ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

สาวขึ้น BTS มองด้านข้างก็ปกติ แต่พอเลื่อนลงดูข้างล่าง ก็ต้องทึ่งทั้งสถานี!



เป็นรูปที่ได้รับความสนใจและแชร์กันเป็นอย่างมากในโลกโชเชียล หลายคนคงสงสัยล่ะสิ ว่ารูปด้านหลังของสาวคนนี้ก็ดูธรรมดาๆ ทำไมชาวเน็ตถึงให้ความสนใจ อืมม มันก็ดูปกติธรรมดาจริงๆนะ ถ้่าดูแต่ด้านบน แต่พอเลื่อนลงไปดูด้านล่างแล้วรับรอง มีเงิบ เงิบจริงๆ หรือนี่เราจะอยู่ในยุคแฟชั่นที่สุดโต่งนี้จริงๆ หุหุ ใครจะทำตามแอดไม่ว่านะจ๊ะ ถ้าบุคคลในภาพนี้ผ่านมาเห็น แอดขอยกนิ้วโป้งให้ 2 นิ้วเบยย ยอดเยี่ยมจริมๆคร๊าบบบ ^^
@NoNGuanYu: เราอยู่ในยุคของแฟชั่นนี้จริง ๆ หรือเนี่ย





ขอขอบคุณที่มา ::: :bigza :: @NoNGuanYu
//variety.teenee.com/foodforbrain/69623.html




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2558   
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 19:38:13 น.   
Counter : 978 Pageviews.  

ตายระหว่างเซลฟี่ 10 เรื่องจริงของคนผู้โชคร้าย ที่ต้องจบชีวิตเพราะถ่ายเซลฟี่



ตายระหว่างเซลฟี่ 10 เรื่องจริงของคนผู้โชคร้าย ที่ต้องจบชีวิตเพราะถ่ายเซลฟี่

ตายระหว่างเซลฟี่ 10 เรื่องจริงของคนผู้โชคร้าย ที่ต้องจบชีวิตเพราะถ่ายเซลฟี่

พักหลังพวกเรามักได้อ่านข่าวหรือเห็นภาพเกี่ยวกับการตายระหว่างเซลฟี่อยู่เสมอ บางเรื่องเป็นเรื่องจริง บางเรื่องก็เป็นเรื่องโกหกลวงโลก แต่ 10 เรื่องจริงของคนผู้โชคร้ายที่ตายระหว่างเซลฟี่ ที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่แสนน่าเศร้า ที่ไม่มีใครอยากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างถ่ายภาพเซลฟี่




เดือนพ.ค. 2015 Anna Ursu วัย 18 ปี ชาวโรมาเนีย ตายระหว่างเซลฟี่ หลังขึ้นไปถ่ายภาพบนรถไฟ ก่อนที่ขาของเธอจะสัมผัสเข้ากับสนามไฟฟ้าขนาด 27,000 โวลต์ ร่างลุกเป็นไฟจนเสียชีวิต

ปี 2014 นักศึกษาพยาบาล วัย 23 ปี ชาวโปแลนด์ ตายระหว่างเซลฟี่ เพราะลื่นและล้มลงมาจากความสูง 15 ฟุต ขณะกำลังจะถ่ายภาพเซลฟี่บนสะพาน Triana ประเทศสเปน

ปี 2014 Oscar Otero Aguilar หนุ่มชาวเม็กซิกัน วัย 21 ปี ตายระหว่างเซลฟี่ เพราะดันยิงปืนเล่นระหว่างถ่ายภาพเซลฟี่ โดยไม่รู้ตัวว่ามีกระสุนค้างอยู่ในปืนที่ถืออยู่

Colette Moreno วัย 24 ปี ตายระหว่างเซลฟี่ เมื่อเดือนมิ.ย.2014 จากอุบัติเหตุรถชน ขณะเดินทางไปงานเลี้ยงกับเพื่อนสาว

Xenia สาววัย 17 ปี ตายระหว่างเซลฟี่ หลังปีนขึ้นไปบนสะพานรถไฟที่สูงกว่า 30 ฟุต ใน Krasnogvardeysk เมือง Saint Petersburg ประเทศรัสเซีย เพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ ก่อนจะพลาดลื่นตกลงมาโดนไฟฟ้าขนาด 1,500 โวลต์ดูดจนเสียชีวิต

Cheynne Holloway หญิงสาวผู้โชคร้าย ที่ตายระหว่างเซลฟี่ ขณะออกเดทครั้งแรกกับนาย James Nichols เพราะลื่นตกลงจากก้อนหินใน Northcliff Hill เป็นระยะทางกว่า 15 ม.

เดือนม.ค.ปี 2012 Oscar Reyes วัย 18 ปี ตายระหว่างเซลฟี่ เพราะตกลงมาจากประตูห้องน้ำ เสียเลือดมากจนเสียชีวิต ขณะร่วมกิจกรรม #SelfieOlympics

Chezka Agas สาวฟิลิปปินส์วัย 18 ปี ตายระหว่างเซลฟี่ ขณะถ่ายรูปเซลฟี่หมู่กับเพื่อนบริเวณชายหาด Barangay Masikil จนร่างจมน้ำเสียชีวิต

ในปี 2014 ช่วงเดือนส.ค. คู่รักชาวโปแลนด์ ตายระหว่างเซลฟี่ เนื่องจากตกลงมาจากหน้าผา Cabo da Roca ในประเทศโปรตุเกส

Ramon Gonzalez นักร้องเพลงแร็พชาวเปอร์โตริโก้ ตายระหว่างเซลฟี่ เพราะอุบัติเหตุรถชน ขณะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเยี่ยมครอบครัวใน Rochester ที่เมือง New York 




//variety.teenee.com/foodforbrain/69273.html




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2558   
Last Update : 4 มิถุนายน 2558 8:05:53 น.   
Counter : 1111 Pageviews.  

หนี้ 100 ล้าน วิหารพ่อคูณ ไวยาวัจกรชี้คนละส่วนกัน



กรณีที่นายเกรียงไกร จารุทวี อดีตรองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ชี้แจงผ่านสมุดปกเหลืองชุดความจริงกรณีวิหารเทพวิทยาคมสืบสานพระพุทธศาสนาตามปณิธานหลวงพ่อคูณ ต่อคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินหลวงพ่อคูณระบุว่า ได้สำรองจ่ายเงินสะสมค่าก่อสร้างและบริหารจัดการวิหารเทพวิทยาคม (วิหารกลางน้ำวัดบ้านไร่มูลค่าก่อสร้าง 355 ล้านบาท) ตั้งแต่เดือน ต.ค. 56-เม.ย. 58 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 96,055,715 บาท และระบุยอดหนี้รวมทั้งสิ้น100,285,536 บาทนั้น เมื่อวันที่ 26 พ.ค. นายธวัช เรืองหร่าย รักษาการไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมานอ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า การบริหารจัดการวิหารเทพวิทยาคม เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายเกรียงไกร แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมติของคณะกรรมการวัดบ้านไร่ได้มอบอำนาจหน้าที่ไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับเงินส่วนอื่นๆ ของวัดบ้านไร่ ส่วนจะมีการชดใช้หนี้คืนให้หรือไม่นั้น คงจะต้องมีการพูดคุยกันของคณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่ ที่จะแต่งตั้งโดยพระภาวนาประชานาถ หรือหลวงพ่อนุช รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่อีกครั้ง"

สำหรับตัวเลขยอดหนี้สินกว่า 100 ล้านบาทนั้น นายเกรียงไกร ในฐานะผู้ดูแลวิหารเทพวิทยาคมต้องชี้แจงรายละเอียดที่มาที่ไปของยอดหนี้ทั้งหมดให้ละเอียดกว่านี้ ไม่ใช่จะยกมากล่าวอ้างแบบลอยๆ ที่ผ่านมาแม้จะมีการพูดคุยในที่ประชุมหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่าเงินนำมาใช้ทำอะไรบ้าง ที่ประชุมก็พากันอนุมัติให้ผ่านๆ ไป ส่วนจะให้นำเงินในบัญชีส่วนอื่นๆ ของวัดบ้านไร่มาใช้คืนหนี้ 100 ล้านบาท คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน และทางนายเกรียงไกรก็แสดงความรับผิดชอบมาแล้วว่าจะนำรายได้จากการบริหารจัดการวิหารกลางน้ำทยอยชดใช้คืน ซึ่งตอนนี้ก็มีรายได้จากเงินทำบุญประมาณเดือนละ 2 ล้านบาท"


นายธวัช กล่าวอีกว่า ในส่วนการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ ตามกรอบข้อกำหนดของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินนั้น ขณะนี้กำลังรวบรวมรายละเอียดต่างๆ ทั้งบัญชีเงินฝาก บัญชีวัตถุมงคล รถยนต์ อาคารสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินและสิ่งของมีค่าทั้งหมด เพื่อชี้แจงต่อคณะกรรมการในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ซึ่งในส่วนที่รับผิดชอบพร้อมจะชี้แจงตามข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่มีใครสามารถปกปิดอะไรได้ และทุกอย่างทำอย่างโปร่งใส ใครมีหน้าที่ชี้แจงส่วนไหนก็ทำตามหน้าที่ของใครของมัน เพื่อเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ"


ทั้งนี้ จากบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ครั้งที่4/2556 เมื่อ 28 มี.ค. 56 พบว่ามียอดเงินยืมจากนายเกรียงไกร จารุทวี ที่สำรองจ่ายแทนวัดไปก่อนรวมทั้งสิ้น 30,569,685 บาท หักเงินบริจาคเพื่อใช้คืน 8 ล้านบาท เหลือ 22 ล้านบาทเศษ จากนั้นได้กู้เงินจากคนที่นายเกรียงไกรรู้จักเป็นเงิน 50 ล้านบาท เพื่อใช้เร่งก่อสร้างวิหารให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย. 56 โดยนายเกรียงไกร เป็นคนรับประกัน ใช้อาคารสูง 6 ชั้น เนื้อที่ 200 ตารางวา ถนนพระราม 3 กรุงเทพฯ เป็นหลักทรัพย์ประกัน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกสิกรไทยกำหนดในอัตราเงินฝากประจำ 3 เดือน เมื่อวิหารมีรายได้ต่างๆ แล้วทยอยจ่ายคืน จึงเป็นที่มาของเงิน 96,055,715 บาท ที่นายเกรียงไกรอ้างว่าได้สำรองจ่ายสะสมตั้งแต่เริ่มก่อสร้างวิหารจนถึงวันที่ 20 เม.ย.58"


//tnews.teenee.com/etc/122815.html





 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2558   
Last Update : 27 พฤษภาคม 2558 22:19:30 น.   
Counter : 909 Pageviews.  

สุดสลด!!! สาวสู้ชีวิตดาวอาชีวะ ดับสลด รถชนท้ายรถ 6 ล้อ ทิ้งโพสต์สุดท้าย ทำชาวเน็ตเศร้า



นักเรียนสาว ปวส.ฝึกงานบริษัท นั่งรถกระบะไปกับพนักงานหนุ่มรุ่นพี่ ออกไปทำงานต่างจังหวัดตั้งแต่เช้า ระหว่างทางมีรถบรรทุกหกล้อ จะเลี้ยวกลับจุดยูเทิร์น ไม่ทันระวัง พุ่งชนอย่างจัง ทั้งคนขับและคนนั่งข้างถูกอัดติดคาซากรถ คนขับอาการสาหัส ส่วนนักเรียนสาวอาชีวะ เสียชีวิตคาที่ เผย นักเรียนสาวเพิ่งเรียนจบและฝึกงานได้ไม่นาน ก็มาเสียชีวิตเสียก่อน

เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 25 พ.ค.58 ร.ต.ท.ปัญญา โยวะ นายร้อยเวรคดีจราจร สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งมีเหตุรถยนต์กระบะเล็กชนกับรถยนต์บรรทุก หกล้อ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บติดคาซากรถจำนวน 2 ราย เหตุเกิดบริเวณจุดยูเทิร์นบ้านปากดง ตรงข้ามสุสานปากดง ถ.อุดรธานี - หนองบัวลำภู ต.นิคมสงเคราะห์ จึงได้พร้อมด้วยแพทย์เวร ร.พ.ศูนย์อุดรธานี หน่วยกู้ชีพ มูลนิธิอุดรสว่างเมธาธรรมแห่งอุดรธานี รุดไปตรวจที่เกิดเหตุตรงกลางถนนฝั่งขาออกตัวเมือง พบรถยนต์บรรทุกหกล้อ ทะเบียน 80-9754 หนองบัวลำภู จอดลักษณะจะเลี้ยวกลับ ที่ท้ายรถพบรถยนต์กระบะขนาดเล็กสีขาวยี่ห้อ DFSK ทะเบียน ฒล.- 8086 กรุงเทพมหานคร ติดคาด้านท้ายสภาพพังยับยุบครึ่งคัน มีคนติดคารถ 2 ราย

เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องตัดถ่างงัดร่างผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตออกมาอย่างทุลักทุเล ที่เบาะคนขับพบว่าผู้บาดเจ็บอาการสาหัสคือนายนพรัตน์ อุปะชาคำ อายุ 22 ปี ชาว ต.โคกสะอาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นพนักงานของบริษัทเกียรตินาคิน อุดรธานี และที่เบาะข้างคนขับพบว่าเสียชีวิตคาที่สภาพศพคอหัก ศีรษะแตก หน้าอกยุบ ทราบชื่อคือ น.ส.สุดารัตน์ โคตวิทย์ อายุ 19 ปี นักเรียน ปวส.วิทยาลัยอาชีวะอุดรธานี และเป็นนักเรียนฝึกงาน ที่เพิ่งทำงานได้ไม่กี่วัน

จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายนพรัตน์ มีงานด่วนที่ จ.หนองบัวลำภู และพา น.ส.สุดารัตน์ นักเรียนฝึกงานไปด้วย พอถึงระหว่างทางไม่ทันระวังว่าขับตามรถบรรทุกหกล้อที่กำลังชิดเลนขวาเพื่อเลี้ยวกลับตรงจุดยูเทิร์น ทำให้ชนท้ายเข้าอย่างจังจนนายนพรัตน์ และ น.ส.สุดารัตน์ ติดคาซากรถดังกล่าว

ส่วนคนขับรถบรรทุกหกล้อ อาศัยจังหวะชุลมุน ถอดกุญแจรถออกแล้วหลบหนีไป จะได้ติดตามตัวมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับผู้เสียชีวิตรายนี้ เพิ่งโพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊คของตัวเองว่า พรุ่งนี้แล้วเราต้องทำงาน โดยเพื่อนๆ ระบุว่ากำลังเรียนจบ ปวส.แล้วเข้าฝึกงานตามบริษัท แต่ยังไม่ได้บรรจุเข้าทำงานก็มาประสพอุบัติเหตุเสียชีวิตเสียก่อน



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

//tnews.teenee.com/etc/122773.html




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2558   
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 22:38:55 น.   
Counter : 5106 Pageviews.  

ไม่ค่อยเข้าใจข่าวเรื่องชาวโรฮิงยา จนได้มาอ่านบทความนี้ครับ!!



ไม่ค่อยเข้าใจข่าวเรื่องชาวโรฮิงยา จนได้มาอ่านบทความนี้ครับ จริงเท็จประการใด ชี้แจงได้ครับ .. ขอบคุณคุณ Natt Nattee ที่แชร์ให้อ่านครับผม

edit เพิ่มเติมครับ : เครดิตหลักเจ้าของบทความ เขียนไว้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้นะครับ .. ขอบคุณ คุณ @Setawit Inmysight Pong สำหรับข้อมูลครับ


//www.isranews.org/isra-news/item/38606-aa_38606.html

====================

เรื่องนี้ ยาว แต่วิเคราะห์ได้น่าสนใจ จึงขอแชร์มา
Benya Nandakwang : ผู้โพสต์ / Chai Prasan : ผู้วิเคราะห์
ภาพประกอบ : จาก internet

----------

ปัญหาผู้ย้ายถิ่นฐานชาวโรฮิงยา ปัญหาที่อังกฤษทิ้งไว้ให้ภูมิภาคนี้ และกลายเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก .. ทำไม ทุกประเทศในแถบนี้ ไม่ยอมรับโรฮิงยาให้ขึ้นฝั่งและให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะโรฮิงยาที่มาจากรัฐยะไข่ในพม่า

เพราะพม่าประกาศมาตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจากอังกฤษเมื่อ 70 ปีมาแล้ว โรฮิงยาไม่ใช่คนพม่า แม้พม่าจะประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ เกือบ 140 ชนเผ่า ที่รัฐบาลพม่ายอมรับว่าเป็นคนสัญชาติพม่า .. แต่พม่าไม่เคยยอมรับว่าชนเผ่าโรฮิงยาเป็นหนึ่งในนั้น และไม่ให้สิทธิต่างๆ ในฐานะพลเมือง ยังถือว่าเป็นผู้อาศัยเท่านั้น และกดดันด้วยวิธีต่างๆ เพราะความแค้น

ความแค้นของพม่ามีมาตั้งแต่สงครามกับอังกฤษ รวมสามครั้ง สองครั้งแรก อังกฤษยึดพม่าตอนล่างรวมทั้งกรุงย่างกุ้งและเมืองต่างๆ บริเวณทางใต้ ครั้งที่สามอังกฤษตีเมืองมัณฑะเลย์จับกษัตริย์พม่าและครอบครัวไปกักตัวไว้ที่มุมไบจนตาย พร้อมทั้งขโมยทับทิม เพชรพลอยและส่ิงของมีค่าไปจากพม่าเกือบหมด และยึดพม่าไว้เป็นเมืองขึ้นทั้งประเทศ

ในการรบกับพม่า นอกจากทหารอังกฤษแล้ว อังกฤษยังเอาทหารกูรข่า และพวกโรฮิงยาจากอินเดีย (ปัจจุบันเป็นบังคลาเทศ) มาช่วยอังกฤษรบกับพม่า และเมื่ออังกฤษยึดครองพม่า ก็เปิดให้คนอินเดียอพยพเข้ามาในพม่าได้อย่างเสรี พวกโรฮิงยาที่มาช่วยรบก็ลงหลักปักฐานในพม่าและส่วนหนึ่งก็อพยพเข้ามาเพิ่มเติม จนปัจจุบันมีคนโรฮิงยาจำนวน 1.6 ถึง 2 ล้านคนในพม่า .. ซึ่งพม่ายังถื่อว่าพวกโรฮิงยากไม่ใช่พม่าเดิมและเป็นพวกศัตรู แม้โรฮิงยารุ่นแรกๆ จะล้มหายตายจากไปตามอายุขัยและลูกหลานรุ่นหลังๆ จะเกิดในพม่า แต่พม่าก็ยังถือว่าไม่มีทางที่จะเป็นคนพม่าได้ เป็นเพียงผู้อาศัยชั่วคราว ถ้าออกจากพม่าไปแล้วจะไม่ให้กลับเข้ามาอีกเด็ดขาด

แม้จะถูกกดดันจากพม่า แต่สถานการณ์ในบังคลาเทศก็ยิ่งยากจนกว่า และเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น พวกโรฮิงยาที่เกิดในพม่า เมื่อหลบหนีไปประเทศบังคลาเทศ ก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมือง
แม้จะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันและถือศาสนาอิสลามเหมือนกันก็ตาม .. มีโรฮิงยาจำนวนมากที่หนีไปบังคลาเทศ บังคลาเทศก็ไม่ให้เข้าประเทศ แต่จัดให้อยู่ในแค้มป์ผู้ลี้ภัยตามชายแดนซึ่งยากลำบากมาก และจะกลับเข้าพม่า พม่าก็ไม่ยอมให้กลับเช้ามา และทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดคนพวกนี้ออกไปจากพม่า

ปัญหาจึงอยู่ตรงนี้ว่า คนโรฮิงยาจึงไม่เหมือนผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น และมีจำนวนมากเกือบสองล้านคน ที่อยู่ในความกดดันของพม่าอยู่ตลอดเวลา คนลี้ภัยหรือหนีภัยสงครามจากประเทศลาว เขมร เวียตนาม หรือพวกกะเหรียง หรือชนกลุ่มนัอยอื่น เป็นผู้ลี้ภัยชั่วคราว เมื่อภัยนั้นพ้นไป ก็สามารถส่งกลับประเทศได้ เป็นการให้ที่พักพิงลี้ภัยชั่วคราว (แต่ก็เป็นภาระหนักมาก และอย่าไปหวังว่าประเทศอื่นจะเข้ามาช่วย แม้การรับพวกผู้อพยพไปประเทศที่สาม ก็ใช้เวลานานประมาณ 20 ปี โดยคัดเอาแต่คนหนุ่มสาวที่ไปเป็นกำลังแรงงานได้และมีความรู้ไป ทิ้งประชากรที่ด้อยคุณภาพไว้ให้ประเทศไทยรับเป็นภาระต่อมาจนทุกวันนี้)

แต่ผู้ลี้ภัยโรฮิงยาเป็นผู้ลี้ภัยถาวร ไม่ว่าประเทศใดที่รับไว้ หมายความว่าต้องรับไว้ตลอดชีวิตตลอดจนลูกหลานที่จะเกิดตามมาในอนาคต ไม่มีทางที่จะส่งกลับไปได้ และ UNHCR ก็ไม่กล้าออกมาสนับสนุนเงินทุนเหมือนกรณีอื่น เพราะกรณีนี้หากมีการตั้งค่าย จะต้องเป็นค่ายถาวรไปไม่รู้ว่าจะจัดการส่งกลับต้นทางได้หรือไม่ (ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางทำได้) และจะตั้งค่ายไปตลอดชีวิตจนถึงชั้นลูกหลานได้อย่างไร ใครจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ในที่สุดก็ต้องกดดันประเทศที่รับไว้ให้หาทางเลี้ยงคนพวกนี้ไปจนตาย

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย จึงไม่กล้าที่จะรับชาวโรฮิงยามาไว้ในประเทศ ที่เข้ามาแล้วก็ผลักดันกันไปด้วยวิธีการนอกระบบ ด้วยการส่งออกไปทางชายแดนพม่า แต่ทั้งสามประเทศไม่ยอมให้เข้ามาในน่านน้ำตัวเอง ได้แต่ส่งน้ำ ส่งอาหารและซ่อมเรือให้ แล้วผลักดันออกไปในเขตทะเลสากล หรือในน่านน้ำของต่างประเทศ เพราะไม่มีใครที่กล้ารับภาระที่ไม่รู้จบในขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังมีปัญหาประชาชนที่ยากจนและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่

ทางตะวันตกที่เคยเสียงแข็งเรื่่องสิทธิมนุษยชน ก็ไม่กล้าแอะปาก เพราะในยุโรปเอง อิตาลีก็ใช้วิธีกันเรื่อผู้อพยพไม่ให้เข้ามาในน่านน้ำ เพราะอิตาลีเองก็เจอปัญหาผู้อพยพจากอาฟริกาเข้ามาในอิตาลีจำนวนมาก และได้ร้องขอให้ชาติในยูโรช่วย แต่ก็ถูกทอดทิ้งให้รับภาระตามลำพัง

ออสเตรเลียที่ทำตัวเป็นชาติที่มีมนุษยธรรมสูง และชอบโจมตีผู้อื่น ก็เจอปัญหาผู้อพยพทางเรือเข้าออสเตรเลียมากมาย
จนออสเตรเลียต้องใช้ทหารเรื่อกันไม่ให้เรือผู้อพยพเข้ามาในน่านน้ำ และใช้วิธีลากเรือผู้อพยพออกนอกเขตน่านน้ำของตนเช่นเดียวกัน หากผู้อพยพจมเรือ ก็จะเอาไปทิ้งไว่้ในเกาะคริสต์มาส ซึ่งออสเตรเลียถือว่าไม่ได้อยุ่ในดินแดนของตน (แต่ออสเตรเลียครอบครองอยู่) และสร้างค่ายกักกันคนเหล่านี้ไว้ .. และเมื่อไม่ถือว่าอยู่ในดินแดนของตน คนเหล่านี้จึงไม่ได้สิทธิในฐานะผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย (ที่ทั้งออสเตรเลียและอิตาลี เป็นภาคีอนุสัญญานี้ แต่ประเทศในอาเซียนทั้งหมดไม่มีใครกล้าเป็นภาคี เพราะอนุสัญญานี้ให้สิทธิผู้ลี้ภัยมากมาย และกำหนดให้รัฐบาลที่รับผู้ลี้ภัยไว้ต้องดูแลผู้ลี้ภัยดีกว่าที่ดูแลประชาชนของตัวเองเสียอีก)

ประเทศที่เคยทำตัวเป็นผู้ที่มีมนุษยธรรมสูงและชอบตำหนิประเทศอื่นว่าไม่ยอมรับผู้ลี้ภัยในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ ก็ไม่กล้ามีปากเสียง เพราะหากออกหน้ามาจะถูกสวนทันทีว่า "ประเทศนั้นจะรับผิดชอบด้านการเงินไหม และจะรับคนพวกนี้ไปประเทศตัวเองไหม จะได้ส่งให้ทันที"

UN ก็เหมือนคนง่อยเปลี้ยเสียขา เพราะมองเห็นแล้วว่าหากเข้าไปรับภาระเต็มๆ ด้วยตัว UN เอง ก็ต้องรับภาระทั้งหมด โดยเฉพาะด้านการเงิน ทั้งๆ ที UN ก็ใกล้ล้มละลายเต็มที จะหาเงินมาใช้แต่ละปีต้องไปง้อประเทศผู้บริจาคให้วุ่นไปหมด ถ้ามารับงานนี้เต็มตัว UN จะไม่มีเงินมาจ่าย ต้องตัดเนื่อตัวเอง และอาจจะล้มละลายในที่สุด

นอกจากนั้น UN เองก็ไม่มีปัญญาที่จะไปจัดการกับประเทศพม่าให้ลดการกดดันชาวโรฮิงยา และให้รับพวกโรฮิงยากลับ หากพม่ายอมรับกลับ และอยู่ร่วมกันโดยไม่กดดันชาวโรฮิงยา ปัญหาคงจะน้อยไปกว่านี้เยอะมาก

อีกประเด็นหนึ่งที่ประะเทศในแถบนี้ไม่กล้ารับโรฮิงยาไว้และดูแลตามมาตรฐานที่ UN กำหนด เพราะยังมีชาวโรฮิงยาอีกล้านกว่าคนที่รอดูอยู่ หากเห็นว่าได้รับการดูแลดี อีกล้านกว่าคน หรืออย่างน้อยหลายแสนคนพร้อมที่จะเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมฺของพม่าที่ต้องการไล่ชาวโรฮิงยาออกนอกประเทศอยู่แล้ว

ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก แต่ประเทศในแถบน้ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ บรูไน) ไม่มีใครกล้ารับพวกนี้ไว่้และปกป้องน่านน้ำของตนเองอย่างหนาแน่น

ปัญหาต่อไปคือคนกลุ่มนี้ คือพวกเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ หลักๆ คือผู้ที่หลบหนีเข้าเมือง ที่ไปจ้างพวกขบวนการลักลอบพาคนเช้าเมืองให้พาเข้ามายังประเทศที่สาม ซึ่งชาวโรฮิงยาอยากไปมาเลเซียและอินโดนีเซียมากกว่าเนื่องจากเป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน การจ้างพวกนี้พาเข้าเมืองโดยมีค่าจ้าง กรณีจึงไม่เป็นการค้ามนุษย์ แต่เป็นการลักลอบพาคนเข้าเมือง ตามข้อสัญญาและพิธีสารว่าด้วยการลักลอบพาคนเช้าเมืองของสหประชาชาติ เว้นแต่บางคนที่ถูกนำไปค้าประเวณีหรือไปบังคับใช้แรงงาน จึงจะเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ซึ่งมีจำนวนน้อย แม้แต่การที่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่ก็ไม่เข้าข่ายการเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์ แต่เป็นเหยื่ออาชญากรรมข้ามชาติ

กรณีนี้จึงอยู่ที่ความร่วมมือของทั้งสามชาติหลัก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ที่จะต้องร่วมมือกันกำจัดกลุ่มที่ร่วมเป็นเครือข่ายการลักลอบพาคนเข้าเมือง
ซึ่งมีทั้ง คนพม่า คนโรฮิงยา คนไทย คนมาเลเซีย และคนอินโดนีเซียอย่างเด็ดขาด โดยใช้กฎหมายใหม่ของไทย คือ พรบ ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างเด็ดขาด เพราะคนพวกนี้เป็นต้นตอในการนำคนเหล้านี้ให้ลงทะเลข้ามมา และมาตกระกำลำบากอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ต้องไม่เห็นแก่ได้ ต้องไม่รัับเงิน และต้องจัดการปราบปรามอย่างจริงจัง ต้องกวาดล้างให้สิ้น เงินเล็กน้อยที่พวกนี้ได้ แต่จะสร้างภาระให้ประเทศไทยไปชั่วลูกชั่วหลาน

กรณีนี้จึงเป็นการขัดกับความรู้สึกอย่างมาก เพราะมีชาวโรฮิงยาลอยคออยู่ แต่ไม่ประเทศไหนกล้าที่จะรับไว้ เว้นแต่ UN จะสามารถุเจรจากับพม่าให้รับกลับคนเหล่านี้กลับไปอยู่ยังแผ่นดินเกิดของตน
ได้

วิเคราะห์แล้วก็เหนื่่อยแทนครับ กับคนที่ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก และเป้นปัญหาที่อังกฤษมาก่อไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว จริงๆ แล้วอังกฤษสร้างปัญหาไว้ให้พม่าอีกหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งคือเรื่องสนธิสัญญาปางหลวง ที่อังกฤษเป็นเจ้ากี้เจ้าการ จนทำให้พม่าต้องรบกับชนกลุ่มน้อยมา 70 กว่าปีแล้ว

(ได้รับบทความนี้จากไลน์กลุ่มเพื่อน เห็นว่าวิเคราะห์ได้น่าสนใจดี)


ที่มาจากไทยรัฐ
บทความโดย นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2558   
Last Update : 19 พฤษภาคม 2558 21:39:08 น.   
Counter : 1281 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

ข่าวดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]