สระน้ำ

ตอนเด็กๆผมมีความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับสระน้ำอยู่
ผมไปเล่นน้ำที่สระน้ำในนา ไปกันกับเพื่อนหลายคน เราลงเล่นน้ำด้วยกัน
ผมในตอนนั้นก็ยังว่ายน้ำไม่เป็นแต่ก็ลงเล่นกับเขาด้วย เล่นแค่ที่ตื้น
ด้วยความสนุกสนานทำให้ขาดความระแวดระวัง
ในที่สุดขาผมก็ก้าวพลาดลงไปในช่วงน้ำลึก

ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น ผมยังได้ติดตาจนถึงบัดนี้
ภาพของเม็ดน้ำที่กระเด็นกระจายไปทั่วกับภาพของฝั่งสลับกันไปมา
ผมดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเป็นเวลานานมาก นานจริงๆ
ในที่สุดพี่ที่ไปด้วยกันก็ยื่นมือมาฉุดตัวขึ้นจากจุดน้ำลึกตรงนั้น
ผมเลยรอดตายมาได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมไม่เล่นน้ำอีกเลย
ผมขยาดน้ำจนเข้าขั้นกลัว

ช่วงม. 2 ผมลงเล่นในคลองส่งน้ำที่นา
ผมทดลองค่อยๆเดินข้ามคลองไปหาอีกฟาก
ระดับน้ำเริ่มลึกลงเรื่อยๆ จากอกไปเป็นคอ
จากคอไปเป็นปริ่มปาก
จากปริ่มปากไปเป็นระดับคอ
ในที่สุดผมก็ข้ามคลองส่งน้ำนั้นได้

ผมได้ใจเดินข้ามที่ใหม่ที่ดูน่าจะลึกกว่าเดิม
และมันก็ลึกกว่าเดิมจริงๆด้วย
พอเดินไปได้ครึ่งทาง น้ำก็ท่วมหัวผม
แต่ผมก็กลั้นหายใจเดินในน้ำต่อไป
พอกลั้นไม่ไหว ผมก็ถีบตัวเองขึ้นมาหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วก็จมลงไปเดินต่อ
ทำอย่างนี้ไปเรื่อย สักสองสามทีระดับน้ำก็ตื้นลง
ผมข้ามน้ำลึกท่วมหัวได้สำเร็จ

ผมข้ามคลองด้วยวิธีแบบนี้ต่อไปอีกสองวัน
ในที่สุดผมก็ว่ายน้ำเป็น ว่ายได้สาระพัดท่า คว่ำ หงาย ตะแคง
ใช้แต่มือหรือขาว่ายน้ำ ผมก็ทำได้
ผมเล่นน้ำตลอดปิดเทอมนั้นจนตัวดำเมี่ยม
เล่นน้ำนี่มันสนุกจริงๆ
สนุกจนลืมไปเลยว่าแต่ก่อนผมกลัวน้ำ
และก็ไม่เคยคิดจะย้อนกลับไปถามตัวเองเลยว่า
ทำไมแต่ก่อนถึงกลัวน้ำ ทำยังไงถึงหายกลัวน้ำ
เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะไปถาม

*********************************************

ในตอนนี้ ผมมีความรู้สึกเดียวกับตอนที่เคยจมน้ำเมื่อครั้นเป็นเด็ก
พยายามดิ้นรนตะเกียกตะกาย ช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มที่
ถ้ามีสิ่งใดสักอย่างที่พอจะคว้าได้ ผมจะรีบคว้าทันที
แม้สิ่งนั้นจะเป็นเส้นผมก็ตาม

ผมดิ้นรนอยู่นานมาก
นานจนจำไม่ได้เลยว่ามันกินเวลาเท่าไร
ร่างกายที่เหนื่อยล้า ใจที่ไร้เรี่ยวแรง
ผมกำลังจะหมดแล้วซึ่งทุกสิ่ง เริ่มตัดใจยอมแพ้ ไม่ดิ้นรนอีก
ยอมปล่อยให้ใครสักคนมาจัดแจงชีวิตของผม

แต่ก่อนที่ผมจะละทิ้งแล้วซึ่งความพยายามที่จะดำรงอยู่ต่อ
มือผมก็คว้าของได้สิ่งหนึ่ง
โทรศัพท์มือถือ
ผมกดโทรศัพท์โทรไปหาแม่
ผมระบายมวลสารอันหนักอึ้งที่โถมทับผมอยู่ในตอนนี้
ระบายออกไปตามสายให้แม่ฟัง
มันคงจะหนักมาก แม่คงจะรับแทบไม่ไหว แม่เลยร้องไห้
ผมก็ร้องไห้เหมือนกัน
ผมพร่ำบอกแม่ว่า ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ จนนับครั้งไม่ได้

ผมทำงานในที่ทำงานแห่งใหม่ได้ประมาณ
เป็นบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าบริษัทเดิมของผมมาก
เล็กราวกับหิ่งห้อยที่อยู่ในหุบเขากว้างใหญ่ในคืนอันมืดมิด ไม่มีแม้แสงดาว
ทุกวันหลังทำงานเสร็จ ผมกลับไปที่ห้องด้วยแรงกายอันน้อยนิด
ผมเหนื่อยเสียจนต้องดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์กับแม่ หาหนังสืออ่าน
ถึงจะได้หายเหนื่อย

ผมย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต
ผมถูกช่วยชีวิตมาถึงสองครั้ง
ครั้งแรกเป็นพี่ที่ไปเล่นน้ำด้วยกัน
ครั้งที่สองเป็นแม่ของผมเอง
ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างมาก จากก้นบึ้งของหัวใจ
การที่พวกเขาช่วยชีวิต ทำให้ผมเกิดความมั่นใจว่า
พอผมใกล้จะตายก็จะมีคนมาช่วยเหลือผมเสมอ
ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

นับตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงไหน ร้ายแรงเพียงใด
ผมก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายอีก
และก็ไม่เคยจะกลับไปคิดว่า ทำไมตอนนั้นถึงอยากฆ่าตัวตาย
เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะคิด




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2551 12:22:01 น.
Counter : 454 Pageviews.  

ผู้เฝ้ามองความตาย 4


สิ่งที่เริ่มเข้าใจอย่างช้าๆ


เธอค่อยๆผุดรอยยิ้มขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะที่ตาของเธอกลับค่อยๆหลับลง
เธอในตอนนี้ช่างดูสงบและงดงามยิ่งนัก
ทุกอย่างเป็นไปอย่างช้าๆ และไหลรินเรื่อยเอื่อย
ไม่มีการต่อรอง ไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการทำใจหรืออื่นใดทั้งสิ้น
พอมาถึงเธอก็ยิ้มต้อนรับ จากไปอย่างอย่างสงบและสวยงาม
ความตายของเธอช่างงดงามยิ่งนัก

ผมโน้มตัวลงไปจูบเธอ ผมเห็นหน้าเธอชัดเจน
ดีจริงๆที่เธอยิ้ม
ดีจริงๆที่เธอหลับตา
ดีจริงๆที่เธอตายก่อนผม
ผมตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะต้องตายหลังเธอ
เพราะผมจะอยู่เพื่อเผชิญและแบกรับความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลเอง
พอจูบเธอเสร็จ ผมรีบเชิดหน้าขึ้น ที่รีบเชิดหน้าขึ้นเพราะผมกลัว
ผมกลัวหยดน้ำตาจากแก้มของผมจะทำให้ความสวยงามของเธอต้องมัวหมอง
ทำให้เธอต้องมาเป็นกังวล
ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เนิ่นและนาน โดยไม่สามารถเคลื่อนไหวใดๆได้
เหมือนเวลาของผมหยุดนิ่งไปแล้ว

วันนี้ในทุกๆปีต่อไปข้างหน้าจะกลายเป็นวันครบรอบ
เป็นวันครบรอบที่ผมได้พบเห็นความสวยงามของความตาย
เป็นวันครบรอบที่ผมต้องทำความเข้าใจและความหมายของการมีชีวิตอยู่
เป็นวันครบรอบที่เธอจากไป

ผมมองที่มือผม มือที่เคยกุมมือของเธอไว้
เราเคยหวังว่าเราจะกุมมือกันเช่นนั้นตลอดไป
ตอนนี้มีมือเล็กมือหนึ่งมาจับนิ้วชี้ของผมแทน
ผมกุมมือเล็กๆนั้นและถ่ายเทความอบอุ่นของมือผมไปสู่มือนั้น
ใช่แล้ว วันนี้ในทุกๆปีต่อไปข้างจะเป็นวันครบรอบ
เป็นวันครบรอบที่ผมต้องอยู่อย่างเข้มแข็ง
อยู่อย่างเข้มแข็งเพื่อให้มือเล็กๆนี้เติบใหญ่และปล่อยมือจากมือของผมไป

ความตายยังคงสวยงามอยู่ในสายตาของผม
แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่าความสวยงามนี้ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน
สิ่งนั้นคือความทรงจำอันล้ำค่าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เรื่องราวอันหลากหลายที่จะเกิดขึ้น
ถ้าหากเขายังอยู่กับเราอยู่ เราเอาสิ่งนั้นมาแลกกับความสวยงามนี้
ความสวยงามนี้ยังต้องการสิ่งอื่นเพิ่มด้วย
สิ่งนั้นคือการอยู่อย่างเข้มแข็ง

ดอกไม้แห่งความตายของผมกำลังเบ่งบานอย่างช้าๆบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
ใต้ท้องฟ้าสีคราม สายลมพัดแผ่ว
ผมเดินเล่นอยู่ในทุ่งนั้น แอบชำเลืองมองเป็นระยะๆ
รอเวลาที่ดอกไม้นั้นบานเต็มที่
เมื่อเวลานั้นมาถึง ผมจะยิ้มรับให้เหมือนกับที่เธอยิ้มรับ




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2551 8:38:29 น.
Counter : 348 Pageviews.  

ผู้เฝ้ามองความตาย 3


โลกที่ปรากฎขึ้นอย่างช้าๆ


เส้นทางนี้จะมีต้นตะขบเรียงรายอยู่หลายต้น
บางครั้งผมก็เด็ดผลสีแดงสุกของมันมากินเล่น
ที่เด็ดมากินเล่นไม่ใช่เพราะผมชอบกิน
แต่เป็นเพราะแค่ผมสงสัยว่ารสชาติในตอนนี้จะอร่อยเหมือนกับ
ตอนที่ผมปีนขึ้นไปกินผลสีแดงเล็กๆแบบนี้บนกิ่งเล็กๆแบบนั้นได้หรือไม่

มันไม่อร่อยเหมือนตอนนั้นเลย

ผมไป-กลับผ่านทางนี้ทุกวัน
ผ่านซะจนไม่มีอะไรแปลกตา ทุกอย่างเป็นปกติอย่างที่เคยเป็น

เหมือนเช่นที่เคยเป็น ผมกำลังเดินผ่านทิวต้นตะขบ
ผมเห็นแมวตัวหนึ่งกำลังข้ามถนน ผมมองตามแมวตัวนั้นไป
มันวิ่งเข้าไปในอาคารโทรมๆหลังหนึ่ง
อาคารที่หลังคาเป็นสังกะสี
อาคารที่ก่ออิฐแต่ไม่ฉาบปูน
อาคารที่ตีไม้ระแนงเป็นช่องๆแทนผนัง
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอาคารแบบนี้อยู่ระหว่างทางผ่านของผม
และผมเองก็ไม่ได้สนใจอาคารหลังนั้นเลย
แต่ที่ผมเดินเข้าไปในนั้นเพราะผมแค่สงสัย
สงสัยว่าแมวตัวนั้นเป็นตัวเดียวกับที่มานอนที่เตียงผมหรือไม่
...แค่นั้น

ผมนอนแผ่มองหลังคาสังกะสี
อาคารหลังคาสังกะสีตอนกลางวันจะร้อนมาก
แต่เพราะลมที่ลอดผ่านจากช่องของผนังไม้ระแนงเลยทำให้อากาศ
ถ่ายเทได้ดี ไม่อึดอัด
ตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมเหนื่อยจนไม่อยากจะลุก
นอนแผ่แบบนี้ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ
เธอเดินมานั่งแหมะตรงข้ามกับผม เราเอาขาเกี่ยวกัน
แล้วต่างคนต่างก็ซิทอัพ ก่อนจะเลิกฝึกซ้อม

เธอกับผม เราจับคู่ฝึกซ้อมกันอยู่เป็นประจำทุกเย็น
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะตัวผมสูงกว่าเธอไม่มาก
ในขณะที่คนอื่นไม่ตัวใหญ่กว่าก็ตัวเล็กกว่าเธอ
เราเลยเหมาะที่จะจับคู่ฝึกซ้อมกัน
เราจับคู่ผึกซ้อมกันเป็นเวลาหลายเดือน
เราจับคู่ฝึกซ้อมกันจนเราเริ่มนั่งคุยกันหลังฝึกซ้อมนานขึ้น
เราจับคู่ฝึกซ้อมกันจนเราเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน

ผมมองที่มือของผม มือที่เคยจางจนเกือบหายไปจากโลก
ตอนนี้มือของผมกำลังกุมมือของเธอ
เราเดินกุมมือกันไปทุกที่ทุกแห่ง
เราเดินกุมมือกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ
เราจะเดินกุมมือกันอย่างนี้ต่อไป เราหวังไว้อย่างนั้น

ผมละสายตาจากความสวยงามที่ผมเคยเฝ้ามองอยู่
ความสวยงามของความตาย
ผมกำลังจับจ้องต่อสิ่งที่สว่างไสว เจิดจ้า เบิกบานและอบอุ่น
สิ่งที่เร้าทรวงอกให้วาบหวาม ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่เป็นตัวของตัวเอง

ความรัก

เป็นเหมือนพันธนาการ ที่ยึดผมไว้ด้วยห้วงอารมณ์อันอ่อนหวานหวั่นไหว
พรากผมจากความอิสระ กักขังผมไว้ไม่ให้ไปไหน
หลอกล่อให้ผมหลงไหล วนเวียนอยู่ในวังวนนี้
วังวนอันแสนสุข

เหมือนตอนเรากำลังจ้องและเฝ้าคอยดอกไม้ที่กำลังเริ่มเบ่งบานอยู่
จู่ก็มีผีเสื้อบินมาเกาะที่ดอกไม้
ด้วยปีกอันแสนสวยน่าหลงไหลและท่วงท่าที่อ่อนช้อยพลิ้วไหว
เมื่อผีเสื้อบินออกไป เราก็หันหลังให้กับดอกไม้แล้วไล่ตามผีเสื้อไป
ท้องฟ้าสีครามปรากฎขึ้น เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมองตามผีเสื้อที่บินสูง
ทุ่งหญ้าเขียวขจีปรากฏขึ้น เมื่อเรามองตามผีเสื้อที่บินเลียดพื้น
โลกปรากฏขึ้น เมื่อเราวิ่งไล่ตามผีเสื้อ
ผมหันหลังให้กับดอกไม้ที่ผมเฝ้ามองมาตั้งนานซะแล้ว




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2551 8:13:59 น.
Counter : 295 Pageviews.  

ผู้เฝ้ามองความตาย 2

มุมมองที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ

ประตูห้องผมจะถูกใช้งานสองครั้งต่อวัน ตอนเช้าหนึ่งครั้ง
ตอนเย็นหนึ่งครั้ง ทุกครั้งผมจะมองที่ลูกบิดประตูก่อน
วันนั้น ผมไม่ได้มองลูกบิดประตูก่อน แต่ผมมองเธอ

เธอที่ตามหลังผมมา

เราไม่รู้จักกัน ไม่เคยคุยกัน รู้แค่ว่าเธออยู่ห้องข้างล่าง...แค่นั้น
แล้วผมก็ปิดประตู

เธอเคยปรากฎขึ้นในสายตาของผมหลายครั้ง
บางครั้งเธอก็นั่งม้านั่งตรงสวนหน้าหอ
บางครั้งเธอก็มองเหม่อเหมือนดูอะไรที่อยู่ห่างออกไปไกล
บางครั้งเธอก็เดินลงบันไดสวนทางกับผม
ผมแค่เคยเห็นเธออยู่ตรงหน้าผมเท่านั้น
และเมื่อผมเดินผ่านเธอไป เธอก็จะหายไปจากลานสายตาของผม

วันนั้นผมใช้ประตูเป็นครั้งที่สาม
ผมยืนตรงปากประตูห้อง เรามองหน้ากัน
ดวงตาของเราที่จ้องกันไม่ได้สื่อความหมายอะไร เพราะมันดำสนิท
ดำเหมือนท้องฟ้าในวันนั้น
ผมเดินไปที่ตู้เย็น ตู้เย็นที่มีแต่น้ำดื่ม ผมรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้เธอ
เสียงรถยนต์แว่วมาให้ได้ยิน เธอหันไปมองตามเสียงนั้นก่อนหัน
กลับมามองผมด้วยสายตาที่ไร้ประกาย ก่อนหันหลังเดินลงบันได
จากไป

แล้วผมก็ใช้ประตูเป็นครั้งที่สี่ของวันนั้น

หลังจากวันนั้น ผมเห็นเธอบ่อยครั้งขึ้น
ที่ม้านั่งตรงสวนหน้าหอ
ที่ๆเธอชอบยืนเหม่อ
และที่หน้าประตูห้องผม

เธอนอนบนเตียงของผม
เธอทำอย่างนี้ทุกครั้งหลังจากที่ผมเปิดประตูให้เธอเข้ามาในห้อง
ห้องที่มีแปรงสีฟันอันเดียว
ห้องที่โทรทัศน์ถูกทิ้งให้ฝุ่นจับ
เราอยู่ในห้องเดียวกัน ปล่อยให้เวลาไหลผ่านเราไป
เมื่อสบตากัน ผมจะเห็นประกายจากแสงของหลอดไฟในดวงตาเธอ
แต่ทุกครั้งที่มีเสียงรถยนต์คันนั้นดังเข้ามาใกล้
เธอก็จะลุกจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป
เมื่อเธอจากไป กลิ่นตัวของเธอก็จะค่อยๆจางไปจากเตียงของผม
เหมือนกัน

มันเป็นเช่นนั้นทุกครั้ง

หลังจากที่รถคันนั้นขนของที่อยู่ในห้องข้างล่างนั่นทั้งหมดออกจากหอไป
ผมก็เริ่มมองรอบๆหอพัก
เพราะมองเห็นผลของมัน ผมจึงรู้ว่าต้นที่อยู่ตรงนั้นเป็นต้นกระท้อน
เพราะมองตามเสียง ผมเลยเห็นนกต้อยตีวิด
เพราะมองเห็นกิ่งไม้ไหว ผมเลยเห็นกระรอก
เพราะมองเหม่อ ผมเลยรู้สึกว่าเธอน่าจะอยู่ที่นั่น

ผมเลยเริ่มมองออกไปนอกหน้าต่างรถแทนที่จะนั่งหลับตาอย่างเคย

โลกยังหมุนไปเหมือนเดิม
ผมยังคงเฝ้ามองความสวยงามของความตายอยู่
แต่ผมก็ละสายตามองอย่างอื่นบ้างเป็นบางครั้ง
เหมือนดอกไม้ที่เราจ้องมองอยู่ จู่ๆก็มีแมลงเต่าทองบินมาเกาะข้างๆดอก
เรามองมันและมองตามมันตอนมันบินจากไปอย่างสนใจ
เราก็เลยละสายตาจากดอกไม้บ้างเป็นบางครั้ง...แค่บางครั้ง




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 8:25:20 น.
Counter : 314 Pageviews.  

ผู้เฝ้ามองความตาย

ความสวยงามที่เริ่มรู้สึกได้อย่างช้าๆ

กัดกินหัวใจของผมอย่างช้า
แต่ผมก็ไม่อาจพูดได้ว่ามันกำลังกัดกิน
แต่มันกำลังเบ่งบานต่างหาก ใช่แล้ว มันกำลังเบ่งบาน
ในใจผม
มันขึ้นอยู่กับมุมมองมากกว่าว่าจะมองในมุมไหน แต่ผม
ก็ชอบมองในมุมที่ให้ความรู้สึกที่ดีต่อความรู้สึกนี้

ความตาย

ห้องน้ำที่มีเพียงแปรงสีฟันอันเดียว
ตู้เย็นที่ใส่แต่น้ำดื่มอย่างเดียว
โทรศัพท์ที่มีไว้ชาร์จแบตอย่างเดียว

ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้น

ครอบครัวในความคิดของผมคือกลุ่มคนที่อยู่ในทะเบียน
บ้านเดียวกัน ... แค่นั้น
ผมไม่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวมากกว่าสิบปี
เราไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
เรากระอักกระอ่วนใจเพราะไม่มีเรื่องที่จะคุยตอนโทรศัพท์
ไปหากัน

เราเป็นอย่างนั้น

ผมพูดคุยกับผู้คน เขาเหล่านั้นก็พูดคุยกับผม เราคุยกัน
พวกเราอยู่ในสังคมเดียวกัน สังคมที่ว่างเปล่า ไร้ตัวตน
สังคมที่อยู่ในจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสก์ สังคมที่ตัวผม
ไม่ได้อยู่ในนั้น

เราคุยกันอยู่ในสังคมนั้น

ผมอาจจะเหมือนกับกระต่ายก็ได้ ถ้าเลี้ยงให้อยู่ตัวเดียว
ก็จะตาย แต่ผมก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ผมอยู่ในโลก
โลกที่มีผู้คนปฏิสัมพันธ์กัน อยู่ร่วมกันโลกที่มีคนมากมาย
มากเหมือนมดปลวก มากซะจนเมื่อตัวหนึ่งหายไป
ไม่มีผลกระทบอะไรต่อรัง ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปได้

โลกเป็นอย่างนั้น

ผมมองมือตัวเอง มือผมเริ่มจางลงไปเรื่อย ตัวตนผมเริ่ม
จางลงไปเรื่อยๆ จางไปจากโลกคงเป็นเพราะผมเลิก
เฝ้ามองโลก โลกก็เลยเลิกเฝ้ามองผม เราเลยเริ่มไม่เห็นกัน
และผมก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งนั้น

ความอิสระ

ความอิสระที่ได้รับจากความตาย ตายไปจากคนรู้จัก
ตายไปจากสังคม ตายไปจากโลก
ไม่มีสิ่งใดที่มายึดติด ไม่ต้องยึดติดสิ่งใด ตัดขาดจากทุกสิ่ง
ผมซึ่งจะกลายเป็นทุกสิ่งและทุกสิ่งจะกลายเป็นผม
ผมเลยเริ่มมองเห็นความสวยงามของความตายและผม
จะเริ่มเฝ้ามอง ผมจะเฝ้ามองให้เหมือนกับเฝ้ามองดอก
ไม้ที่กำลังค่อยๆบาน รอดูความสวยงามอย่างใจจดใจจ่อ
ไม่ผลีผามไปเด็ดออกมาเสียบใส่แจกัน รอดูความสวยงาม
ตอนที่เบ่งบานอยู่ที่ต้นอย่างตั้งใจและอดทน รอให้ความตาย
เบ่งบานสวยงามที่สุด ผมจะรอ รอจนกว่าจะถึงวันนั้น
โดยไม่ก้าวเข้าไปหาและเอื้อมมือไปคว้า




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2551 16:28:56 น.
Counter : 305 Pageviews.  


garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.