SmileySmiley :: How Do I Enjoy Life while "Living with Cancer" ::
Group Blog
 
All blogs
 
มะเร็งรังไข่ : มัจจุราชเงียบ

ข้อมูลทางการแพทย์
ซึ่งฉันเรียกว่า "การแพทย์แบบแผน"

ทั้งนี้ ในการบำบัดรักษา ควรจะมีการพิจารณา "การแพทย์ทางเลือกในการเสริมรักษาด้วย"
หรือ หากชนิดของเซลล์มะเร็งไม่ใช่ชนิดร้ายแรง อาจทำการพิจารณา ทางเลือกในการรักษา "แนวธรรมชาติบำบัด" โดยไม่ผ่าตัดและไม่ใช้ยาเคมี

จากข้อมูลที่ฉันได้อ่านจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั้งหนังสือและเวปไซต์ในประเทศและต่างประเทศ

สรุปประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่ ได้ดังนี้

เวปไซต์เกี่ยวกับมะเร็งรังไข่ในอเมริการะบุว่า ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่มีอัตราการตายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ป่วยมะเร็งทางนรีเวชชนิดอื่น โดยมะเร็งรังไข่ถูกเรียกว่า ‘Silent Killer’ หรือมัจจุราชเงียบ

ก็เพราะบ่อยครั้งไม่มีอาการผิดปกติใดๆ จนกว่ามะเร็งได้ลุกลามไปทั่วช่องท้องและพบว่าเป็นมะเร็งระยะท้าย
มะเร็งรังไข่มักไม่ค่อยจะแสดงอาการ หรือถ้ามีอาการก็มักจะเป็นอาการปวดปัสสาวะบ่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ ทำให้นึกว่าเป็นโรคกระเพาะลำไส้ หรือแค่อาหารไม่ย่อย ทำให้คนไข้ไปหาหมอช้า และบ่อยครั้งที่หมอวินิจฉัยผิดพลาดจนกระทั่งมะเร็งได้ลุกลามไปทั่วแล้ว

โรคมะเร็งรังไข่ถ้าตรวจพบได้ตั้งแต่ยังเป็นน้อย ๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่ถ้าเป็นมากโอกาสหายขาดจะยาก
การรักษามะเร็งรังไข่ระยะเริ่มแรกมีโอกาสหายขาดสูงถึง 90 เปอร์เซนต์ แต่น่าเศร้าที่ตรวจพบว่าผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ร้อยละ 75 เซลล์มะเร็งนั้นได้แพร่กระจายทั่วช่องท้อง และจะคร่าชีวิตผู้ป่วยมะเร็งรังไข่เหล่านี้ อัตราการอยู่รอดของผู้ป่วยในระยะเวลา 5 ปี จะลดลงเหลือน้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

มะเร็งรังไข่มักมีการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดที่ดี สามารถควบคุมโรคได้ระยะหนึ่ง แต่มากกว่าร้อยละ 75 ของผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามจะกลับมาเป็นซ้ำอีก
ในหนังสือ ‘มะเร็งรังไข่’ ของ พญ.สฤกพรรณ วิไลลักษณ์ กล่าวว่า โรคร้ายที่ได้ชื่อว่ามะเร็งนับวันจะพบผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น โรคมะเร็งที่เกิดกับผู้หญิงไทยนั้น มะเร็งรังไข่ถือเป็นอันดับที่ 6 โดยในกลุ่มมะเร็งทางนรีเวชซึ่งพบบ่อยเป็นอันดับหนึ่งที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก ส่วนอันดับสองเป็นมะเร็งรังไข่ ในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ประมาณ 1,500 คน โอกาสที่จะเป็นมะเร็งรังไข่ก็สูงขึ้นเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น

สรุปอาการมะเร็งรังไข่

1. อาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ รู้สึกว่าอาหารไม่ย่อย ท้องผูก แน่นท้องหลังอาหารแม้รับประทานเพียงไม่มาก
2. รู้สึกถ่วงในท้องน้อย กดเบียดลำไส้ส่วนปลายทำให้ปวดถ่วง ถ่ายอุจจาระไม่ออก
3. อาการของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ถ่ายปัสสาวะบ่อย ๆ กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่
4. ปวดท้องน้อยระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
5. มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดทั้งที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน
6. ขนาดหน้าท้องโต เมื่อเป็นระยะแรกขนาดของหน้าท้องจะไม่ผิดปกติ เมื่อเป็นมากขึ้นท้องโตขึ้น เนื่องจากมีก้อนหรือน้ำในท้อง ผู้ป่วยบางรายจะสังเกตุจากการที่ไม่สามารถใส่กางเกงขนาดเดิมได้ โดยที่ผู้ป่วยอาจคลำก้อนได้ หรือหมอเป็นผู้คลำ ส่วนน้ำในท้อง มีตั้งแต่น้ำน้อย ๆ จนถึงมีน้ำมาก เหมือนมีลูกแตงโมอยู่ในท้อง ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ท้องมาน”
7. ผู้ป่วยอาจจะผอมลง น้ำหนักตัวลด คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ในระยะหลังของโรค เมื่อมะเร็งลุกลามไปมาก

จะเห็นได้ว่าอาการของมะเร็งรังไข่ไม่มีอาการที่เจาะจงชัดเจนและเป็นอาการที่คนปกติทั่วไปเป็นบ่อยๆ และบ่อยครั้งที่มันจะหายเอง แต่จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่จะมีความถี่ของอาการบ่อยครั้งกว่า การไปพบแพทย์แล้วอาการข้างต้นไม่ดีขึ้นหรือไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุได้ ควรที่จะพิจารณาถึงมะเร็งรังไข่

เพื่อให้ทราบว่าเป็นโรคโดยเร็วที่สุด ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตัวเอง ถ้ามีอาการตามที่กล่าวมาในข้างต้นให้ไปพบแพทย์ทันที ถ้ามีความผิดปกติก็จะได้ตรวจค้นต่อและรักษาแต่เนิ่น ๆ

รังไข่สามารถจะเกิดเป็นเนื้องอกได้ ซึ่งมี 2 ชนิด คือ
1. เนื้องอกธรรมดาของรังไข่ ในสตรีที่อายุน้อยกว่า 30 ปี มักจะเกิดเป็นเนื้องอกธรรมดาชนิดที่ภายในมีน้ำที่เรียกว่า Endometriosis “ซีสต์ของรังไข่” หรือเรียกทั่วไปว่า “ช็อคโกแลตซีส” ปกติในแต่ละเดือนจะเกิดซีสต์เล็ก ๆ ในรังไข่ได้และจะยุบหายไปเอง แต่ถ้าโตขึ้นก็จะเป็นเนื้องอกและจะโตจนถึงมีขนาดใหญ่ได้มาก ๆ ถึงขนาดเท่าลูกมะพร้าว หรือผลส้มโอ

2. มะเร็งรังไข่มีหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อยคือมะเร็งของเยื่อบุผิวรังไข่ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะมะเร็งของเยื่อบุผิวรังไข่ การแพร่กระจายของมะเร็งรังไข่มักจะลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น ท่อนำรังไข่ มดลูก ผนังอุ้งเชิงกราน ลำไส้ การกระจายไปยังเยื่อบุภายในช่องท้อง และตามระบบไหลเวียนของน้ำในช่องท้องและสามารถซึมผ่านกระบังลมเข้าสู่ปอด หรือกระจายไปตามระบบน้ำเหลือง และกระแสเลือดได้

สาเหตุหรือปัจจัยที่พบว่าเกี่ยวข้องกับการเป็นมะเร็งรังไข่
ในปัจจุปันยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งรังไข่ได้

แต่สามารถประเมินปัจจัยเสี่ยงจาก

1. พันธุกรรม
- ประวัติครอบครัวที่มีญาติสนิท เช่น มารดา พี่สาว น้องสาว หรือบุตรสาวเป็นมะเร็งรังไข่ หรือเป็นมะเร็งชนิดอื่น จะต้องเฝ้าระวังเรื่องมะเร็งรังไข่ให้มากขึ้น เนื่องจากพบว่าสาเหตุของมะเร็งรังไข่ส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรม
- นอกจากนั้นยังพบว่าผู้หญิงที่มีญาติสนิทสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม มักจะมียีนส์ชนิด BRCA1 และ/หรือชนิด BRCA2
- และโดยเฉพาะผู้ที่มียีนส์ชนิด BRCA1 นอกจากจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากถึงร้อยละ 85 แล้ว ยังมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่อีกด้วย
- ประวัติของครอบครัวที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ที่เกี่ยวเนื่องจาก Lynch II syndrome (hereditary nonpolyposis colorectal cancer (HNPCC) syndrome
- ยังมีรายงานว่าผู้ที่เป็นมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลำไส้ ก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ได้มากกว่าคนปกติด้วย
- ในเวปไซต์ของอเมริกายังกล่าวว่า ผู้ป่วยควรให้ข้อมูลแก่แพทย์ หากมีปู่ ย่า ตา ยาย เป็นมะเร็งชนิดใดชนิดหนึ่ง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยของแพทย์

2. ผู้ที่มีไข่ตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ผู้ที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรยาก และผู้ได้รับการกระตุ้นการทำงานของรังไข่เพื่อให้มีบุตร
- สตรีที่ไม่เคยตั้งครรภ์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าผู้ที่มีบุตร
- ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด จะมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด

3. สตรีที่มีอายุมากตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น ผู้หญิงที่อายุ 35 ปีขึ้นไป หรืออายุไม่ถึง 35 ปีแต่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรตรวจภายในทุกปี

4. การรับประทานอาหาร
- ผู้รับประทานไขมันสัตว์ เนื้อสัตว์ นมเนยสูง มีผลเกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่
- ผู้ที่รับประทานอาหารมีเส้นใยต่ำและวิตามินเอต่ำมีความเสี่ยงสูง

5. สตรีที่ได้รับแร่ใยหิน สารที่นำไปใช้เป็นฉนวนกันความร้อน จะไปกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผิวในรังไข่ได้

6. สตรีที่ใช้แป้งฝุ่นที่มีส่วนผสมของ Talc ทาบริเวณขาหนีบและภายนอกอวัยวะเพศจะมีโอกาสเข้าไปในอุ้งเชิงกราน ผ่านทางช่องคลอด เข้าไปสะสมในโพรงมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่สะสมจนเกิดโรคมะเร็งได้ แต่ยังไม่สรุปเป็นที่แน่นอน

การคัดกรองและการตรวจเพื่อการวินิจฉัย

1. การตรวจภายใน แพทย์อาจจะคลำก้อนในช่องเชิงกรานได้ขณะตรวจภายใน สำหรับการตรวจแป๊ปเสมียร์ (Pap Smear) จะเป็นการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเท่านั้น ไม่สามารถคัดกรองมะเร็งรังไข่ได้

2. อุลตร้าซาวด์ทางช่องท้อง โดยเฉพาะการตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound) แพทย์สามารถจะตรวจพบซีสต์ หรือเนื้องอกบริเวณรังไข่ เพื่อเป็นการยืนยันการตรวจภายใน

3. การตรวจเลือดเพื่อหาระดับ CA-125 เป็นค่าแอนติเจนใช้หาค่าบ่งชี้มะเร็ง ‘Tumor Marker’ ตรวจโดยการเจาะเลือด ใช้ CA-125 เพื่อช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งรังไข่ ส่วนใหญ่มักจะมีระดับ CA-125 สูงในเลือด (ค่าปกติระหว่าง 0-35 ยูนิต/มิลลิลิตร

CA-125 เป็นกลัยโคโปรตีนที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง เป็นแอนติเจนที่ถูกจับโดยโมโนโคนอลแอนติบอดี้ OC-125
จากข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ระยะที่ 1 ร้อยละ 50 ตรวจพบว่ามีค่า CA-125 สูงกว่า 35 หน่วย/มิลลิลิตร และผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ระยะที่ 2-4 มากกว่าร้อยละ 90 มีค่า CA-125 มากกว่า 35 หน่วย/มิลลิลิตร

ค่า CA-125 มีประโยชน์ในการใช้ประเมินการเติบโตของเนื้องอก โดยอัลตราซาวน์จะทำให้เห็นขนาดของก้อนเนื้อ แต่ก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นมะเร็งรังไข่ เพราะผู้ป่วยบางคนอาจมีค่า CA-125 ผิดปกติได้ทั้งที่ไม่เป็นมะเร็ง แต่มีการอักเสบในช่องท้อง มีการติดเชื้อในช่องท้อง มีก้อนเนื้องอกธรรมดาในรังไข่ ตั้งครรภ์ หรือปัญหาอื่นที่ไม่เกี่ยวกับโรคทางนรีเวช

4. ตรวจเพิ่มเติมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ เมื่อแพทย์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งรังไข่ แพทย์อาจจะตรวจโดยวิธีสแกนคอมพิวเตอร์ CT Scan การกลืนแป้งแบเรียม และการสวนแป้งแบเรียมทางทวารหนัก การตรวจเอกซเรย์ของไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ เพื่อดูขนาดของก้อนมะเร็งและก้อนโตไปเบียดอวัยวะใดบ้าง การเอ็กซเรย์ปอด วิธีตรวจต่างๆ ข้างต้นไม่จำเป็นจะต้องตรวจทุกราย แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจในบางราย ตามความจำเป็นเท่านั้น

การผ่าตัดและการประเมินระยะของโรคมะเร็งรังไข่

แพทย์มักจะตรวจพบโรคนี้ได้จากการซักประวัติ ตรวจหน้าท้อง และตรวจภายใน อาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวด์ คนที่มีก้อนที่รังไข่อาจไม่เป็นมะเร็งรังไข่ก็ได้ เนื่องจากก้อนที่รังไข่อาจเป็นถุงน้ำธรรมดา ถุงช็อกโกแลต หรือเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นก้อนที่ไม่ใช่ถุงน้ำธรรมดาของรังไข่ จะแนะนำให้ผ่าตัดโดยอาจทำการผ่าตัดด้วยการเปิดทางหน้าท้อง หรือการผ่าตัดโดยการส่องกล้อง

- การผ่าตัดเปิดทางหน้าท้อง เพื่อตัดรังไข่ให้พยาธิแพทย์ตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ซึ่งจะวินิจฉัยได้แน่นอนที่สุด และยังทราบได้ว่าเป็นมะเร็งรังไข่ชนิดใดมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดอีกด้วย

- การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง มีข้อดีที่ผู้ป่วยจะเสียเลือดน้อย แผลมีขนาดเล็กและหายเร็ว แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่มีข้อเสียที่การผ่าตัดส่องกล้องต้องทำการเจาะถุงน้ำและตัดชิ้นเนื้อให้มีขนาดเล็กลงเพื่อนำออกจากช่องขนาดเล็ก หากต่อมาพบว่าเนื้องอกนั้นเป็นมะเร็ง จะมีโอกาสในการแพร่กระจายของมะเร็งในช่องท้องและการติดเชื้อมะเร็งที่แผลผ่าตัดได้

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ในขณะทำการผ่าตัดส่องกล้องจึงควรจะทำการเตรียมความพร้อมที่จะผ่าตัดเปิดหน้าท้องต่อทันทีที่ตรวจพบเซลล์มะเร็ง หรือหากมีการวินิจฉัยว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งสูงมากแพทย์อาจจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เพื่อผ่าเอาก้อนมะเร็งออกทั้งก้อนโดยถุงน้ำไม่แตก แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งควรจะเป็นแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนในด้านมะเร็งนรีเวช (Gynecologic oncologist) เท่านั้น

การวินิจฉัยที่แน่นอนว่าเป็นมะเร็งรังไข่จะต้องได้จากการส่งชิ้นเนื้อจากการผ่าตัด ‘Biopsy’ ไปตรวจทางพยาธิวิทยาเท่านั้น

ในการผ่าตัดรักษาโรคนี้จะมีเป้าหมายที่จะนำเอาก้อนเนื้องอกออกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ‘Maximal tumor debulking’ โดยจะตัดมดลูก ‘Hysterectomy’ รังไข่ และท่อนำไข่ทั้งสองข้าง ‘Bilateral salpingo-oophorectomy’ ตัดเยื่อบุช่องท้อง ‘Omentectomy’ นำน้ำในช่องท้องส่งตรวจเซลล์มะเร็ง เลาะไขมันในช่องท้องและต่อมน้ำเหลือง และผิวของกระบังลมส่งตรวจด้วย

ระยะของโรคมะเร็งรังไข่

เพื่อประโยชน์ในการรักษาและพยากรณ์โรคการประเมินระยะของโรคถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง มะเร็งรังไข่สามารถแบ่งได้เป็น 4 ระยะตามแบบของ The Cancer Committee of the International Federation of Gynecology and Obstetrics (FIGO) ดังนี้

ระยะที่ 1 เนื้องอกจำกัดอยู่ที่รังไข่ด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง สามารถแบ่งออกเป็น
ระยะ 1A เนื้องอกจำกัดอยู่ด้านในของรังไข่ข้างเดียว
ระยะ 1B เนื้องอกจำกัดอยู่ด้านในของรังไข่ทั้ง 2 ข้าง
ระยะ 1C เนื้องอกอยู่ผิวด้านนอกของรังไข่ หรือมีการฉีกขาดของถุงน้ำหรือก้อนเนื้องอก รวมทั้งการพบเซลล์มะเร็งของน้ำในช่องท้อง
ระยะที่ 2 มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแต่ยังไม่ถึงช่องท้อง สามารถแบ่งออกเป็น
ระยะ 2A มะเร็งแพร่ไปยังมดลูก และหรือ ท่อนำรังไข่
ระยะ 2B มะเร็งแพร่ไปยังกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ตรง ลำไส้
ระยะ 2C เหมือนกับระยะ 2A หรือ 2B มีการฉีกขาดของถุงน้ำหรือก้อนเนื้องอก รวมทั้งการพบเซลล์มะเร็งของน้ำในช่องท้อง
ระยะที่ 3 มะเร็งแพร่กระจายไปยังเยื่อบุช่องท้อง เยื่อบุของอวัยวะในช่องท้อง หรือแพร่เข้าน้ำเหลือง สามารถแบ่งออกเป็น
ระยะ 3A มะเร็งแพร่กระจายไปยังเยื่อบุช่องท้องโดยการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ แต่ไม่พบในต่อมน้ำเหลือง
ระยะ 3B ก้อนมะเร็งขนาดน้อยกว่า 2 เซนติเมตร แพร่กระจายไปยังเยื่อบุช่องท้อง แต่ไม่พบในต่อมน้ำเหลือง
ระยะ 3C ก้อนมะเร็งขนาดมากกว่า 2 เซนติเมตร แพร่กระจายไปยังเยื่อบุช่องท้อง หรือพบเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยัง ปอด ตับ หรืออวัยวะอื่นนอกเหนือจากช่องท้องและอุ้งเชิงกราน

ในกรณีที่ผู้ป่วยอายุยังน้อย และไม่เห็นมะเร็งกระจายไปที่อื่น อาจตัดเฉพาะรังไข่และท่อนำไข่ข้างที่เป็น โดยเหลือรังไข่ ท่อนำไข่อีกข้างและมดลูกไว้ได้ เพื่อให้มีโอกาสที่จะมีบุตรต่อไป กรณีที่ผ่าตัดพบมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิวระยะ 1A โอกาสการกลับมาของโรคต่ำอยู่ในราวร้อยละ 5 ในที่ซึ่งส่งตรวจชิ้นเนื้อทันทีระหว่างการผ่าตัด ‘Frozen Section’ จะทำให้การตัดสินใจผ่าตัดง่ายขึ้น

ในกรณีเป็นมะเร็งรังไข่น้อยหรือถุงน้ำไม่แตกระหว่างการผ่าตัด ระยะ 1A/1B การผ่าตัดรักษาอย่างเดียวก็เพียงพอ หากถุงน้ำแตกจะเปลี่ยนระยะจาก 1A เป็น 1C แต่ถ้าเป็นมากขึ้น หรือพบเซลล์มะเร็งรังไข่ชนิดร้ายแรง จะต้องได้รับการรักษาต่อด้วยยาเคมีบำบัด

ยาเคมีบำบัด

การผ่าตัดถือเป็นการรักษาหลักของโรคมะเร็งรังไข่ แต่เนื่องจากการแพร่กระจายของโรค มะเร็งรังไข่ระยะ 1C ขึ้นไปจำเป็นที่ต้องทำการรักษาควบคู่ไปกับการให้ยาเคมีบำบัด

ยาเคมีบำบัด ‘Chemotherapy’ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘คีโม’ เป็นยาหรือสารเคมีที่ใช้ในการรักษามะเร็ง อาจให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอย่างเดียว หรือให้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา ยาเคมีบำบัดเมื่อให้เข้าสู่ร่างกายจะไปทำลายเซลล์มะเร็ง เเละทำลายเซลล์ปกติบางส่วนด้วย ทำให้เกิดอาการข้างเคียงขึ้น

ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปขัดขวางขบวนการเจริญเติบโตของวงจรชีวิตเซลล์ทำให้เซลล์ตาย ยาแต่ละตัวออกฤทธิ์แตกต่างกันในการรักษา บางแผนการรักษาประกอบด้วยยาหลายชนิดที่ให้ร่วมกัน

ยาเคมีบำบัดบางชนิดจะเป็นพิษต่อผิวหนัง ระหว่างการให้ยาถ้ามีการรั่วของยาออกจากหลอดเลือดจะเกิดเนื้อตายที่รุนแรงมาก การให้ยาจึงต้องทำอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก หากมีการรั่วของยาจะต้องหยุดและเอาสายน้ำเกลือออกทันที และใช้น้ำแข็งประคบทุก 6 ชั่วโมงเป็นเวลา 3 วัน การรักษาการเกิดเนื้อตายของเนื้อเยื่อจะต้องรักษาโดยวิธีการตัดปะของผิวหนัง

- การดูดซึมยาเคมีบำบัด
ยาเคมีบำบัดสามารถให้ได้หลายทางด้วยกัน เช่น รับประทาน ให้ทางหลอดเลือดดำด้วยการให้ทางสายน้ำเกลือ เข้ากล้าม ให้ทางหลอดเลือดแดง หรือเข้าทางช่องท้อง การเลือกให้วิธีใดขึ้นกับการดูดซึมแล้วได้ความเข้มข้นสูงสุด ของสารเคมีไปสู่ก้อนมะเร็ง และอยู่เป็นช่วงเวลานานที่สุด

- การขับยาเคมีบำบัด
ยาเคมีบำบัดถูกทำลายหรือขับออกจากร่างกายทางตับและไตเป็นส่วนใหญ่ ขับออกทางอุจจาระเป็นส่วนน้อย หากหน้าที่ของตับหรือไตเสื่อมจะมีผลต่อระดับของยาเคมีบำบัดในร่างกาย อาจเกิดเป็นพิษได้มากมาย ตามปกติแพทย์จะดูผลตรวจเลือดเพื่อดูเอ็นไซม์ตับ SGOT/SGPT และ Alkaline Phosphatase และการทำงานของไต Bun และ Creatinine เพื่อคำนวณระดับการให้ยาเคมีบำบัดครั้งต่อไปด้วย

- การใช้สูตรธรรมชาติบำบัดเกอร์สันระหว่างรับยาเคมีบำบัด
ปัจจุบันมีผู้ป่วยให้ความสนใจใช้ธรรมชาติบำบัดมาเสริมรักษากับการแพทย์แบบแผน

พบข้อมูลในเวปไซต์ของสถาบันเกอร์สัน ซึ่งเป็นสถาบันธรรมชาติบำบัดในอเมริกาใช้สูตรการรักษามะเร็งของหมอแม็กซ์ เกอร์สัน ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งธรรมชาติบำบัด’ โดยการดื่มน้ำผักผลไม้คั้นสดปริมาณมากถึง 10 – 13 ลิตรต่อวัน ร่วมกับการสวนลำไส้ด้วยกาแฟ 4 ชั่วโมงต่อครั้งเป็นระยะเวลาหลายเดือน ให้การรักษามะเร็งแบบธรรมชาติบำบัดได้ผลดี

ทั้งนี้ สถาบันเกอร์สันได้เตือนไว้ว่า หากผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ไม่ควรใช้สูตรเกอร์สันเต็มสูตรด้วยตนเอง เนื่องจากขบวนการล้างพิษด้วยน้ำผลไม้ปริมาณมากและสวนลำไส้ด้วยกาแฟบ่อยมากในผู้ป่วยรับยาเคมีบำบัด จะมีการขับพิษปริมาณมากจนอาจทำให้ตับและไตวายได้ จึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อแพทย์จะปรับสูตรให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน

อาการข้างเคียง

ยาเคมีบำบัดมีผลกระทบต่อเซลล์ปกติด้วย โดยเฉพาะเซลล์ที่มีการเจริญ และแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เช่น เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร เส้นผม เม็ดเลือด จึงเป็นสาเหตุของอาการผลข้างเคียงระยะหนึ่งในระหว่างการให้ยาแต่ละชุด เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาสร้างเซลล์ปกติขึ้นมาทดแทน

ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดที่เกิดขึ้นจะหายไปเมื่อสิ้นสุดการให้ยา ซึ่งอาการจะขึ้นกับชนิดของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ และปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาของร่างกายผู้ได้รับยาเคมีบำบัดนั้น ผลข้างเคียงและความรุนแรงของผลข้างเคียงในผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการที่จะเกิดขึ้นจากการได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการให้น้อยลง หรืออาจพิจารณาปรับแผนการรักษา
ถ้าเกิดมีอาการผลข้างเคียงรุนแรงไม่ได้หมายความว่า อาการของโรคมะเร็งเป็นมากขึ้น และความรุนแรงของอาการก็ไม่มีความสัมพันธ์กับผลของยาเคมีบำบัดต่อเซลล์มะเร็ง

ผลข้างเคียงหลายอย่างที่พบบ่อย

1. กดไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดขาวจะต่ำในช่วง 7-10 วัน หลังจากได้รับยาเคมีบำบัดและต่ำอยู่นาน 3-10 วัน เกิดภาวะนิวโทรฟิลต่ำช่วงนี้ผู้ป่วยจะเกิดภาวะติดเชื้อได้ง่าย ในช่วงนี้ผู้ป่วยควรที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งสกปรก หรืออยู่ในที่แออัด
2. เม็ดเลือดแดงต่ำมีภาวะซีด อ่อนเพลียและเหนื่อง่าย
3. เกล็ดเลือดลดลง เกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย เลือดไหลนานกว่าจะหยุด
4. คลื่นไส้อาเจียน ทั้งระหว่างการให้ยา และภายหลังให้ยาเคมีบำบัด
5. เบื่ออาหาร ระคายเคืองทางเดินอาหาร ปากเป็นแผล
6. ผมร่วงมาก
7. ผิวสีคล้ำขึ้น เล็บอาจผิดปกติมีสีคล้ำหรือเปราะ
8. ชาปลายมือปลายเท้า เสียการทรงตัว
9. ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
10. ผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลียที่รุนแรงใน 2-3 วันแรกหลังได้รับยาเคมีบำบัด และอาการจะค่อยๆ ลดลงและจะกลับมาเป็นอีกเมื่อถึงรอบการรับยาครั้งต่อไป
11. ภาวะผิดปกติในระบบขับถ่าย เช่น ท้องเสีย ท้องผูก
ผลข้างเคียงที่ต้องปรึกษาแพทย์
1. เกล็ดเลือดต่ำทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะสำคัญต่างๆอาจมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง
2. กระเพาะลำไส้อักเสบเป็นแผล
3. มีเลือดออกหรือเป็นแผลในปาก
4. มีผื่นหรืออาการแพ้
5. มีไข้หนาวสั่น
6. ปวดมากบริเวณที่ฉีด
7. หายใจลำบาก
8. ท้องเดินหรือท้องผูกอย่างรุนแรง
9. ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน

อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาวะนิวโทรฟิลต่ำและการมีไข้ติดเชื้อ

นิวโทรฟิล ‘Neutrophil’ ถูกสร้างจากไขกระดูก มีช่วงชีวิตอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 2-3 วัน ซึ่งถือว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับเม็ดเลือดแดงที่มีอายุ 120 วัน หรือเกล็ดเลือดมีอายุ 7-8 วัน ปริมาณของนิวโทรฟิลในเลือดมีประมาณ 2,000-7,500 เซลล์ต่อมิลลิลิตร หรือร้อยละ 40-75 ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด

ภาวะนิวโทรฟิลต่ำหมายถึงปริมาณของนิวโทรฟิลในเลือดน้อยกว่า 1,500 เซลล์ต่อมิลลิลิตร จากการที่เคมีบำบัดทำลายไขกระดูกทำให้ปริมาณของนิวโทรฟิลลดลงเร็วกว่าเม็ดเลือดแดงหรือเกล็ดเลือดเพราะมีอายุสั้นกว่า โดยส่วนใหญ่ปริมาณของนิวโทรฟิลจะต่ำสุดเมื่อประมาณ 10-14 วันหลังจากได้รับเคมีบำบัด
ภาวะนิวโทรฟิลต่ำเกิดได้จากผลข้างเคียงของเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ สูตรและขนาดของยาเคมีบำบัดที่จะใช้ ประวัติการรักษาด้วยเคมีบำบัดและ/หรือรังสีรักษามาก่อน ปริมาณของไขกระดูกที่ได้รับผลกระทบจากรังสีรักษา เป็นต้น

ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของผู้ป่วยรับยาเคมีบำบัดสูตรมาตรฐานจะเกิดภาวะนิวโทรฟิลต่ำและการมีไข้ติดเชื้อ โอกาสการติดเชื้อจะสูงขึ้นถ้าจำนวนนิวโทรฟิลต่ำมากและระยะเวลาที่นิวโทรฟิลต่ำนาน

อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตจากภาวะนี้ยังต่ำ มีข้อเสียของการเกิดภาวะนี้คือทำให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดรอบถัดไปล่าช้าออกไปและจำเป็นต้องลดขนาดยาลง

ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว

ส่งผลให้ไขกระดูกผลิตและปล่อยนิวโทรฟิลออกมาสู่กระแสเลือดมากขึ้น โดยจำนวนนิวโทรฟิลในเลือดจะลดลงในชั่วโมงแรก แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา นอกจากนั้น ยังทำให้นิวโทรฟิลมีประสิทธิภาพในการทำลายแบคทีเรียและสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ได้ดีขึ้น

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ปวดกระดูก กล้ามเนื้อและข้อเล็กน้อยถึงปานกลาง มักปวดบริเวณขา ก้นกบ ผิวหนังบริเวณที่ฉีดยาอาจจะแดงหรือปวด ทั้งนี้สามารถปรึกษาแพทย์ขอยาแก้ปวดได้

การรักษาหลักของมะเร็งรังไข่คือการผ่าตัดและส่วนใหญ่แล้วจะต้องให้ยาเคมีบำบัดด้วย ดังนั้นปัญหาเรื่องเม็ดเลือดขาวต่ำจากยาเคมีบำบัดจึงพบได้เสมอๆ ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวได้ถูกใช้ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัดสูตรต่างๆในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่

นับตั้งแต่มีการใช้ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวทางคลินิค อัตราความเสียหายที่เกิดจากปัญหาเรื่องเม็ดเลือดขาวต่ำ เช่น การอักเสบติดเชื้อ ไข้สูง น้อยลง และที่เป็นก็หายเร็วขึ้น การให้ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวควรให้จนกว่านิวโทรฟิลมากกว่า 10,000 หน่วยต่อมิลลิลิตร

อาการชาปลายมือปลายเท้า

หรือชาที่แขนขา เนื่องจากยาเคมีบำบัดเป็นพิษต่อระบบปลายประสาท ส่วนใหญ่อาการชาจะเกิดขึ้นหลังจากได้ยา 2-3 ครั้งไปแล้ว อาการชาเป็นมากขึ้นได้ แม้จะหยุดยาไปแล้วหลายๆเดือนและจะหายช้ามาก ความเป็นพิษต่อระบบประสาทขึ้นอยู่กับขนาดของยาและความไวของผู้ป่วยแต่ละคน ผู้ป่วยควรที่จะปรึกษาแพทย์ถ้าอาการรุนแรงมากขึ้น

ผมและขนจะเริ่มร่วง

ในสัปดาห์ที่ 2 หลังการได้รับยาเคมีบำบัด และจะร่วงตลอดระยะเวลาที่มารับยาถึงแม้ว่าจะมีผมใหม่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็ขึ้นไม่ทันกับการร่วงที่เกิดขึ้น ให้หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง ควรสวมหมวก หรือใช้ผ้าโพกผม หากใส่วิกควรเลือกสีผมคล้ายกับของเดิมและเริ่มใส่วิกก่อนผมร่วง

การดูผู้ป่วยระหว่างการรับยาเคมีบำบัด

แพทย์จะมีวิธีดูแลรักษาเพื่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อย ได้แก่

1. ยาเคมีบำบัดบางชนิดเป็นพิษต่อไต วิธีป้องกันคือ ให้น้ำให้เพียงพอก่อน และหลังให้ยา โดยดูจากปริมาณปัสสาวะที่มากพอ ซึ่งแพทย์จะมีสูตรคำนวณ
2. การให้ยาแก้แพ้ทางสายน้ำเกลือ
3. ให้กินยากันคลื่นไส้
4. ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ
5. ให้กินยาบำรุงเลือด
6. ให้เลือดเมื่อจำเป็น
7. ฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวเพื่อป้องกันหรือรักษาภาวะนิวโทรฟิลต่ำ

เพื่อให้ผลการรักษาดีที่สุด สิ่งที่สำคัญที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติคือจะต้องมารับยาเคมีบำบัดตามที่แพทย์นัด หลังการรักษาผู้ป่วยจำนวนหนึ่งหายจากโรค แต่อีกส่วนหนึ่งมีการกลับคืนมา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ยังต้องตรวจติดตามหลังการรักษา โดยแพทย์จะทำการตรวจภายใน ตรวจคลำทวารหนัก และตรวจค่าบ่งชี้มะเร็ง CA-125 รวมถึงการตรวจด้วยวิธีสแกนคอมพิวเตอร์ CT Scan เมื่อจำเป็น ในกรณีที่มีการกลับคืนมาของโรคมะเร็ง แพทย์ก็จะมีวิธีรักษา เช่น การผ่าตัดหรือให้ยาเคมีบำบัดชนิดอื่น ซึ่งอาจทำให้โรคหายไปได้ หรือ

ในช่วงระยะสุดท้าย เมื่อโรคของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษา ก้อนมะเร็งมีการโตขึ้นเรื่อยๆ มีการแพร่กระจายไปภายในช่องท้อง และอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ปอด ต่อมน้ำเหลือง ผู้ป่วยมีอาการทรมานจากการที่ก้อนมะเร็งไปเบียดหรืออุดตันลำไส้ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องโตขึ้น แน่นอึดอัด รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ไม่มีแรง สารเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ผู้ป่วยต้องใช้ชีวิตอยู่บนเตียงมากกว่าร้อยละ 50 ของเวลาที่ตื่น เห็นควรหยุดการรักษาในส่วนจำเพาะ เช่น การผ่าตัด การให้เคมีบำบัด แพทย์ก็จะบอกให้ญาติและผู้ป่วยทราบ

หลังจากนั้นก็จะดูแลรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น การให้ยาแก้ปวด การให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน การให้สารอาหารทางหลอดเลือด การเจาะเอาน้ำในช่องท้องออกหากมีภาวะท้องมาน ให้ยาบำรุงที่มีธาตุเหล็กและให้เลือดเมื่อจำเป็น
หากผู้ป่วยซีดมากๆ มีอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย

หากมีอาการขาบวม ‘Lymphedema’ เนื่องจากมะเร็งลามไปในท่อน้ำเหลืองหรือกดท่อน้ำเหลืองอาจปวดและมีภาวะอักเสบติดเชื้อของท่อน้ำเหลือง จะต้องรักษาการอักเสบติดเชื้อให้หาย ดูแลผิวหนังให้ดีไม่ให้มีแผล การพันขา หรือใส่ถุงพยุงขา รวมทั้งการนวดไล่น้ำเหลืองที่ขา และนอนยกขาสูงเล็กน้อยก็จะช่วยลดอาการบวมลงได้

อาจใช้วิธีธรรมชาติบำบัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และช่วยลดปริมาณการใช้ยาที่แก้อาการ เช่น การนวดบำบัด การประคบร้อน-เย็น เทคนิคการผ่อนคลายหรือการทำสมาธิ ญาติและผู้ใกล้ชิดจะมีส่วนช่วยเหลืออย่างมากทั้งในด้านร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยในช่วงนี้

คำถามที่ผู้ป่วยควรถามแพทย์

1. กลุ่มของมะเร็งที่ตรวจพบเป็นกลุ่มใด
2. มะเร็งได้กระจายออกไปนอกบริเวณรังไข่หรือไม่
3. ขอทราบชนิดของเซลล์มะเร็ง ความร้ายแรง และระยะของโรค และช่วยอธิบายรายละเอียดด้วย
4. สำหรับกรณีของดิฉันการบำบัดแบบใดจึงจะเหมาะสม แนะนำให้ทำอะไรบ้าง เพราะอะไร
5. ความเสี่ยงจากการบำบัด และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง
6. มีโอกาสการกลับคืนมาของโรค หรือไม่ อย่างไร
7. ดิฉันควรจะเตรียมตัวสำหรับการบำบัดอย่างไรบ้าง
8. มีอาหารแนะนำเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือไม่ อย่างไร
9. หลังจากบำบัด ดิฉันจะยังสามารถมีบุตรได้หรือไม่
10. อะไรน่าจะเป็นสาเหตุของโรคที่ดิฉันเป็น และควรหลีกเลี่ยง เพื่อจะลดโอกาสการกลับมาอีกของโรค
11. ดิฉันมีความจำเป็นต้องใช้วิกผมหรือไม่
12. เวลาที่ใช้ในการบำบัด รวมระยะเวลากี่เดือน และดิฉันมีโอกาสไปทำงานในระหว่างบำบัดหรือไม่
13. ประมาณการค่าใช้จ่ายในการบำบัด
ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างคำถาม คุณควรจะจดคำถามที่สนใจไว้ เพื่อจะนำขึ้นมาสอบถามได้ครบถ้วนเมื่อปรึกษาแพทย์ และอาจทำการปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลอื่นเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจเลือกการบำบัดต่อไป



Create Date : 19 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 มิถุนายน 2551 16:17:23 น. 59 comments
Counter : 30128 Pageviews.

 
ขอบคุณมากมีประโยชน์ดีจริงๆ


โดย: tai (taibangplee ) วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:10:49:12 น.  

 
ขอบคุณมากๆ นะคะ คุณ Minie ปัจจุบันนี้คุณคงหายจากโรคมะเร็งรังไข่แล้วนะคะ คุณเป็นคนมีความรู้ และมีกำลังใจต่อสู้ชีวิตดีเยี่ยมเลยค่ะ


โดย: ผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่คนหนึ่ง IP: 86.159.113.43 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:18:35:54 น.  

 
ขอบคุณมากนะค่ะที่ให้ความรู้มากๆเลยค่ะ
ตอนนี้เราก็กลัวเหมือนกัน เพราะว่า
ประจำเดือนเรามาไม่ปกติ มาทั้งเดือนเลย
ว่าจะไปหาหมอเช็คเหมือนกัน


โดย: tuk IP: 75.137.98.132 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:10:33:12 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ... ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนค่ะ...ดิฉันเองก็เคยผ่านประสบบการณ์เเบบนั้นมาเเล้ว...เเต่ในเนื้อร้ายมันก็ให้ข้อคิดดี ๆ สำหรับในการดำเนินชีวิตที่เหลือของเราให้ดีเเละมีคุณค่ามากที่สุดค่ะ


โดย: 1234 IP: 202.28.9.53 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:14:45:50 น.  

 
สอบถามเพิ่มเติมค่ะ ... เนื่องจากการรักษาทำให้ต้องผ่าตัดรังไข่ทั้ง 2 ข้าง เเละมดลูกด้วย ปัจจุบันอายุ 26 เเพทย์ให้ทานฮอร์โมนเเละแคลเซียมเสริม เเละนัดตรวจเลือดเเละตรวจภายในทุก 3 เดือน นอกจากวิธีการักษาดังกล่าวเเล้ว ควรตรวจเช็คร่างกายอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกไหมค่ะ เช่น จำพวกมวลกระดูก เพราะกลัวโรคกระดูกพรุน เเละมะเร็งอื่น ๆ ที่อาจจะเพิ่มเติม หรือลุกลามได้อีก เเต่เนื่องจากระยะที่เป็น คือ 1A หมอบอกว่าโอกาสจะกลับมาเป็นอีกน้อยมากค่ะ ขอบคุณสำหรับคำตอบ เเละคำเเนะนำอื่น ๆ นะค่ะ


โดย: 1234 IP: 202.28.9.53 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:14:51:19 น.  

 
หวัดดีค่ะ คุณ 1234,

เบื้องต้น ยินดีค่ะ ที่ได้รู้ว่า "ในเนื้อร้ายมันก็ให้ข้อคิดดี ๆ สำหรับในการดำเนินชีวิตที่เหลือของเราให้ดีเเละมีคุณค่ามากที่สุดค่ะ" รู้สึกแบบนี้...ดีจัง

เรื่องการตรวจติดตามที่คุณ1234 ได้รับการดูแลอยู่ น่าจะเป็นปกติดีอยู่แล้วนะคะ ตอบเท่าที่ตัวเองก็ได้รับการตรวจประมาณนี้ แต่ไม่ได้กินฮอร์โมนค่ะ เพราะเป็นเจอเซลส์ชนิดร้ายแรงมาก หมอเกรงว่าจะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลส์ค่ะ

พวกตรวจมวลกระดูก ถามหมอตอนนี้ อาจจะไม่จำเป็นมังคะ เพราะอายุไม่มาก แต่ก็ต้องกินแคลเซียมเป็นประจำตามที่หมอสั่งให้...

กวางอายุ 40 ปี แล้วค่ะ เคยเอ็กซเรย์ดูกระดูก ตอนนั้น ไปดูเรื่องการจัดกระดูก แก้อาการเรออย่างหนัก หลังให้เคมีบำบัด ภาพในฟิล์มที่เห็น คือ กระดูกบางไปมาก...เพราะเคมีบำบัดด้วยแหละค่ะ

ตอนนี้ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ยกเว้นกินแคลเซียม
เพราะอย่างอื่นๆ เช่น
นม--ไม่ดื่ม
กะปิ--แทบไม่กิน
ปลา--น้อยมาก
ปลาเล็กปลาน้อย--น้อยมาก
น้ำเต้าหู้หรือเต้าหู้--กินวันละ แค่ 1 เสริฟ...

เพราะว่า จำกัดปริมาณโปรตีนค่ะ
ไปเอาโปรตีนจากข้าวกล้องเป็นหลัก...

ดูแลเรื่องกิน และจิตใจค่ะ เดี๋ยวนี้กวางเริ่ม ฝึกปฏิบัติธรรมะ และสมาธิ... สุดยอดค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:18:07:38 น.  

 
แต่ก่อนรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินว่าพี่สาวเป็นมะเร็งรังไข่ เมื่อได้รับทราบข้อมูลแล้วมันไม่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ ขอให้บุญกุศลที่คุณให้ความรู้ ส่งเสริมให้คุณเจริญก้าวหน้าต่อไปนะคะ


โดย: แม่ชมพู่ IP: 203.146.63.184 วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:12:55:07 น.  

 
ขอบคุณ คุณกวางมากนะคะ ที่ให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์มากจริงจริง
เป็นมะเร็งรังไข่ (Clear Cell 1C) ผ่าตัดและให้เคมีบำบัดครั้งที่ 6 สุดท้ายเมื่อกลางเดือน กค.ที่ผ่านมา คุณหมอไม่ให้กินฮอร์โมนเหมือนกันค่ะ และบอกว่าเซลล์มะเร็งชนิดนี้ค่อนข้างเกเร (ร้าย) แม้จะเป็นขั้น 1 สามารถกลับมาได้ตลอด ตอนนี้คุณหมอนัดตรวจทุกเดือนค่ะ
เพิ่งเริ่มต้นกินอาหารตามแนวชีวจิตได้ 2 เดือน โดยปฏิบัติเอง และดูรายละเอียดข้อมูลจากเวปของคุณกวางเพิ่ม (ผสมกัน 2 สูตรเลยค่ะ) ทำน้ำซุปโปแตสเซียมใช้แทนน้ำมันแต่ยังไม่ 100% ค่ะ บางครั้งยังใช้น้ำมันอยู่ จะพยายามลดลงเรื่อย ๆ เพื่อสุขภาพของตัวเอง
อยากทราบเรื่อง detox สามารถทำต่อไปได้เรื่อย ๆ? หรือมีอะไรที่พอจะแนะนำมั้ยคะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สถานที่น่าเที่ยวพร้อมอาหารอร่อย ๆ
ขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คนเสมอมา
รักษาสุขภาพมาก ๆ นะคะ มีความสุขมาก ๆ ด้วยค่ะ


โดย: Sanimsroy IP: 124.120.227.156 วันที่: 27 ตุลาคม 2550 เวลา:13:42:21 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ Sanimsroy,

เรื่อง Detox ด้วยน้ำกาแฟ หลังจากเราให้เคมีบำบัดครบแล้ว ก็ทำห่างขึ้นได้ค่ะ อาจจะสัปดาห์ละครั้ง หรือ สองสัปดาห์ครั้งนะคะ เพราะตับเรา พอกำจัดพิษจากยาเคมีออกไปได้มากแล้ว ก็คงจะสภาพดีขึ้นบ้าง

และอีกอย่างเรา กินอาหารที่เป็นพิษเข้าไปน้อยลง
ตับและไต คงจะดีใจมาก....ก็ไม่ต้องไปกระตุ้นมันมากก็ได้

ล่าสุดไปค่ายธรรมชาติบำบัด หมอเจคอบมาค่ะ
เลยปรับการสวนเป็นการใช้น้ำเปล่า 300 - 500 ซีซี
แนวนี้ เป็นแนวสวนล้าง ไม่ใช่กระตุ้นตับค่ะ
ใช้น้ำเปล่า และปริมาณน้อย นัยว่า นุ่มนวลกับร่างกายเราค่ะ

กินผลไม้แทนอาหาร 3 มื้อเลย 1 เดือน แต่ว่า เกเรค่ะ
มีกินอาหารต้านมะเร็ง สลับกับ ส้มตำ หรือยำผักสดรสชาติอ่อน รวมๆ กันไปตั้ง 11 ครั้ง แหะ แหะ....
มีอาการท้องผูก อึเป็นก้อนแข็งเล็กๆ เพราะผลไม้มันไม่ค่อยมีเส้นใย
ก็เลยต้องสวนลำไส้ด้วยน้ำเปล่า ช่วยหน่อยนึง..

ช่วงหนึ่งเดือนที่กินผลไม้ ลองงดวิตามินด้วย
ปรากฏว่า ฉี่ออกมา มีกลิ่นยา ด้วย
เข้าใจว่า น่าจะได้ผลเรื่องการล้างพิษ...รู้สึกดีค่ะ

ก็เลยจะบอกว่า ถ้ามื้อไหน คิดไม่ออกเรื่องอาหาร
ก็กินผลไม้สด แทนข้าวได้เลยนะคะ

ที่บ้าน แม่กับน้องสาวบอกว่า ง่ายจัง มีแค่ถาดกับมีด ก็พอ
ไม่ต้องเปิดเตาแกส ไม่ต้องล้างจาน...


โดย: Minie' วันที่: 31 ตุลาคม 2550 เวลา:23:18:59 น.  

 
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ จะลองทำตามที่แนะนำดูค่ะ


โดย: Sanimsroy IP: 124.120.222.110 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:55:03 น.  

 
ขอบคุณที่ให้ความรู้ พี่กินแต่ปลากับผัก นานๆทานหมูสักชิ้น ต่อไปนี้ต้องเปลี่ยนการกินอีกแล้ว


โดย: พี่เป็ด IP: 203.172.85.189 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:04:14 น.  

 
คุณกวางสุดยอดจริงจริงนับถือในความตั้งใจที่จะถ่ายทอดข้อมูล ค้นคว้าข้อมูลต่างๆอย่างตั้งใจมันมีประโยชน์และมีคุณค่ามาก สำหรับคนที่ต้องการข้อมูลนี้ค่ะ นุ่มขอเอาข้อมูล ทุกอย่างของกวางไปฝากเพื่อนๆที่โรงพยาบาลนะคะ ขอให้คุณกวางสุขภาพแข็งแรงนะคะ


โดย: นุ่ม IP: 124.121.150.242 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:01:44 น.  

 
ฮาโหล คุณนุ่ม,

ยินดีค่ะ ที่ข้อมูลที่รวบรวมมาจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคน ยิ่งมากยิ่งดีค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:13:50 น.  

 
แม่เป็นมะเร็งรังไข่ ผ่าตัดรังไข่แล้ว ตอนนี้แพร่กระจาย
ไปยังช่องท้อง ต้องเจาะน้ำออกบ่อยมาก ประมาณ 3 วันต่อ1ครั้ง เป็นห่วงแม่มากเพราะไม่ได้อยู่ดูแล
อยากให้แม่หายอยู่กับลูกไปนานๆ รักแม่มากเลย
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ นะคะ


โดย: ลูกสาวที่รักแม่ที่สุด IP: 124.120.5.242 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:42:06 น.  

 
ไม่เคยคิดจะค้นข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งรังไข่เลย
จนวันนี้ ผลชิ้นเนื้อของเพื่อนที่เรียนร่วมกันมา 5 ปี
บอกว่าเป็น Ovary cancer stage 1A


ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ
เป็นประโยชน์มากๆค่ะ

ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองทุกๆคนนะคะ


โดย: ขอบคุณค่ะ IP: 203.113.60.75 วันที่: 18 มกราคม 2551 เวลา:23:16:22 น.  

 
ขอคำแนะนำวิธีการ/ขั้นตอนในการ detox ตอนนี้เป็นมะเร็งในรังไข่ ชนิด clear cell stage 1c อยากรู้ว่าโอกาสการลุกลามมีระยะเวลาอีกนานมั๊ย เพราะผ่านการคีโมมาประมาณ 1 ปีแล้ว ช่วยอธิบายให้หายกังวลด้วย


โดย: ช้างแมมมอส IP: 203.113.60.8 วันที่: 27 มกราคม 2551 เวลา:3:00:40 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณช้างแมมมอส,

เรื่องของการ Detox ที่ต้องการทราบ หมายถึง
การสวนลำไส้ ใช่มั้ยคะ

ฉันมีการทำสวนลำไส้ 2 แบบค่ะ
ช่วงที่ ให้เคมีบำบัดและการฟื้นตัวหลังจากให้เคมีบำบัด รวมๆ แล้วสัก 2 ปีครึ่ง
ใช้การสวนลำไส้ด้วยกาแฟ น้ำปริมาณ 1,200 ซีซี

จากนั้น เริ่มเรียนรู้เรื่องธรรมชาติบำบัดแบบพึ่งตนเอง ตามแนวหมอเจค็อบ เลยใช้วิธีการสวนลำไส้ด้วยน้ำเปล่า 300 - 500 ซีซี

่เรื่องวิธีการ และความถี่ ในการสวนลำไส้
ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ตามปกติ หมอทางธรรมชาติบำบัดจะเป็นผู้ให้คำแนะนำคนไข้แต่ละคนค่ะ

อีเมล์มาคุยกันในรายละเอียดเพิ่มเติมนะคะ จะยกตัวอย่างและหาลิงค์ให้เพิ่มเติม

เช่น สวนลำไส้ด้วยกาแฟ อ่านและสอบถามได้ที่กระทู้ของ //www.balavi.com รับรองได้รับคำตอบ เพราะหมอมีตอบไว้เยอะแล้วค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:13:12:39 น.  

 
ไปตรวจเลือดมา พบว่าค่า ca-125 มีค่า 36.3 (สูงกว่า 35) โดยหมอบอกว่าไม่ใช่มะเร็ง สงสัยจังแต่ทุกวันนี้ผอมลง น้ำหนักลดต่อเนื่อง ซีด และอ่อนเพลีย แต่ตั้งใจว่าจะตัดมดลูก และรังไข่ทิ้งให้หมด (เครียดมากค่ะ) เพราะไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่


โดย: แม่ลูกสอง IP: 61.90.104.39 วันที่: 10 กันยายน 2551 เวลา:20:17:04 น.  

 
คุณแม่ลูกสอง,
ความเครียด..ไม่ดีค่ะ ไม่ดี.. ทำใจให้สบาย เกินค่ามาตรฐานไปจิ๊ดเดียวเอง จิ๊บจ๊อยมาก ควรตรวจซ้ำค่ะ

อีกอย่างหนึ่ง เรื่องค่านี้ มันบ่งบอกถึงการอักเสบในช่องท้อง ไม่ได้บอกว่า จะต้องเป็นมะเร็งเพียงอย่างเดียวนี่คะ

พวกที่เป็นแค่เนื้องอก หรือช็อคโกแลตซีสต์นิดหน่อย ก็ถือเป็นการอักเสบในช่องท้องเหมือนกัน ค่าตัวเลขเค้าขึ้นไป ร้อยกว่า.. ไม่เห็นจะเป็นมะเร็งเลยค่ะ...

ดูแลสุขภาพใจให้ดี แล้วสุขภาพกายจะดีเองค่ะ อาจจะมีผิดปกติ แต่พอจิตใจเราสบายๆ ความผิดปกติก็จะเปลี่ยนกลับมาปกติได้... ลองอ่านเรื่อง ธรรมชาติบำบัด ดูค่ะ

เปลี่ยนเอาเวลาเครียด มาใช้ปรับพฤติกรรมเราที่ทำให้ป่วยดีกว่ามั้ยคะ? คิดว่าดีขึ้นแน่ๆ เลยค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 12 กันยายน 2551 เวลา:0:33:45 น.  

 
ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ สำหรับความรู้เรื่องนี้ จะได้ไว้เตรียมป้องกันรักษาตัวเอง และคนรู้จักต่อๆ ไปค่ะ


โดย: poohbear IP: 125.27.112.34 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:10:31:34 น.  

 
ผม และ ภรรยา ไป ตรวจสุขภาพประจำปี ภรรยา ตรวจ CA 125 ได้ 101.9 ผม กังวลมาก อยากถามว่า ผมต้องทำอย่างไรต่อไปครับ


โดย: สามี คุณ anne IP: 124.157.176.1 วันที่: 26 กันยายน 2551 เวลา:4:55:03 น.  

 
สวัสดี สามีคุณ anne,

CA125 เกิน 35 ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นมะเร็งรังไข่

คำตอบเหมือนที่ตอบคุณแม่ลูกสองค่ะ
เรื่องค่านี้ มันบ่งบอกถึงการอักเสบในช่องท้อง ไม่ได้บอกว่า จะต้องเป็นมะเร็งเพียงอย่างเดียวนี่คะ

พวกที่เป็นแค่เนื้องอก หรือช็อคโกแลตซีสต์นิดหน่อย ก็ถือเป็นการอักเสบในช่องท้องเหมือนกัน ค่าตัวเลขเค้าขึ้นไป ร้อยกว่า.. ไม่เห็นจะเป็นมะเร็งเลยค่ะ...

หมายเหตุ: เรื่อง CA 125 บางคนตัวเลขไม่ขึ้นแต่ก็เป็นมะเร็งรังไข่ได้ค่ะ อ้าว..ไหงงั้นเนอะ ใช่ค่ะ แบบมินนี่ไง
และสถิติ ครึ่งหนึ่งของจำนวนคนเป็นมะเร็งรังไข่ ตัวเลข CA125 ปกติ....

หลายคนที่เป็นมะเร็งรังไข่ ระยะ 2-4 CA125 สูงปรี๊ด 6-7 พันโน่น.... CA 125 จึงอาจไม่ใช่ตัวเลขที่จะเป็นตัวตัดสิน เป็นเพียงค่าบ่งชี้ ให้เราดูต่อไปค่ะ

ดูแลสุขภาพใจให้ดี แล้วสุขภาพกายจะดีเองค่ะ อาจจะมีผิดปกติ แต่พอจิตใจเราสบายๆ ความผิดปกติก็จะเปลี่ยนกลับมาปกติได้... ลองอ่านเรื่อง ธรรมชาติบำบัด ดูค่ะ

ยืนยันจากน้องสาวแท้ๆ ค่ะ ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่เพราะเป็นพี่น้องกัน ตอนไปตรวจ CA125 ขึ้นไป 135 และตรวจพบซีสต์ที่ท่อนำไข่ 2 ข้าง ขนาด 4-6 ซม. หมอแนะนำว่าถ้าต้องการผ่าตัดก็ผ่าได้แล้วเพราะขนาดเนื้องอกมันใหญ่ แต่เธอไม่ต้องการผ่าตัด อยากทดลองด้วยธรรมชาติบำบัด ก็เลยศึกษาธรรมชาติบำบัดของหมอเจคอบ และหมอเขียว

เคร่งครัดเรื่องการกิน และฝึกโยคะเป็นประจำ เปลี่ยนพฤติกรรมการพักผ่อนนอนหลับ นอนหัวค่ำตื่นเช้า รับแสงแดดอ่อนเช้าและเย็น...3 เดือนผ่านไป ตรวจอัลตร้าซาวน์อีกทีหนึ่ง เนื้องอกเหลือ 2-3 ซม. อาการตัวบวมก่อนมีประจำเดือน ปวดหัวปวดท้องระหว่างมีประจำเดือนก็หายไป... ค่า CA125 ลดลงมาก หมอแจ้งว่า ถ้าก้อนเนื้อขนาดที่เหลือก็ไม่ต้องผ่าตัด ให้ตรวจติดตามไปเรื่อยๆเฉยๆ

ผ่านมา ปีครึ่ง แล้ว ทุกอย่างก็ดีขึ้น ซึ่งก็ยังดูแลตัวเองแนวธรรมชาติบำบัด ยืดหยุ่นนิดหน่อย...

สรุปว่า ผลที่ออกมา ทำให้เราสนใจร่างกายมากขึ้น ตรวจเพิ่มเติมว่า ผิดปกติมากหรือไม่ และตรวจติดตามบ่อยขึ้น ระมัดระวังแนวการใช้ชีวิต หาวิธีลดความเครียด ปรับพฤติกรรมตัวเองค่ะ :)


โดย: Minie' วันที่: 28 กันยายน 2551 เวลา:9:10:30 น.  

 
สามี คุณ anne,

มีอีกอย่างคือ ให้ดูอาการต่างๆ ว่า พ้องกับที่ระบุไว้หรือไม่
ซึ่งถ้ามีแนวโน้มว่าเป็นมะเร็งรังไข่ ก็จะถือว่าโชคดีที่ตัวเลข CA125 ขึ้นสูงกว่ามาตรฐานให้เราได้รู้ตัวก่อนในระยะต้น เพราะจะรักษาง่ายกว่ามาก โอกาสแพร่กระจายมีน้อย
ดีกว่าที่มันมาเงียบๆ แบบเราไม่รู้ตัวและจู่โจมตั้งตัวไม่ทันนะคะ


โดย: Minie' วันที่: 28 กันยายน 2551 เวลา:9:13:13 น.  

 
วันนี้ได้ผลตรวจสุขภาพมาค่ะ CA125 สูงถึง 139.5 กังวลมากค่ะ อยากได้คำแนะนำว่าควรจะไปตรวจที่ไหนยังไง ต้องปรับพฤติกรรม หรืออาหารอย่างไรบ้างคะ?


โดย: usa IP: 203.148.254.137 วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:15:59:51 น.  

 
ขอบคุณมากๆเลยค่ะสำหรับข้อมูล เพราะตอนนี้ก็กังวลเหมือนกันค่ะ กลัวมากว่าจะเป็นมะเร็งรังไข่ เพราว่าเคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วปวดท้องมาก ทั่วทั้งท้องเลย ทั้งตรงมดลูกหรือกระเพาะปัสสาวะ และก็ตรงกระเพาะอ่าค่ะ ก็เลยไปซื้อยาแก้โรคกระเพาะมากิน แล้วก็หายแต่อาการปวดตรงมดลูกหรือว่ากระเพาะปัสสาวะไม่หายไปค่ะ ก็เลยไปหาหมอ เค้าก็บอกว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ทานยาก็หายปวด แต่มันน่าสงสัยตรงที่ว่ามีลิ่มเลือดออกมาจาช่องคลอดอ่าค่ะ เป็นลิ่มๆไม่มากซักหนึ่งอาทิตย์ก็หาย แต่ตอนนี้ประจำเดือนไม่มาหนึ่งเดือนแล้วค่ะ แล้วท้องก็บวมๆค่ะ ไม่รู้เกิดจากสาเหตุอะไร ทานข้าวมากขึ้นด้วยค่ะ ใครตอบได้ช่วยตอบทีนะคะ


โดย: เด็กขี้กังวล IP: 58.8.84.158 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:24:38 น.  

 
เด็กขี้กังวล,
เอาไงดีล่ะ ไปพบหมอสูตินรีเวช ดีมั้ยอ่ะ
ไม่กล้าวินิจฉัยให้น๊า.....ไม่ควรเก็บเอามากังวลเองเนอะ


โดย: Minie' วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:21:14 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ
ตอนนี้ประจำเดือนมาเป็นปกติแล้วค่ะ
แต่ตอนนี้ปวดตรงปีกมดลูกอ่าค่ะ แล้วก็ปวดตรงหลังตรงไตทั้งสองข้างด้วยค่ะ บอกเพื่อนเพื่อนก็บอกว่าเป็นเพราะมีประจำเดือนรึเปล่า ก็ลอกเพื่อนไปว่ามันหายไปเป็ฯอาทิตย์แล้วนะมันยังจะปวดอยู่หรอ ว่าจะไปตรวจกลัวมากเลยค่ะทั้งโรคไตและมะเร็ง แล้วหนูเป็นคนที่มีก้อนซิสเยอะมากเพราะเคยผ่าออกไปแล้วที่รั๊กแร้และก็ที่หน้าอกทั้งสองข้างค่ะก้อนเล็ก หมอบอกว่าไม่ใช่มะเร็งค่ะ แต่ตอนนี้ก็ขึ้นมาอีก
คิดว่าหนูมีโอกาสมีซิสในรังไข่มั้ยคะ อีกอย่างอายคุณหมออ่าค่ะ ไม่กล้า


โดย: เด็กขี้กังวล IP: 58.8.84.112 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:29:45 น.  

 
หมอสูตินรีเวช ก็จะดูว่าเป็นเพียงแค่อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายค่ะ ไปตรวจเถอะค่ะ แล้วมันเป็นการตรวจเฉพาะที่มาก...

เรื่องซีสต์ที่มีเยอะตรงโน้นตรงนี้ อาจเกิดจากพฤติกรรมการกิน การอยู่ของเรา ลองศึกษาธรรมชาติบำบัดดูสักนิด
แล้วลองปรับบางอย่างที่เห็นว่า ควรลด ควรเพิ่ม...ดีมั้ยคะ


โดย: Minie' วันที่: 23 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:31:55 น.  

 
พี่มีความรู้แน่นมากเลยค่ะ
วันนี้ฟ้าอ่านทุกบล็อกเลย
ไม่รู้ว่าจาเป็นน้าหรือว่าเป็นพี่ดี
ฟ้าอายุ 29 แล้วค่ะ
ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณมากนะค่ะ


โดย: ฟ้าอีกแล้ว IP: 58.10.125.169 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:07:06 น.  

 
หวัดดีค่ะ ฟ้า,

ก็ในเมื่อ บอกว่า พี่อายุเกือบเท่าแม่...
งั้นก็เป็นน้าก็แล้วกันนะ

เอ๊ะ แต่ว่า เราอายุ 41 เองนะ... จะเกือบเท่าแม่เธอได้ไงฟะ... ฮี่ฮี่


โดย: น้ากวาง (Minie' ) วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:18:57:48 น.  

 
เนื้อหาดีมากค่ะ ตอนนี้แม่เป็นมะเร็งรังไข่ให้เคมีไป 3 ครั้งแต่ไม่ได้ผลตอนนี้มันกลับมาใหม่ แม่ทรมานมาก หมอบอกว่าไม่แน่ใจว่าจะให้ยาตัวใหม่ได้ผลหรือเปล่า สงสารแม่มากทรมานและแม่ก็เป็นคนไม่เข้มแข็งไม่มีกำลังใจทำไงดีค่ะ อยากให้แม่หายมีวิธีช่วยสร้างกำลังและวิธีรักษาดีดี ช่วยหน่อยนะคะ


โดย: meme IP: 124.120.1.132 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:22:56:52 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อความดี ๆ ก็เป็นมะเร็งรีงไข่เหมือนกันค่ะ สรุปแล้ว ใครก็ตามที่เป็นมะเร็ง ไม่ต้องกลัวเพราะหมอเขาเก่ง และยาทุกวันก็คุณภาพดีมาก
ก่อนผ่าตัดมีคนบอกว่า จะเจ็บแผลมาก แต่แปลก หลังออกจากห้องผ่าตัด คือเข้าห้องผ่าตัด 07.00 น รุ้สึกตัวอีกที ประมาณเกือบ บ่าย 3 โมง รู้สึกเจ็บแผลนิดหน่อย เหมือนมีดบาดมือแค่นั้น จริง ๆ นะค่ะไม่ได้โกหก พอต่นเช้าขึ้นมาหมอก็เข้ามาถอดสายปัสสาวะออก ก็ไม่รู้สึกเจ็บ แผลก็ไม่เจ็บ คนที่ไปเยี่ยมก็ยังพากันแปลกใจ จนปัจจุบัน แผลก็ใกล้หาย เกือบเป็นผิวปกติตลอดแนวที่ผ่าตัด ก็เลยรู้สึกว่า จิตใจมีความสำคัญมาก ทำใจ้ให้สงบ ให้สบาย แล้สุขภาพจะแข็งแรงเร็วมาก ตลอดเวลาที่ให้คีโม มีผลข้างเคียงอย่างเดียว คือ ผมร่วง นอกนั้นก็ปกติดีทุกอย่าง ขอบคุณ คุณหมอโรงพยาบาลศรีนครินทร์ที่ดูแลเป็นอย่างดีบางครั้งนะค่ะ ถ้าคุณหมอเขาใส่ใจคนไข้ คนไข้ ก็หายป่วยไปแล้วครึ่งหนึ่ง และกำลังใจจากคนรอบข้าง การเป็นมะเร็ง อย่าคิดว่าตัวเองป่วย กลับดีเสียอีกที่จะได้ดูแลตัวเองมากขึ้น จำได้ว่า คนที่มาเยี่ยมตอนให้คีโม บางคนเขาเคยให้คีโม เขาแพ้มาก เขาก็พูดอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าไปใส่ใจมาก ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน เดี๋ยวเราจะเสียกำลังใจ คิดมาก คิดเสียว่าอะไรจะเกิด มันก็เกิด เราต้องรับได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ ตลอดเวลาท่เรายังไม่ป่วย เราทำความดีเสมอ ความดีนั่นแหละจะทำให้เรา ไม่เจ็บไม่ปวด ถึงแม้ตอนให้คีโม ก็สบายใจไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วิตกกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วทุกอย่างจะผ่านไปอย่างสบาย เป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกคนน่ะค่ะ


โดย: ชุติมณพน์ IP: 122.154.129.55 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:34:07 น.  

 
คุณชุติมณพน์,

ดีใจด้วยค่ะ ที่ทุกอย่างเรียบร้อยดี
การบำบัดผ่านไปด้วยความสบาย แข็งแรง ดีจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณที่มาเขียนข้อความไว้เป็นอีกหนึ่งกำลังใจ
ให้กับผู้ที่กำลังจิตตก เพราะจะต้องให้เคมีบำบัด...
ยืนยันได้ว่า ร่างกายและจิตใจของแต่ละคนมีพื้นฐานต่างกันจริงๆ อาการไม่พึงประสงค์จึงแทบไม่มีเลยก็ยังได้....


โดย: Minie' วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:23:26 น.  

 
รบกวนนิดเรื่องให้เคมีบำบัด แพทย์จะให้หลังจากผ่าตัดแล้วกี่วัน คือกังวลมากเลย เป็น มะเร็งรังไข่ stage1a แล้วคุณหมอให้เคมีบำบัดเลยก่อนกลับบ้านหลังจากผ่าตัดได้ 4 วัน เลยรู้สึกไม่ค่อยแข็งแรง แล้วหมอก็ไม่พยายามบอกข้อมูลคนไข้เรื่องโรค เลยคิดจะย้ายรพ.เพราะรักษาเอกชนอยู่ คิดจะไปต่อเคมีบำบัดกับหมอที่รพ.รัฐ จะดีหรือเปล่าค่ะ
แล้วเจ้า มะเร็งชนิด clear cell นี่มันร้ายมากหรือเปล่าค่ะ


โดย: แพรว IP: 124.120.97.133 วันที่: 21 มีนาคม 2552 เวลา:12:03:51 น.  

 
คุณแพรว,

อีเมล์มาคุยกัน ที่ minieii@yahoo.com
เบื้องต้น
1. ยินดีด้วยที่เป็นระยะ 1a โชคดีมากๆ ที่ตรวจพบได้เร็ว
2. Clear Cell ร้ายแค่ไหนไม่ทราบ แต่ของกวางที่ตรวจเจอเป็นชนิด Clear Cell Adenocacinoma มันก็ระดับไฮโซเลยแหละ
3. การที่คุณหมอให้เคมีบำบัดเลย ก็คงจะเพื่อการควบคุมโรคให้ได้ผลดี นะคะ
ย้ายไปโรงพยาบาลรัฐ การให้เคมีบำบัด ประกันสังคม/บัตร 30 บาท ครอบคลุมให้ค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 21 มีนาคม 2552 เวลา:19:15:00 น.  

 
คุณแพรว,

อีเมล์มาคุยกัน ที่ minieii@yahoo.com
เบื้องต้น
1. ยินดีด้วยที่เป็นระยะ 1a โชคดีมากๆ ที่ตรวจพบได้เร็ว
2. Clear Cell ร้ายแค่ไหนไม่ทราบ แต่ของกวางที่ตรวจเจอเป็นชนิด Clear Cell Adenocacinoma มันก็ระดับไฮโซเลยแหละ
3. การที่คุณหมอให้เคมีบำบัดเลย ก็คงจะเพื่อการควบคุมโรคให้ได้ผลดี นะคะ
ย้ายไปโรงพยาบาลรัฐ การให้เคมีบำบัด ประกันสังคม/บัตร 30 บาท ครอบคลุมให้ค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 21 มีนาคม 2552 เวลา:19:15:00 น.  

 
ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

เนื้อหามีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ


โดย: feva IP: 117.47.12.75 วันที่: 27 มีนาคม 2552 เวลา:0:45:26 น.  

 
ขอบคุณคุณ minie มาก จะติดต่อทางmail ไปนะค่ะ


โดย: แพรว IP: 124.120.96.90 วันที่: 3 เมษายน 2552 เวลา:1:10:53 น.  

 
เป็นพยาบาลแตมีความกังวลใจมาก เพราะไปตรวจ Transvaginal Ultrasound พบก้อนขนาด 6 cm.ที่รังไข่ข้างขวา ตรวจ CA -125 ค่า 32.20 ผลตรวจมะเร็งปากมดลูก ปกติ แพทย์นัดผ่าตัด


โดย: amonrat_nurse@hotmail.com IP: 192.168.1.105, 117.47.220.236 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:00:41 น.  

 
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไปตรวจร่างกายหมอตรวจพบก้อนเนื้อตอนอัลตร้าซาวด์และตรวจCA-125มีค่า 45 แต่ข้อมูลเป็นภาษอังกฤษใครแปลได้ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ
No discrete solid liver mass,liver cirrhosis or thrombus in portal vein seen.Sandstones or turbid biliary sludge in the gallbladder.No dilated bile duct. A 2.5-3.0cm inhomogeneous hypoechoice lesion in the left adnexal region.Transvaginal sonogram is useful. Minimal free pelvic ascites.
ขอบคุณมากคะ


โดย: lucky IP: 125.27.12.9 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:10:16:39 น.  

 
คุณ Lucky,
เกินความสามารถค่ะ ลองไปโพสต์ใน Pantip ดูมั้ยคะ?
เผื่อจะมี หมออาสา เข้ามาช่วยแปลค่ะ

ขอให้คุณปลอดภัย มีสุขภาพแข็งแรงดี มีความสุขนะคะ


โดย: Minie' วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:19:31:53 น.  

 
ขอขอบคุณมากคะสำหรับความช่วยเหลือ


โดย: lucky IP: 125.27.0.166 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:23:37:03 น.  

 
ดิฉันได้ให้ยาเคมีบำบัดครบแล้วพอหมอตรวจและทำสแกนคอมพิวเตอร์พบก้อน3ก้อนที่ตับหมอกว่าแค่3มิลเล็กๆจะมีโอกาสโตขึ้นอีกเปล่าเพราะหมอนัดให้ตรวจปีหน้า(หมอรักษาตับโดยเฉพาะบอก)


โดย: ญาตินัน์ IP: 202.91.19.194 วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:13:06:14 น.  

 
คุณญาตินัน์,

วางใจไม่ได้ค่ะ
เราก็ดูแลอาหาร อากาศ ฝึกจิต ฝึกสมาธิ กันไปนะคะ เพื่อให้กาย-ใจ มันทำงานประสานกันดีๆ ก้อนมันจะได้ไม่ต้องเบียดเบียนเรา


โดย: Minie' วันที่: 14 ธันวาคม 2552 เวลา:12:12:24 น.  

 
แม่ผมก็เป็นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเกิดอีกเป็นในช่องท้อง หมอตัดออกและตัดต่อลำไส้ด้วย ตอนนี้นอนห้อง ICU เพราะหมอบอกว่าลิ่มเลือดไปอุดตันในปอดครับ อยู่ใน ICU ได้ 1 วันแล้ว หมอบอกว่าถ้าดีขึ้นออกจาก ICU ได้จะให้ไปนอนห้องรวม ไม่ให้นอนห้องเดี่ยวเพื่อให้พยาบาลเห็นได้ง่ายๆ จึงต้องห้องรวม หลังผ่าตัด สัก 2 วันแม่ก็พยายามลุกออกเดินเพราะแกอยากกลับบ้านเร็วๆ ก็พักประมาณ 5 วัน ปรากฏว่าหมอมาดู บอกแผลติดเชื้อ ต้องเปิดแผล จากนั้นแกก็ดูแย่ลง แกบ่นปวดเมื่อยหลัง พวกเราก็ไม่ทราบกัน เช้ามืดวันอังคารนี้แกหายใจไม่สะดวก หมอมาดูก็ X-ray กันวุ่นสั่งเขา ICU เลย การไปนอนห้องรวมดีไหมครับ ตอนนี้หมอให้ยาละลายลิ่มเลือด ดูอาการ 2-3 วัน เพิ่มมาอ่านบทความนี้ อ่านช้าไป ถ้าอ่านเร็วกว่านี้คงดี


โดย: ลูกคุณน้ำนอง IP: 125.27.45.18 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:0:01:49 น.  

 
ลูกคุณน้ำนอง,

ค่ะ เมื่ออาการต่างๆ ดำเนินไป เราก็ประคับประคองเท่าที่จะทำได้ อย่างดูหลายๆ มิติ ทั้งทางกาย ทางใจ ความอบอุ่น เพราะคนป่วยมักจะหวาดกลัว ทั้งความตาย การเจ็บปวดที่มีมากมาย สิ่งที่คนป่วยกังวลเมื่อต้องมาเข้าโรงพยาบาล อย่างเช่น เป็นห่วงบ้าน เป็นห่วงลูกหลาน หรือเป็นห่วงหน้าที่ที่เคยดูแล ต้องทำให้คลายกังวลก่อน

เรื่องการอยู่ห้องรวม ที่จริงจะดีกว่า เพราะพยาบาลจะดูแลทั่วถึง เพราะเข้าออกบ่อย แต่ถ้าอยู่ห้องเดี่ยว ญาติจะต้องดูแลใกล้ชิด และสังเกตอาการต่างๆ ของคนป่วยให้ดี
ก็ดูตามความเหมาะสม เพราะห้องรวมก็ไม่สะดวก ไม่เป็นส่วนตัว สำหรับคนเฝ้าไข้ แต่ห้องรวม เราก็ต้องรู้ว่าเราจะช่วยสังเกตอาการแล้วแจ้งพยาบาลได้จริงไหม
ลองดูนะคะ ขอให้คุณแม่รักษาจิตของตัวเองให้ได้ดีค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 3 มีนาคม 2553 เวลา:11:30:07 น.  

 
ขอบคุณมากครับคุณ Minie' และขอให้มีความสุขมากๆ นะครับ

ตอนนี้คุณแม่ผมกลับมาอยู่บ้าน (อยู่คนละบ้านกับผม) เพิ่งให้คีโมเป็นครั้งที่ 2 คุณหมอให้ Carboplatin กับ Intaxel เหมือน 2 ปีที่แล้ว วันนี้ตอนไปรับกลับบ้านได้เพิ่มมาทานเป็นยาเม็ด Megestrol acetate ไม่ได้พบคุณหมอ อ่านในเอกสารกำกับยาบอกว่ามีข้อห้ามกับคนที่มีภาวะ Thromboembolism/Thrombosis ผมลืมดูปริมาณยาที่ให้ ดังนั้นจึงกังวลในการกินยา Megestrol ซึ่งปัจจุบันยังทานยา Warfarin วันละเม็ดผมจำสีไม่ได้ครับ(น่าจะชมพู) ดูรวมๆ แม่เขายังไหวครับกำลังใจดีแต่บางครั้งก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารเพราะทานยา Warfarin ก็มีข้อห้ามเรื่องอาหารเหมือนกัน ให้คีโมครั้งแรกเดือนที่แล้วแม่บอกว่าปวดเมื่อยมากกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว น้ำหนักเพิ่ม 2 ก.ก. หลังจากเดือนที่แล้ว ตอนที่ให้คีโมครั้งแรก ผมก็ซื้อพวก vitamin C, Centrum ทานวันละเม็ดกลัวภูมิคุ้มกันต่ำ ตอนนี้ก็ให้เขาสังเกตอาการตนเองอยู่ครับ


โดย: ลูกคุณน้ำนอง IP: 125.25.82.166 วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:2:24:44 น.  

 
ลูกคุณน้ำนอง,

ดีจังเลยค่ะ ที่ได้ยินว่า คุณแม่ยังไหว..กำลังใจดี

ลองค้นข้อมูลดู Warfarin และ Megestrol ก็มีผลทำให้หิว...น้ำหนักที่เพิ่ม จึงไม่น่าแปลกนะคะ :)
ยังไงเจ้ายา 2 ตัวนี้ ก็ต้องกินต่อเนื่องตามหมอสั่ง...

ขอให้มีกำลังใจ และพลังใจเพิ่มขึ้นเยอะๆ ค่ะ สู้ต่อไป...


โดย: Minie' วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:15:18:06 น.  

 
ดิฉันตรวจค่า CA 125 มีค่า 150กว่า หมอตรวจมีเนื้องอกที่มดลูก นัดผ่าวันที่ 19 ต.ค. จริงๆเคยตรวจเจอค่า CA 142.5 ตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ค่า CA ขึ้นๆลงๆ เดือน พ.ค. 52 ค่า 142.5 เดือนส.ค. 183.4 เดือน พ.ย. 121.3 เดือนก.พ.53 ค่า 105.9 เราก็เลยเบี้ยวนัดช่วงเดือนเมษายน จนเมื่อเดือนกันยายน เราไปตรวจเลือด เจอค่า CA150.9 เราก็เลยกลับไปหาหมอ หมอบอกว่าไม่อยากจะตัดมดลูกและรังไข่ออก เพราะอายุยังน้อย ( 39 ) แต่เราก็บอกตัดเลยไม่อยากเอาไว้ แต่ ณ ตอนนี้ เรากลัวมากเริ่มใจไม่ค่อยดี เพราะใกล้วันผ่าทุกทีแล้ว ( เคยผ่าส่องกล้อง ตัดปีกมดลูก เมื่อ 13 ปีที่ แล้ว, ผ่าท้องคลอด สองคนแล้ว ) กำลังชั่งใจว่าจะไปตามนัดหรือเบี้ยวนัดดี กลุ้มใจมากเลย


โดย: Ann IP: 124.122.246.108 วันที่: 6 ตุลาคม 2553 เวลา:11:49:41 น.  

 
นู๋อายุ 24มีแฟนแล้วแต่ยังไม่มีลูกเมื่อพค.ที่ผ่านมานู่ได้รับการผ่าตัดโดยเอารังไข่ด้านขวาออกแล้วหมอตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจผลคือเ็ป็นมะเร็งระยะ 1Aหมอบอกต้องไปรักษาตัวต่อที่ศูนย์มะเร็ง จำเป็นมั้ยค่ะที่นู๋ต้องทำเคมีบำบัด ถ้าไม่ต้องจะมีวิธีรัษาอื่นมั้ยค่ะ


โดย: มณีรัตน์ IP: 180.183.60.145 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:13:29:03 น.  

 
อ่านข้อมูลทุกตัวอักษรของคุณMinie'ได้รับความรู้มากมายจริงๆ เป็นStageC3แล้วค่ะมันร้ายจริงๆกว่าจะรู้ตัวก้อนเนื้อก็ใหญ่15ซ.มแล้ว อ่านมาทั้งหมดเป็นแต่ขั้นแรกๆสบายใจกันได้ค่ะรักษาหายแน่นอน แต่ดิฉันไม่คิดถึงมันค่ะรักษาตามหมอ ศึกษาตามWebบ้างคิดว่าจะได้อยู่อีกแค่ไหนก็ยังดีกว่าไม่ได้อยู่ ยังได้คุยกับลูกอยู่อย่างมีความสุขกับครอบครัว(แม้ช่วงให้ยาจะเจ็บปวดเหลือแสน)พึ่งได้ยาครั้งที่4 เหลืออีก2ครั้งพอมาอ่านข้อมูลของคุณญาตินัน์ก็รู้สึกตกใจเหมือนกันค่ะว่าทำScancomพบ3ก้อนที่ตับ แสดงว่าถึงจะให้ยาฆ่ามันจนครบแล้ว แต่ก็ยังไปเป็นที่อื่นอีกในขณะที่พึ่งเลิกรอบแรก แต่ยังไงซะถ้าเรายังมีกรรมอยู่ก็คงต้องชดใช้ให้หมดอยู่ดี ขอแนะนำให้ทุกคนยึดมั่นทำแต่ความดีละเว้นความชั่ว ทำบุญทำทานตามกำลังของตน สวดมนต์ทำสมาธิบ้างเพื่อสำรวมจิตใจ จะทำให้มีความสุข(โดยเฉพาะโรคนี้กำลังใจที่สร้างด้วยด้วเองจำเป็นมากๆ)


โดย: แม่ลูก2 IP: 119.46.107.68 วันที่: 22 มิถุนายน 2554 เวลา:15:18:16 น.  

 
คุณแม่ตรวจพบค่าCA 125 สูง 967 คุณหมอรพแรกบอกให้ทำbiopsy ขณะนี้รอผลCTScan รพที่2 อยู่ คุณแม่มีปัญหาเรื่องเลือดแข็งตัวช้าอยู่แล้ว กังวลว่าถ้าทำbiopsy แล้ว เลือดจะออกในช่องท้องไม่หยุด และ เซลมะเร็งจะโตเร็วกว่าจะรู้ผล biopsy ตอนนี้มีนำ้ในช่องท้อง คุณหมอรพแรกบอกว่าเป็นระยะ3แล้ว อยากขอให้ช่วยแนะนำคุณหมอให้หน่อยค่ะ และพี่สาวกำลังจะให้ใช้homeo แพทย์ทางเลือกเพราะไม่อยากให้คุณแม่ทรมานจากผล chemo ที่บอกว่าจะกลับมาเป็นซำ้คือเป็นที่ไหนได้บ้างคะเนื่ิองจากก่อนหน้านี้ประมาณ30ปีที่แล้วคุณแม่ตัดมดลูกและรังไข่ไปแล้วข้างหนึ่ง ตอนนี้เป็นมะเร็งที่ข้างที่เหลือคิดว่าถ้าตัดแล้วไม่น่าจะเหลืออวัยวะให้เป็นมะเร็งอีกใช่ใหม่คะ


โดย: ลูกฮิปโป IP: 180.180.83.249 วันที่: 31 พฤษภาคม 2556 เวลา:22:23:58 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณกวาง
ตอจี้เราเป็นมะเร็งรังไข่ แบบ. Clear cell carcinomaระยะ 1 แต่คุณหมอบอกว่าเป็นตัวแรง ต้องให้ยาแรง รับเคมีบำบัดไปครั้งแรก วันนี้เป็นวันที่ 14 แล้ว อาการแพ้มีไม่มาก คลื่นไส้แต่ไม่อาเจียน ฟังดูเหมือนอาเจียนได้น่าจะดีกว่า แต่ช่างเหอะ ตอนนี้สงายเรื่องกินอาหาร คือเภสัชฯ เขาแนะนำให้กิน เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว นม ให้ได้โปรตีนให้พอในแต่ละวัน และย้ำด้วยว่า หมู ไก่ กินได้ และมีโปรตีนเยอะด้วย แต่เพื่อน หลาย ๆ คน ก็บอกว่าไม่ควรกิน เราควรทำไงดี คุณกวางช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ขอบคุณค่ะ
ปล. ตอนนี้เราอายุ 46 อาจเท่าคุณกวาง แต่เป็นช้ากว่า แต่ก็หวังว่าร่างกายเราน่าจะพอรับไหว


โดย: ช่อแก้ว IP: 101.108.162.121 วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:19:27:15 น.  

 
คุณช่อแก้ว,

เลือกที่ปลอดสารค่ะ ถ้าจะกินเนื้อสัตว์นะคะ

แต่โดยส่วนตัว หลังผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองแล้ว "เนื้อไก่จากฟาร์ม" กินแล้วเนื้อตัวอักเสบ บวม ไข้ขึ้นสูงกว่า 40 องศา

ก็ให้ใช้อาหารสุขภาพทั่วไปก็ได้ ถ้าคิดว่า เชื่อเภสัชคนนั้น แล้วเราสบายใจ ^^

แบบไหนก็ได้ที่สบายใจค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 29 ตุลาคม 2556 เวลา:13:44:25 น.  

 
ดิฉันอายุ39ปี มีลูก1คน 9ขวบ ตรวจca125 เจอค่า207.6 ยอมรับว่าตกใจมาก คุณหมอส่งไปซาวด์ช่องท้องก็ไม่เจออะไร ส่งct scan ฉีดสีดูช่องท้องก็ไม่เจอก้อนเนื้อหรือความผิดปกติใดๆ อีก2อาทิตย์หมอขอเจาะเลือดใหม่ คราวนี้เหลือค่า ca125 =23.1 คราวนี้เหมือนเกิดใหม่ แต่ก็ยังกังวลอยู่ค่ะ ดิฉันควรตรวจเลือดซ้ำอีกดีไหมค่ะ และดิฉันมีความเสี่ยงมากแค่ไหนค่ะ


โดย: ศรันญ์ IP: 1.10.211.75 วันที่: 10 กรกฎาคม 2557 เวลา:18:55:05 น.  

 
อยากถามคุณหมอมะ
เร็งค่ะว่าค่าca125จะขึ้นๆลงๆ
มั้ยค่ะช่วยตอบด้วยค่ะ


โดย: สุชาดา IP: 122.155.43.97 วันที่: 31 มีนาคม 2559 เวลา:11:43:35 น.  

 
ถามว่าภรรยาผมเป็นมะเร็งที่รังไข่ระยะสุดท้าย
รักษาที่ รพ.เปาโลสยาม ตอนนี้รอหมอสูตินารี
วินิจจัยว่าเป็น และทำการรักษาต่อ สามารถรักษาด้วยวิธีใดบ้าง ที่รพ.ไหน


โดย: Wanchai Chaipaiboon IP: 223.24.176.207 วันที่: 25 ตุลาคม 2560 เวลา:12:29:03 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ข้อมูลที่นำมาแบ่งปันดีมากๆเลย
ส่วนใครที่หาแพทย์รักษาอยู่ เราแนะนำที่นี่ //ch9airport.com/th/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2/minimally-invasive-surgery/ แพทย์เก่งมากค่ะ เผื่อเป้นทางเลือกที่ทาง


โดย: Phatcharee IP: 171.100.221.242 วันที่: 20 กันยายน 2561 เวลา:10:53:37 น.  

 
สวัสดีทุกท่านค่ะ

เพิ่งได้เข้ามาอ่านข้อความ 3 อันหลังค่ะ
ผ่านมาเป็นปีๆแล้ว หวังว่าทุกท่านควจะสบายดีนะคะ


โดย: Minie’ IP: 182.232.182.157 วันที่: 23 กันยายน 2562 เวลา:21:31:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Minie'
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]




รู้โลกเรียนธรรม

Friends' blogs
[Add Minie''s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.