สำหรับศพเด็กหญิงวันเพ็ญนั้น ได้รับมาจากชายไทยอายุประมาณ 40 ปี เศษ ไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริง เมื่อประมาณปี 2552-2553 เพื่อทำบุญให้กับเด็กทารกที่เสียชีวิตดังกล่าว โดยชายคนดังกล่าวมอบศพเด็กทารกและขอฝากศพเด็กไว้เป็นบุตรกับพระเฉลิมในขณะนั้น จากนั้นได้รับศพเด็กทารกดังกล่าวเก็บไว้ในกุฏิตลอดมาจนถึงวันที่ 15 เม.ย. 2557 พระเฉลิมในขณะนั้นทำพิธีบรรจุศพไว้ใต้ฐานองค์พระพรหมในบริเวณวัด ซึ่งคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนทราบข่าวจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทางสื่อออนไลน์เกี่ยวกับเรื่อเด็กทารก ทำให้ไม่สบายใจ จึงเดินทางเข้าพบกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้าน ยืนยันที่กระทำลงไปนั้น ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

 พล.ต.ต.ปชากล่าวต่อว่าหลังสอบปากคำจนแน่ชัดว่า นายเฉลิมนำศพไปฝังจริง ได้ให้พนักงานสอบสวนและชุดสืบสวนภาค 5 นำตัวนายเฉลิมไปชี้จุดที่ฝัง ในช่วงกลางคืนประมาณ 20.00 น. โดยมีชาวบ้านที่เคยศรัทธาในตัวนายเฉลิม มาดูรวมทั้งชาวบ้านที่รู้ความจริง ที่เคยยับยั้งไม่ให้เจ้าหน้าที่ขุดศพขึ้นมาตั้งแต่แรก จำนวนประมาณ 100 คน มาดูการชี้จุดฝังศพของนายเฉลิม ชาวบ้านถึงกับปลงและกำนัน ต.ดอยหล่อ ที่เคยคัดค้านเรื่องการขุดก็ยินยอม ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการขุด แต่ขอให้เจ้าหน้าที่นั้นนำพระสงฆ์ 9 รูปมาทำพิธีสวดถอนดวงวิณญาณของเด็กหญิงวันเพ็ญก่อน 

 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้รับปาก การนำตัวนายเฉลิมไปชี้จุดนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค5 ได้มีเจ้าหน้าทื่ตำรวจนอกเครื่องแบบ คอยอารักขานายเฉลิมตลอดเวลา เพราะกลัวนายเฉลิมจะถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ การชี้จุดนั้นเหตุการณ์ปกติชาวบ้าน หูตาสว่าง หลังจากเคยศรัทธามานาน ส่วนเรื่องขุดศพนั้น เจ้าหน้าที่จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง และกำหนดวันขุดศพขึ้นมาชันสูตรต่อไป และจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในข้อหาซ่อนเร้น อำพราง ปิดบังศพ

 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค5 สืบทราบว่าเหล่าบรรดาพระสงฆ์ที่เล่นไสยเวทย์ ต่างๆ หรือเรียกว่าสายดำนั้น จะซื้อศพมาจากสัปเหร่อในป่าช้า โดยสัปเหร่อพวกนี้จะได้ศพเด็กจากโรงพยาบาลที่ติดต่อนำเด็กทารกที่เสียชีวิตมาฌาปนกิจหลายครั้ง สัปเหร่อจะอาศัยนำซากศพเด็กจำหน่ายให้พระสงฆ์ที่เล่นไสยเวทย์ ราคา 3-5 พันบาท หากเป็นศพเด็กทารกจะยิ่งราคาแพงมาก ซึ่งตำรวจภาค 5 ได้ขยายผลเตรียมดำเนินการสัปเหร่อที่นำศพเด็กทารกมาขายต่อไป  

 ส่วนที่มีชาวบ้านร้องเรียนมาว่าวัดเชียงขาง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ มักจะนำซากศพเด็กทารกมาทำพิธีทำแปลง เผา และนำมาทำน้ำมันพรายและมวลสาร ทำวัตถุมงคลขายให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศนั้น จากการตรวจสอบของตำรวจภาค 5 ตามหนังสือร้องเรียน พบว่าเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวเลิกทำพิธีแล้ว เพราะอายุมากและแรงเสื่อมของศรัทธา นักท่องเที่ยวก็ลดลง สำหรับวัดแห่งนี้จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าอาวาสหันมาใช้ของปลอมจำพวกเรซิน แทนของจริง น้ำมันพรายก็ใช้น้ำมันหมูมาเจียวใส่ขวดเล็ก หลอกขายให้นักท่องเที่ยว จนนักท่องเที่ยวจับได้ เมื่อก่อนเคยมีนักท่องเที่ยวมาซื้อวัตถุมงคลจำนวนมากที่วัดแห่งนี้ แต่ปัจจุบันหมดความเชื่อถือไปแล้ว

ที่มา  //www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU9ETTVNamsxTVE9PQ==&subcatid=