Beauty ♥ Yamashita Study

สวัสดีค่ะสาวๆทุกคน วันนี้นิมาเขียนบล็อกในเชิงความรู้กันซักหน่อย
ซึ่งจะเน้นในเรื่องการการดูแลตัวเองจากภายในกันค่ะ
ในทุกวันนี้อย่างที่ทราบกันดีว่าปัจจัยในหลายๆเรื่องมีผลกระทบโดยตรงกับตัวเรา
ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพหรือแม้กระทั่งความงาม

เราทราบกันดีว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุขภาพเราดี
การดื่มน้ำเฉลี่ยวันละ 8-10 แก้ว การออกกำลังกาย
การเลี่ยงความเครียด หรือกระทั่งการทานสารอาหารที่มีประโยชน์
ซึ่งถ้าหากเราดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะมีการหลั่งสารต้านอนุมูลอิสระขึ้นมา
เพื่อช่วยให้ยังสุขภาพดี และผิวพรรณของเราก็ยังคงเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์


ซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆในทุกวันนี้ ทำให้เราค้นพบสารต่างๆมากมาย
ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับผิวเรา หนึ่งในนั้นคือ




"แอสตาแซนธิน"
เป็นสารธรรมชาติ มีสีสมแดงถึงแดงเข้มซึ่งคล้ายกับสีแดงของทับทิม จะมีในสัตว์ทะเลน้ำจืด
อย่างเช่น ปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ กุ้งมังกร และปู(แต่มีในปริมาณน้อย)
และยังพบในสาหร่ายขนาดเล็ก เช่น สาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส
ซึ่งสาหร่ายสายพันธ์นี้ถูกจัดว่าเป็นสาหร่ายที่มีสารแอสตาแซนธินมากที่สุด

จากที่นิอ่านข้อมูลมา สารแอนตาแซนธินที่มีในสัตว์ที่กล่าวมา
จะส่งผลให้สัตว์เหล่านั้นมีสีส้มไปจนถึงสีแดง
ซึ่งสารตัวนี้ทำให้สัตว์เหล่านี้มีการเติบโตและแข็งแรง
แต่ในตัวของสัตว์เหล่านี้กลับไม่สามารถสังเคราะห์สารตัวนี้ได้เอง
แต่มันจะรับสารตัวนี้จากพืชค่ะ ซึ่งพืชที่มีสารตัวนี้ได้มากที่สุดคือ




สาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส ซึ่งเป็นสาหร่ายเซลล์เดียว
โดยปกติแล้วก็จะเป็นสาหร่ายสีเขียวธรรมดาทั่วไป แต่ความพิเศษของสาหร่าย
สายพันธ์นี้ที่ไม่ธรรมดาเลยก็คือ สาหร่ายสายพันธ์นี้
สามารถผลิตสารแอนตาแซนธินนี้ได้ด้วยตนเอง เพื่อนำมาใช้เพื่อช่วยปกป้องเซลล์
จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ แม้ว่าจะขาดน้ำหรืออาหารได้นานถึง 40 ปี
และเมื่อกลับสู่สภาวะปกติ คือมีน้ำมีอาหาร สาหร่ายสายพันธ์นี้
ก็จะสามารถปรับตัวมาเป็นสีเขียวได้เหมือนเดิม





กลับมาที่สารแอนตาแซนธิน
สารตัวนี้มีดียังไง?
แอสตาแซนธินจะยับยั้งการทำงานของอนุมูลอิสระ
หรือที่เราได้ยินกันชินหูว่า "ต้านอนุมูลอิสระ" นั่นเอง
มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 6000 เท่า
สูงกว่าโคเอนไซน์ Q10 800 เท่า
และสูงกว่าวิตามินอี 550 เท่า
ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า อนุมูลอิสระนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผิวของเราเสื่อมโทรมลง
และสิ่งที่กระตุ้นให้อนุมูลอิสระเกิดขึ้นนั้นก็มาจากความเครียด
สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี แสงแดด การทานอาหารมัน ทอด ปิ้ง เป็นต้น

นั่นแปลว่า สารตัวนี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวของเราเนื่องจากสามารถ"ต้าน"อนุมูลอิสระได้
ซึ่งได้มีการวิจัยมาแล้วว่าแอสตาแซนธินอาจช่วยลดริ้วรอย
และผิวเหี่ยวย่นและเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย
เรียกได้ว่าลดปัญหาผิวได้ทั้ง 5 ประการเลยทีเดียว
ในปัจจุบันแอสตาแซนธิน
ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศในยุโรปให้ใช้สำหรับทานได้
และในอเมริกาก็ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาให้นำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้
ซึ่งในประเทศไทยก็ผ่าน อย.แล้วเช่นกันค่ะ


สุขภาพที่ดีก็จะส่งผลให้ผิวของเราดีด้วย
แล้วผิวที่ดี มีอะไรบ้างที่บ่งบอกเราว่า "เราผิวดีนะ"
ปัจจัยหลักๆที่เราจะดูมี 5 ข้อค่ะ

1. ความเรียบเนียน (Texture)
2. ริ้วรอย (Wrinkle)
3. ความชุ่มชื่น (Hydration)
4. ความแห้ง (Dryness)
5. ความยืดหยุ่น (Elasticity)

ซึ่งนิได้ไปลองตรวจสภาพผิวมาแล้ว
เป็นการตรวจสภาพผิวที่เป็นวิธีเดียวกับ Yamashita Study
โดยให้อาสาสมัครล้างหน้าก่อนทำการตรวจสภาพผิวเสมอ
เพื่อความเสถียรของการวัดผล และทำการตรวจภายใต้ห้องที่ควบคุมอุณหภูมิ
และความชื้นสัมพัทธ์อีกด้วย เรียกได้ว่าทดสอบกันแบบเป้ะทุกกระเบียดนิ้ว

พารามิเตอร์ในการตรวจสุขภาพผิวประกอบไปด้วย

1. แบบสอบถาม โดยถามความรู้สึกหลังทาน
2. การตรวจวิเคราะห์สภาพผิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
3. การตรวจวัดความชุ่มชื้นของผิว โดยใช้เครื่องวัด
Corneous moisture content (electrical conduction MS)
ที่บริเวณหางตาและแก้ม
4. การตรวจวัดไขมันที่ชั้นผิวหนัง (Sebum) ที่บริเวณหางตาและแก้ม
5. การตรวจสภาพผิวทั้งหน้าด้วยการถ่ายภาพ ภายใต้กล้องกำลังขยาย 60 เท่า

มีทั้งหมด 2 เคสที่เค้าทดลองกัน

เคสแรก Yamashita E.2002
อาสาสมัครผู้หญิงอายุ 40 ปีจำนวน 16 คน
ทดลองทานแคปซูลของสารแอนตาแซนธินและวิตามินอี
โดยให้ทานหลังอาหารทุกวัน หลังอาหารเย็นยาวนาน 4 สัปดาห์
ซึ่งจะมีการตรวจสภาพผิวเก็บผลการทดสอบในสัปดาห์ที่ 2 และ 4

ผลลัพธ์ที่ได้จากอาสาสมัครนั้นพบว่า
อาสาสมัครรู้สึกว่าริ้วรอย จุดด่างดำ ดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 การเกิดสิวลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4
และผลการวิเคราะห์ผิวจากผู้เชี่ยวชาญและการตรวจสอบความชุ่มชื้นผิวพบว่า
ความเรียบเนียน ความชุ่มชื่น ความยืดหยุ่น การเกิดสิว ความหย่อนคล้อยของผิว
ริ้วรอยรอบดวงตามีการเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญ



เคสที่สอง Yamashita E.2006

อาสาสมัครผู้หญิงอายุ 46 ปี  49 คน
ทานแคปซูลของแอนตาแซนธินเพียงอย่างเดียว
โดยให้ทานทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ยาวนานถึง 6 สัปดาห์
โดยมีการตรวจวัดผิวในสัปดาห์ที่ 3 และ 6 เพื่อติดตามผล

ผลที่ได้นั้นพบว่าตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 จนถึงสัปดาห์ที่ 6 อาสาสมัครรู้สึกว่า
สุขภาพผิวดีขึ้น คือความแห้งและหยาบกระด้างของผิวลดลง
ผิวมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยลดลง




แต่ในการตรวจของนิ เป็นการตรวจที่ไม่เสถียรมาก
เพราะมีเมคอัพอยู่บนผิวตอนตรวจ (ถ้าอยากได้ผลชัวร์ๆควรล้างหน้าก่อนค่ะ)
พูดได้เลยว่าสลดใจ แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ค่ะ เพราะพฤติกรรมส่วนตัวนิค่อนข้างบ่งบอก
คือนิจะเป็นคนที่ดื่มน้ำน้อย ทานอาหารไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา
แถมยังไม่ออกกำลังกายอีกต่างหาก เรียกได้ว่าตัวกระตู้นอนุมูลอิสระของนิครบทีเดียว

เจ้าเครื่องนี้จะช่วยตรวจเช็คสภาพผิวของเรา
โดยที่เราจะทาบเครื่องนี้ไปที่ช่วงโหนกแก้มและหางตาค่ะเพื่อทำการตรวจวัดผิว




เมื่อตรวจเช็คสภาพผิวแล้ว
เครื่องก็จะประมวลผลให้เป็นตัวเลขเพื่อความเข้าใจง่ายและชัดเจน
แล้วเราก็นำตัวเลขที่ได้ไปเทียบกับตารางที่ได้ทำการวิจัยมาแล้ว
ว่าในแต่ละปัจจัยนั้น มีเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่บ้างที่เรียกว่าผิวที่ดี






แล้วยังมีในเรื่องของการซูมดูผิวด้วยกล้องกำลังขยาย 60 เท่า
เพื่อเจาะลึกไปในเรื่องของรูขุมขนและริ้วรอยต่างๆค่ะ
(ส่วนนี้ก็เช่นกัน หากตรวจเมื่อผิวไม่ได้รับการแต่งหน้า จะได้ผลที่ชัดเจนกว่าค่ะ)







ทีนี้เราก็จะได้ผลในแต่ละปัจจัยของผิวเราออกมาเป็นตัวเลข
ซึ่งสามารถนำไปเทียบกับตารางได้เลยแบบเห็นกันชัดๆว่า
เรามีปัญหาผิวตรงจุดไหนบ้าง






และเมื่อนำผลตัวเลขของนิไปวัดแล้วนั้น.....
"เจออย่างเงี้ยะ ไม่ให้ช๊อค ไม่ได้แล้ว" ประโยคนี้ขึ้นมาในสมองเลย

ผลที่ได้คือ....นี่หรือความชุ่มชื่น?
นี่หรือความยืดหยุ่น
นี่หรือความเนียนใส....อะไร อะร๊ายยย!!!

ต้องดูแลขั้นเร่งด่วนสุดๆเลยค่ะ T^T




ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น นิคิดว่าผลของการตรวจวัดผิวเป็นในเรื่องของสภาวะชีวิตช่วงนั้นๆด้วย
บางช่วงเวลาเราเครียด บางช่วงเวลาเรานอนน้อย ซึ่งจะทำให้ผลที่ได้ผันแปลตามไปได้เหมือนกัน
ส่วนตัวนิดูจากผลที่ได้แล้ว แม้จะเป็นการวัดที่ไม่เสถียร(เพราะมีเมคอัพตอนที่ตรวจเช็คผิว)
แต่ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนในระดับนึงเหมือนกันว่า การดูแลผิวแบบเดิมๆของนิ
มันอาจจะยังไม่เพียงพอค่ะ นิต้องหมั่นดูแลตัวเองเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะ ><

ในเรื่องของแอนตาแซนธินก็ถือเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจ
 อย่างที่บอกไว้ค่ะว่า
ประสิทธิภาพในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระนี่จากที่นิลองศึกษามา
มันมีประสิทธิภาพสูงกกว่าวิตามินซี วิตามินอีเยอะเหมือนกัน


อย่างที่ทราบกันนะคะว่าเราจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด
ต้องดูแลทั้งภายนอกและภายใน
เรื่องอาหารการกิน การดื่มน้ำ การออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญหลักๆที่ควรทำ
แต่หากมลภาวะ ความเครียด หรือแม้กระทั่งวัยที่ร่วงโรยมันส่งผลกระทบต่อเรามากๆ
การมีตัวช่วเสริมเข้ามาก็ถือเป็นเรื่องที่ดี หากไม่เกินกำลังของเราอ่ะนะ
ส่วนตัวไม่ได้เชียร์ว่าควรไปหาอาหารเสริมมาทาน
เพราะการรับสารอาหารจากมื้อหลักเป็นเรื่องสำคัญกว่าอยู่แล้ว
แต่ถ้าหากศึกษามาอย่างดีแล้วว่า สิ่งเหล่านั้นมันปลอดภัยและดีต่อตัวเรา
คือช่วยเสริมให้เราสุขภาพดีขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีค่ะ

บล็อกนี้ยาวมากเลย เขียนนานมากด้วย
เพราะโดยส่วนมากจะไม่ค่อยได้เขียนเกี่ยวกับหลักวิชาการเท่าไหร่
แต่พอดีนิได้ข้อมูลตรงนี้มาและคิดว่ามันก็น่าสนใจนะ
เลยลองเขียนมาให้อ่านกันค่ะ
มีคำติชมอะไรบอกได้นะคะ เพราะนิก็ไม่ได้แม่นอะไรมาก แนะนำได้เลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ







 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 12:38:24 น.
Counter : 2968 Pageviews.  

Beauty ♥ Review Candy Doll Base Make Up

สวัสดีค่ะ วันก่อนนู้นนิหยิบลิปสีนู๊ด 3 สีของ Candy Doll
มารีวิวให้สาวๆชมกัน สำหรับวันนี้ก็เช่นกัน เป็นผลิตภัณฑ์ของ Candy Doll
เหมือนเดิมจ้ะ แต่เป็นไอเท็มประเภทเบสเมคอัพ
สินค้าเหล่านี้ทางแบรนด์ส่งมาให้นิทดลองนะคะ
ซึ่งไอเท็มที่จะรีวิวในวันนี้มีทั้งหมด 2 ชิ้นค่ะ






ไอเท็มชิ้นแรก CANDY DOLL MAKE UP BASE SPF30
ประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างจะเน้นผิวที่ดูแวววาวนิดๆ ไม่ได้ดูฉ่ำโบ๊ะแบบเกาหลี
ค่อนข้างจะใส่ใจความบางเบาและดูเป็นผิวสวยๆแบบเป็นธรรมชาติ
สำหรับไอเท็มประเภทเบส ก็จะเน้นการกระจายแสงนิดๆให้หน้าดูสว่างสดใส






สำหรับแพ็คเกจจิ้งไม่หวือหวา เป็นสีชมพูสกรีนโลโก้และลายทางสีดำ
เบสเป็นหลอดในลักษณะบีบธรรมดาๆค่ะ ฝาเกลียวมีลักษณะเป็นแคล๊ก
เพื่อป้องกันเกลียวหวาน







เนื้อเบสเป็นสีเนื้อนิดๆมองแล้วเกือบจะเป็นสีขาวค่ะ
มีความขุ่นข้นพอสมควร ไม่มีความเป็นซิลิโคน ไม่มีวิ้งหรือชิมเมอร์ค่ะ







ปาดเนื้อดูแล้วมีความบางเบาพอสมควร ไม่เหนอะหนะผิว
สีค่อนข้างขาวมาก เหมือนกันในตอนแรก ไม่มีกลิ่นค่ะ







เมื่อเกลี่ยจนเนียนแล้วเป็นธรรมชาติมาก ปรับสีผิวให้ดูสว่างขึ้นเล็กน้อย
จากการกระจายแสงค่ะ แต่ไม่ได้มีชิมเมอร์วิบวับ หรือทำให้ผิวดูฉ่ำวาวเท่าไหร่
เน้นการกระจายแสงอย่างเป็นธรรมชาติ พอผิวตกกระทบแสงแล้วจะดูมีมิติขึ้น
ระดับการคุมมันปานกลาง ทำให้สภาพผิวโดยรวมดูนวลเนียนขึ้นค่ะ

นิให้ 9.5/10 สำหรับเบสตัวนี้ นิค่อนข้างชอบผิวที่เป็นธรรมชาติ
ไม่ต้องขาวเว่อร์ ไม่ต้องเนียนกริ๊บ สำหรับเบสตัวนี้ช่วยในเรื่องของความนวลเนียนของผิว
แต่ไม่ได้ทำให้หน้าดูลอยหรือวอกค่ะ นิตัดคะแนนเผื่อสำหรับสาวผิวมัน
เพราะนิเป็นคนผิวผสมค่อนไปทางแห้ง นิเลยไม่แน่ใจว่าการคุมมันจะช่วยได้ดีพอ
สำหรับสาวผิวมันมั้ย จึงเผื่อไว้ก่อนค่ะ แต่สำหรับผิวนิมันโอเคแล้วสำหรับการคุมมันระดับนี้







ตัวถัดมาเป็น CANDY DOLL LIQUID FOUNDATION
รองพื้นตัวนี้เป็นชนิดน้ำ จะต้องเขย่าก่อนใช้งานค่ะ







ตัวขวดทำจากพลาสติกสีขุ่นๆ มองเห็นสีของเนื้อรองพื้น
ฝากสีชมพูแบบหมุนแคล๊กเช่นกัน ภายในมีเม็ดสำหรับเขย่าเพื่อให้
เนื้อร้องพื้นเข้ากันได้ดีขึ้นก่อนใช้งานค่ะ







รองพื้นที่นิได้มาเป็นเบอร์ 01 เป็นเบอร์ขาวสุดค่ะ
เนื้อค่อนข้างเหลวพอสมควร โทนสีที่บีบออกมาตอนแรกดูเข้มกว่าผิวจริงเล็กน้อย







เนื้อค่อนข้างเนียนละเอียด พอเกลี่ยแล้วกลับดูขาวกว่าผิวจริง
มีความวาวเบาๆตามแบบฉบับของรองพื้นญี่ปุ่น
ลักษณะการใช้งานนิจะค่อนๆใช้นิแตะทัชอัพไปให้ทั่วใบหน้า
ไม่ถูนะคะ จะแตะๆๆไปเรื่อยๆจนกว่าจะเนียนเข้ากับผิว
ซึ่งจะให้ผิวที่ดูเนียนเป็นธรรมชาติมากกว่า






เมื่อเกลี่ยจนเนียนดีแล้วจะได้ออกมาประมาณนี้ นิชอบนะ
มันดูเป็นผิวดีมากๆ คือไม่ได้ดูหนาโบ๊ะ และสีก็เข้ากับผิวได้พอดี
ทำให้ผิวดูเป็นผิวแบบคนสุขภาพดี บางเบาแบบเป็นธรรมชาติค่ะ

ให้ 9/10 หักคะแนนตรงที่ยังไม่ค่อยปกปิดเท่าไหร่
เพราะเน้นความเป็นธรรมชาติ ถ้าหากเป็นคนมีสิวเยอะ
น่าจะดีกว่าที่จะใช้คอนซิลเลอร์เพิ่มเติมค่ะ แต่ถ้าหวังว่ารองพื้นนี้จะปกปิด
ขั้นเทพอาจจะต้องผิดหวัง แต่ถ้าเป็นคนมีผิวค่อนข้างโอเคในระดับนึง
มีรอยจุดด่างดำเล็กน้อย ตัวนี้ถือเป็นไอเท็มที่น่าสนใจค่ะ





เปรียบเทียบผิวให้เห็นชัดๆ
No Makeup : จะมีในเรื่องของจุดด่างดำและกระกรรมพันธ์ช่วงแก้มและคางนิดหน่อยค่ะ
Base : กระจายแสงบนใบหน้าให้หน้าดูมีความไบร์ทยิ่งขึ้น รอยดำและกระดูนวลขึ้น
Base + Foundation : รอยดำและกระดูจางลง แต่ไม่ถึงกับหายไปหมดค่ะ
แต่ผิวโดยรวมดูกระจ่างใสขึ้นแบบไม่หนักผิว ดูผิวเป็นธรรมชาติมากๆ








เมื่อรวมกับเมคอัพโดยรวมแล้วจะได้ผิวประมาณนี้ค่ะ
จะเห็นว่าไม่ได้ดูฉ่ำวาวแบบเกาหลี๊เกาหลีที่กำลังนิยมกันก็จริง
แต่ก็ให้ผิวโกลวเบาๆ มีมิติเล็กๆและดูเป็นผิวที่เป็นธรรมชาติ
เหมาะกับการแต่งหน้าบางๆแบบเผยผิวมากๆ ทำให้ดูเป็นคนผิวสวยโดยกำเนิด 555

สำหรับรีวิวนี้นิทำเพื่อเป็นข้อมูลเพื่อให้สาวๆศึกษาก่อนตัดสินใจ
ผิวของคนเราไม่เหมือนกัน กรุณาศึกษาจากหลายๆแหล่งก่อนนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^





 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2556 16:00:24 น.
Counter : 13086 Pageviews.  

Beauty ♥ Review Hada Labo Cleansing Oil & Moisturizing Face Wash

สวัสดีจ้า วันนี้นิหยิบไอเท็มที่นิกรี้ดมารีวิวให้ชมกัน
จริงๆอันนี้ทางแบรนด์ส่งมาให้ลอง แต่ส่วนตัวซื้อมาลองก่อนหน้านั้นแล้ว
และก็ชอบมากๆ ตอนนี้ใช้มาขวดที่ 3 แล้วค่ะ เป็นคลีนซิ่งออยตัวเลิฟของนิตอนนี้
อีกตัวเป็นโฟมล้างหน้าที่ชอบไม่แพ้กัน แต่เพิ่งได้ลองค่ะ





ขอเริ่มที่คลีนซิ่งออยกันก่อน
HADA LABO Super Hyaluronic Acid Moisturizing Cleansing Oil
เป็นออยสำหรับล้างหน้าค่ะ ขวดสีเหลืองๆแบบบหัวปั้ม ใช้ดีมากๆ
มีส่วนผสมธรรมชาติจาก Olive Oil อ่อนโยนต่อผิวค่ะ

ตัวขวดปั๊มจะมีตัวล๊อคมาให้ด้วย อย่าทิ้งกันนะ ขวดแรกนิซื้อมาแล้วนิทิ้งไป
ทีนี้เวลาพกไปไหนแอบลำบาก ต้องปั๊มใส่ขวดที่มีฝาปิดแน่นๆไปแทน ฮ่าๆ
ถ้ามีตัวล๊อคนี้พกไปไหนก็ไม่เลอะเทอะค่ะ ใส่กระเป๋าร่วมกับเครื่องสำอางอื่นได้เลย

Ingredient Lists
Octyl Palmitate, Triethylhexanoin, Sorbeth-30 Tetraisostearate,
PEG-20 Glyceryl Triisostearate, Olea Europaea(Olive) Fruit Oil, Water,
Dextrin Palmitate/Ethylhexanoate, BHT, Hydroxypropyltrimonium Hyaluronate,
Simmondsia Chinensis (Jojoba) Seed Oil, SudiumAcetylated Hyaluronate






เนื้อจะเป็นออยใสๆค่ะ ตอนแรกที่นิใช้เห็นขวดเหลืองๆนึกว่าออยสีเหลือง
ไม่ใช่นะคะ ออยจะเป็นสีขาวใสธรรมดานี่แหละ แพ็คเกจเป็นสีเหลือง
เนื้อก็คล้ายกับออยแบรนด์อื่นๆ หยุ่นๆใสๆ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นค่ะ
นั่นแปลว่าค่อนข้างไม่มีสารปรุงแต่งเกินความจำเป็น
คนที่แพ้น้ำหอมอะไรก็สามารถใช้ได้เลย






วันนี้นิจะรีวิวให้ชมกันว่าคลีนซิ่งตัวนี้ล้างได้สะอาดแค่ไหน
นิลองปาดผลิตภัณฑ์แต่งหน้าที่ใช้กันเป็นประจำดูที่แขน
จะมีอายแชโดว์ ลิปสติกสีจัดจ้าน อายไลน์เนอร์ ดินสอเขียนคิ้ว และทินท์ค่ะ






ภาพบน : ปาดเนื้อออยลงไปบนแขนที่มีเมคอัพอยู่ เห็นมั้ยว่ามันละลายได้แทบจะในทันทีเลย
อันนี้คือนิปาด ปืดดดดไปรอบเดียวนะคะ ไม่ได้ถู ไม่ได้ขยี้ซ้ำ

ภาพกลาง : ทำการนวดคลีนซิ่งออยบนผิวเบาๆ นวดไปประมาณ 1-2 นาทีเท่านั้นจ้า

ภาพล่าง : อันนี้ล้างน้ำออกแล้วค่ะ จะเห็นว่าสะอาดหมดจดมาก เหลือทินท์จางๆอยู่นิดหน่อยเอง
เพราะทินท์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างทนที่สุด


ส่วนตัวให้ 9.5/10 ค่ะสำหรับคลีนซิ่งออยตัวนี้ เพราะอะไรถึงชอบมากรู้มั้ย
เพราะว่ามันไม่แสบตาค่ะ โดยส่วนตัวนิจะมีผลิตภัณฑ์ที่ชอบเช็ดเครื่องสำอางอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ
คือการนวดด้วยคลีนซิ่งออย(หรือบาล์ม)โดยตรงไปบนผิว
และการใช้ผลิตภัณฑ์เทลงบนสำลีแล้วค่อยเช็ด
ส่วนตัวแล้วจะทำวิธีแรกมากกว่าด้วยค่ะ เพราะยังรู้สึกว่า สำลีเนี่ยะ
ถ้าหากไม่ได้ใช้แบบมีคุณภาพจริงๆ มันก็ยังบาดผิวอยู่ นิเลยมักจะใช้คลีนซิ่งประเภทออย
หรือบาล์มค่อยๆนวดลงไปบนผิวโดยตรงมากกว่า เพราะรู้สึกอ่อนโยนกว่าค่ะ

และในการทำความสะอาดผิวแบบนี้ บริเวณดวงตา ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำคัญมาก
เพราะมันอาจจะเผลอเข้าตาได้ง่าย และคลีนซิ่งออยหลายแบรนด์ก็ทำให้แสบตาค่ะ
แต่ของ Hada Labo ตัวนี้ สำหรับนิไม่แสบตาเลย แต่ยังมีฝ้าฟางบางๆหลังล้างหน้าบ้าง
ซึ่งก็มักจะเป็นในเกือบทุกแบรนด์ค่ะ นิจึงยังตัดคะแนนส่วนนี้อยู่นิดหน่อย
แต่โดยรวมเป็นคลีนซิ่งออยที่นิเลิฟสุดแล้วในตอนนี้ค่ะ






ทีนี้มาต่อกันที่ HADA LABO Moisurizing Face Wash กันบ้าง
สำหรับตัวนี้นิเพิ่งจะเคยลองเป็นหลอดแรก แต่ก็แอบปลื้มเหมือนกันค่ะ

Ingredient Lists
Water, Butylene Glycol, Sodium Myristoyl Glutamate, Sorbitol,
Sodium Methyl Cocoyl Taurate, Sodium Lauroyl Glutamate, Cocamide DEA,
Myristic Acid, Glyceryl Stearate, Sodium Chloride, Lauric Acid,
PEG-40 Hydrogenated Castor Oil, Polyglyceryl-2 isostearate,
Polyquaternium-7, Methylparaben, Sodium Acetylated Hyaluronate,
Hydroxypropytrimonium Hyaluronate








เนื้อโฟมจะเป็นสีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่นอีกแล้ว เลิศตรงนี้
คือผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ตัวไม่มีน้ำหอมเลยค่ะ ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากๆ
และด้วยความที่เป็น Moisurizing ด้วย เหมาะกับคนผิวผสมค่อนไปทางแห้งแบบนิมาก






ในเรื่องของวิธีใช้ จะตีวิปฟองก่อนใช้ค่ะ จะใช้มือเปล่าๆตีก็มีวิปขึ้นเหมือนกัน
แต่ถ้าใครมีตาข่ายตีฟองก็จะดีมาก โดยส่วนมากแล้วไม่ว่าผลิตภัณฑ์ใดๆก็ตาม
ถ้าเราใช้สำหรับล้างความความสะอาดผิว ควรตีให้เป็นฟองก่อนดีกว่าค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นโฟมล้างหน้า สบู่ แชมพู ไม่ควรให้สัมผัสตรงๆกับผิว เพราะมีในเรื่อง
ของสารเคมีที่ทำร้ายผิวได้ โดยเฉพาะถ้าหากเป็นพวกวิปโฟมเนี่ยะ ตีให้เป็นวิปก่อนดีที่สุดค่ะ







วิธีการก็ไม่ยากเลย ชุบตาข่ายให้เปียก
จากนั้นก็บีบโฟมลงไปตาข่ายตามขนาดที่จะใช้
แล้วก็ขยี้ตาข่ายคล้ายๆกับการซักผ้าค่ะ ขยี้จนเป็นฟองวิปละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้






จากนั้นก็รีดวิปฟองออกมาใช้ล้างหน้าได้เลย
ฟองที่ได้ค่อนข้างพอดีและนุ่มค่ะ ทำให้ผิวไม่ถูกถูรุนแรง
ริ้วรอยแห่งวัยก็จะเกิดช้าขึ้น อันนี้เป็นวิธีล้างหน้าที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเลยค่ะ

ส่วนตัวให้คะแนน 10/10 สำหรับโฟมตัวนี้ค่ะ
นิเป็นคนไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับโฟมล้างหน้าเท่าไหร่
คือโดยส่วนมากจะรู้สึกว่าแต่ละแบรนด์ก็เหมือนๆกัน ใช้ได้หมด
ก่อนหน้านี้นิเจอตัวนึงที่ใช้ละสัมผัสได้ว่ามันนุ่มละมุนและแตกต่าง
สำหรับ Hada Labo ตัวนี้นิรู้สึกแบบนั้นเช่นกันค่ะ คือมันนุ่มละมุน และชุ่มชื่น
อีกอย่างคือไม่มีน้ำหอมด้วย เลยยิ่งรู้สึกว่าตัวนี้โอเคมากๆ
และหลังล้างหน้าแล้ว ก็ไม่ตึงผิวเลยซักนิด เลยชอบมากเป็นพิเศษค่ะ






สำหรับช่วงนี้นิเห็นเค้ามี Special Set ออกมาอยู่ เป็นคลีนซิ่งออยไซส์จริง
และแถมตัวโฟมไซส์จิ๋วมาให้ลองกัน อันนี้ซื้อมาจากวัตสันค่ะ
ราคา Special Set อยู่ที่ 470.- ส่วนโฟมล้างหน้าอยู่ที่ 289.-
ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปก็มีขายนะคะ แต่ส่วนมากสำหรับแบรนด์นี้นิซื้อที่วัตสันค่ะ
สำหรับสองไอเท็มนี้ เป็นไอเท็มที่นิปลื้มมาก RECOMMENDED ค่ะ


รีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของนิต่อผลิตภัณฑ์ค่ะ
สภาพผิวคนเราไม่เหมือนกัน ความชอบไม่เหมือนกัน
กรุณาศึกษาข้อมูลจากหลายๆแหล่งก่อนตัดสินใจนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ





 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2556 22:50:47 น.
Counter : 11827 Pageviews.  

Beauty ♥ Review ปรับรูปหน้ากับ Siam Dermatiks

สวัสดีค่ะ วันนี้นิมาเขียนแชร์ประสบการณ์ครั้งแรก
ของการปรับแก้ไขรูปหน้าที่ Siam Dermatiks ค่ะ
คุณหมอที่เป็นเข้าของคลีนิกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
คุณหมอโอ๊ค สมิทธิ์ อารยะสกุลนี่เอง




คลีนิคของคุณหมอโอ๊คเปิดมาแล้วถึง 10 ปี
มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวละผมค่ะ ซึ่งจะเน้นดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
คลีนิคเป็นลักษณะ Private ถ้าหากต้องการพบคุณหมอ ต้องทำการนัดล่วงหน้าเสมอ
สาขาที่นิไปครั้งนี้อยู่ตรงอาคารไทยซิน BTS สถานีพระโขนง
ซึ่งคุณหมอจะเข้าสาขานี้เฉพาะวันจันทร์ ศุกร์ เสาร์เท่านั้นค่ะ



สำหรับการปรับรูปหน้าที่นิศึกษาในครั้งนี้เรียกว่า Happy Soft Lift
เป็นการฉีด Dysport เทคนิคใหม่ โดยการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อเป็นจุดเล็กๆบางๆใต้ผิวหนัง
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการยกกระชับจากภายใน จากกลไกที่ตัวยาทำให้คอลลาเจนหดตัว
และคลายกล้ามเนื้อแบบกระจายตัวไม่เป็นจุดค่ะ

จะให้ผลลัพธื์ที่เป็นธรรมชาติกว่าเพราะไม่ใช่การบล็อคกล้ามเนื้อแบบเก่าๆ
- ช่วยให้ใบหน้าได้รูป เรียวกระชับ
- แก้ไขรูปคิ้ว
- แก้ไขรอยย่นจมูก
- ทำให้ใบหน้าดูสดชื่นเป็นธรรมชาติ


Dysport คือ โบทูลินั่มท็อกซิน จากอังกฤษ (สารลดเลือนริ้วรอยชนิดฉีด)
มีต้นกำเนิดตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1986 ซึ่งได้รับ อย.จาก EU, US, และไทย แล้วเรียบร้อย
และเป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมใน ยุโรป USA เกาหลี และไทย
เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยนี่คือ ปลอดภัยค่ะ

คำว่า ปลอดภัย ณ ที่นี้ พูดถึงลักษณะของตัวยานะคะ ของแบบนี้ต้องศึกษาให้ดีก่อน
ว่ายาที่ใช้มีคุณภาพผ่านมาตรฐาน และคุณหมอจบด้านนี้โดยตรงจริงๆ
เพราะหากคุณหมอไม่เชี่ยวชาญ ก็อาจเกิดอันตรายได้เช่นกันค่ะ

Dysport สามารถใช้ได้หลายวัตถุประสงค์ เช่น ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า
ยกคิ้ว ลดเหงื่อ(ที่มือหรือรักแร้) ปรับรูปกล้ามเนื้อขา ลดอาการปวดบริเวณไหล่
ที่เรียกว่าออฟฟิศซินโดรม(ชั่วคราว)





ซึ่งในครั้งนี้นิได้ทำการปรับรูปหน้า ยกกระชับ ยกคิ้ว และลดริ้วรอยบริเวณหน้าผากค่ะ
เพราะฉะนั้นนิจะต้องทำการคลีนหน้าให้สะอาดซะก่อน แล้วก็ทายาชา
สำหรับบางคลีนิกจะมีให้ใช้น้ำแข็งโปะทิ้งไว้เฉยๆก็ได้
แต่สำหรับเทคนิคนี้ จะต้องฉีดหลายจุด การใช้ยาชาจึงดีกว่าค่ะ





นิบล็อคยาชาไว้ประมาณ 40 นาทีค่ะ บอกเลยว่าชายันลิ้น 555
พูดมากไปหน่อย ยาชาเข้าปากค่ะ = ="






หลังจากปรึกษาปัญหารูปหน้ากับคุณหมอแล้ว ก็ทำการปรับแก้รูปหน้ากัน
นิเป็นคนกรามใหญ่ เป็นในส่วนของโครงสร้างกระดูกด้วย กล้ามเนื้อด้วย
ซึ่งหากจะให้ดูเรียวสวยหน้ารูปไข่เลย นิอาจจะต้องตัดกราม เพราะเป็นคนกรามเหลี่ยมค่ะ
แต่โชคดีที่คางแหลม เลยมีมุมที่เรียวอยู่บ้าง แต่การฉีด Dysport นี้ก็สามารถแก้ไขได้
ขั้นตอนนี้นิฉีดกรามค่ะ สอบถามคุณหมอแล้ว ข้างละ 80 ยูนิต ไม่น้อยเลยนะ 555555






ส่วนขั้นตอนนี้เป็นเทคนิคที่พูดถึงค่ะ เป็นการยกกระชับทั่วใบหน้า
โดยการฉีดไล่ไปตามจุดต่างๆของใบหน้าเพื่อเกิดการดึกยกกระชับขึ้น
จะฉีดตามกรอบหน้าไล่ไปจนถึงหน้าผาก ของนิมีการฉีดบริเวณใต้คิ้วเพื่อปรับรูปคิ้ว
แล้วฉีดบริเวณข้างสันจมูกระดับเดียวกับโหนกแก้มด้วย
คุณหมอบอกว่าหน้าไม่ได้ใหญ่ แต่โหนกแก้มมันกว้างออก เลยฉีดให้โหนกแก้มด้านในดูเต็มขึ้น
เพื่อให้มิติบนใบหน้าดูโฟกัสมาที่จุดกึ่งกลางมากขึ้น หน้าจะดูมีมิติขึ้นค่ะ






ส่วนอันนี้เป็นจุดที่นิรีเควสคุณหมอเอง คือนิมีรอยย่นที่หน้าผากค่ะ
คิดว่ามาจากการที่เวลานอนนิจะชอบเอาผ้ามาปิดหน้าไว้ เลยเกิดริ้วรอยก่อนวัย
และด้วยการแสดงอารมณ์ของเราที่เป็นนิสัย ทำให้เกิดรอยได้ง่าย
คุณหมดเลยจัดการให้ทุกจุดเลย



หลายคนอาจจะสงสัยว่าเจ็บมั้ย รู้สึกอย่างไรบ้าง
ขอบอกก่อนว่าเจ็บค่ะ บางจุดเจ็บมาก บางจุดเจ็บน้อย
นั่นเพราะใต้ผิวหนังเรามันมีบางจุดที่ยากต่อการแทรกซึมของตัวยา
ถ้าเจ็บมากนั่นแปลว่าคุณหมอใช้แรงเยอะกว่าจุดอื่นๆในการดันยาค่ะ
แต่ก็ไม่ได้เจ็บจนทนไม่ได้ เพราะเรามียาชาที่บล็อคเอาไว้ตอนต้น
และคุณหมอมีลูกบอลให้บีบสู้ฟัดค่ะ 55555 เจ็บเหมือนสิวอักเสบอ่ะค่ะ ทนได้






มาดูผลกันดีกว่า สำหรับวันนั้นที่นิไปทำคือวันที่ 22 มิถุนายน 2556
ซึ่งนิได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้แล้ว และอีกรูปเป็นของวันที่ 2 กรกฎาคม 2556
10 วันพอดิบพอดี ก็ออกมาประมาณนี้ สำหรับเทคนิคนี้คุณหมอบอกไว้ว่า
มันจะไม่ได้เห็นผลแบบเปลี่ยนแปลงสุดๆ แต่จะค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิดละหน่อยค่ะ
นั่นถึงได้บอกว่าเทคนิคนี้ค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติ
ในภาพที่นิเปรียบเทียบให้ดูนี่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
แต่จะเห็นว่ามีการยกกระชับเล็กน้อยของใบหน้าค่ะ หน้าเริ่มดูเรียวขึ้นนิดหน่อย
ส่วนมากแล้วโบทูลินั่ม ท็อกซิน จะเห็นผลเริ่มชัดเจนประมาณ 1 เดือนหลังจากนี้







ภาพนี้ถ่ายวันที่ 14 สิงหาคม 2556 นับจากวันที่ทำ 53 วัน
เกือบๆ 2 เดือนค่ะ จะเห็นว่าโครงรูปหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ดูเรียวขึ้นมาก และไม่ได้ดูผิดรูปร่างหรือแปลกตาอะไร
เวลาเจอตัวจริงกันก็ดูไม่แตกต่างจนน่าตกใจ คือมันค่อยๆลดลงอย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ








แต่ส่วนนี้เป็นส่วนที่เห็นชัดเจนค่ะ
คือช่วงหน้าผากที่นิบอกว่านิมีรอยย่นอยู่ อันนี้ชัดเจนว่าหายไปเลย
คือเลิกคิ้วขึ้นแล้วก็ยังไม่เห็นค่ะ รูปคิ้วดูโค้งมนมากขึ้นด้วย
ทำให้ไปหน้าดูอ่อนหวานและดูเด็กลงค่ะ
แต่นิแอบรู้สึกตึงนะเวลาเลิกคิ้ว ยังมีตึงๆอยู่เหมือนกันค่ะ
คนมองมาอาจจะมองไม่เห็น แต่มันรู้สึกข้างในว่ามีตึงๆหน่อยๆ
ปกตินิจะยั้กคิ้วข้างเดียวได้ทั้งสองข้างสลับกัน แต่อันนี้แอบทำลำบาก
ซึ่งเป็นส่วนที่นิไม่ชอบเท่าไหร่ มันแอบลำคาญนิดๆค่ะ







และปัญหาอย่างอย่างหนึ่งที่นิเป็นคือ
ตาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากันค่ะ หนังตาอีกข้างลืมตาไม่ค่อยขึ้น
เหมือนหนังตาจะตกกว่าอีกข้างนึงเยอะจนรู้สึกได้

อันนี้สอบถามสาเหตุจากคุณหมอแล้ว
คุณหมอบอกว่า อาจจะเป็นเพราะพฤติกรรมโดยปกติของเรา
เกี่ยวกับการใช้ดวงตา
คือโดยทั่วไปแล้วคนเราจะมองตรงปรกติ
แต่พฤติกรรมส่วนตัว(โดยที่เราไม่รู้ตัวว่าเราทำแบบนั้น ทำจนชิน)
นิอาจจะเป็นคนชอบเบิกตากว้างตลอดเวลา ชอบเลิกคิ้วขึ้นไป
มันเลยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากถูกใช้งานบ่อยๆ(เป็นสาเหตุทำให้มีริ้วรอยที่หน้าผาก)
ทีนี้ พอนิทำการฉีดเพื่อลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก
มันจะทำให้หน้าผากนิไม่สามารถขยับได้ ส่งผลให้เวลาเราพยายามจะ
เลิกคิ้วขึ้นเพื่อเบิกตาให้กว้าง
หนังตามันเลยโดนผิวบริเวณหน้าผากที่ควรจะยกขึ้นไปด้วยแต่มันไม่ยก
ดันลงมา ทำให้หนังตาดูตกลงค่ะ

กรณีนี้เป็นกรณีส่วนตัวมากๆที่เกิดเฉพาะบุคคล
เพราะแต่ละคนมีพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนต่างกัน
อย่างกรณีของนิ สามารถแก้ไขได้โดย
หากต้องการฉีดหน้าปผากครั้งต่อไป ให้ฉีดสูงขึ้นไปอีกนิด
และปล่อยให้กล้ามเนื้อบริเวณคิ้วสามารถงานได้ปกติค่ะ






สำหรับ Siam Dermatiks นั้น จะไม่มีเรทราคาตายตัวนะคะ
คือคุณหมอจะดูให้ Case by case เลย เพราะฉะนั้นถ้าสนใจจริงๆ
ควรนัดและปรึกษาคุณหมอเองโดยตรงจ้า นิสอบถามคุณหมอแล้ว
ราคาเริ่มต้นของการปรับรูปหน้าของนิอยู่ที่ประมาณ 15,000.-
และราคาลดกรามของนิอยู่ที่ประมาณ 15,000.- เช่นกันค่ะ

รีวิวนี้ไม่ได้ต้องการชี้นำสาวๆว่าควรจะไปทำนะคะ
อยากให้อ่านกันเพื่อเป็นข้อมูลศึกษาก่อนตัดสินใจค่ะ
ราคาไม่ใช่ถูกๆในการทำแต่ละครั้ง
และอย่างที่บอกในตอนต้น ต้องศึกษาว่าของได้คุณภาพ
ผ่านมาตรฐาน และคุณหมอได้ Certificate เฉพาะทางมาโดยตรงเท่านั้นค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ





 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 4 กันยายน 2556 22:43:42 น.
Counter : 5748 Pageviews.  

Beauty ♥ Review Candy Doll Lipstick

สวัสดีจ้าสาวๆทุกคน
วันนี้นิมีรีวิวลิปสติกโทนนู๊ดสวยๆของแบรนด์นึง
ที่ตัวนิยอมรับเลยว่า มันสวยมากๆ
สินค้าที่นำมารีวิวได้รับสปอนเซอร์มาจากทางแบรนด์ค่ะ
มาดูกันเลยจ้ะ






CANDY DOLL LIPSTICK
3 เฉดสีนู๊ดสวยๆจากประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งออกแบบโดยนางแบบคนสวย Tsubasa Masuwaka

สำหรับตัวแพ็คเกจนั้นทำมาจากพลาสติกค่ะ
แต่ในเรื่องของความแน่นหนาและการเปิดปิด
นิค่อนข้างชอบเลย เพราะมันสมู้ทและมีแคล๊กเบาๆ
คืออธิบายไม่ถูกเท่าไหร่นะ แต่มันให้ความรู้สึกดีมากๆเวลาเปิดปิด

ตัวแท่งเป็นสีดำสนิท และมีสกรีนชื่อแบรนด์ผสมกับเส้นแนวยาวสีเงิน
เอาจริงๆตัวแพ็คเกจนิไม่ชอบแค่เรื่องการแยกสีสันค่ะ
เพราะมันเหมือนกันหมด และตรงก้นแท่งเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด
เวลาหยิบนี่แอบยากถ้ามีครบทั้ง 3 สี
แยกไม่ค่อยออกว่าแท่งไหนสีไหน ถ้ามีสัญลักษณ์ระบุบนแพ็คเกจเลยว่า
แท่งนี้คือสีนี้นะ แท่งนี้คืออีกสีนะ จะทำให้ผู้ใช้หยิบจับง่ายขึ้น

มาดูสีสันกันดีกว่า





CANDY DOLL #Ramune Pink
สีนี้บอกเลยว่าเป็นสีที่นิชอบที่สุดแล้วในบรรดา 3 สีค่ะ
เพราะเป็นโทนสีชมพู มันทำให้ดูไม่โทรม
คือมันนู๊ดมากนะ แต่มันก็เป็นนู๊ดที่เจือความหวานของสีชมพูลงไปด้วย




สวยมั้ยๆๆๆๆ มันเป็นชมพูนมที่นู๊ดสวยได้ใจมาก
ทาแล้วดูริมฝีปากสุขภาพดีเบาๆ สีนี้สำหรับนินะ RECOMMENDED!!!!
ทาแล้วไม่ซีด ไม่โทรม นู๊ดสวยอลังการ เชียร์ออกนอกหน้ามาก พูดเลย 555







CANDY DOLL #Vanilla Beige
โทนนี้จะออกเหลืองที่สุดในบรรดา 3 สีค่ะ
นู๊ดแบบซีดที่สุดด้วย เหมาะกับสาวๆที่เลิฟลิปสีนู๊ดสุดหัวใจ




สีที่ทาออกมาจะเป็นประมาณนี้ค่ะ
นู๊ดที่สุดของที่สุดของที่สุด ส่วนตัวนิชอบสีนี้น้อยที่สุดนะ
เพราะนิทาแล้วดูซีดไปหน่อย อาจจะเพราะมันออกเหลืองมากไปสำหรับผิวนิด้วย







CANDY DOLL #Apricot Beige
สีนี้จะมีความเป็นสีชมพูมากกว่าสี Vanilla Beige แต่ไม่ได้ชมพูเท่า Ramune Pink




ทาออกมาแล้วมีความใกล้เคียงกับสี Vanilla Beige มากแต่เจือชมพูมากกว่า
และสีเข้มกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนตัวรู้สึกว่าก็เป็นอีกสีที่ทาออกมาแล้ว
กำลังพอดี อย่างที่บอกค่ะว่า Vanilla Beige จะเหลืองไปสำหรับผิวนิ
นิเลยรู้สึกว่า สีนี้เป็นสีทางเลือกสำหรับนิ ที่อยากได้โทนนู๊ดที่ไม่ได้ชมพูเท่า Ramune Pink








เปรียบเทียบสีให้เห็นกันชัดๆ
Ramune Pink จะเป็นโทนนู๊ดชมพูหวานๆ
Vanilla Beige จะเป็นโทนนู๊ดออกเหลือง
และ Apricot Beige จะเป็นโทนที่ดูผสมกันระหว่างทั้งสองสี
ปาดที่แขนแล้วเห็นชัดมากว่าสีมันต่างกันมาก
แต่นิทาที่ปากแล้วอย่างที่เห็นในรูปตอนต้นๆค่ะว่า Vanilla Beige กับ Apricot Beige
สีออกมาใกล้เคียงกันมาก ซึ่งส่วนนี้นิคิดว่าแต่ละคนอาจจะได้ผลที่ต่างกันนะ

เนื้อผลิตภัณฑ์ พูดได้เต็มปากว่าเนื้อดีมากๆค่ะ
ชุ่มชื่นกำลังพอดี ไม่แห้งไป ไม่ฉ่ำไป
ซึ่งจะทำให้พิกเม้นท์ของสีชัดเจน คือกลบสีปากมิด
และไม่ทำให้ตกร่อง เพราะมีความชุ่มชื่นผสมอยู่






สำหรับลิปสีนู๊ด ส่วนตัวนิแล้วนิจะไม่ค่อยทาเพียวๆโดดๆเท่าไหร่
เพราะโดยปรกติแล้วนิจะเป็นคนปากซีด ซึ่งมันทำให้หน้านิดูโทรมค่ะ
สังเกตุว่าส่วนมากนิจะชอบทาปากอยู่ 2 แบบหลักๆคือ
สีจัดจ้านไปเลย หรืออีกแบบคือ มีการไล่สีแบบ Ombre Lips
ซึ่งลิปสีนู๊ดนั้นนิมักจะนำมาทาในแบบ Ombre Lips ซะมากกว่า
นั่นคือการผสมกับสีอื่นๆให้ดูมีการไล่สีค่ะ อย่างตัวอย่างในภาพนี้
นิผสมสี Ramune Pink เข้ากับสีโทนพีชๆ แล้วแตะกลอสเพื่อความแวววาว
มันจะให้ลุ๊คที่ดูหวานๆใสๆ ริมฝีปากดูอวบอิ่มค่ะ






ในการใช้ลิปสีนู๊ดนั้น ถ้าจะให้ไม่ดูซีดหรือโทรมเกินไป
สิ่งที่ควรเน้นบนใบหน้าคือผิวค่ะ จะแต่งตาโทนสโมคกี้อายก็ดูสวยเฉี่ยว
จะแต่งโทนธรรมชาติก็ดูเซ็กซี่เบาๆ แต่ถ้าผิวดูสุขภาพดีและโกลวๆนิดๆ
จะเป็นลุ๊คที่เหมาะมากกับริมฝีปากโทนนู๊ดๆค่ะ
ตัวอย่างในภาพนิแต่งหน้าโทนธรรมชาติ แต่เน้นให้ผิวดูฉ่ำๆ รับกับริมฝีปากนู๊ดๆวาวๆ







ให้คะแนน 9.5/10 สำหรับลิปตัวนี้เลยนะ
ข้อติของนิมีแค่เรื่องแพ็คเกจจิ้งที่บอกว่าดูยากว่าอันไหนสีไหนแค่นั้นเลย
แต่ส่วนอื่นๆนิชอบหมด เนื้อ สี สัมผัส (ไม่มีกลิ่นค่ะ)
ในเรื่องของเฉดสี Vanilla Beige อันนี้มันติกันไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของสีผิวแต่ละคน
ซึ่งนิคิดว่าการที่เค้าทำลิปนู๊ดออกมาถึง 3 เฉดสีเพื่อให้มันครอบคลุมเฉดผิวมากขึ้นค่ะ

อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของนิคนเดียว
ถ้าหากสาวๆสนใจ แนะนำว่าให้อ่านรีวิวจากหลายๆท่าน
แล้วค่อยตัดสินใจดีที่สุดนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2556    
Last Update : 29 มิถุนายน 2556 23:50:40 น.
Counter : 9576 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  

miNipanda-z
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 236 คน [?]





Twitter




email


Twitter


Instagram






Main Page


Kute Club




Group Blog
  • Blog Arts
  • Blog Arts
  • Blog Update
  • Blog Chill
  • Blog Diary
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add miNipanda-z's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.