|
แม้แต่ 'ปลิง' ยัง slow life เลย .. เริ่ม slow ก้าวที่หนึ่ง
อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะอยู่นิ่งเฉย -สุภาษิตจีน-
ว้าว.. เช้านี้หยิบหนังสือเรื่อง 'คู่มือแสวงพรสวรรค์' ของคุณหมอสม สุจีรา ขึ้นมาอ่าน ราวกับว่า ตัวหนังสือจะบอกอะไร ฉันกระนั้นค่ะ เปิดปุ๊บ เจอหน้านี้ปั๊บ ตอบคำถามบางอย่าง ว่าตั้งใจจะให้ชีวิตอยู่ในโหมดเคลื่อนที่ช้าตั้งแต่บัดนี้ ก็มีคำบางคำลอยลมมา บอกว่า อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ
ดีจังเลย..
ขอเอามาขึ้นหัว เพื่อตอกย้ำตัวเองบ่อยๆ
ผ่านเข้ามาอ่าน อย่าได้งงไปนะคะ อยู่ดีๆ ผู้หญิงวัยเฉียด 40 ( ยังอยากเต็มใจที่จะหยุดอายุไว้ที่ 38 ) จะลุกขึ้นมาบอกตัวเองว่า ฉันขอเดินช้าๆมั่งได้ไหมเนี่ย -- กับเขาบ้าง
เรื่องของเรื่อง ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย กับอะไรหลายๆอย่างในชีวิต และเคยเปรยกับตัวเอง ว่าอันความเหนื่อยนี้หนา มันทำให้ชีวิตฉัน หนักอึ้ง ทำให้ความสุขลดลง เมื่อวันหนึ่งได้อ่านหนังสือ ของคุณปวิตรา เกษมเนตร เรื่อง สูตรความสุข นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉัน รู้สึกว่า มันใช่เลย ทำไมเราต้องทำให้ชีวิตเราหนักอึ้ง ทั้งที่เราทำให้มันเบาลงได้ หากว่าเราเหนื่อยมากเกินไป ทำอย่างไรให้เราเหนื่อยน้อยลงได้
ใช่เลย ฉันอยาก slow down บ้าง
แต่การ slow นี้ อาจจะเริ่มต้นไม่เหมือนกับคุณปวิตราหรือคนอื่นๆนะคะ ชีวิตเราต่างองค์ประกอบ เราไม่อาจลอกเลียนการใช้ชีวิตของใครได้ หากแต่เราดูเป็นบทเรียนได้ ดูแล้วปรับใช้ อันไหนเข้าท่า นำมาปรับได้ก็ปรับ
หลังจากรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยอยู่เป็นระยะ ซึ่งก็อาจจะมาจากภาระหน้าที่การงานที่หนักอึ้ง และประกอบกับรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่ 'สลัดความคิด' ที่ยุ่งเหยิงได้ยากเช่นกัน จึงทำให้ฉันเริ่มตระหนักคิดอย่างจริงจัง ว่า การ slow นั้น ต้องช่วยฉันได้
ที่นี้แหละเราจะเริ่ม slow ยังไง ?
ฉันต้องย้อนกลับมาดูภายในของตนเองใหม่ และบอกกับตัวเองว่า จะต้องไปทีละ step เอาเท่าที่ทำได้ มันคงไม่หนักอะไรนักหนา กับการที่เราจะตั้งใจใช้ชีวิตให้ละเอียดขึ้น และให้ช้าลงเท่าที่เราทำได้
องค์ประกอบอื่นๆภายในชีวิตเรา เช่นการต้องแบกรับหน้าที่การงาน ( ที่ฉันรู้สึกเหนื่อยกับการเป็นหนังหน้าไฟมานานหลายปี ) บทนี้ไม่มีใครบังคับเรา และเรารู้ว่าเราต้องแบกรับมันตราบที่เรายังไม่ได้ปลดมันลง ก็เป็นอีก part หนึ่งในชีวิต ที่ฉันจำเป็นต้องปรับมันใหม่เช่นเดียวกัน ขืนฉันทำแบบเดิมๆ ฉันรู้ว่ามันจะต้องหนักกว่าเดิม แล้วใครจะช่วยฉันได้ละคะ ไม่มีแน่ ที่แน่ๆฉันต้องช่วยตัวเอง
จากนี้ฉันจึงตั้งใจจะ 'ละเอียด' ต่อการใช้ชีวิตให้มากขึ้น ทุกส่วน !! แบบช้าๆ และตั้งใจจะให้ทุกวัน เป็นวันที่เราใช้ชีวิตแบบ เรียนรู้ .. อืมม ใช่ค่ะ ทุกวันจะขอเรียนรู้ เพราะฉันเชื่อว่าในหนึ่งวันที่เราลืมตา เราเห็น เราผ่าน เราคิดอะไรได้ไม่รู้จักจบ
ใบไม้ร่วงหนึ่งใบ เรายังคิดอะไรไปได้ร้อยแปด
ฉันเคยอ่านที่คุณธนิษฐา แดนศิลป์ เขียนในคอลัมน์ Inner journey ใน section อาทิตย์ทอดวง ในนสพ.ผู้จัดการ ( หรือเปล่า ?? ) หลายๆปีมาแล้ว เธอเขียนบทความโดนใจไว้ตั้งหลายบท คอลัมน์นี้เป็นคอลัมน์โปรดของฉันเลย เรียกว่าโปรดตั้งแต่ชื่อคอลัมน์และแนวคิดที่เธอถ่ายทอดไว้
เราเดินทางข้างนอกมาตั้งเยอะแยะ เราไปที่นั่นที่นี่ ไปรู้ไปเห็นทุกอย่างรอบตัว ผ่านตา แต่เราเดินทางข้างในใจ 'น้อยมาก' แน่ๆ ฉันเชื่ออย่างนั้น ดูแต่ละวันของเราสิคะ .. เรามีโอกาสสำรวจใจเรามากน้อยแค่ไหนกัน แค่จะนั่งคิดใคร่ครวญ ให้เวลากับตัวเองบ้างในแต่ละวัน เรายังบอกตัวเองว่า 'ไม่มีเวลา' เลย น่าแปลกใจจริงๆ
เพราะส่วนใหญ่แล้วเรามัวแต่ทำอย่างอื่นกันนั่นแหละค่ะ
นี่พูดถึงตัวเองด้วย เพราะตัวเองก็เคยอ้างอย่างนี้แหละ .. ไม่มีเวลา แล้วเวลามันไปไหนหมดก็ไม่รู้ หนึ่งวันทำไมยุ่งจังเลย ยุ่งกระทั่งไม่มีเวลาเดินไปเติมน้ำในแก้ว ดื่มน้ำวันละแก้วสองแก้ว ตายแล้ว... แล้วเป็นไง ระบบขับถ่ายก็ไม่ดี ปล่อยให้ตัวเองถ่ายยากถ่ายเย็น จนกลายเป็นโรคตามมา นี่ไงคะ ผลของการบอกตัวเองว่า ไม่มีเวลา เพราะมัวแต่ทำนั่นทำนี่ ติดพัน มองย้อนกลับไปสิ จะรู้สึกโกรธตัวเองขึ้นมาทันทีค่ะ ทั้งที่ไม่มีใครฉุดดึงรั้งให้สองขาของเรามันอยู่กับที่สักหน่อย แค่จะเดินไปเติมน้ำสักแก้ว ก็มัวแต่จะทำงานๆๆ
เราทำงาน หรืองานทำเรากันแน่ นี่ดอกหนึ่งแล้วนะคะ...
เมื่อคุณภาพชีวิตของเราไม่ดี ( เพราะเจ็บป่วย ) แล้วเราจะมีความสุขกับการใช้เงินไหม ??
ดอกที่หนึ่ง ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วนะ นี่ตอกย้ำกับตัวเองอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู หากจะก้าวสู่ชีวิตในโหมด slow ขอดูแลตัวเองให้ดีสุดๆ ก่อนตั้งแต่บัดนี้ค่ะ
ในแต่ละวันหากเราบอกกับตัวเอง ย้ำกับตัวเองบ่อยๆ หมั่นสังเกตตัวเองบ่อยๆ ว่าตัวเราเองต้องการอะไร ร่างกายเราส่งสัญญาณอะไร จิตใจเราส่งสัญญาณอะไร ฉันว่าเราควรฟังเขาบ้างนะคะ จริงๆฉันเชื่อว่าเราสื่อสารกับภายในของเราทุกวัน เพียงแต่เราจะละเอียดที่จะจับมันมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
การเขียนบล็อกอย่างช้าๆ ( เข้าโหมด slow ) ก็เป็นการพูดคุยกับตัวเองที่ดีเช่นกันค่ะ เขียนและได้ใคร่ครวญ การเขียนช่วยปลดปล่อยความรู้สึกได้จริงๆนะคะ หากเขียนแล้วสบายใจขึ้น นี่ก็คือการเยียวยาความหนักอึ้ง แบบมีคุณภาพอย่างหนึ่ง เขียนไปคิดไป คุยกับตัวเองไป ฉันว่าการมีพื้นที่ของตัวเองอย่างน้อยสักที่ เช่นในบล็อก หรือหากไม่ถนัดจะเขียนในบล็อก ก็เขียนมันนอกคอมด้วยวิธีเดิมๆ เช่น เขียนไดอารี่ เป็นการเยียวยาความรู้สึกหนักอึ้งได้ดีวิธีหนึ่ง
ระบายมันไปเลย ไม่ต้องสนใจว่าใครจะว่ายังไง ก็พื้นที่นั้นมันเป็นของเรา
แล้วเวลาเราเขียน เราจะ slow จริงๆค่ะ เพราะขณะเขียน ความคิดเราจะค่อยๆไหลออกมา มันจะค่อยๆบรรเทา จากหนักอึ้ง เป็นเบาลงๆๆ ได้ในที่สุด
..
เมื่อคืน ฝนตก .. ฉันนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เพราะนอนไม่หลับ จำไม่ได้ว่าหลับไปตอนกี่โมงกี่ยาม ที่รู้คือปวดหัวมากๆ อยากนอน อยากพัก แต่รู้สาเหตุว่าทำไมข่มตาให้หลับไม่ได้ ก็คงเพราะดื่มชาเย็นตอนหกโมงเย็น แล้วร่างกายก็ sensitive กับคาเฟอีนอยู่แล้ว
ขณะนอนคิดอะไรไปเรื่อยๆ ฉันรู้สึกว่าใจมันเบา ไม่อยากดันทุรังให้ตัวเองหลับ หรือ force ตัวเองให้หลับทั้งที่ร่างกายมันต้านค่ะ นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ท่ามกลางเสียงฝนที่หล่นกระทบหลังคา ขณะปล่อยความคิดไหลเรื่อย ฉันรู้สึกสบายดี
นั่นคงเพราะเราปล่อยให้ตัวเองอยู่ในโหมดช้าๆ เบาๆ
เช้านี้ ฉันเลยตั้งใจจะ slow
ปล่อยแมวออกไปวิ่งเล่นแล้ว เลยนั่งดูต้นไม้ใบหญ้าหน้าบ้านพักหนึ่ง เช้านี้ไม่มีแดดเลย ฝนมาแล้วค่ะ ฤดูกาลในชีวิตเปลี่ยน .. นอกชานบ้าน มีปลิงเกาะอยู่บนพื้นตั้งสามตัว มีสามขนาด ขนมากันทั้งครอบครัวเลยมั้งคะ.. พ่อตัวใหญ่ แม่ขนาดกลาง ลูกขนาดเล็ก อูย .. ตลกนะนี่ มาโชว์ตัวราวกับอยู่ใน reality show
ปลิงนะ .. ไม่ใช่หอยทาก แต่ถึงกระนั้น ปลิงก็ใช้คอนเซ็ปท์ เดียวกับหอยทากเป๊ะ คือ slow ค่อยๆคืบๆ คืบช้ามาก เหมือนจะนิ่งๆ แต่จริงๆคือ เขาเดินค่ะ นี่คือการ slow life ตามธรรมชาติของตัวเอง
คนก็อยาก slow เหมือนกัน คลานตามกันไปติดๆแล้วค่ะ !!!!
Create Date : 23 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 8:32:40 น. |
|
2 comments
|
Counter : 229 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|