หน้าบวมขึ้นมาอีกแล้ว
อันนี้เข้ามาบ่นเฉยๆ ครับ พอดีวันนี้ได้ดูรูปตัวผมเองที่คนอื่นถ่ายให้แล้วเกิดอาการช็อคเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่า หน้าบวม ขึ้นมาอีกแล้ว หลังจากที่เคยลดไปได้แต่พอมานึกๆ ดูก็พอจะเข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร1. ช่วงนี้เกิดอาการหิวโหยผิดปกติ อยากกินบุฟเฟต์ตลอดเลย ในช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา กินไปสัก 4 ครั้งได้แล้ว(วันนี้ก็พึ่งกินมา)2. พอกินอาหารจานเดียวมื้อเย็นก็ต่อด้วยขนมไม่ว่าจะเป็น ชีสเค้ก หรือ ไอศครีม เรื่อยเลยสงสัยต้องเข้าโหมดกินแต่ผลไม้ซะแล้ว
ขั้นตอนการลดน้ำหนักของเล็ก
จากการที่ได้มีโอกาสมาศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ผ่านไปปีแรก น้ำหนักพุ่งพรวดขึ้นมา ราวๆ 10-12 กิโลกรัม จากที่เรียกว่า very fat (เดิมทีก็อ้วนอยู่แล้ว) ก็ต้องเปลี่ยนเป็น obese ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก 1. อายุที่มากขึ้นๆ ทำให้ metabolism ลดต่ำลงๆ 2. ปริมาณอาหารต่อจานที่ใหญ่ขึ้นมาก 3. คติพจน์ที่ว่า ไม่มีการเก็บใส่กล่องกลับบ้าน เพราะว่า อุ่นอีกทีก็ไม่อร่อย เลยต้องกินให้หมด 4. นิสัยรักการกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวาน และชอบรับประทาน Buffet เป็นชีวิตจิตใจ 5. ไม่รับประทานผัก-ผลไม้ รวมถึงไม่ออกกำลังกายอีกด้วยข้อดีของการอ้วนขึ้นก็คือ ทำให้ผมทนต่อสภาพอากาศหนาวได้เป็นอย่างดีแต่เนื่องจากข้อเสียมีมากกว่าอย่างมากมาย ทำให้ผมตัดสินใจลดน้ำหนักสักที โดยเริ่มลดมาตั้งแต่ วันปีใหม่ที่ผ่านมาในส่วนของการออกกำลังกาย ในช่วง 2-3 เดือนแรกนั้น ผมวิ่งอย่างเดียว แต่ว่าเป็นการวิ่งบนเครื่องวิ่งแบบ Elliptical นะครับ เพราะเข้าใจว่า มีแรงกระแทกต่ำ ทำให้หัวเข่าไม่เสื่อมอย่างรวดเร็ว แรกๆ วิ่งไปได้สัก 30 นาที จนมาปัจจุบันวิ่งได้เกินชั่วโมง (แต่แอบมีพักดื่มน้ำนิดนึง)เครื่องที่ผมใช้คือ Precor EFX® Elliptical Fitness Crosstrainer™หลังจากที่วิ่งจนน้ำหนักลดไปได้ระดับนึงแล้ว ผมก็เริ่มเจียดเวลาส่วนนึงมายกน้ำหนัก (Weight training) เพื่อเป็นการสร้างกล้ามเนื้อบ้างเพื่อเพิ่ม Basal Metabolic Rate (BMR) หรือก็คือ พลังงานขั้นต่ำที่สุดที่ร่างกายเผาผลาญในแต่ละวัน โดยผมจะใช้พวกอุปกรณ์ที่สร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน (Selectorized machines) เนื่องมาจากว่าผมไม่รู้จักท่าการออกกำลังที่ใช้พวก Dumbell เลยตัวอย่างบางส่วนของเครื่องที่ผมใช้ได้แก่จนมาในระยะปัจจุบันผมก็ยังออกกำลังทั้งการวิ่งและการยกน้ำหนัก แต่ว่าจะเปลี่ยนสัดส่วนของการออกกำลัง โดยลดเวลาในการวิ่ง และเพิ่มเวลาของการยกน้ำหนัก เป็น 3:2ในส่วนของการปรับปรุงพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้แก่ 1. หัดกินผัก/ผลไม้ (เพิ่ม fiber, vitamin ให้กับร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น) 2. เน้นกินกับข้าวเป็นหลัก ข้าวเหลือก็ไม่เป็นไร (สมัยก่อนคือ จานต้องเกลี้ยง) น่าจะเรียกว่า low carb ได้นะครับ (แต่ขอเตือนว่า ห้ามอดนะครับ อันนั้นเรียก no carb) 3. ลดปริมาณอาหารที่รับประทานเป็น รับประทานมื้อหนักมื้อเดียว อีกสองมื้อกินเบาๆ 4. ลดความหนักหน่วงในการกินขนม เช่น สมัยก่อนตู้เย็นต้องมีไอศครีมอย่างน้อย 2-3 pints เก็บไว้ เดี๋ยวนี้เหลือแค่ pint เดียว สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณโรงยิมของมหาวิทยาลัย ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสออกกำลังกายกับเขาบ้างสู้ๆ !!!ภาพประกอบอ้างอิงจาก//www.precor.com//www.lifefitness.com
แรงจูงใจสู่การลดน้ำหนักของผม
พึ่งจะมาพูดเรื่องการลดน้ำหนักเป็นครั้งแรก แต่จริงๆ แล้วผมเริ่มทำการลดน้ำหนักตั้งแต่วันปีใหม่ที่ผ่านมาครับขณะนี้คนรอบข้างผมหลายๆ คนก็กำลังลดน้ำหนักกันยกใหญ่เลย แต่ละคนก็มีเหตุผล และแรงจูงใจที่ต่างกันไป บางคนลดเพราะความรัก เช่น แฟน หรือ กิ๊ก อยากให้ลดน้ำหนัก บางคนลดเพราะเป็นห่วงสุขภาพ บางคนก็มี project (จะหาแฟน ว่างั้นเหอะ)สำหรับผมแล้ว การลดน้ำหนักครั้งนี้เกิดจากแรงจูงใจหลายประการเหลือเกิน แต่แรงจูงใจหลักของผมคือ ความแค้น ครับ (โหดไปไหมเนี่ย) ซึ่งเกิดจากการที่ถูกคนว่า ล้อ ทำให้อาย (humiliate) โดยเฉพาะตอนแรกๆ ที่ผมประกาศให้คนอื่นๆ ทราบว่าจะลดน้ำหนัก ปรากฏว่า มีแต่คนหัวเราะ ไม่เชื่อว่าจะลดได้ ฯลฯ ก็เลยฮึดสู้กับเขาบ้างแรกเริ่มเดิมทีนั้น สาเหตุที่ผมต้องลดน้ำหนักก็คือ การใส่เสื้อสูทไม่ได้ นั่นเอง เพราะว่าแค่ช่วงเวลาปีเดียว ผมน้ำหนักขึ้นมากว่า 10 กิโลกรัม ทำให้สูทที่ตัดไว้ใส่ไม่ได้ครับเหตุผลต่อมาของผม คือ เรื่องสุขภาพครับ บังเอิญไปได้ยินใครพูดมา (จำไม่ได้) ว่า หลังจากอายุ 25 ปีแล้วน้ำหนักจะลดได้ยากมาก และก็ห่วงเรื่องการเป็นโรคภัยไข้เจ็บยามแก่เฒ่าด้วย เนื่องจากว่า ทั้งคุณพ่อคุณแม่ผมเป็นทั้งโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ผมก็เลยหวาดๆ ด้วย ยิ่งเป็นคนอ้วนที่สุดในบ้านอีกยิ่งแล้วใหญ่สุดท้ายก็คงเป็นเรื่องของการอยากผอมเท่านั้นล่ะครับยิ่งดูรูปช่วงพีกยิ่งรู้สึกเหลือเกินว่า มันบวมเหลือเกิน...(ขออนุญาตไม่ลงรูปนะครับ กลัวคนไม่กล้าเข้ามาใน blog อีก)... ...แล้วคุณล่ะครับ? สาเหตุหรือแรงจูงใจในการลดน้ำหนักคืออะไรกันบ้าง?