ในการศึกษาด้าน IPE มี concept สำคัญที่ใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ที่เรียกว่า Relational Power และ Structural Power โดย Relational Power นั้นหมายถึง อำนาจในการที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบังคับให้อีกผู้เล่นอีกฝ่ายทำหรือไม่ทำตามที่ตัวเองหวังเอาไว้ เป็นการบังคับทางตรง ในขณะที่ Structural Power นั้นหมายถึง อำนาจในการกำหนด โครงสร้าง ทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศให้ผู้เล่นคนอื่นๆเดินตาม หรือ ความสามารถในการกำหนด Rule of Game นั่นเอง
และในความเป็นจริงในบริบทระหว่างประเทศ การที่มหาอำนาจหนึ่งจะสร้างความได้เปรียบในการครอบงำชาติที่ด้อยกว่า เพื่อการแสวงหา และกอบโกยความมั่งคั่งสูงสุดจากชาตินั้นๆ คนเหล่านี้จะต้องแน่ใจว่า จะสามารถกุมความได้เปรียบในเกมทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศได้ และกลไกสำคัญที่มหาอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการสร้าง Structural Power ให้ตัวเองคือ การใช้กลไกของ องค์กรระหว่างประเทศ ต่างๆนั่นเอง ดังนั้นการที่เราจะทำความเข้าใจธรรมชาติของ Structural Power ได้ ก็จะต้องทำความเข้าใจบทบาท ที่มา และวิธีการใช้ประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจผ่านองค์กรเหล่านี้
IMF, World Bank
IMF และ World Bank นั้นเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ภายใต้ข้อตกลง Bretton Woods ทั้งนี้จุดประสงค์ของการตั้ง IMF หรือกองทุนการเงินการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) ก็เพื่อก่อให้เกิดเสถียรภาพของระบบการเงินโลก ภายใต้การดูแลเสถียรภาพของดุลการชำระเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า และการค้าระหว่างประเทศที่ขายาตัวมากขึ้น โดยหากประเทศใดที่มีปัญหาการขาดดุลการชำระเงินจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงิน IMF ก็จะให้เงินกู้เข้าช่วยเหลือประทศนั้น เมื่อมีการร้องขอ โดยเงินทุนที่ IMF นำมาปล่อยกู้นั้นได้มาจากการลงขันของสมาชิก โดยกำหนดตามสัดส่วนของขนาดเศรษฐกิจ
ขณะที่หน้าที่ของ World Bank หรือธนาคารโลกในขณะนั้นก็คือ การให้สินเชื่อเพื่อฟื้นฟูประเทศยุโรปทั้งหลายที่เสียหายอย่างหนักในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 กับฝ่ายของนาซีเยอรมัน ช่วงนั้นโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนในยุโรปอยู่ในสภาพที่เสียหายอย่างยับเยิน อีกทั้งรัฐบาลในยุโรปก็ไม่มีเงินทุนมากพอในการบูรณะซ่อแซม World Bank จึงถูกตั้งเพื่อเข้ามามีบทบาทตรงนี้ นอกจากนี้ในภายหลัง งานหลักของ World Bank จึงถูกขยายขอบเขตไปสู่การให้สินเชื่อเพื่อการพัฒนาแก่ประเทศโลกที่ 3 ทั้งหลาย ทั้งนี้เป้าหมายก็เพื่อขจัดความยากจนในประเทศเหล่านั้น
เมื่อสหรัฐฯอาศัยความได้ปเรียบในฐานะมหาอำนาจที่ชนะสงครามที่มีกำลังทหารที่เข้มแข็ง มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็ได้บังคับให้ทุกชาติรวมทั้งยุโรปกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับดอลลาร์ ผลที่ได้ก็คือ กลุ่มทุนผูกขาดใสหรัฐฯไม่เสียหายจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ยังทำให้สหรัฐฯมีอำนาจเหนืออธิปไตยชาติต่างๆได้ จากการที่ชาติเหล่านั้นต้องใช้เงินดอลลาร์ที่พิมพ์ภายใต้เขตอำนาจอธิปไตยของประเทศสหรัฐฯ เป็นเงินสกุลหลักของโลก จุดนี้ทำให้กลุ่มทุนสหรัฐฯสามารถใช้ทุนที่สะสมในรูปของดอลลาร์เข้ายึดครองตลาด และกอบโกยเอาความมั่งคั่งผ่านกลไก World Bank ที่ให้สินเชื่อเพื่อการพัฒนาซึ่งก็พ่วงเอาเงื่อนไขที่ต้องให้สิทธิประโยชน์สารพัดแก่กลุ่มทุนอเมริกันทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากการต่อสู้ทางอำนาจนั้นหากอีกฝ่ายรู้เท่าทันอีกฝ่าย ก็จะสร้างกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการต่อรองเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามต้องการได้ โดยในช่วงหลังสงครามโลกสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงที่สุดในโลก และได้อาศัยโครงการของ World Bank และ การให้ความช่วยเหลือตามแผนการมาร์แชล (Marshall Plan) ในการครอบงำตลาดยุโรป แต่เมื่อยุโรปเริ่มฟื้นตัวได้บ้าง และเริ่มรู้ทันสหรัฐฯ จึงมีการรวมตัวกันของชาติยุโรปเพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ ซึ่งผลสุดท้ายที่ตามมาก็คือ สหรัฐฯยอมผ่อนปรนเงื่อนไขการให้เงินกู้ลงครึ่งหนึ่ง พร้อมด้วยการกำหนดให้เก้าอี้ผู้อำนวยการ IMF ต้องมาจากยุโรป ในขณะที่สหรัฐฯได้สงวนสิทธิ์ของเก้อี้ประธาน World Bank
WTO
องค์การการค้าโลก หรือ WTO (World Trade Organization) ก็เหมือนกับ IMF และ World Bank เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากข้อตกลง Bretton Woods ตั้งขึ้นมาเพื่อให้สหรัฐฯควบคุมระบบเศรษฐกิจโลกอย่างเบ็ดเสร็จ หรือสร้าง Structural Power ด้านเศรษฐกิจให้กับสหรัฐฯ โดยมีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการภายหลังการเจรจา GATT รอบอุรุกวัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ โดยทุกชาติต้องยกเลิกการกีดกันทางภาษีทั้งหมด เพื่อให้เกิดการค้าที่เสรีอย่างสมบูรณ์
แต่เนื่องจากการเมืองสหรัฐฯเป็นระบบตัวแทน และบรรดาตัวแทนหรือ ส.ส. และ ส.ว. ต่างก็เป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์อันหลากหลายในสหรัฐฯ การณ์เลยกลายเป็นว่าเนื่องจากการตั้ง ITO นั้นไปขัดกับผลประโยชน์ของบรรดากลุ่มทุนเกษตร ดังนั้นจึงมีการล็อบบี้กันสภาคองเกรสอย่างเข้มข้น จนในที่สุดรัฐสภาสหรัฐฯก็ไม่ให้การรับรองการตั้ง ITO ภายใต้กฎบัตรฮาวาน่า องค์กรนี้จึงต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย
แม้กระนั้นสหรัฐฯก็ไม่ล้มเลิกความพยายามในการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าที่ตัวเองมีแต่ได้เปรียบ สหรัฐฯจึงหันไปใช้เวทีที่หลงเหลืออยู่ก็คือ ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยอัตราภาษีศุลกากรและการค้า หรือ GATT (General Agreement on Tariff and Trade) โดยเป้าหมายก็เพื่อการเปิดเสรีในบางส่วน แทนที่จะทำการเปิดเสรีในทุกอุตสาหกรรมเหมือน ITO
นอกจากสหรัฐฯจะเดินเกมการค้าระหว่างประเทศผ่าน GATT แล้วสหรัฐฯยังมีการสร้างหลักประกันทางการค้าในอีกรูปแบบหนึ่งขึ้นมาซึ่งก็คือ ข้อตกลงการค้าเสรีทวีปอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA (North America Free Trade Agreement) ซึ่งเป็นการสร้างกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (Regional Trade Block) ขึ้น ทั้งนี้เป้าหมายที่แท้จริงก็เพื่อตอบโต้และถ่วงดุลกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปในช่วงก่อนหน้านี้คือ ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป หรือ EEC (European Economic Community) ซึ่งต่อมาก็พัฒนามาเป็น สหภาพยุโรป หรือ EU (European Union) นั่นเอง
ไม่เพียงแต่ซีกตะวันตกเท่านั้น ทางฝั่งตะวันออกหรือทางเอเชียเองก็มีการตั้งความร่วมมือในระดับภูมิภาคขึ้นมาเช่นเดียวกันนั่นก็คือ ASEAN (Association of South East Asian Nations) ซึ่งมีที่มาจากการตั้งองค์กรในลักษณะและวัตถุประสงค์เดียวกับ NATO ก็คือการจัดตั้ง SEATO (South East Asia Treaty Organization) ทั้งนี้แรกเริ่มเดิมที ASEAN เป็นแค่ความร่วมมือทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรม แต่หลังจากนั้นก็ขยายมาคลุมประเด็นทางเศรษฐกิจด้วยภายใต้ AFTA (ASEAN Free Trade Agreement)