ถนนที่มีหลักกิโลบอกระยะทางต่างกัน

จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า พวกเราเดินทางด้วยกันมานานมากและไกลมาก
มันไกลเสียจนเข็มไมล์บอกว่าพวกเราเดินทางมาแล้วถึง 269,591 กิโลเมตร
แต่พวกเรากลับรู้สึกได้เลยว่า พวกเรายังเดินทางได้ไม่เท่าไรเอง ยังมีหนทางที่ต้องเดิน
ทางต่ออีกยาวไกล



เมื่อคืนมีพายุเข้า ทั้งลม ฝนและลูกเห็บสาดซัดกระหน่ำอย่างหนักมาก ห้องพักของ
โรงแรมที่เราแวะเข้าไปพักสั่นราวกับถูกจับโยก กระจกหน้าต่างทุกบานสะเทือนจนเห็น
เงาเคลื่อนไหววูบวาบ เสียงดังโป๊ก ๆ มาจากหลังคาราวกับมีคนจำนวนมากมากระหน่ำ
เคาะมัน สายฟ้าแลบแปลบปลาบข่มขู่เราด้วยลำแสงและเสียงคำราม พวกเราได้แต่
ทำตัวหดขดตัวลีบด้วยความหวาดกลัว

ธรรมชาติทรงพลังอำนาจยิ่งนัก

แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวทั้งมวลกลับหายไปจนหมดสิ้นในตอนเช้า พระอาทิตย์เปล่งลำแสง
สว่างเจิดจ้า ท้องฟ้าขานรับด้วยสีฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ทุกสิ่งทุกอย่างสดใหม่ราวกับ
ถูกชำระล้างด้วยลมฝน

นี่สินะเขาถึงเรียกว่า ฟ้าหลังฝน

เราออกเดินทางกันต่อกันอีกครั้ง ถนนที่เราวิ่งอยู่นี้ค่อนจะอยู่ในสภาพที่แย่หน่อย บนผิว
ถนนมีเศษใบไม้ เศษกิ่งไม้เกลื่อนกลาดตามทางที่เราขับ สงสัยพายุเมื่อคืนคงจะหอบ
เอามาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแน่ ๆ แต่ถึงเศษไม้จะมีมากมายแค่ไหนก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อ
การเดินทางของเรา พวกเราสามารถแล่นผ่านมันมาอย่างสบาย ๆ

แต่นี่สิเป็นปัญหา

ต้นไม้ต้นใหญ่มากโค่นล้มมาขวางจนเต็มถนน คงจะโดนพายุโค่นลงมา ผมได้แต่จ้อง
ตาปริบ ๆ เอายังไงดีเนี่ย ไปต่อไม่ได้แล้ว สงสัยคงต้องย้อนกลับหาทางเลี่ยงทางอื่น
ซะแล้ว

ผมใส่เกียร์ถอยหลัง หนูมินท์กำลังจะหันย้อนกลับทางเดิม แต่ก่อนจะได้กลับตัว ก็มีรถ
กระบะสีส้มเปิดไซเรนขับเข้ามาหาเราพอดี เราเลยหยุดดูพวกเขาก่อน

มีคนลงจากรถมาสามคน ทุกคนใส่เครื่องแบบเหมือนช่างและสวมหมวกก่อสร้างสีขาว
และหิ้วเครื่องไม้เครื่องมือมาด้วย ดูท่าพวกเขาคงจะมาจัดการต้นไม้ที่ขวางทาง
ผมและหนูมินท์เลยตัดสินใจหยุดรอให้พวกเขาทำการเคลื่อนย้ายต้นไม้ออกจากทาง

เอ๋ ? มันไม่ใช่อย่างที่คิดแฮะ

ตอนแรกพวกเขาพากันไปรุมที่ด้านปลายยอดของต้นไม้ ทุกคนใช้ขวานกับเลื่อย ตัดและ
ริดกิ่งก้านของต้นไม้ออกจนอยู่ในสภาพท่อนซุง พอพวกเขาเก็บกวาดเศษกิ่งไม้ที่
พวกเขาตัดจากต้นออกจนหมดแล้ว พวกเขากลับเข้าไปจัดการกับหลักกิโลเมตรที่โดน
ต้นไม้ทับจนกระเด็นหลุดออกจากฐาน โดยไม่สนใจเคลื่อนย้ายท่อนซุงที่ยังคงนอน
ขวางถนนอยู่แต่อย่างใด

"เอ่อ... ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ ?"
ผมลงจากหนูมินท์ เดินเข้าไปถามพวกเขาด้วยความสงสัย

"อ้อ โทษทีนะคุณ ที่จริงผมก็อยากเอาไม้ออกจากทางให้อยู่เหมือนกันแต่พอดีเราไม่มี
เลื่อยยนต์กับลวดสลิงติดมา ก็เลยลากออกให้ไม่ได้ ไม่ว่ากันนะ"
ชายคนหนึ่งที่ดูแล้วคงน่าจะเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มเงยหน้าจากงานก่อนจะตอบผมถึง
สาเหตุที่พวกเขาไม่ทำการเคลื่อนย้ายต้นไม้ออกจากทาง

"งั้นเหรอ ครับ เฮ้อ แย่จัง งั้นเดี๋ยวผมคงต้องย้อนกลับเปลี่ยนเส้นทางซะแล้ว"
"คุณไม่ต้องย้อนหรอก เดี๋ยวอีกทีมที่เขามีเครื่องมือพร้อมก็มาถึงแล้ว เราแค่ออกมาก่อน
พวกเขานิดหน่อยแค่นั้น รอไม่เกินสิบนาทีก็มาถึง ใจเย็นรออยู่นี่แหละ อีกอย่างถ้าคุณขับ
รถย้อนไปทางเลี่ยง บอกเลยว่าอีกไกลมาก แถมทางเลี่ยงนั่นน่ะ โดนน้ำท่วมจนทางขาด
ไปแล้ว"

"แหะ ๆ งั้นผมรอต่อดีกว่า"
ผมหัวเราะแก้เขิน ก่อนจะเดินไปนั่งพักใต้ต้นไม้อีกต้นที่อยู่ไม่ห่างจากหนูมินท์เท่าไรนัก
คงต้องรอจนกว่าเจ้าหน้าที่อีกทีมจะมาทำจัดการกับซุงเจ้าปัญหานี่

ผมนั่งมองพวกเขาทำงานกัน พวกเขาจัดแต่งหลักกิโลเมตรที่ล้มกลิ้งให้กลับสู่ที่เดิม
โบกปูนเชื่อมตัวหลักกิโลให้ติดอยู่กับฐาน ทาสีตกแต่งร่องรอย พวกเขาทำงานอย่างดู
คล่องแคล่ว สงสัยคงจะเป็นเพราะชำนาญแน่ ๆ เลย

มองดูพวกเขาทำงานอยู่เพลิน ๆ จู่ ๆ รถหกล้อสีส้มก็มาจอดข้างรถกระบะ พนักงานแต่ง
เครื่องแบบเดียวกันแต่คนละสีกับทีมที่มาก่อนลงมาจากรถห้าคน พวกเขามาพร้อมกับ
เลื่อยยนต์ ทุกคนดูทะมัดทะแมง ผมเลยคิดว่าพวกเขาคงจะกินเวลาไม่นานเท่าไรนักกับ
การลากต้นไม้ออกจากทาง

พอทีมที่มาก่อนทำงานของพวกเขาเสร็จแล้ว พวกเขาเดินเข้ามาที่ร่มไม้เดียวกับที่ผมนั่ง
เพื่อเข้ามาพักผ่อน ชายคนเดิมนั่งลง ถอดหมวกเอามาโบกลมใส่ตัวได้สักพักก็หันหน้า
มาคุยกับผม
"ร้อนจังวันนี้ ว่าไหม ?"
"ฮ่ะ ๆ ครับ วันนี้ฟ้าสว่างมากเลย แดดก็เลยร้อนเป็นพิเศษ"
"นั่นสินะ"

"แต่เมื่อคืนพายุแรงมากเลยนะครับ แถมมีลูกเห็บตกอีกต่างหาก น่ากลัวมากเลยครับ"
ผมชวนเขาคุยถึงเรื่องพายุเมื่อคืน

เขามองหน้าผมนิดหนึ่ง ก่อนจะถาม
"คุณเดินทางมาจากที่อื่นใช่ไหม ?"
"ครับ พอดีเมื่อคืนพวกผมเข้าไปพักหลบฝนที่โรงแรมกัน แต่พอพักได้สักหน่อยลมพายุ
ก็เข้ามาเลย นี่ผมยังคิดอยู่เลยว่าโชคดีที่ไม่เดินทางต่อ เพราะถ้าขืนไปต่อ มีหวังโดน
ต้นไม้ต้นนี้ล้มทับเอาก็ได้"
"ดีแล้วล่ะที่ไม่เดินทางต่อ รู้ไหม แถวนี้พายุเข้าบ่อย แถมแรงมากด้วย มีคนเจ็บและคน
ตายอยู่เรื่อยเพราะฝืนเดินทางกลางพายุ"

"พายุที่นี่แรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ ?"
ผมถามเขาด้วยความสงสัย

"ใช่แล้วล่ะ พอพายุเข้า พวกผมก็งานเข้าเหมือนกัน มาแต่ละทีไม่ต้นไม้โค่นก็น้ำซัดจน
ทางขาด ป้ายเป้ย หลักกิลงกิโลล้มระเนระนาด ต้องมาซ่อมแซมอยู่เรื่อย"
"งั้นเหรอครับ ว่าแต่ว่าพวกพี่รับหน้าที่ซ่อมพวกป้ายกับหลักกิโลเหรอครับ ?"
ผมถือวิสาสะเรียกเขาว่าพี่

"อื้อ ใช่แล้ว พวกผมดูแลงานด้านนี้ ส่วนทีมนู้นเขาดูแลเรื่องสภาพถนน เราแยกกัน
ทำงานคนละส่วน"
"อย่างงี้นี่เอง ว่าแต่ว่าผมเองก็สงสัยเรื่องหลักกิโลมานานเหมือนกันว่า เขากำหนดระยะ
ทางกันยังไง ?"
"เอ่อ... เท่าที่ผมรู้นะ เฉพาะหลักกิโลของที่นี่จะเริ่มต้นตรงที่จุดเริ่มของถนนเส้นนั้น
อย่างถนนเส้นนี้นี่สาย 85480 แยกออกมาจากเส้น 8341 หลักกิโลก็จะเริ่มนับจาก
ทางแยกจนไปสุดสาย 85480 เส้นนี้"
"อ๋อ แบบนี้เองเหรอ ผมเข้าใจแล้วครับว่าทำไมอยู่ดี ๆ เวลาเปลี่ยนเส้นทาง หลักกิโลถึง
ได้เปลี่ยนไปด้วย"

หลังจากที่เข้าใจเรื่องหลักกิโลแล้ว ผมกับเขาก็คุยกันถึงเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง
จนกระทั่งต้นไม้ถูกชักลากออกจากถนนเรียบร้อยแล้ว ทั้งผมและเขาต่างก็แยกย้ายกันไป
ผมกับหนูมินท์เดินทางกันต่อโดยมีรถของทีมช่างนำหน้า แต่ไปกันได้ไม่เท่าไร รถของ
ทีมช่างก็ต้องจอดข้างทางเพื่อซ่อมแซมป้ายสัญญาณที่โดนพายุพัดจนตัวป้ายปลิวไป
ตกอยู่ไกล ผมเลยบีบแตรสั้นทักทายก่อนแซงผ่านไป พวกเขาหยุดทำงานกัน หันมาโบก
ไม้โบกมือส่งพวกเรา ก่อนจะหันกลับไปทำงานของพวกเขาต่อ

เราเดินทางกันต่อไปเรื่อยๆ สภาพถนนแย่ลงกว่าเดิม ผิวถนนกร่อนไปมาก บางทีถึงกับ
แหว่งไปบางส่วนเลย นี่คงจะจริงอย่างที่ช่างเขาพูด พายุที่นี่รุนแรงมากจริงๆ ถึงขนาด
ซัดซะจนถนนกร่อนและแหว่งถึงขนาดนี้

คงจะไม่ใช่แค่แหว่งเฉยๆ แล้วแฮะ

ถนนเบื้องหน้าของพวกเราถูกตัดขาดออกจากกัน พวกเราเดินทางไปต่อกันไม่ได้ ผมเลย
ลงจากหนูมินท์ เดินออกมาดูสภาพการณ์

ร่องรอยความหายนะพาดผ่านเป็นทางยาว นี่คงจะเป็นเส้นทางของพายุแน่นอนเลย
ถึงได้เกิดร่องลึกราวกับคลองที่ถูกขุดขึ้นอย่างลวก ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยตั้งอยู่บน
เส้นทางของมันได้ถูกทำลายหายไปจนหมดสิ้น

แต่ก็ไม่ถึงกับสิ้นหวังจนเดินทางไปต่อกันไม่ได้ซะทีเดียว เพราะว่าตอนนี้กลุ่มคนที่ดูท่า
ว่าจะเป็นพนักงานการทางกำลังทำการซ่อมแซมถนนอยู่ พวกเขาใช้รถตัก ตักดินจาก
บริเวณข้างๆ มาถมตรงทางที่ขาด เสียงเครื่องยนต์ของรถตักดินบ่นดังลั่นพร้อมกับพ่น
ควันโมโหออกมายังกับไม่พอใจที่ต้องมาขุดดินกลางแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้

ผมเดินโต๋เต๋ไปมา รอเวลาให้เขาทำการซ่อมแซมถนนเสร็จ เด็ดดอกหญ้าข้างทางมา
พุ่งเป็นจรวด เอาเท้าราต้นไมยราบให้หุบใบเล่นๆ ฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย

พลันสายตาก็มองไปเห็นพนักงานคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ ใช้จอบขุดตรงนู้นทีตรงนี้ที
แบบสุ่มๆ ยืนมองอยู่นานจนทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ผมเลยเดินลงไปหาเขา

"ขุดหาอะไรเหรอครับ ?"
เขาเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับผม

"อ๋อ หาหลักกิโล มันโดนน้ำเซาะหายไปน่ะ"
"อ้าว ก็อยู่ตรงนั้นนี่ครับ"
ผมชี้ไปยังหลักกิโลที่อยู่ใกล้หนูมินท์

"ไม่ใช่ อันนั้นมันหลักกิโลทางหลวง หลักกิโลของผมเป็นหลักกิโลของเมือง มันจะ
เล็กกว่า ยาวกว่า"
"เอ๋ หลักกิโลเมือง อืม... มันต่างกันยังไงเหรอครับ"
"ไอ้หลักกิโลนั่นมันบอกระยะทางของถนน ส่วนหลักกิโลของผมบอกระยะห่างจาก
จุดศูนย์กลางของตัวเมือง ก็ประมาณนี้แหละ"
ผมพยักหน้าหงึกๆ เข้าใจความแตกต่างของพวกมัน

"โทษทีนะ เดี๋ยวขอทำงานต่อก่อนนะ เนี่ยหาตั้งนานยังไม่เจอเลย"
เขาขอตัวทำงานต่อ

"งั้นเดี๋ยวผมช่วยหานะครับ กำลังว่างๆ อยู่ รอใถนนซ่อมเสร็จ"
ผมเสนอตัวช่วยเขา มันยังดีกว่าไปนั่งเด็ดหญ้าข้างทางเล่น

"ขอบคุณมากเลยครับ"
เขารีบตอบรับ พร้อมฉีกยิ้มให้ผม

ต่างคนต่างแยกย้ายกันหา ผมใช้เท้าเฉาะดินตรงที่คิดว่าน่าจะกลบหลักกิโลไว้ เฉาะมั่วๆ
ไปเรื่อยๆ หากันอยู่ไม่นานนัก พนักงานคนนั้นก็ตะโกนเรียกผม
"นี่ไงเจอแล้ว มาดูสิ"

ผมเดินไปหา เขากำลังดึงหลักกิโลที่ขุดขึ้นมาได้ตั้งขึ้นมา มันเป็นแท่งคอนกรีตทาสีขาว
หน้ากว้างราวหนึ่งคืบ สูงประมาณเอว เขรอะไปด้วยดิน พอเขาใช้มือปัดดินออกจากมัน
ผมจึงเห็นตัวเลขบอกระยะทางสีดำ มันเขียนไม่เหมือนหลักกิโลทางหลวงแฮะ มันเป็น
เลขเศษส่วน

อ้าว ทำไมหลักกิโลตัวนี้ถึงได้เขียนต่างจากหลักกิโลทางหลวงล่ะ

"เอ้อว ไอ้เอก หาเจอแล้วใช่ไหม งั้นมาช่วยทางนี้หน่อยสิ"
เสียงเพื่อนของเขาตะโกนเรียกให้ไปช่วย ดังขึ้นมาขัดจังหวะที่ผมกำลังจะถามเขาถึง
สาเหตุที่ตัวเลขบอกระยะทางเขียนแตกต่างกัน

"ขอบคุณที่ช่วยหานะ เดี๋ยวผมไปช่วยงานทางโน้นก่อนนะ"
"ไม่เป็นไรครับ"
ผมตอบพร้อมกับยิ้มส่งเขา ไม่ได้ถามหาคำตอบเรื่องหลักกิโล

เขาแบกหลักกิโลอันนั้นขึ้นบ่า เดินกลับไปหาเพื่อน ผมก็เลยไม่มีอะไรทำ ต้องกลับมา
ฆ่าเวลาโดนการเล่นต้นหญ้าข้างทางอีกครั้ง

ตะวันเริ่มตรงหัว เปลวแดดเต้นระบำไหวๆ ความร้อนรีดเหงื่อของผมออกมาจนหลัง
เริ่มเปียก กินเวลาผ่านไปนานเอาเรื่อง การซ่อมแซมทางจึงแล้วเสร็จ ผมและหนูมินท์จึง
ได้เริ่มออกเดินทางกันต่อ

ตัวเลขบนเข็มไมล์วิ่งไปเรื่อยๆ ถนนก็สภาพดีขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นกัน สงสัยคงเป็นเพราะว่า
เราเคลื่อนห่างจากทางที่พายุพัดออกมาความเสียหายถึงได้ลดลง

ลมร้อนพัดโกรกจนเหงื่อแห้งเหนียว ใบไม้สีเขียวสดโบกใบไหวๆ ทักทาย ผมหันมอง
ข้างทางด้านซ้าย หลักกิโลทางหลวงอันเตี้ยป้อมสีขาวปรากฎทุกๆ ระยะห่างหนึ่งกิโล
ตัวเลขค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระยะทาง แต่พอหันมองไปทางด้านขวา หลักกิโล
ผอมยาวของเมืองซึ่งเขียนระยะทางเป็นเลขเศษส่วน ปรากฎทุกๆ สองร้อยเมตร
แต่ตัวเลขบอกระยะทางกลับลดลง

ที่สำคัญตัวเลขบอกระยะทางของหลักกิโลทั้งสองไม่เท่ากัน

ผมรู้สึกสงสัยว่า ทำไม ทั้งๆ ที่เป็นหลักกิโลเหมือนกันแต่กลับเขียนบอกระยะทางเอาไว้
ไม่เท่ากัน แล้วอย่างนี้ผมจะยึดอ้างอิงระยะทางจากหลักกิโลตัวไหนกันแน่เนี่ย แต่จะเป็น
ยังไงก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้สายตาของผมสอดส่ายสายตาหาแต่ร้านอาหารเท่านั้น

ผมหิวแล้วล่ะ





Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 1:48:12 น. 0 comments
Counter : 1711 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.