สิบชั่วโคตร


 สมัยราชวงศ์หมิง มีมหาบัณฑิตท่านหนึ่งชื่อ ฟังเสี่ยวหู ใครๆก็รู้ว่าฟังเสี่ยวหู นี้เป็นคนดี น่าจะได้รับผลดีตอบสนองในชีวิต แต่ว่ารางวัลที่ฟังเสี่ยวหูได้รับคือ การถูกสั่งประหารชีวิต และเป็นการประหารที่ไม่ธรรมดา แต่เป็นการประหารชีวิตถึง 10 ชั่วโคตร พาลูกเล็กเด็กแดง จนถึงปูย่าตายาย หัวหงอกหัวดำตายจนหมดโคตร
พูดถึงการฆ่าเจ็ดชั่วโคจตรที่เราเคยได้ยินนั้นคือการเอาตัวจำเลยเป็นหลัก แล้วนับไปข้างบน3 รุ่นไปรุ่นพ่อ รุ่นปู่ ปู่มีพี่น้องกี่คนฆ่าเรียบ และไปรุ่นทวดมีพี่น้องกี่คนฆ่าเรียบ จากนั้นนับไปรุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นเหลนมีกี่คนฆ่าเรียบ รวมทั้งตัวจำเลยรวมเป็น 7 ชั่วโคตร


แต่ฟังเสี่ยวหูโดนสั่งประหารถึง 10 ชั่วโคตร ยังไงกัน?

เรื่องมันเกิดเพราะว่าพ่อของ ฟังเสี่ยวหู แกได้สร้างกรรมมหันต์ไว้ตั้งแต่ฟังเสี่ยวหูยังไม่เกิด พ่อของฟังเสี่ยวหู เขาเป็นนักสร้างฮวงซุ้ยฝีมือเยี่ยมในสมัยนั้น มีชื่อเสียงมาก วันหนึ่งแกก็ไปกำหนดสร้างฮวงซุ้ยที่เชิงเขาที่สวยมาก และเป็นทำเลที่ดี พอตัดสินใจแล้วกำหนดวันเวลามงคลว่าพรุ่งนี้แหละจะทำการขุดดิน ในคืนนั้น พ่อของฟังเสี่ยวหูก็ฝันว่ามีชายชราใส่เสื้อคลุมสีแดง เดินตรงเข้ามาโค้งคาราวะให้อย่างนอบน้อม อย่างสวยงาม พร้อมทั้งกล่าวว่า ท่านผู้เจริญสถานที่ที่ท่านจะไปสร้างฮวงซุ้ยนั้น เราและลูกหลานอาศัยอยู่เป็นเวลานานมาแล้ว เราขอวิงวอนท่านให้เลื่อนการก่อสร้างออกไปสัก 3. วันเพื่อจะได้อพยพลูกหลานเราออกไปที่นั่นเสียก่อน เราจะไม่ลืมพระคุณเลย ชายชราคนนั้นวิงวอนแล้ววิงวอนเล่า กำชับแล้วกำชับอีก ว่าขอให้เลื่อน แล้วเขาก็ลาจากไปด้วยความนอบน้อม เช่นเดิม



พอพ่อฟังเสี่ยวหูตื่นขึ้นมาก็คิดว่าเป็นเพียงฝันอันเหลวไหล วันมงคลได้กำหนดขึ้นแล้ว จะเลืีอนไปไม่ได้เด็ดขาด พอรุ่งขึ้นวันกฤษ์ดีมาถึง คนงานก็ลงมือขุดเต็มที่ คนงานทำงานกันขะมักเขม้น สักพักก็มีคนงานร้องตพะโกนขึ้นมา พ่อของฟังเสี่ยวหูก็วิ่งไปดู พบว่าคนงานขุดพบเจอโพรงซึ่งเป็นรังของงู งูตัวสีแดงยั้วเยี้ยเต็มไปหมด สัก7-800 ตัว พ่อของฟังเสีายวหูจึงสั่งให้คนงานนั้นจุดไฟเผางูสีแดงนั้นทั้งหมด คืนนั้นพ่อของฟังเสี่ยวหูก็ใันเห็นชายชราเสื้อแดงคนนี้อีก แต่คราวนี้มาด้วยสีหน้าโกรธแค้น ปวดร้าวจนน้ำตานองหน้า กล่าวว่า เราอุตส่าห์มาขอร้องท่านให้เลื่อนการขุดดิน เพื่อที่เราจะได้ย้ายลูกหลานเราออกจาก พท. แต่ท่านกลับเผาลูกหลานของเราหมด 800 ชีวิต ในเมื่อเจ้าใจบาปหยาบช้า กล้าล้างโคจตรเราแบบนี้เราก็จะขอล้างโคตรเจ้าเช่นกัน พ่อของฟังเสี่ยวหูตกใจตื่น เหงื่อแตกซิกเลย แต่ยังไงผลกรรมนี้ก็ทำไปแล้ว ได้แต่รอรับผลกรรมเท่านั้นเอง



ต่อมาแกก็มีลูกชายคือ ฟังเสี่ยวหู คนนี้ ลูกของแกเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียนเก่ง นิสัยดี กตัญญูต่อพ่อแม่ดีนัก แต่ที่แปลกคือ เด็กคนนี้เกิดมามีลิ้นแหลมเหมือนงู เด็กคนนี้เก่ง ทำงานจนกระทั่งเติบโตเป็นมหาบัณฑิต วันหนึ่งพระเจ้าหมิงไท่จู สวรรคต หมิงอุ้ยตี้ น้องชายของหมิงไท่จูก็แสดงเจตจำนงค์ว่า อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน ว่าการแทนท่ามกลางความคลางแคลงใจของประชาชน หมิงอุ้ยตี้จึงให้ฟังเสี่ยวหูเขียนป้ายประกาศบอกชาวเมืองว่า หมิงอุ้ยตี้ จะขึ้นรักษาการณ์แทนฮ่องเต้ แต่ฟังเสี่ยวหู กลับประกาศความจริงว่า หมิงอุ้ยตี้ยึดอำนาจประกาศตัวเป็นฮ่องเต้ เท่านั้นแหละค่ะ เป็นเรืีอง ฟังเสี่ยวหูโดนจับ พอจับไปแล้วหมิงอุ้ยตี้ก็ถามว่านี่มึงไม่ได้มีความเกรงกลัวกูเลยเรอะ.. นี่มึงอยากโดนประหาร 9 ชั่วโคตรหรือกะไร ฟังเสี่ยวหูได้ยินก็ตอบว่า อย่าว่าแต่ 9 ชั่วโคตร กูต่อให้ 10 ชั่วโคตรกูก็ไม่กลัวมึง หมิงอุ้ยตี้เลยบอกว่า อ้าวถ้างั้นก็ให้มึงตาย 10 ชั่วโคตร อำมาตย์เลยเตือนว่า เค้ามีแค่ 9 ชั่วโคตรเองนะพระองค์ ฝั่งแม่ 4 โคตร ฝั่งฝ่ายพ่อ 4 โคตร และเจ้าตัวอีกฝ่าย ก็มีเหลือ แต่ 9. โคตรเท่านั้นแหละ

แต่หมิงอุ้ยตี้ เป็นคนฉลาด จึงบอกว่า ครูอาจารย์มันก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ เอาอาจารย์มันมาอีกเป็นโคตรที่ 10. รวมลูกเมียครูอาจารย์มันเอามาด้วยทั้งครอบครัว

อ้าว...พาอาจารย์ซวยไปด้วยเลย กรรมเริ่มทำงานแล้วค่ะ ทำไมฟังเสี่ยวหู คนเดียวจึงเกิดมาทำให้เกิดการประหัตประหารญาติโกโหติกากันขนาดนี้ นั่นเพราะว่า ฟังเสี่ยวหูถือกำเนิดมาจากดวงวิญญาณอันคุมแค้นของชายชราเสื้อแดงคนนั้น ซึ่งเป็นจ้าวตระกูลงู 800 ตัวในโพรงนั้น หนึ่งชีวิต ต่อหนึ่งชีวิต ไม่มีการลดหย่อน 9 ชั่วโคตรก็ยังไม่เท่าจำนวนงูที่ตาย ครอบครัวอาจารย์ที่ไม่รู้อโหน่อิเหน่ด้วย ก็ต้องพลอยมาตายกับบา่ปกรรมของ พ่อฟังเสี่ยวหู จนครบ 800 พอดิบพอดี จำนวนคนพอดีกับจำนวนชีวิตงูสีแดงเหล่านั้น เป๊ะ นั่นคือต้อง 10 ชั่วโคตรค่ะ

เรื่องเล่าบาปกรรมของคนจีนค่ะ !!!

ขอบคุณภาพจาก Google.com



Create Date : 10 มิถุนายน 2559
Last Update : 10 มิถุนายน 2559 11:11:18 น.
Counter : 2712 Pageviews.

1 comment
เทวดามีจริง!! ถ่ายภาพติดเทวดาที่พระปรางค์


ดิฉันคุยเฟสทามกับน้องชาย คุยเรื่องในครอบครัวค่ะ เรามีกัน 2 พี่น้องเท่านั้น จึงคุยกันเป็นระยะห่างๆชิดๆ ตามอัตราความสุขและความทุกข์ในแต่ละวัน

ทุกวันนี้เราต้องขอบคุณ line Program นะคะ เรามีกลุ่ม "ครอบครัว" ที่มีประโยชน์มาก เช่นตามหากัน ถามเรื่องต่างๆ ในครอบครัว ครั้งเดียว รู้ทั้งครอบครัว มันไกล้ชิดกันเสียจริงๆ และเด็กทุกวันนี้ก็อยู่ในสายตาทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่ตอนนี้ หลาน เหลน พี่ป้าน้าอา เอ่ยมาสักเรื่อง ร้องอ๋อ ทั้งโคตร ไม่ใช่ทั้งครอบครัว คือ รับรู้ได้เท่าๆ กันหมด ตย. เช่นหลานๆ ลูกๆ ทำเรื่องอะไรไม่เข้าหูเข้าตา ด่าไปหนึ่งคน ได้รู้ทั้งครอบครัว เพราะเรามีลูกหลานวัยรุ่น บางคนไปทำเรื่องน่าเกลียดไว้ตามเฟสบุ๊ค (Facebook) ก็มีพี่ป้าน้าอาไปอ่านเจอ ก็จะพากันติติง หลานสาวนี่เรียบร้อยมาก ไม่กล้าลงอะไรตามเฟสเลยค่ะ น่าจะสยองหลอนๆ พี่ป้าน้าอา ... จึงได้เห็นแค่ ไลน์ และไม่เคยโต้ตอบนอกจากบอกว่า อะไร ที่ไหน อย่างไร ...นอกนั้นเงียบ แต่อ่าน!! มีครอบครัวไหนเหมือนครอบครัวเรามั่งคะ ??

วันนี้คุยเรื่อยเปื่อยถึงความฝัน ... ว่าดิฉันฝันแปลก และดิฉันเห็นอะไรแปลกๆ น้องเลยสรุปว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง บางเรื่องอธิบายไม่ได้ก็มี พร้อมกับส่งรูปมาให้ดูรูปนึง บอกว่า ถ่ายไว้ได้ตอนปีใหม่ ตอนไปใหว้พระรอบๆ เมือง ... ได้ภาพมา กลัวคนหาว่าไปทำมาเอง และหลายคนอาจมองไม่เห็นเหมือนๆ กัน เพราะเคยให้เพื่อนดู บางคนบอกว่า เห็นแวบเดียวแล้วหายไป แต่ดิฉันเห็นค่ะ แต่ต้องไปเปิดดูกับ Tablet จึงเห็น ครั้งแรกก็ดูแล้วเฉยๆ เพราะมองไม่เห็น ...พอขยายดู ก็เห็น 

คุณลองดูสิคะ ว่า เห็นอะไรมั้ย ???? 


เข้าใจว่าเป็น เงาเทวดาค่ะ ลองหาดู ถ้ายังไม่เห็น ตามภาพนี้เลยค่ะ 


ภาพนี้ดิฉันวงกลมและเขียนเองค่ะ เอาไปแพร่ผ่าน FB ของตัวเอง แต่กะว่าจะเอาออกแล้วค่ะ เกรงจะโดนคอมเม้นท์ว่างมงาย แต่สำหรับดิฉันไม่งมงายหละค่ะ เป็นความเชื่อหนักๆ เลย 

ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทวดาอีกนะคะ เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2559 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เพื่อนๆดิฉันได้ไปทอนพระที่วัดคงคาเลียบ จว. นครศรีฯ ดิฉันนั้นเห็นว่า วัดกำลังหาเงินสร้างโบถส์ แทนโบถส์เก่าที่เป็นไม้ ถูกรื้อออกไป ผุพังเก่ามาก ไม่สามารถใช้งานได้จริงๆ อุโบสกใหม่นั้นได้ขึ้นฐานรากไว้แล้วนานมากจนไม้เลื้อยเกาะ แต่ก็ไม่เสร็จสักที หมดเงิน ทอดกฐิน หรือ ผ้าป่า ได้มาก็ไม่เยอะ เม็ดเงินไม่เคยถึงเรือนล้าน โบถส์ใหม่จึงต้องรอไปก่อน และด้วยความพยายามของท่านเจ้าอาวาส ท่านเล่าดิฉันว่าได้เชิญเทวดามาช่วยสร้าง เป็นบุญ ลำพังท่านนั้นป่วยบ่อย คนเดียวไม่ไหวหละโยม จึงมีญาติธรรมมาช่วยกันมากมาย ตามความศรัทธา เมื่อเพื่อนๆ มา ดิฉันก็บอกให้เพื่อนๆ ทอนวัตถุมงคลไป ไปกัน 5 คนที่ทอน 3 คน ดิฉันจึงกล่าวขออนุโมทนาบุญวิหารทานนี้ด้วย เลยกลาวอุทิศบุญของพวกเขาให้แก่เทวดาของพวกเขา และเทวดาทุกท่าน (พร้อมนึกในใจว่า ท่านรับแล้ว มาบอกด้วย นับในใจ 123) โดยกล่าวดังๆ ว่า เอ้าๆ ขอบคุณเพื่อนมาก อนุโมทนาบุญด้วย บุญจากวิหารทานครั้งนี้อุทิศแก่เทวดาของทุกท่าน และเทวดาทั่วไปด้วยเถิด สาธุ อ่า..เดี๋ยวมีลมมา เพื่อนทุกคนก็ กล่าว สาธุ พร้อมๆกัน (คือ มันอาจเกรงใจเราเลย สาธุพร้อมกันอัตโนมัติ) ...พร้อมกันนั้นก็เริ่มมีลมมาจากแผ่วแล้วแรงขึ้น วูๆๆ จนผมปลิวว่อนเลย ทุกคนตกใจ อุทานพร้อมกัน โอยย ขนลุก !!

นี่หละค่ะ ดิฉันจึงเชื่อหนักมาก และมาได้เห็นกับตาแบบนี้ .... อึ้ง!!!



Create Date : 05 มิถุนายน 2559
Last Update : 5 มิถุนายน 2559 11:34:51 น.
Counter : 797 Pageviews.

0 comment
สติปัฏฐาน ๔ คืออะไร
สติ แปลว่า การตามระลึกรู้อารมณ์

ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง (ของการเพ่ง)

สติปัฏฐาน ๔
หมายถึง ฐาน หรือที่ตั้งอันเป็นที่รองรับของการกำหนดสติอย่างประเสริฐ เพราะเป็นการตามระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ (รูป-นาม) ที่เกิดขึ้นตามฐาน ซึ่งมี ๔ ฐานด้วยกัน คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ผู้ใดที่มีการปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐาน ย่อมเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาปัญญา อันเป็นปัญญาที่เข้าถึงสภาวธรรมของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ในที่สุด ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ สามารถทำลายวิปลาสธรรม ๔ ประการได้ คือ

๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณากาย ซึ่งเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงรูปนั้นเป็นอสุภะ(ความไม่งาม,ความน่าเกลียด) เป็นการทำลาย สุภวิปลาส(สำคัญว่างาม,ว่าน่ารัก)

๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาเวทนา ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงเแล้ว นามเป็นทุกข์ เป็นการทำลาย สุขวิปลาส(สำคัญว่าเป็นสุข)

๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วนามเป็นอนิจจัง เป็นการทำลาย นิจจวิปลาส(สำคัญว่าเที่ยง)

๔. ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คือการใช้สติตั้งมั่นในการพิจารณาธรรม ซึ่งเป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม เพื่อให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว รูป และนามนั้น เป็นอนัตตา เป็นการทำลาย อัตตวิปลาส(สำคัญว่าเป็นตัวตน)

โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตทุกชีวิตย่อมมีวิปลาสธรรมเสมอ วิปลาสธรรม หมายถึง ธรรมที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ทั้งนี้เพราะตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยรู้เลยว่า ชีวิตคือ ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อันประกอบขึ้นจาก จิต เจตสิก และรูป ที่มีการเกิดดับสืบต่อกันไปอย่างไม่ขาดสาย ทั้งนี้เพราะ อาสวะ และอวิชชา ที่เรามีมาเนิ่นนานจนนับภพนับชาติไม่ถ้วน ประกอบกับตัวการสำคัญที่มาคอยปิดบัง ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงสภาวธรรมของความจริงอันได้แก่ “ไตรลักษณ์” ได้ นั่นคือ

๑. สันตติ ปิดบัง อนิจจัง เพราะสันตติ คือ การเกิดสืบต่อของนามรูปที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ไม่สามารถเห็นความเกิด และความดับของนามรูปได้ เราจึงเข้าใจผิดว่ามีความเที่ยงแท้ถาวร (นิจจัง)

๒. อิริยาบถ ปิดบัง ทุกขัง เพราะการเปลี่ยนแปลงอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ที่มีอยู่เกือบตลอดเวลา จึงทำให้คนเรามองไม่เห็นทุกข์ที่เกิดจากอิริยาบถเก่า ด้วยอำนาจของตัณหา คนเราจึงไขว่คว้าหาความสบายจากอิริยาบถใหม่ เมื่อเปลี่ยนแล้วหลงเข้าใจว่าเป็นสุข การเปลี่ยนแปลงอิริยาบถจึงปิดบังทุกขเวทนา ทำให้ไม่สามารถเห็นทุกขสัจจะได้

๓. ฆนสัญญา ปิดบัง อนัตตา เพราะ ฆนสัญญา คือ ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนที่เกิดจากการประชุมกันของรูปธรรม และนามธรรม จึงทำให้เราหลงผิดคิดว่าชีวิตเป็นตัวตน (อัตตา)


เพราะธรรมที่ปิดบังไตรลักษณ์นี้เอง จึงทำให้เราหลงผิดคิดว่า ชีวิตคือรูปนามนี้ดี มีความสวยงามน่ารัก(สุภวิปลาส) มีความสุขสบาย (สุขวิปลาส ) มีความเที่ยงแท้ ถาวร (นิจจวิปลาส) และเป็นตัวตน คน สัตว์ (อัตตวิปลาส) ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตเป็นเพียงแค่ขันธ์ห้า คือรูปธรรมและนามธรรม ที่ประกอบกันขึ้นมาด้วยรูปธาตุ จนเป็นรูปกลาปต่างๆ ในที่สุดก็เกิดเป็นกลุ่มก้อนของอวัยวะที่ล้วนมีแต่อสุภะ และทั้งรูปนามที่เกิดขึ้นนั้นก็คงสภาพเดิมไว้ไม่ได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องแตกดับ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง และไม่สามารถบังคับบัญชาได้

องค์ธรรมของวิปลาสมี ๓ คือ ทิฏฐิ (ทำให้เห็นผิด) จิต (ทำให้เข้าใจผิด) สัญญา (ทำให้จำผิด) ประกอบกับวิปลาสธรรมมี ๔ คือ หลงผิดคิดว่าชีวิตนี้ดี มีสุข เที่ยง และเป็นตัวตน จึงรวมเป็นวิปลาสธรรม ๑๒ ประการ ซึ่งวิปลาสเหล่านี้เอง ที่เป็นตัวการสำคัญทำให้ชีวิตคนเราต้องมีความดิ้นรนแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งอารมณ์ที่ดี (อิฏฐารมณ์) เมื่อสมหวังก็เกิดความพอใจ เรียกว่า อภิชฌา แต่ถ้าได้รับอารมณ์ที่ไม่ดี (อนิฏฐารมณ์) ก็จะผิดหวัง ไม่พอใจ เรียกว่า โทมนัส ไม่ว่าจะพอใจ หรือไม่พอใจล้วนเป็นกิเลสทั้งสิ้น บางท่านเรียกความต้องการในอารมณ์ที่น่ายินดี และปัดป้องอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีนี้ว่า “ตัณหา” แต่ถ้าผู้ใดสามารถวางใจไว้ได้อย่างแยบคาย หรือที่เรียกว่ามี “โยนิโสมนสิการ” ในสติปัฏฐาน ๔ นั่นคือสามารถกำหนดสติได้เท่าทันในปัจจุบันอารมณ์ ว่ามีรูปอะไร หรือนามอะไรเกิดขึ้น สติและสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นในขณะนั้นย่อมป้องกันกิเลส-ตัณหา ทำให้อภิชฌา และโทมนัสเกิดขึ้นไม่ได้ จึงเป็นที่แน่นอนว่าอารมณ์ขณะนั้นย่อมปราศจากกิเลส เมื่อกิเลสไม่มี กรรมย่อมไม่เกิด ขณะนั้นจึงเป็นวิวัฏฏกรรม ซึ่งไม่สามารถทำให้เกิดผลคือวิบาก อันได้แก่รูปนามขันธ์ห้า (ชีวิต) ที่จะมีต่อไปในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน

องค์ธรรมของ สติปัฏฐาน ๔ นี้ ได้แก่ สติเจตสิก ที่ประกอบกับจิตที่เป็นติเหตุกชวนจิต ๓๔ ดวง คือ มหากุศลญาณสัมปยุตตกุศลจิต ๔ มหากิริยาญาณสัมปยุตตกุศลจิต ๔ มหัคคตกุศลจิต ๙ มหัคคตกิริยาจิต ๙ โลกุตตรจิต ๘

ดังนั้นวิปลาสธรรมทั้งหมดมีเกิดขึ้นมาได้ เพราะเราไม่เท่าทันในความจริงของชีวิตรูป และชีวิตนาม ที่เรียกว่า “อโยนิโสมนสิการ” แต่ขณะใดที่มี “โยนิโสมนสิการ” ขณะนั้นสติปัฏฐานก็เกิดขึ้นด้วย และเป็นที่แน่นอนว่าเวลานั้นวิปลาสธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ อาจกล่าวได้ว่าโยนิโสมนสิการ เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูชีวิต ให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าไปเห็นความจริงว่า “ชีวิตที่ประกอบด้วยรูปนามขันธ์ห้านั้น แท้ที่จริงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

มีพุทธวจนะกล่าวไว้ว่า


ธรรมชาติใดก็แล้วแต่ ย่อมเห็นแจ้ง และขับไล่วิปลาสธรรมให้ออกไปได้ ธรรมชาตินั้นเรียกว่า "วิปัสสนา"

ธรรมชาติใดก็แล้วแต่ ย่อมเห็นแจ้งในขันธ์ ๕ โดยประการต่างๆ มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมชาตินั้นเรียกว่า "วิปัสสนา"

ฉะนั้น การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนานั่นเอง


สรุปได้ว่า การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ หรือการปฏิบัติวิปัสสนา เท่านั้น จึงจะสามารถทำลายวิปลาสธรรมทั้ง ๔ ได้ และเมื่อใดที่วิปลาสธรรมถูกทำลายลง เมื่อนั้นผู้ปฏิบัติย่อมเข้าถึงสภาวธรรมแห่งไตรลักษณ์ หากบุคคลใดได้ประจักษ์แจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ที่กำลังดำเนินอยู่ในเส้นทางของการพ้นทุกข์โดยตรง


ที่มา : OKNATION BLOG POST BY PIERRA



Create Date : 17 มีนาคม 2559
Last Update : 17 มีนาคม 2559 12:22:40 น.
Counter : 435 Pageviews.

0 comment
ครูกรรมฐานคนแรกของพระเจ้าตาก เป็นใคร !
ไขปริศนาพระเจ้าตาก! รู้แล้วต้องทึ่ง! ใครกันแน่คือครูสอนกรรมฐานเจ้าตาก?

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ลี้ลับมาก ถูกกล่าวไว้ว่าจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อจรัญ โดยเปิดเผยว่าอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานให้พระเจ้าตากคือ พระในดง ผู้ทรงอภิญญา


ส่วนหลักฐานทางประวัติศาสตร์พระอาจารย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นเท่าที่ทราบในปัจจุบันคือ หลวงปู่ทองดีจากวัด โกษาวาศน์ จ.พระนครศรีอยุธยา (เป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินเรียนหนังสือและออกบวชครั้งแรก 3 พรรษา)

ส่วนอีกท่านเป็นพระภิกษุ ผู้ทรงอภิญญาลึกลับ เรียกกันว่า “พระในดง” หรือ บ้างก็เรียกว่า “หลวงตาดำ” แต่ที่รู้จักกันดีในแวดวงนักกรรมฐานคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร”


หลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นพระอภิญญาที่หลวงปู่โง่นเองก็ยืนยันว่ามีจริง และหลวงปู่โง่นเองก็ยังเคยได้รับการสั่งสอนกรรมฐานจากหลวงปู่โลกอุดรด้วย 


หลวงพ่อจรัญก็เช่นกัน ท่านเองก็ได้พบกับหลวงปู่โลกอุดรหรือหลวงตาดำ เป็นพระรูปร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์ หลวงตาดำหรือหลวงปู่โลกอุดรนี้ มาสอนสติปัฏฐานให้หลวงพ่อจรัญ สอนการเดินจงกรมและการภาวนาหลายอย่าง ส่วนหลวงปู่โง่นกล่าวว่า หลวงปู่โลกอุดรนั้นท่านมาสอนเรื่องการใช้กายแฝงหรือกายทิพย์

การพบกันของหลวงปู่โลกอุดรและพระเจ้าตากสินนั้น หลวงพ่อจรัญท่านเล่าไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระเจ้าตากสินตั้งค่ายอยู่ในป่า ครั้นตกดึกเข้า ก็มีพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่งเดินเข้ามาหาถึงในที่ประทับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะเดินฝ่าทหารคุ้มกันมาเช่นนี้

สมเด็จพระเจ้าตากสินถามพระลึกลับรูปนั้นว่า  “ท่านเข้ามาได้อย่างไร”

พระลึกลับตอบว่า “เดินเข้ามา” พระเจ้าตากถามว่า “แล้วทหารไม่เห็นท่านดอกหรือ” พระลึกลับรูปนั้นตอบว่า “ไม่ทราบ”

พระเจ้าตากคิดในใจว่าจะสั่งลงโทษทหารยาม พระลึกลับรูปนั้นก็กล่าวดักใจขึ้นมาทันทีว่า “อย่ามองความผิดผู้อื่น ให้มองความผิดตัวเองดีกว่า”

คำพูดของพระลึกลับรูปนั้น ทำให้พระเจ้าตากแปลกใจ เพราะสามารถล่วงรู้ความคิดในใจของพระองค์ได้ จากนั้นพระลึกลับรูปดังกล่าวก็แสดง “อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์” คือ เทศนาโปรดใจความว่า

“มหาบพิตรทำลายชีวิตคนมานักต่อนัก ฆ่าคนมามากต่อมาก มือทั้งสองเปื้อนเลือด การกระทำเหล่านี้เป็นบาปหนัก แม้ว่าจะลาจากโลกนี้ไปแล้วย่อมมีนรกที่ไปเป็นแน่แท้” พระเจ้าตากจึงตอบว่า “ที่กระผมทำไปเพราะเป็นหน้าที่ ในการปกป้องแผ่นดิน”

พระลึกลับรูปนั้นท่านก็ตอบกลับมาว่า “มาบัดนี้มหาบพิตร ก็ได้ทำหน้าที่สมบูรณ์ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วมหาบพิตรเกิดมาเพื่อกู้ชาติ หน้าที่นี้ก็ลุล่วงอย่างสมบูรณ์ ส่วนการปกป้องชาตินั้นเป็นหน้าที่ของผู้อื่น สมควรให้เขามาทำแทน ขอมหาบพิตรอย่าจับดาบอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาตดาบจากมหาบพิตร”

“แล้วเหตุใดกระผมจึงต้องทำเช่นนั้น”  

“ทำไปเพื่อเป็นการตัดความหลงในวัฏสงสาร เพราะหากพระองค์ต้องรับภาระในการปกครองบ้านเมืองก็รังแต่จะสร้างกรรมน้อยใหญ่ผูกมัดให้เกิดชาติภพ หลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จักจบยาวนานจะบังเกิดแต่ความทุกข์มีชาติ ชรา มรณะเป็นต้น  อาตมาทราบดีว่ามหาบพิตรได้ทำบุญมานับชาติไม่ถ้วน มีวาสนาจะบรรลุธรรมชั้นสูงในบวร พระพุทธศาสนา ในครั้งนี้จึงได้มาโปรดให้รู้แนวทางมรรคผลเพื่อตัดทางสังสารวัฏอันยืดยาว”

ด้วยการสนทนาเพียงเท่านี้ สมเด็จพระเจ้าตากสินก็เกิดสติปัญญาขึ้นมา ล่วงรู้ว่าพระภิกษุลึกลับที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหาใช่พระภิกษุธรรมสามัญไม่ แต่ต้องเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษจึงสามารถล่วงรู้ วาระจิต ทายทัก ดักใจได้ เพียงการเทศนาแต่เพียงน้อยก็ทำให้เกิดศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง


พระบรมสาทิสลักษณ์พระเจ้าตากสินขณะผนวชเป็นพระภิกษุ

พระลึกลับรูปนั้นได้เมตตาสอนสติปัฏฐาน 4 แก่สมเด็จพระเจ้าตากสิน และหลังจากที่พระองค์ทรงปฏิบัติด้วยหลักพุทธานุสติ และอาณาปนสติประกอบด้วยสติปัฏฐาน 4 นั้น จิตของพระองค์ลุล่วงเข้าสู่สมาธิชั้นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เห็นเป็นเพราะผู้มีบุญวาสนามาแต่ปางก่อน ซึ่งพระลึกลับรูปนั้นล่วงรู้เรื่องนี้ดี เป็นไปตามความเป็นจริง

เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินปฏิบัติทางมรรคผลนี้แล้ว ภูมิจิตภูมิธรรมเดิมก็บังเกิดเลิกการจับดาบถือดาบ เปลี่ยนแปลงไปเหมือนคนละคน ไม่นิยมสุงสิงกับใคร วันๆ ตั้งหน้าปฏิบัติดูจิตดูกายเท่านั้น คนทั่วไปทางโลกวิสัยก็เข้าใจว่าพระองค์บ้า !

การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางพระในดงรูปนั้น เชื่อกันว่าทำให้พระเจ้าตากบรรลุมรรคผลเบื้องต้นโดยสะดวกคือได้ “พระโสดาบัน” ตั้งแต่ครั้งเป็นฆราวาส นับเนื่องเป็นบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยแท้จริง

ที่มา : หนังสือญาณพระอริยะ ไขปริศนาพระเจ้าตาก

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

พระคาถาบูชาหลวงปู่เทพโลกอุดร
พระคาถาบูชาหลวงปู่เทพโลกอุดร ( ฉบับเต็ม )

ตั้งนะโม ๓ จบ

โย อะริโย มหาเถโร อะระหัง อภิญญาธะโร

ปะฏิสัมภิทัปปัตโตวะ เตวิชโช พุทธะสาวะโก

พะหู เมตตาทิวาสะโน มหาเถรานุสาสะโก

อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อภินันที คุหาวะนัง

โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อภิปูชิโต

อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย

ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ

ปะระมะสารีริกะธาตุ วะชิรัญจาปิวานิตัง

โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร

อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ


สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง

โลกุตตะโร จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต

โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

มหาเถรานุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

คาถาบูชาหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร (ฉบับย่อ)

ตั้งนะโม 3 จบ

โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตา ลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ ฯ

ภาวนา 3 จบ 7 จบ 9 จบ เช้า-เย็น ตื่นนอน และก่อนนอน

ดิฉันนำเรื่องนี้มาแบ่งปัน เพราะก่อนมาเจอเรื่องนี้ ตนเองเพิ่งนอนคิดเมื่อคืนว่าเรานี่เรียนธรรมมะสับสนเหลือเกิน เราจำเป็นต้องมีพระโสดาบันหรือพระอรหันที่ยังมีชีวิตอยู่ มาสอนธรรมมะให้เสียบ้าง ความสับสนคือ รู้สึกตนเองยังมีความคิดมีจิตเผลอไปทางบาป แล้วก็เศร้าหมองเองเมื่อสติกลับมาแล้วบอกว่า เออหนอ ฉันคิดไปทำไมเป็นบาป ช่างเขาสิ เราต้องไม่คิดไม่โกรธ นี่ไม่ชอบเขาเพราะโกรธรึ ไม่มีเมตตารึ ? ยังไม่รัก โลภ โกรธ หลง พอคิดได้ รู้สึกบาป เสียใจตที่ปล่อยจิตเป็นบาป หากได้พบพระโสดาบันสูงๆ พระเหล่านั้นน่าจะเป็นพระป่ามั้ย พระบ้านมองไม่เห็นใครเลย แต่สายกรรมมัฏฐานสูงๆ จะมีบุญได้ไปพบที่ไหนเล่า ????

คิดไม่ออกเลย ... นอกจากท่านจะมาโปรด จึงเฝ้าฝึกอาณาปาณะสติ เพื่อวันนึงจิตเราจะเข้าถึงและไปพบกับพระที่สูงส่งอย่างท่านพระครูเทพโลกอุดรได้บ้าง ... สาธุ !!!! คือ อยากมี “อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์” บ้างว่างั้นเถอะ ยากจริงๆ!!! 

มีพุทธวจนะกล่าวไว้ว่า

ธรรมชาติใดก็แล้วแต่ ย่อมเห็นแจ้ง และขับไล่วิปลาสธรรมให้ออกไปได้ ธรรมชาตินั้นเรียกว่า "วิปัสสนา"

ธรรมชาติใดก็แล้วแต่ ย่อมเห็นแจ้งในขันธ์ ๕ โดยประการต่างๆ มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมชาตินั้นเรียกว่า "วิปัสสนา"

ฉะนั้น การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนานั่นเอง

สรุปได้ว่า การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ หรือการปฏิบัติวิปัสสนา เท่านั้น จึงจะสามารถทำลายวิปลาสธรรมทั้ง ๔ ได้ และเมื่อใดที่วิปลาสธรรมถูกทำลายลง เมื่อนั้นผู้ปฏิบัติย่อมเข้าถึงสภาวธรรมแห่งไตรลักษณ์ หากบุคคลใดได้ประจักษ์แจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ที่กำลังดำเนินอยู่ในเส้นทางของการพ้นทุกข์โดยตรง

สรุปว่า ตัวเราเอง ยังไม่ได้ทำลายวิปลาสธรรมเลยค่ะ 



Create Date : 17 มีนาคม 2559
Last Update : 17 มีนาคม 2559 12:19:28 น.
Counter : 1152 Pageviews.

0 comment
อย่าให้กรรมเก่ามาลดทุนรอนท่าน ...



Create Date : 05 มีนาคม 2559
Last Update : 5 มีนาคม 2559 14:51:46 น.
Counter : 335 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

Changixmas
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



คนเรามี 2 ถูก คือ ถูกต้องและถูกใจ
ในการใช้ชีวิตมันมี 2 ถูกนี้เสมอ ถ้ามันทั้งถูกต้องและถูกใจ ดีสุด แต่ยามใดมันสองแพร่ง ระหว่างถูกต้อง กับถูกใจ นี่จะโคตรกระอักกระอ่วนเลย และมันมักอยู่ในลำดับถูกใจ แล้วไปหา ความถูกต้อง
ถ้าเรามองหาความถูกต้อง มักจะอดถูกใจ




New Comments
MY VIP Friends