กรรไกรเล็บมังกร
คำถาม
อยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องสมัครงานว่าในการสัมภาษณ์คนที่มาสมัครงาน ผู้สัมภาษณ์เค้าเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ในการสัมภาษณ์ ดิฉันไม่เข้าใจว่าตำแหน่งบางตำแหน่งทำไมเค้าต้องถามเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวว่าแต่งงานหรือยัง หรือถามว่าชอบดูหนังประเภทไหน ฟังดูแล้วเหมือนผู้สัมภาษณ์มีเจตนาอื่นแอบแฝง ดิฉันแน่ใจว่าไม่ได้คิดเอง เพราะเพื่อนดิฉันก็ถูกถามจากผู้สัมภาษณ์ท่านเดียวกันถามว่าใช้รถยี่ห้ออะไรอยู่ ใช้มากี่ปีแล้วซ่อมรถเองหรือเปล่า ทั้งๆที่สมัครในตำแหน่งเกี่ยวกับการเงินแท้ๆ ดิฉันยังแอบมาแซวกันเองเลยหรือบริษัทนี้เขาให้ฝ่ายการเงินดูแลเรื่องรถยนต์ด้วย

คำตอบ
ก่อนอื่น เปิดให้ใจกว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้นะครับ


ผมจะพาคุณขึ้นยานย้อนเวลาไปยังยุคราชวงศ์หมิงของประเทศจีนในสมัยของ กษัตริย์หมิงซื่อจง ถ้านับปีก็ราวๆ1500 ปีก่อนโน่น...

ในสมัยนั้นมีคำล่ำลือกันทั่วไปว่า ในเมืองหลวงมีช่างตัดเสื้อผู้หนึ่งชื่อ ช่างหยู เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการตัดเสื้อผ้าได้งดงามดั่งมีเทพยดามาช่วยตัดเย็บ เสื้อผ้าที่ช่างหยูตัดเย็บนั้นจะมีความละเอียดละออในทุกๆจุดจนหาที่ติแทบมิได้ สำคัญไปกว่านั้นก็คือไม่ว่าจะตัดให้กับผู้ใดใส่ ความสั้นยาวของชายผ้าจะพอดีตัวผู้ใส่ตามธรรมเนียมการแต่งตัวของราชสำนักเสมอ 

หลายเสียงพูดกันว่าช่างหยูมีกรรไกรวิเศษที่ใช้ในการตัดผ้าทำมาจากเล็บของมังกร บ้างก็เรียกช่างหยูว่าช่างกรรไกรเล็บมังกร

แม้จะล่ำลือกันอย่างนั้น ก็หามีใครเคยเห็นกรรไกรที่ทำมาจากเล็บมังกรของช่างหยูไม่ ในที่สุดชื่อเสียงของช่างหยูก็ดังมาถึงหูของขุนนางหนุ่มนามว่าเถียน 

ขุนนางเถียนจึงเรียกช่างหยูเขาไปพบเพื่อจะให้ตัดเสื้อชุดสำหรับเข้าเฝ้ากษัตริย์ในพระราชวัง “เจ้าเอากรรไกรเล็บมังกรของเจ้ามาด้วยหรือเปล่า” ขุนนางเถียนพูดขึ้นขณะที่ช่างหยูกำลังวัดตัวอยู่

“ใต้เท้า…กรรไกรของข้าพเจ้านั้นทำจากเหล็กธรรมดา ข้าพเจ้าจ้างสหายช่างเหล็กที่แคว้นเว่ยทำให้ มิได้ทำจากเล็บมังกรอย่างที่ผู้คนล่ำลือ” ช่างหยูตอบ
“แล้วเจ้าใช้ของวิเศษใดตัดเย็บเสื้อผ้าได้ถูกอกถูกใจผู้คน” ขุนนางเถียนหมุนตัวหันหลังให้ช่างหยูวัดต่อ

“ข้าพเจ้ามิได้ใช้ของวิเศษใดเลยใต้เท้า เข็มเย็บผ้าของข้าพเจ้าก็หาซื้อมาจากตลาด ด้ายข้าพเจ้าก็จ้างเขาฝั้นขึ้นมาเหมือนช่างคนอื่นๆ” ช่างหยูจดความยาวของลำตัวขุนนางเถียนลงบนเศษผ้า 

ขุนนางเถียนยังคงสงสัย “เจ้าตัดเย็บเสื้อผ้ามากี่ปีแล้ว”
“ยี่สิบปีแล้วขอรับ ใต้เท้า” ช่างหยูถอยออกมาทำท่าคำนับ 

แล้วก็ถามขุนนางเถียนกลับไปว่า “ใต้เท้าเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณมาเป็นเวลานานเท่าไรแล้วขอรับ” 

“เจ้าว่าอะไรนะ” น้ำเสียงขุนนางหนุ่มไม่พอใจ

“ข้าพเจ้าถามใต้เท้าว่า ท่านรับราชการมาเป็นเวลานานเท่าไรแล้วขอรับ” ช่างหยูพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม

“บังอาจมาก” ขุนนางเถียนลุกขึ้นตบโต๊ะด้วยอารมณ์ขุ่น “เจ้าเป็นเพียงช่างตัดเสื้อ หน้าที่ของเจ้าก็คือการวัดตัว แล้วก็ตัดเสื้อผ้า เจ้าจะมาถามเราว่าเรารับราชการมานานกี่ปีแล้วทำไม มันเป็นธุระอะไรของเจ้า หรือเห็นว่าข้าถามเจ้าได้ เจ้าก็สำคัญผิดถามข้ากลับหรืออย่างไร”

“หามิได้ท่านใต้เท้า” ช่างหยูโค้งคำนับ “คำถามที่ข้าพเจ้าถามท่านนั้น ข้าพเจ้ามิได้มีความตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของใต้เท้าเลยแม้สักน้อย แต่ที่จำต้องถามก็เพราะจะได้นำไปใช้ในการตัดเย็บชุดให้เหมาะเจาะสวยงาม”

“นี่เจ้าเป็นคนวิกลจริตหรือเป็นช่างตัดเสื้อกันแน่” ขุนนางหนุ่มยังข้องใจ “การตัดเสื้อผ้ามันจะไปเกี่ยวอะไรกับอายุราชการของเรา” 

“ใต้เท้า…ขอข้าพเจ้าได้ชี้แจง” ช่างผู้มีฉายาว่ากรรไกรเล็บมังกรโค้งคำนับอีกครั้ง 
“ขึ้นชื่อว่าขุนนางนั้นไซร้ เมื่อรับราชการแล้วก็ย่อมมีการเลื่อนขั้นเป็นธรรมดาขุนนางหนุ่มที่เพิ่งเข้ารับราชการ เมื่อได้ปูนบำเหน็จตำแหน่งสูงขึ้นก็ย่อมจะเกิดความพึงใจ เวลาเดินก็จะยืดอกผึ่งผาย เมื่อข้าพเจ้าตัดเสื้อให้ก็จะตัดให้ชายเสื้อด้านหลังสั้นด้านหน้ายาว ครั้นรับราชการไปได้สักกึ่งอายุ จิตใจก็จะค่อยๆเยือกเย็นวางเฉยมากขึ้น ท่าเดินก็จะลดความผึ่งผายลง เสื้อผ้าที่ข้าพเจ้าจะตัดเย็บก็จะให้ชายเสื้อด้านหน้าและด้านหลังเสมอกัน และเมื่อรับราชการไปจนใกล้อายุเกษียณ นอกจากความวางเฉยแล้ว อาจจะมีความรู้สึกไม่สบายใจปะปนอยู่ ซึ่งย่อมจะแสดงออกมาในท่าเดินที่ค้อมตัวลง ข้าพเจ้าก็จะตัดเสื้อให้ชายเสื้อด้านหน้าสั้นส่วนด้านหลังยาว” ขุนนางเถียนฟังแล้วก็นิ่งไป

“ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าจึงจำต้องไถ่ถามเรื่องที่ใต้เท้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่สมควรถาม แต่เพื่อจะได้ตัดชุดให้เข้ารูปและถูกใจ ข้าพเจ้าจำต้องถามทุกคนขอรับ”
…………………………………………………….


ฟังอย่างผิวเผินแล้ว การสอบถามว่ารับราชการมากี่ปีแล้วไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับการตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างที่ขุนนางเถียนว่าจริงๆ แต่ด้วยความละเอียดละออลึกซึ้งทำให้ช่างหยูนำมาวิเคราะห์เพื่อตัดชุดได้  ผมว่านี่แหละครับ กรรไกรเล็บมังกร" ของจริง


กลับมาที่คำสัมภาษณ์ที่คุณคนหางานถูกสัมภาษณ์ ลองเปิดใจให้กว้างสักนิด คุณคนหางานอาจเข้าใจได้ว่าการถามเรื่องดูหนังแบบไหน สามารถบ่งบอกรสนิยมอะไรบางอย่างของผู้สัมภาษณ์ ซึ่งถ้าเป็นตำแหน่งที่จำต้องใช้รสนิยมก็สามารถนำมาวิเคราะห์วิจารณ์ได้

รู้ไหมครับว่าในการสอบสวนของตำรวจนั้น แม้แต่คำถามว่า “กินข้าวกับอะไรมา” เขาก็ถามนะครับ ทุกคำตอบสามารถนำมาโยงบอกบุคลิกของผู้คนได้

ดังนั้น การถามว่าขับรถอะไร ขับมากี่ปีแล้ว ซ่อมเองหรือเปล่า นี่ก็เช่นกัน

รสนิยม การใช้จ่ายเงินทอง การดูแลรักษารถ ความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องจักร จะถูกวิเคราะห์ออกมาจากคำตอบที่คุณตอบคำถามเหล่านี้

ผมเองก็เคยเป็นผู้สัมภาษณ์พนักงานเข้าทำงานบริษัท คำถามของผมนั้นหนักกว่าที่คุณคนหางานโดนอีกนะครับ ลองฟังคำถามของผมดูก็ได้
คุณว่าคุณเป็นคนดีไหม
เคยล้อชื่อพ่อเพื่อนไหม
วันนี้เอาเงินมาเท่าไร มีแบ๊งค์อะไรบ้าง
ชุดที่ใส่มาวันนี้รีดเมื่อไร
ฯลฯ

ที่มา : แกะดำทำธุรกิจ



Create Date : 14 กันยายน 2556
Last Update : 14 กันยายน 2556 10:34:16 น.
Counter : 1171 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Changixmas
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



คนเรามี 2 ถูก คือ ถูกต้องและถูกใจ
ในการใช้ชีวิตมันมี 2 ถูกนี้เสมอ ถ้ามันทั้งถูกต้องและถูกใจ ดีสุด แต่ยามใดมันสองแพร่ง ระหว่างถูกต้อง กับถูกใจ นี่จะโคตรกระอักกระอ่วนเลย และมันมักอยู่ในลำดับถูกใจ แล้วไปหา ความถูกต้อง
ถ้าเรามองหาความถูกต้อง มักจะอดถูกใจ




New Comments
All Blog
MY VIP Friends