่ในใจ ไม่ใช่แค่เป็นคนเก่ง แต่เหนือคนเก่ง” เรื่องการคบหาใครต้องใช้ปัญญา ใช้เวลาพิจารณา


บางคนเจอหน้าแล้วรู้สึกเขม่นสุดชีวิต ดูอย่างไรก็ต้องเป็นคนชั่วช้าสามาร พอลองคบเข้า กลับพบว่าเขาเลวจริงๆ ก็ภูมิใจว่า “เราดูคนเก่งเข้าใจจริตคนจริง” แต่บางคนกลับตรงข้ามชนิดสุดกู่ อยากอดตำหนิตัวเองไม่ได้ ฐานทำให้พลาดปิยมิตรไป ความไม่แน่นอนที่ได้พบ ทำให้ผู้เขียนเลิกคาดเดาพฤติกรรมมนุษย์ จะไปคาดหวังอะไรกับพฤติกรรมคนอื่น ให้หันมามองตัวเองดีกว่าให้รู้ว่า “กำลังใจคือสิ่งที่ต้องการ แต่การให้ทานทำให้เป็นสุข” เป็นข้อคิดง่ายๆ


ในเมื่อตัวเรายังเอาแน่ไม่ได้ วันนี้ทำอย่างหนึ่งเมื่อเจอเหตุการณ์หนึ่ง พรุ่งนี้ทำอีกอย่างหนึ่งเมื่อเจอเหตุการณ์เดียวกันมองเขาแบบที่เขาเป็น ไม่ขีดเส้นไว้ก่อนว่าเขาเป็นอย่างไร ปล่อยให้พฤติกรรม การกระทำบอกลักษณะของเขา โดยมีใจของเราเป็นตัวตัดสิน “ใครทำถูกใจเรา เราก็ว่าเขาดี ใครทำไม่ถูกใจเรา เราก็ว่าเขาไม่ดี” อย่างนี้ตัดสินใจล้มเหลวแน่นอน






Free TextEditor




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2553    
Last Update : 7 ธันวาคม 2553 5:38:39 น.
Counter : 447 Pageviews.  

ชีวิตที่ต้องมองทางตะวันออกเสมอ

ชีวิตมีทางออกเสมอ
ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เป็น





ชีวิตที่ต้องมองทางตะวันออกเสมอ


ชีวิตทุกชีวิตบอกได้เลยว่า “มีโอกาส” ทำความดีได้เท่ากันทุกคน เหมือนดวงตะวันขึ้นทางตะวันออกเสมอ ถ้าทุกคนตั้งใจทำความดี คงมีหลายคำถามในใจของเราอยู่ไม่น้อยที่รอการพิสูจน์จาก “โอกาส” จากจุดนี้ไม่รู้ว่า ประสบการณ์ชีวิตของผู้เขียนอาจจะช่วยให้ท่านผู้อ่านกระจ่างขึ้นมาบ้าง เพราะ “ผู้เขียนไม่ใช่ผู้รู้เลยซะทีเดียว แต่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรก็อยากเอามาแบ่งปันกัน” เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจกัน


สิ่งที่ผู้เขียนสามารถรู้ สามารถพูดคุยได้จริง ก็คงเป็นเรื่องกรรมลิขิตที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ทำให้ผู้เขียนมักได้เห็นคนทำผิด ทำชั่วได้รับกรรมสนองคนทำเสมอๆ เพื่อให้บางคนเรียนรู้ความจริง เพราะกรรมมันเป็นสิ่งที่เราสั่งสมมาตั้งแต่ในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันที่เรากระทำ เหมือน “ชีวิตที่ต้องมองทางตะวันออกเสมอ” เพราะมันเป็นการมองความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ดวงตะวันขึ้นทางตะวันออก” มันเป็นผลลัพธ์ที่เป็นจริงเสมอ


บางคนไม่ค่อยเห็นความสำคัญของคำว่า “โอกาส” เลย ถ้าจะเอาให้เข้าใจจริงๆ คือ โอกาสในชีวิตเรามีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่โอกาสสร้างความดีมีมากมาย หากเราไม่ปล่อยมันไปโดยไร้สาระ
หลายๆ ครั้งตัวผู้เขียนเอง ก็ได้เรียนรู้คำๆ นี้จากชีวิตประจำวันมาเสมอๆ ว่า การปฏิบัติธรรม ปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา อย่าอ้างเพียงแค่ว่า “ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ” เพราะอ้างเพื่อไม่ปฏิบัติความดี แล้วมันจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะความดีมันต้องแสดงออกให้กาย วาจา ใจรับรู้ต่างหาก ไม่ใช่คิดแค่อยู่ที่ใจแล้วไม่ทำอะไรเลย ผลจึงไม่มี


การปฏิบัติธรรมจึงต้องพร้อมไปกับกาย ใจที่ดีด้วย การปฏิบัติธรรมจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องปฏิบัติแต่ที่วัด หรือสถานปฏิบัติธรรม... เท่านั้น เราสามารถปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา อยู่ที่ใจเราอยากจะปฏิบัติหรือไม่เท่านั้น นี่คือโอกาสในชีวิตเพียงครั้งเดียวที่เราสามารถทำได้ คำว่า “หนึ่งครั้งในชีวิต” ไม่ได้แปลว่า หนเดียว แต่หมายถึงตลอดชีวิตของความเป็นมนุษย์ของเรา ตั้งแต่เกิดยันตาย คงไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้แน่นอน


คนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียวเท่ากันหมด ดังนั้น “ทุกสิ่งที่เราจินตนาการได้ เราสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ ถ้าเรามีความใส่ใจในความพยายามอย่างถึงที่สุด” การที่เรายังสามารถดำเนินชีวิตได้อยู่นั้นคือโอกาสเพียงครั้งเดียวที่เราจะคว้ามันไว้ได้ เห็นความสำคัญของชีวิตไหม..?


เมื่อเราเข้าใจโอกาสแห่งการปฏิบัติธรรมอย่างน้อยๆ เข็มชีวิตเรา มันก็ปรับไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อหลังทำบุญหรือปฏิบัติธรรมทุกครั้งก็จะเห็นสิ่งที่ดีๆ เข้ามาเสมอ ...อะไรที่มันร้ายๆ หรือไม่ดี มันจะกลับดีขึ้นตามลำดับ แต่อย่าละเลย “โอกาส” แห่งความดีเป็นอันขาด


 ช่วงชีวิตที่เราเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่เราควรไขว่คว้าหาความดี เพราะถ้าเราตายไปแล้ว เราก็ไม่รู้หรอกว่า อนาคตข้างหน้าเราจะยังเป็นมนุษย์อีกรึเปล่า เพราะกรรมที่วนเวียนในสังสารวัฏมันยาวไกลมาก ดังนั้นตอนนี้ทำดีได้เท่าไร รีบทำเสีย


จงคิดเสมอว่า ก่อนที่เราจะช่วยใคร เราต้องช่วยตัวเองได้ก่อน “ถ้าเราเดินไม่แข็งแรง เราจะประคองคนอื่นได้อย่างไร” ทางโลกว่า “ไม่ใช่ว่าช่วยเขาแล้วเราเดือดร้อน ถ้าเราไม่เดือดร้อน อยากช่วยก็ช่วยไป” แต่ถ้าเราไม่ไหว เดือดร้อนก็ควรช่วยตัวเองก่อน ให้มีธรรมในใจตัวเองเป็นดีที่สุด คือ “ตนเป็นที่พึ่งของตน” ไม่มีใครช่วยเราได้ดีที่สุดเท่ากับเราช่วยตัวเองทำดี


การช่วยตัวเองที่ดีที่สุดคือ “การรักทำดีให้ตัวเอง ห่วงทำดีให้ตัวเองให้มากๆ” เป็นจุดสำคัญไม่ให้ความชั่วมาครองใจเราได้ ด้วยการสร้างบุญบารมีเข้าไว้ สร้างด้วยความบริสุทธิ์ใจของเราและสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ อีกทั้งยังทำให้วิบากกรรมของเราลดน้อยลงด้วย ทำให้เราเผชิญเวรกรรมที่เราเคยทำมาเข้าหาเราเร็วขึ้น แต่ชดใช้ให้หมดได้เร็วขึ้นเช่นกัน


ว. ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2553 14:08:12 น.
Counter : 412 Pageviews.  

มนุษย์แสวงหาสิ่ง...ที่ดีที่สุด

ฝึกหัวเราะไว้บ้าง
ก่อนที่จะไม่มีเวลาหัวเราะอะไรเลย



มนุษย์แสวงหาสิ่ง...ที่ดีที่สุด


พอเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ทุกคนพยายามหาทุกสิ่งทุกอย่างว่า อะไร...คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา...คำตอบก็คือ “ชีวิตเรา” เป็นคำถาม-ตอบ เหมือนกับตรรกะ... ง่ายๆ แต่มันกลับยากแก่ผู้เข้าใจ แล้วสิ่งที่มีค่าที่สุดในกายเรา... คือ “หัวใจเรา” เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาอย่างยิ่ง


อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ใคร เพราะจะทำให้เราไม่มีโอกาสได้รู้จักตัวเองเลย อย่าเอาหัวใจทั้งหัวใจไปยกให้ใครสักคน เพราะจะทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วเราก็จะไม่จักรู้ค่าของมัน แล้วถ้าเราเสียคนที่เรายกหัวใจให้ เราก็จะเป็นทุกข์ตลอดกาล


อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดและสิ่งที่ดี ที่สุดของเราไปให้ใครดูแล “ถ้าเราไม่คุมชะตาชีวิตเราเองแล้ว คนอื่นจะมาคุมชะตาชีวิตเราแทน” เพราะไม่มีใคร...ที่จะดูแลตัวเราได้ดีไปกว่าตัวเราเอง อย่าปิดกั้นความรู้สึกของหัวใจ อย่าบอกว่าเกิดมาเพื่อรักคน เดียว “คนใจแคบเท่านั้น...ที่เกิดมาเพื่อรักคนได้คนเดียว แต่คนใจกว้างเปิดใจรักคนทั้งโลกได้” เราสามารถรักใครต่อใครได้มากมาย ขอเพียงให้รู้จักหน้าที่ของความรัก ความเมตตาหน้าที่ที่จะปฎิบัติต่อคนที่เรารัก ที่เราเคารพ เท่านั่นเราก็จะเป็นสุข


รักต่างแบบ... ปฎิบัติในหน้าที่ต่างกัน สมมติว่า วันใดวันหนึ่ง... ถ้าคนบางคนไม่แยแสกับความรักที่เรามีให้ เราก็ยังคงเหลือใครต่อใครอีกมากมาย และไม่เห็นต้องเจ็บเจียนตาย ถ้าเรามั่นใจว่า เราทำหน้าที่ให้รักอันเป็นเมตตานั้น เต็มที่แล้ว ความรักนั้นก็ไม่อาจมาเป็นพิษร้ายในใจเราได้ เพราะรักที่เรามีเป็นรักเพื่อเมตตา กรุณา ปรารถนาให้ทุกคนในโลกมีสุข แต่ถ้าเป็นรักเพื่อผลประโยชน์ เมื่อสิ้นรักก็จะกลายเป็นความแค้นเข้ามาแทนใจเรา


หากเราเข้าใจความรักเปรียบเหมือนอากาศ... ถ้ารู้ว่าร้อนนัก... ก็หลบที่ร่ม ถ้ารู้ว่าหนาวนัก... ก็ก่อเตาผิง ถ้าความรักไม่อาจมาทำร้ายเราได้ แล้วเราก็ไม่อาจทำร้ายตัวเอง เราก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุด...ในชีวิต... ในขั้นหนึ่งของความรักนั่นเอง สุดท้ายเราจะเข้าใจสัจธรรมความเป็นจริงว่า โลกนี้จริงๆ แล้ว สอนความเป็นจริงให้เราเสมอ แต่รอว่า เราจะเข้าใจแท้จริงตรงจุดไหนเท่านั้น


ว.ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2553 11:40:22 น.
Counter : 998 Pageviews.  

1  2  
 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com