ถนนที่มีหลักกิโลบอกระยะทางต่างกัน

จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า พวกเราเดินทางด้วยกันมานานมากและไกลมาก
มันไกลเสียจนเข็มไมล์บอกว่าพวกเราเดินทางมาแล้วถึง 269,591 กิโลเมตร
แต่พวกเรากลับรู้สึกได้เลยว่า พวกเรายังเดินทางได้ไม่เท่าไรเอง ยังมีหนทางที่ต้องเดิน
ทางต่ออีกยาวไกล



เมื่อคืนมีพายุเข้า ทั้งลม ฝนและลูกเห็บสาดซัดกระหน่ำอย่างหนักมาก ห้องพักของ
โรงแรมที่เราแวะเข้าไปพักสั่นราวกับถูกจับโยก กระจกหน้าต่างทุกบานสะเทือนจนเห็น
เงาเคลื่อนไหววูบวาบ เสียงดังโป๊ก ๆ มาจากหลังคาราวกับมีคนจำนวนมากมากระหน่ำ
เคาะมัน สายฟ้าแลบแปลบปลาบข่มขู่เราด้วยลำแสงและเสียงคำราม พวกเราได้แต่
ทำตัวหดขดตัวลีบด้วยความหวาดกลัว

ธรรมชาติทรงพลังอำนาจยิ่งนัก

แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวทั้งมวลกลับหายไปจนหมดสิ้นในตอนเช้า พระอาทิตย์เปล่งลำแสง
สว่างเจิดจ้า ท้องฟ้าขานรับด้วยสีฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ทุกสิ่งทุกอย่างสดใหม่ราวกับ
ถูกชำระล้างด้วยลมฝน

นี่สินะเขาถึงเรียกว่า ฟ้าหลังฝน

เราออกเดินทางกันต่อกันอีกครั้ง ถนนที่เราวิ่งอยู่นี้ค่อนจะอยู่ในสภาพที่แย่หน่อย บนผิว
ถนนมีเศษใบไม้ เศษกิ่งไม้เกลื่อนกลาดตามทางที่เราขับ สงสัยพายุเมื่อคืนคงจะหอบ
เอามาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแน่ ๆ แต่ถึงเศษไม้จะมีมากมายแค่ไหนก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อ
การเดินทางของเรา พวกเราสามารถแล่นผ่านมันมาอย่างสบาย ๆ

แต่นี่สิเป็นปัญหา

ต้นไม้ต้นใหญ่มากโค่นล้มมาขวางจนเต็มถนน คงจะโดนพายุโค่นลงมา ผมได้แต่จ้อง
ตาปริบ ๆ เอายังไงดีเนี่ย ไปต่อไม่ได้แล้ว สงสัยคงต้องย้อนกลับหาทางเลี่ยงทางอื่น
ซะแล้ว

ผมใส่เกียร์ถอยหลัง หนูมินท์กำลังจะหันย้อนกลับทางเดิม แต่ก่อนจะได้กลับตัว ก็มีรถ
กระบะสีส้มเปิดไซเรนขับเข้ามาหาเราพอดี เราเลยหยุดดูพวกเขาก่อน

มีคนลงจากรถมาสามคน ทุกคนใส่เครื่องแบบเหมือนช่างและสวมหมวกก่อสร้างสีขาว
และหิ้วเครื่องไม้เครื่องมือมาด้วย ดูท่าพวกเขาคงจะมาจัดการต้นไม้ที่ขวางทาง
ผมและหนูมินท์เลยตัดสินใจหยุดรอให้พวกเขาทำการเคลื่อนย้ายต้นไม้ออกจากทาง

เอ๋ ? มันไม่ใช่อย่างที่คิดแฮะ

ตอนแรกพวกเขาพากันไปรุมที่ด้านปลายยอดของต้นไม้ ทุกคนใช้ขวานกับเลื่อย ตัดและ
ริดกิ่งก้านของต้นไม้ออกจนอยู่ในสภาพท่อนซุง พอพวกเขาเก็บกวาดเศษกิ่งไม้ที่
พวกเขาตัดจากต้นออกจนหมดแล้ว พวกเขากลับเข้าไปจัดการกับหลักกิโลเมตรที่โดน
ต้นไม้ทับจนกระเด็นหลุดออกจากฐาน โดยไม่สนใจเคลื่อนย้ายท่อนซุงที่ยังคงนอน
ขวางถนนอยู่แต่อย่างใด

"เอ่อ... ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ ?"
ผมลงจากหนูมินท์ เดินเข้าไปถามพวกเขาด้วยความสงสัย

"อ้อ โทษทีนะคุณ ที่จริงผมก็อยากเอาไม้ออกจากทางให้อยู่เหมือนกันแต่พอดีเราไม่มี
เลื่อยยนต์กับลวดสลิงติดมา ก็เลยลากออกให้ไม่ได้ ไม่ว่ากันนะ"
ชายคนหนึ่งที่ดูแล้วคงน่าจะเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มเงยหน้าจากงานก่อนจะตอบผมถึง
สาเหตุที่พวกเขาไม่ทำการเคลื่อนย้ายต้นไม้ออกจากทาง

"งั้นเหรอ ครับ เฮ้อ แย่จัง งั้นเดี๋ยวผมคงต้องย้อนกลับเปลี่ยนเส้นทางซะแล้ว"
"คุณไม่ต้องย้อนหรอก เดี๋ยวอีกทีมที่เขามีเครื่องมือพร้อมก็มาถึงแล้ว เราแค่ออกมาก่อน
พวกเขานิดหน่อยแค่นั้น รอไม่เกินสิบนาทีก็มาถึง ใจเย็นรออยู่นี่แหละ อีกอย่างถ้าคุณขับ
รถย้อนไปทางเลี่ยง บอกเลยว่าอีกไกลมาก แถมทางเลี่ยงนั่นน่ะ โดนน้ำท่วมจนทางขาด
ไปแล้ว"

"แหะ ๆ งั้นผมรอต่อดีกว่า"
ผมหัวเราะแก้เขิน ก่อนจะเดินไปนั่งพักใต้ต้นไม้อีกต้นที่อยู่ไม่ห่างจากหนูมินท์เท่าไรนัก
คงต้องรอจนกว่าเจ้าหน้าที่อีกทีมจะมาทำจัดการกับซุงเจ้าปัญหานี่

ผมนั่งมองพวกเขาทำงานกัน พวกเขาจัดแต่งหลักกิโลเมตรที่ล้มกลิ้งให้กลับสู่ที่เดิม
โบกปูนเชื่อมตัวหลักกิโลให้ติดอยู่กับฐาน ทาสีตกแต่งร่องรอย พวกเขาทำงานอย่างดู
คล่องแคล่ว สงสัยคงจะเป็นเพราะชำนาญแน่ ๆ เลย

มองดูพวกเขาทำงานอยู่เพลิน ๆ จู่ ๆ รถหกล้อสีส้มก็มาจอดข้างรถกระบะ พนักงานแต่ง
เครื่องแบบเดียวกันแต่คนละสีกับทีมที่มาก่อนลงมาจากรถห้าคน พวกเขามาพร้อมกับ
เลื่อยยนต์ ทุกคนดูทะมัดทะแมง ผมเลยคิดว่าพวกเขาคงจะกินเวลาไม่นานเท่าไรนักกับ
การลากต้นไม้ออกจากทาง

พอทีมที่มาก่อนทำงานของพวกเขาเสร็จแล้ว พวกเขาเดินเข้ามาที่ร่มไม้เดียวกับที่ผมนั่ง
เพื่อเข้ามาพักผ่อน ชายคนเดิมนั่งลง ถอดหมวกเอามาโบกลมใส่ตัวได้สักพักก็หันหน้า
มาคุยกับผม
"ร้อนจังวันนี้ ว่าไหม ?"
"ฮ่ะ ๆ ครับ วันนี้ฟ้าสว่างมากเลย แดดก็เลยร้อนเป็นพิเศษ"
"นั่นสินะ"

"แต่เมื่อคืนพายุแรงมากเลยนะครับ แถมมีลูกเห็บตกอีกต่างหาก น่ากลัวมากเลยครับ"
ผมชวนเขาคุยถึงเรื่องพายุเมื่อคืน

เขามองหน้าผมนิดหนึ่ง ก่อนจะถาม
"คุณเดินทางมาจากที่อื่นใช่ไหม ?"
"ครับ พอดีเมื่อคืนพวกผมเข้าไปพักหลบฝนที่โรงแรมกัน แต่พอพักได้สักหน่อยลมพายุ
ก็เข้ามาเลย นี่ผมยังคิดอยู่เลยว่าโชคดีที่ไม่เดินทางต่อ เพราะถ้าขืนไปต่อ มีหวังโดน
ต้นไม้ต้นนี้ล้มทับเอาก็ได้"
"ดีแล้วล่ะที่ไม่เดินทางต่อ รู้ไหม แถวนี้พายุเข้าบ่อย แถมแรงมากด้วย มีคนเจ็บและคน
ตายอยู่เรื่อยเพราะฝืนเดินทางกลางพายุ"

"พายุที่นี่แรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ ?"
ผมถามเขาด้วยความสงสัย

"ใช่แล้วล่ะ พอพายุเข้า พวกผมก็งานเข้าเหมือนกัน มาแต่ละทีไม่ต้นไม้โค่นก็น้ำซัดจน
ทางขาด ป้ายเป้ย หลักกิลงกิโลล้มระเนระนาด ต้องมาซ่อมแซมอยู่เรื่อย"
"งั้นเหรอครับ ว่าแต่ว่าพวกพี่รับหน้าที่ซ่อมพวกป้ายกับหลักกิโลเหรอครับ ?"
ผมถือวิสาสะเรียกเขาว่าพี่

"อื้อ ใช่แล้ว พวกผมดูแลงานด้านนี้ ส่วนทีมนู้นเขาดูแลเรื่องสภาพถนน เราแยกกัน
ทำงานคนละส่วน"
"อย่างงี้นี่เอง ว่าแต่ว่าผมเองก็สงสัยเรื่องหลักกิโลมานานเหมือนกันว่า เขากำหนดระยะ
ทางกันยังไง ?"
"เอ่อ... เท่าที่ผมรู้นะ เฉพาะหลักกิโลของที่นี่จะเริ่มต้นตรงที่จุดเริ่มของถนนเส้นนั้น
อย่างถนนเส้นนี้นี่สาย 85480 แยกออกมาจากเส้น 8341 หลักกิโลก็จะเริ่มนับจาก
ทางแยกจนไปสุดสาย 85480 เส้นนี้"
"อ๋อ แบบนี้เองเหรอ ผมเข้าใจแล้วครับว่าทำไมอยู่ดี ๆ เวลาเปลี่ยนเส้นทาง หลักกิโลถึง
ได้เปลี่ยนไปด้วย"

หลังจากที่เข้าใจเรื่องหลักกิโลแล้ว ผมกับเขาก็คุยกันถึงเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง
จนกระทั่งต้นไม้ถูกชักลากออกจากถนนเรียบร้อยแล้ว ทั้งผมและเขาต่างก็แยกย้ายกันไป
ผมกับหนูมินท์เดินทางกันต่อโดยมีรถของทีมช่างนำหน้า แต่ไปกันได้ไม่เท่าไร รถของ
ทีมช่างก็ต้องจอดข้างทางเพื่อซ่อมแซมป้ายสัญญาณที่โดนพายุพัดจนตัวป้ายปลิวไป
ตกอยู่ไกล ผมเลยบีบแตรสั้นทักทายก่อนแซงผ่านไป พวกเขาหยุดทำงานกัน หันมาโบก
ไม้โบกมือส่งพวกเรา ก่อนจะหันกลับไปทำงานของพวกเขาต่อ

เราเดินทางกันต่อไปเรื่อยๆ สภาพถนนแย่ลงกว่าเดิม ผิวถนนกร่อนไปมาก บางทีถึงกับ
แหว่งไปบางส่วนเลย นี่คงจะจริงอย่างที่ช่างเขาพูด พายุที่นี่รุนแรงมากจริงๆ ถึงขนาด
ซัดซะจนถนนกร่อนและแหว่งถึงขนาดนี้

คงจะไม่ใช่แค่แหว่งเฉยๆ แล้วแฮะ

ถนนเบื้องหน้าของพวกเราถูกตัดขาดออกจากกัน พวกเราเดินทางไปต่อกันไม่ได้ ผมเลย
ลงจากหนูมินท์ เดินออกมาดูสภาพการณ์

ร่องรอยความหายนะพาดผ่านเป็นทางยาว นี่คงจะเป็นเส้นทางของพายุแน่นอนเลย
ถึงได้เกิดร่องลึกราวกับคลองที่ถูกขุดขึ้นอย่างลวก ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยตั้งอยู่บน
เส้นทางของมันได้ถูกทำลายหายไปจนหมดสิ้น

แต่ก็ไม่ถึงกับสิ้นหวังจนเดินทางไปต่อกันไม่ได้ซะทีเดียว เพราะว่าตอนนี้กลุ่มคนที่ดูท่า
ว่าจะเป็นพนักงานการทางกำลังทำการซ่อมแซมถนนอยู่ พวกเขาใช้รถตัก ตักดินจาก
บริเวณข้างๆ มาถมตรงทางที่ขาด เสียงเครื่องยนต์ของรถตักดินบ่นดังลั่นพร้อมกับพ่น
ควันโมโหออกมายังกับไม่พอใจที่ต้องมาขุดดินกลางแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้

ผมเดินโต๋เต๋ไปมา รอเวลาให้เขาทำการซ่อมแซมถนนเสร็จ เด็ดดอกหญ้าข้างทางมา
พุ่งเป็นจรวด เอาเท้าราต้นไมยราบให้หุบใบเล่นๆ ฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย

พลันสายตาก็มองไปเห็นพนักงานคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ ใช้จอบขุดตรงนู้นทีตรงนี้ที
แบบสุ่มๆ ยืนมองอยู่นานจนทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ผมเลยเดินลงไปหาเขา

"ขุดหาอะไรเหรอครับ ?"
เขาเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับผม

"อ๋อ หาหลักกิโล มันโดนน้ำเซาะหายไปน่ะ"
"อ้าว ก็อยู่ตรงนั้นนี่ครับ"
ผมชี้ไปยังหลักกิโลที่อยู่ใกล้หนูมินท์

"ไม่ใช่ อันนั้นมันหลักกิโลทางหลวง หลักกิโลของผมเป็นหลักกิโลของเมือง มันจะ
เล็กกว่า ยาวกว่า"
"เอ๋ หลักกิโลเมือง อืม... มันต่างกันยังไงเหรอครับ"
"ไอ้หลักกิโลนั่นมันบอกระยะทางของถนน ส่วนหลักกิโลของผมบอกระยะห่างจาก
จุดศูนย์กลางของตัวเมือง ก็ประมาณนี้แหละ"
ผมพยักหน้าหงึกๆ เข้าใจความแตกต่างของพวกมัน

"โทษทีนะ เดี๋ยวขอทำงานต่อก่อนนะ เนี่ยหาตั้งนานยังไม่เจอเลย"
เขาขอตัวทำงานต่อ

"งั้นเดี๋ยวผมช่วยหานะครับ กำลังว่างๆ อยู่ รอใถนนซ่อมเสร็จ"
ผมเสนอตัวช่วยเขา มันยังดีกว่าไปนั่งเด็ดหญ้าข้างทางเล่น

"ขอบคุณมากเลยครับ"
เขารีบตอบรับ พร้อมฉีกยิ้มให้ผม

ต่างคนต่างแยกย้ายกันหา ผมใช้เท้าเฉาะดินตรงที่คิดว่าน่าจะกลบหลักกิโลไว้ เฉาะมั่วๆ
ไปเรื่อยๆ หากันอยู่ไม่นานนัก พนักงานคนนั้นก็ตะโกนเรียกผม
"นี่ไงเจอแล้ว มาดูสิ"

ผมเดินไปหา เขากำลังดึงหลักกิโลที่ขุดขึ้นมาได้ตั้งขึ้นมา มันเป็นแท่งคอนกรีตทาสีขาว
หน้ากว้างราวหนึ่งคืบ สูงประมาณเอว เขรอะไปด้วยดิน พอเขาใช้มือปัดดินออกจากมัน
ผมจึงเห็นตัวเลขบอกระยะทางสีดำ มันเขียนไม่เหมือนหลักกิโลทางหลวงแฮะ มันเป็น
เลขเศษส่วน

อ้าว ทำไมหลักกิโลตัวนี้ถึงได้เขียนต่างจากหลักกิโลทางหลวงล่ะ

"เอ้อว ไอ้เอก หาเจอแล้วใช่ไหม งั้นมาช่วยทางนี้หน่อยสิ"
เสียงเพื่อนของเขาตะโกนเรียกให้ไปช่วย ดังขึ้นมาขัดจังหวะที่ผมกำลังจะถามเขาถึง
สาเหตุที่ตัวเลขบอกระยะทางเขียนแตกต่างกัน

"ขอบคุณที่ช่วยหานะ เดี๋ยวผมไปช่วยงานทางโน้นก่อนนะ"
"ไม่เป็นไรครับ"
ผมตอบพร้อมกับยิ้มส่งเขา ไม่ได้ถามหาคำตอบเรื่องหลักกิโล

เขาแบกหลักกิโลอันนั้นขึ้นบ่า เดินกลับไปหาเพื่อน ผมก็เลยไม่มีอะไรทำ ต้องกลับมา
ฆ่าเวลาโดนการเล่นต้นหญ้าข้างทางอีกครั้ง

ตะวันเริ่มตรงหัว เปลวแดดเต้นระบำไหวๆ ความร้อนรีดเหงื่อของผมออกมาจนหลัง
เริ่มเปียก กินเวลาผ่านไปนานเอาเรื่อง การซ่อมแซมทางจึงแล้วเสร็จ ผมและหนูมินท์จึง
ได้เริ่มออกเดินทางกันต่อ

ตัวเลขบนเข็มไมล์วิ่งไปเรื่อยๆ ถนนก็สภาพดีขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นกัน สงสัยคงเป็นเพราะว่า
เราเคลื่อนห่างจากทางที่พายุพัดออกมาความเสียหายถึงได้ลดลง

ลมร้อนพัดโกรกจนเหงื่อแห้งเหนียว ใบไม้สีเขียวสดโบกใบไหวๆ ทักทาย ผมหันมอง
ข้างทางด้านซ้าย หลักกิโลทางหลวงอันเตี้ยป้อมสีขาวปรากฎทุกๆ ระยะห่างหนึ่งกิโล
ตัวเลขค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระยะทาง แต่พอหันมองไปทางด้านขวา หลักกิโล
ผอมยาวของเมืองซึ่งเขียนระยะทางเป็นเลขเศษส่วน ปรากฎทุกๆ สองร้อยเมตร
แต่ตัวเลขบอกระยะทางกลับลดลง

ที่สำคัญตัวเลขบอกระยะทางของหลักกิโลทั้งสองไม่เท่ากัน

ผมรู้สึกสงสัยว่า ทำไม ทั้งๆ ที่เป็นหลักกิโลเหมือนกันแต่กลับเขียนบอกระยะทางเอาไว้
ไม่เท่ากัน แล้วอย่างนี้ผมจะยึดอ้างอิงระยะทางจากหลักกิโลตัวไหนกันแน่เนี่ย แต่จะเป็น
ยังไงก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้สายตาของผมสอดส่ายสายตาหาแต่ร้านอาหารเท่านั้น

ผมหิวแล้วล่ะ





 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 1:48:12 น.
Counter : 1698 Pageviews.  

ถนนที่ผู้ไปทางเดียวกันสื่อสารกันทางจิตได้

จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า ตัวเล็กบอบบาง ดังนั้นหนูมินท์จึงไม่ค่อยมีแรงมากมาย
เท่าไร ความเร็วสูงสุดที่เคยทำได้ก็อยู่ที่ 110 กิโลเมตร/ชม. แต่เราก็ไม่ชอบที่จะวิ่งเร็ว
ถึงขนาดนั้น เพราะถ้าวิ่งเร็วเกินไปจะทำให้เราดูสิ่งที่อยู่ข้างทางไม่ทัน พวกเราก็เลยพา
กันวิ่งที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชม. แทน



"ทำไมรถเลนโน้นเยอะจัง ?"
ผมถามหนูมินท์ แต่หนูมินท์ก็เงียบไม่ตอบ สงสัยว่าเธอคงใช้สมาธิกับการเดินทางอยู่
ผมก็เลยได้แต่มองสายขบวนรถที่แล่นต่อกันอย่างยาวเหยียดอย่างเงียบๆ ต่อไป

ถนนที่เรากำลังเดินทางอยู่นี้เป็นถนนสองเลนที่แคบมาก ๆ แคบจนขนาดที่ทำให้กระจก
มองข้างของรถใหญ่ ๆ อย่างพวกรถบัสหรือรถบรรทุกแทบจะเกี่ยวกัน ระยะห่างระหว่าง
รถทั้งสองเลนน้อยมาก ๆ น่าหวาดเสียวจริงๆ

แต่ถึงถนนจะแคบจนน่าหวาดเสียวแค่ไหน รถที่วิ่งสวนมาก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย
ทุกคันต่างเร่งเครื่องเพื่อวิ่งให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สงสัยว่ารถคันหน้าคงจะช้า
กว่าเพื่อน รถทุกคันก็เลยขับไล่จี้ก้นติดๆ จนเป็นสายยาวแบบนี้

จะรีบร้อนไปไหนกัน ?

ผมละสายตาจากทิวรถยาวเหยียด เสไปมองข้างทางฝั่งของผมแทน พรมดอกไม้หลาก
หลายสีสรรทอลาดยาวจนสุดสายตาปรากฎขึ้นตรงหน้า เส้นโค้งของแนวทิวเขาที่เขียว
ครึ้มบรรจบกับท้องฟ้าสีฟ้าใสที่มีปุยเมฆก้อนสีขาวระบายไปทั่ว ราวกับภาพเขียนในฝัน
อันบรรเจิดของจิตรกร

สวยงามเกินกว่าจะบรรยาย

พวกเราตัดสินใจลดความเร็วลงเพื่อให้เราได้ดื่มด่ำกับความงามของข้างทาง ผมรู้สึกได้
ถึงกระแสของความสุข ความสบายใจแผ่ฟุ้งกระจายไปทั่ว ลองหันไปดูข้างทางของถนน
อีกเลนดู ฝั่งทางนู้น เป็นชายหาดทรายขาวราวกับแก้ว น้ำทะเลสีเขียวมรกตเก็บกักแสง
อาทิตย์ไว้จนเต็มก่อนจะเปล่งประกายระยิบระยับออกมา ฟองคลื่นสีขาวม้วนตัวขึ้นมา
ทักทายกับชายฝั่ง เขียวน้ำทะเลตัดกับฟ้าสดใส ผมเหม่อมองอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ก็น่า
เสียดายที่ไม่สามารถชมความงามของทิวทัศน์ของเลนนู้นได้เต็มอิ่มเพราะว่ารถคันโต
มักจะแล่นมาบังอยู่เสมอ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถนนเส้นนี้ก็ช่างงดงามเหลือเกิน

"ถนนเส้นนี้สวยจังเลยเนอะ ว่าไม๊ ?"
ผมถามหนูมินท์ เธอไม่ตอบ แต่เธอก็แสดงถึงความพึงพอใจด้วยการเดินทางที่ราบรื่น
นุ่มนิ่ม ไร้การสั่นสะเทือนแทน

เราเดินทางกันบนเลนอันโล่งไร้รถของเราอย่างเรื่อยเอื่อย ในขณะที่เลนตรงข้าม รถยนต์
จำนวนมากยังแล่นต่อก้นกันจนเป็นสายยาวด้วยความเร็วสูงกันอยู่ ราวกับว่าความสวย
งามของถนนเส้นนี้ไปสามารถดึงดูดใจให้พวกเขาชะลอเพื่อชมความงามเลย พวกเขาคง
จะต้องรีบกันมาก ๆ แน่ ถึงได้ขับรถเร็วกันแบบนี้ ผมรู้สึกเสียดายแทนพวกเขาจริง ๆ ที่
ไม่ได้ดื่มด่ำกับความงามนี้

เราอ้อยอิ่งบนถนนเส้นนี้ไปเรื่อย ๆ ผมรู้สงบใจยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก และยิ่งถ้าเลนนู้น
ไม่มีรถวิ่งด้วยล่ะก็ คงได้ชมทัศนียภาพสองข้างทางเต็ม ๆ ตา แน่ ๆ ถนนเส้นนี้อาจจะ
เป็นถนนบนสรวงสวรรค์ก็ได้ ถึงได้สวยงามขนาดนี้



"รถคันข้างหน้าขับเร็ว ๆ หน่อย"
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้น หันมองหาต้นเสียงรอบทั้งคันรถ ไม่เห็นมีใครเลย หูแว่วรึไง

"ยังขับช้าอยู่อีก ข้างหน้าถนนก็โล่งจะตาย ขับให้เร็ว ๆ หน่อยสิ"
เสียงเดิมดังขึ้นมาอีก ผมหันมองรอบตัวอีกครั้ง ไม่มรใครเลย สงสัยผีหลอกกลางวัน
แสก ๆ แน่ ๆ เลย

"เอ้า บอกให้ขับเร็ว ๆ ไม่รู้เรื่องรึไง คันข้างหลังเขาแซงไม่ได้ ก็ขับให้เร็ว ๆ ขึ้นหน่อย"
ผมหันขวับไปทางท้ายรถทันที เห็นรถเก๋งคันหนึ่งขับตามก้นหนูมินท์มาติด ๆ ตั้งแต่เมื่อ
ไรก็ไม่รู้ สงสัยคงเป็นเพราะมัวแต่ชมวิวข้างทางอยู่ก็เลยไม่ได้สังเกตเห็น หนูมินท์และผม
เลยพากันเร่งความเร็วขึ้น

"ชักช้าจริง ๆ แทนที่จะรีบไปให้พ้น ๆ ถนนเส้นนี้ มัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ได้"
เสียงบ่นจากรถคันข้างหลังดังขึ้นมาให้ได้ยินอีก

ผมหลังไปมองข้างหลังอีกที แน่นอนว่ารอบตัวผมไม่มีคนอยู่ด้วยเลย แต่เนื้อหาและถ้อย
คำที่สอดคล้องเป็นเรื่องที่ต้องการให้ผมและหนูมินท์เพิ่มความเร็วขึ้นแบบนี้ แสดงว่า
เสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงของคนขับรถคันที่กำลังตามหลังผมอยู่ในตอนนี้

แล้วทำไมผมได้ยินเสียงเขาล่ะ

"ถนนเส้นนี้ คนอยู่เลนเดียวจะได้ยินความในใจกัน คนเขาก็เลยรีบ ๆ พากันขับให้พ้น ๆ
ถนนเส้นนี้ไปยังไงล่ะ"
เขาตอบผมกลับทันที ทั้ง ๆ ที่ผมแค่คิดสงสัยอยู่ในใจแท้ ๆ

โอ้ มหัศจรรย์จริง ๆ ไม่ต้องพูดกันก็สามารถสื่อสารกันได้ แปลกดีจริง ๆ ถนนเส้นนี้
ผมรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก แบบนี้คนก็สามารถสื่อความรู้สึกในใจให้ได้รับรู้กันน่ะสิ

"ดีบ้าอะไร เลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว ขับให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ ?"
"ขอโทษครับ"
ผมรีบเอ่ยปากขอโทษเขา โดยลืมไปว่าไม่ต้องพูดออกเสียงก็สามารถสื่อสารกันได้

ผมกับหนูมินท์พากันวิ่งด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชม. ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อพวกเรา
เท่าไรนักกับการวิ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แต่ถึงเราจะเร่ง
ความเร็วเพิ่มขึ้นเท่าไร รถคันข้างหลังก็ยังจ่อติดตามเรามาอยู่ดี

"เร็วสุดได้แค่นี้เรอะ ?"
"ครับ นี่ก็เต็มที่แล้ว"
"เหอะ ช้าจริง ๆ รถเล็กดันมาวิ่งถนนใหญ่ เกะกะเป็นบ้า"

ผมสงบปากไม่พูดโต้ตอบเขา การที่พวกเราพากันวิ่งเร็วขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี เราต้อง
เพ่งสมาธิให้กับเส้นทางข้างมากกว่าเดิม ผมจึงตั้งใจขับรถ พยายามไม่สนใจสิ่งที่ได้ยิน

"แอบ ๆ หน่อยไม่ได้เรอะ จะแซง"
เขาพูดขึ้นหลังจากที่พากันเงียบมาพักหนึ่ง

ผมและหนูมินท์เลยพยายามขับชิดไหล่ทางมากที่สุด แต่ด้วยความที่ถนนเส้นนี้แคบมาก
พื้นที่จึงไม่พอให้รถอีกคันสามารถขับแทรกขึ้นมาได้

"เวรเอ้ย รถเล็กแท้ ๆ แต่ดันโตคับถนน"
อะไรของเขา สรุปแล้วหนูมินท์คันใหญ่หรือคันเล็กกันแน่

"เฮ้ย ลามปาม เพื่อนเล่นรึไง"
"ขอโทษครับ"
ผมเผลอเอ่ยปากขอโทษเขาไปอีก

"เฮ้อ เซ้งโว้ย ดันมาตามหลังรถจ่ายตลาด ขับช้าชิบ"
ผมรู้สึกฉุนขึ้นมานิด ๆ หนูมินท์ไม่ใช่รถจ่ายตลาดซะหน่อย

"อะไร ? มีปัญหารึไง หา ?"
"หนูมินท์ไม่ใช่รถจ่ายตลาดซะหน่อย เป็นคู่หูของผมต่างหาก"
"เฮอะ ไอ้รถประป๋องแบบนี้ เห็นคนแถวบ้านเอาไปตลาดบ่อย ๆ ไม่เรียกรถจ่ายตลาดแล้ว
จะเรียกว่าอะไร เรียกหนูมินท์เรอะ เสร่อเป็นบ้า"

เฮ้ออ.....
ผมถอนหายใจ รู้สึกเบื่อที่ต้องมาเจอกับคนประเภทนี้

"อะไร คนประเภทไหน หา ? ผมก็มีวุฒิภาวะนะโว้ย แต่คุณสิไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครเขาเอารถ
กระป๋องแบบนี้มาวิ่งบนถนนใหญ่หรอก ถนนนี้เขาวิ่งกันเร็ว ๆ ทั้งนั้นล่ะ เอารถช้ามาวิ่ง
มันก็เกะกะขวางทาง รถมันถึงได้ติดกันยาว ไม่รู้เรื่องรู้ราว"
"ผมว่าคุณใจร้อนเกินไปรึเปล่า ตอนนี้พวกเราก็เร่งจนถึง 100 กิโลเมตร/ชม. แล้ว มันก็
ไม่ได้ช้าจนน่าเกลียด และอีกอย่างผมคิดว่า ถ้ารถถูกต้องตามกฎจราจร ก็น่าสามารถนำ
มาแล่นได้ทุกถนน"
"เฮ้ย อย่าคิดเองเออเองสิ ไม่มีใครเขาทำแบบนี้หรอก ชาวบ้านเขารู้กันหมดนั่นล่ะ แค่ไม่
ได้เขียนเป็นกฎหมายเฉย ๆ อย่าหัวหมอ ขอร้อง"
"แล้วเขาจะผลิตมาทำไม ถ้าวิ่งทางไกลแบบนี้ไม่ได้"
"โง่แล้วยังอวดฉลาด เขาผลิตมาใช่แค่ในเมืองเท่านั้นเว้ย ไม่รู้เรื่อง"

ผมสงบสติอารมณ์ ไม่น่าเสียเวลาไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาเลย คิดในใจว่าไอ้หมอนี่
เกรียนชิบเป๋ง

"ว่าใครเกรียนวะ ? อยากเจอใช่ไหม ? หา ?"
"ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ"
ผมรีบเอ่ยคำขอโทษเขา ดันเสือกได้ยินอีก

"มึงว่าใครเสือก หา ? สาด มึงนี่วอนจริง ๆ พูดด้วยดี ๆ แม่ง วอนตีนซะแล้ว ต้องการใช่
ไหม ? ได้ เดี๋ยวกูจัดให้"
"ชนตูดแม่ง เลยดีกว่า"

ทันทีที่ผมได้ยินความคิดของเขา ผมรีบไขกระจกข้างลงจนสุด ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เท้า
ซ้ายเหยียบคันเร่ง ผมมุดลอดโผล่ครึ่งตัวออกมาข้างนอกหนูมินท์ ใช้มือซ้ายควบคุม
พวงมาลัย มือขวากระชาก Glock ออกจากซองปืนข้างรักแร้ ก่อนเล็งไปยังรถคันที่กำลัง
เร่งเครื่องเข้าใส่หนูมินท์ หวังจะชนท้ายอย่างเต็มที่

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง !
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง !

Glock พ่นไฟออกมากับคำรามเสียงดัง กระสุน 9 มม. พารา 15+1 นัด พุ่งเข้าทะลวง
ฝากระโปรงของรถคันนั้น เลือดสีขาวพวยพุ่งออกมาจากรูกระสุน ก่อนจะระเหยไปใน
อากาศ

ทันทีที่กระสุนหมด ผมรีบมุดกลับเข้ามาคืน ปลดแม็กกาซีนเปล่าออก หยิบอันใหม่ใส่เข้า
ไป ขึ้นลำปืนไว้ ก่อนจะปรับกระจกหลังเพื่อดูรถคันนั้นให้ชัดเจน

รถคันนั้นอยู่ห่างออกไปทุกที มันส่ายไปมาก่อนจะหยุดนิ่งสนิท สงสัยเจ้าของคงจะเบรค
อย่างแรง ผ่านไปสักหน่อย ผมก็เห็นไฟเลี้ยวทั้งสองดวงของรถคันนั้นกระพริบแว้บ ๆ
เขาคงจะเปิดไฟฉุกเฉินละมั้ง ดูท่าตัวคนคงจะไม่เป็นอะไร

ผมเก็บ Glock คืนเข้าใส่ซองปืน ปรับกระจกหลังอีกหลัง ภาพรถคันนั้นเล็กจนแทบมอง
ไม่เห็นแล้ว ผมลดความเร็วของหนูมินท์ลง

ขอโทษนะ เจ้ารถคันนั้น ใจจริงก็ไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงแบบนี้เลย แต่ว่าเจ้าของแก
คิดจะเอาแกมาชนท้ายหนูมินท์ ยอมไม่ได้จริง ๆ นะ ขอโทษด้วยล่ะ

เราเดินทางกันต่อด้วยอย่างเรื่อยเอื่อย มีรถพ่วงคันหนึ่งแล่นนำหน้า ผมเลยรักษาระยะ
ห่างจนพอสมควร รถพ่วงดูท่ารถพ่วงคันนั้นคงจะบรรทุกของมาหนักมากถึงได้แล่นช้า
แม้ว่าคนขับจะเร่งเครื่องเต็มที่จนควันขโมงแล้วก็ตาม

ผมเปิดวิทยุ ฮัมเพลงคลอตาม สายตากำซาบเอาความงดงามของสองข้างทาง พวกเรา
กลับมาเดินทางอย่างอารมณ์ดีบนถนนที่แสนจะงดงามเส้นนี้อีกครั้ง




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2551    
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 19:17:47 น.
Counter : 411 Pageviews.  

ถนนที่ต้องขับรถถอยหลัง

จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า ที่ระบบเกียร์ยังเป็นคงเป็นเกียร์กระปุกอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่
คุ้นเคย เวลาเข้าเกียร์จะค่อนข้างเข้ายากนิดหนึ่ง แต่สำหรับผมที่อยู่กับหนูมินท์มานาน
จนรู้ใจกันเป็นอย่างดีนั้น เกียร์กระปุกของหนูมินท์ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับผมเลย



"อ้า คุณต้องไปกลับรถต้องที่กลับรถตรงนั้น แล้วขับถอยหลังจนสุดทางก็จะถึงเมืองนั้น
ครับ พอไปถึงแล้วก็ค่อยขับรถตามปกติ"
"ขอบคุณครับ"
ผมเอ่ยคำขอบคุณคุณตำรวจที่เดินออกจากป้อมยามมาบอกผม ก่อนจะไปกลับรถตรงที่
เขาชี้บอก พอกลับรถเสร็จผมก็เริ่มขับรถถอยหลังไปสู่เมืองข้างๆ ที่เป็นจุดหมายของ
การเดินทางในครั้งนี้

สงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมต้องขับรถถอยหลัง

เรื่องของเรื่องก็คือ ผมกับหนูมินท์วางแผนกันว่าจะลองไปเมืองข้างหน้ากัน พอขับมาถึง
ทางแยก ก็มีป้ายบอกทางที่จะไปเมืองข้างหน้าอยู่สองป้าย ทางซ้ายบอกระยะทางว่า
อีก 50 กิโล ทางขวาบอกว่าอีก 5 กิโล แทบไม่ต้องตัดสินใจคิด ผมเลี้ยวขวาทันที
พอขับรถมาถึงป้อมยาม คุณตำรวจก็เป่านกหวีดดังปรี๊ด บอกให้พวกเราหยุด พอเราหยุด
เขาก็เดินมาบอกเราถึงข้อบังคับของถนนเส้นนี้ ผมฟังคุณตำรวจและปฏิบัติตามแต่โดย
ดี ไม่แม้แต่จะถามถึงสิ่งที่สงสัย

พูดคุยกับคุณตำรวจมากเกินไปมันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร ใช่ไหม ?



ผมเริ่มปวดคอแล้ว

จากการที่ต้องเอี้ยวคอขับรถถอยหลังมาเกือบ 20 นาที ทำให้กล้ามเนื้อที่ต้องทำหน้าที่
นี้รับภาระหนักเกินไป แถมขับมา 20 นาทีแล้ว ยังต้วมเตี้ยมได้แค่ครึ่งทางเอง ในขณะที่รถ
คันอื่นขับแล่นฉิวแซงผมไปเรื่อยๆ ทั้งรถเก๋ง ปิ๊คอัพ รถบัสไม่เว้นแม้กระทั่งรถสิบล้อที่
บรรทุกเต็มคันรถยังสามารถอืดอาดแซงผมไปอย่างได้ สงสัยว่าพวกเขาคงจะชำนาญ
กับการขับรถถอยหลังบนถนนเส้นนี้ แต่ที่น่าแปลกใจคือถนนนี้ยังมีรถมอเตอร์ไซค์ติด
ซาเล้งข้างหลายคันที่วิ่งถอยหลังไปมาด้วย เออ มอเตอร์ไซค์วิ่งถอยหลังได้ด้วยแฮะ
ผมเพิ่งรู้

ไม่ไหวๆ ผมต้องแวะพักซะหน่อยแล้ว ผมเลยสอดส่ายข้างทาง มีป้ายที่เห็นเด่นชัดป้าย
หนึ่งซึ่งเขียนบอกว่าเป็นร้านกาแฟ ผมเลยตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในร้านนั้นทันที



"ขอชาเขียวร้อนครับ"
ผมสั่งเครื่องดื่มหลังจากที่ได้นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์แล้ว

ร้านกาแฟนี้ขนาดกระทัดรัด มีโต๊ะประมาณสี่ ห้าโต๊ะ แขกเข้ามาจับจองนั่งจิบเครื่องและ
คุยกันกันอยู่สองโต๊ะ ดูท่าน่าจะเป็นคนในแถบนี้เพราะดูพวกเขาอ้อยอิ่งเหมือนไม่ได้รีบ
เดินทางไปไหน

"ชาเขียวร้อนได้แล้วค่ะ"
พนักงานที่ดูท่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านยื่นชุดชาเขียวร้อนให้ ผมหันกลับไปรับพร้อมกับ
ส่งยิ้ม

ผมรินชาจากกาใส่จอกใบเล็กที่มาด้วยกัน สูดดมเอาความหอม เป่าผิวน้ำนิดหนึ่งก่อน
จะจิบ รสขมนิดๆแผ่ไปทั่วทั้งปาก กลิ่นใบชาฟุ้งไปทั่วกระพุ้งแก้ม

ชารสดี

ระหว่างดื่มด่ำกับชาชา ผมก็บิดคอพร้อมกับใช้มือนวดต้นคอ มันยังไม่คลายเมื่อยดี
เท่าไรนัก นี่ขนาดขับมาครึ่งทางยังเมื่อขนาดนี้แล้วอีกตั้งครึ่งทาง คอผมจะไม่เคล็ดกัน
พอดีเรอะ

พอเจ้าของร้านเห็นผมนวดคอก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยถามผม
"เพิ่งขับบนถนนเส้นนี้เป็นครั้งแรกเหรอคะ ?"
"อ่ะ อ้า... ครับ รู้ได้ไงครับว่าผมเพิ่งมาขับเป็นครั้งแรก"
"ฮิ ฮิ คนที่มาขับบนถนนเส้นนี้ครั้งแรกก็จะเป็นเหมือนคุณทุกคนแหละค่ะ"
"งะ งั้นเหรอครับ"

ผมยิ้มแหยๆ แสดงว่าทุกคนที่มาขับบนถนนเส้นนี้ครั้งคงจะปวดคอเหมือนกันหมดทุกคน
ซึ่งมันลำบากมากเลยการขับรถถอยหลังแบบนี้ไม่รู้นึกอะไรกันถึงได้ออกกฎแบบนี้ขึ้นมา

"ว่าแต่ว่าทำไมถนนเส้นนี้ถึงต้องขับถอยหลังล่ะครับ ?"
ผมถามเธอขึ้นมาหลังจากที่เห็นเธอเลิกง่วนกับงานแล้ว

เธอหันกลับมายิ้มให้ก่อนตอบผม
"เรื่องนี้มันยาวค่อนข้างยาวค่ะ คุณรีบอยู่รึเปล่าล่ะคะ ?"
"อ๋อ ผมไม่รีบหรอกครับ เรื่องมันยาวขนาดนั้นเลยเหรอครับ"
"ค่ะ เอ... จะเริ่มยังไงดีน้า..."

เธอหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะถามผมกลับ
"คุณเห็นทางแยกที่จะมาถนนเส้นนี้รึเปล่าคะ ?"
"ครับ ผมเห็น ตอนแรกผมว่าจะไปเมืองข้างหน้านี่ พอมาถึงทางแยก ทางเส้นหนึ่ง 50
กิโล อีกเส้นบอก 5 กิโล ผมก็เลยมาทางเส้นนี้ พอมาถึง ตำรวจก็บอกให้ขับรถถอยหลัง
จนมาถึงนี่แหละครับ จะว่าไป ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ทำไมทางไปเมือง
เดียวกันถึงได้ระยะทางไม่เท่ากันแบบนี้"

เธอพยักหน้าหงึกๆรับรู้เรื่องที่ผมถามก่อนจะตอบกลับ
"แต่ก่อนทางก็ไม่มีทางเชื่อมระหว่างเมืองสองเมืองนี้หรอกค่ะ เพราะที่ดินทั้งหมดล้วน
แต่เป็นไร่นาซึ่งเจ้าของที่ทุกคนต่างก็ไม่ยอมให้ทำถนน ดังนั้นถนนเส้นแรกที่ตัดขึ้นมา
จึงต้องตัดอ้อมเลี่ยงที่ดินเจ้าปัญหาพวกนี้เป็นระยะทางไกลขนาดนั้นไงล่ะคะ"

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอจึงพูดต่อ
"เวลาผ่านไป เสียงบ่นของผู้คนทั้งสองเมืองถึงเรื่องถนนที่ต้ดอ้อมจนยาวผิดปกติแบบนี้
ก็เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเจ้าของที่บางคนก็ยอมให้เวนคืน ถึงสามารถตัดถนน
เส้นนี้ขึ้นมาได้"
"อ้าวก็ดีแล้วนี่ครับ ย่นระยะทางได้กว่าเดิมตั้งสิบเท่า"
"ใช่คะ แต่ว่าพอเริ่มใช้ได้ไม่นานนักก็เกินปัญหาขึ้นมา"
"ปัญหาอะไรเหรอครับ ?"

เธอหยุดยิ้มนิดหนึ่งก่อนตอบ
"ก็ถนนเส้นนี้มันสั้น รถทุกคนก็เลยพากันขับผ่านเส้นนี้ไม่จะเป็นรถยนต์ รถบัส รถบรรทุก
โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์จะกันวิ่งบนถนนเส้นนี้เป็นจำนวนมาก"
"อ้าวก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ"
"ใช่คะ แต่พอรถวิ่งกันบนถนนเส้นนี้เยอะ อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นทุกวัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการ
เฉี่ยวชนกัน โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์จะเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าเพื่อน"

ผมพยักหน้าหงึกๆ ใช่แล้วล่ะ รถมอเตอร์ไซค์เป็นอะไรที่น่ารำคาญสำหรับผู้ที่ขับรถยนต์
ทุกคนเพราะรถพวกนี้จะขี่กันแบบค่อนข้างตามใจฉัน ทั้งแซงซ้าย แซงขวา เวลาจะ
เลี้ยวก็ไม่เปิดไฟเลี้ยว นึกจะหยุดก็หยุด แถมบางทียังขี่ซ้อนคันกันมา

ต้องระวังรถมอเตอร์ไซค์อยู่เสมอ

"แล้วยังไงต่อเหรอครับ"
"ก็เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมา รถมอเตอร์ไซค์ที่รีบพา
ภรรยาไปทำคลอดที่โรงพยาบาลเฉี่ยวเข้ากับรถรับส่งนักเรียน รถมอเตอร์ไซด์ล้มแล้ว
โดนรถที่ตามข้างหลังทับเอา ทั้งคนขี่และคนท้องตายหมด ส่วนรถนักเรียนก็หักลงข้าง
ทางจนพลิกคว่ำ มีเด็กนักเรียนตายไปสามคน เป็นเจ้าหญิงนิทราอีกคนหนึ่ง"

"งั้นเหรอครับ แย่มากเลยครับที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น"
ผมรู้สึกสลดกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นบนถนนเส้นนี้

"คะ มันแย่มาก ทางราชการทางก็แก้ปัญหาโดยกำหนดให้รถมอเตอร์ไซค์วิ่งได้เฉพาะ
ไหล่ทางเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะว่าสุดท้ายรถมอเตอร์ไซค์ก็ยังคง
ออกมาวิ่งนอกไหล่ทางอยู่ดี ไม่ว่าจะมีการกวดขับแค่ไหนก็ตาม"
"อ้าวแล้วทำไมถึงออกมาวิ่งนอกช่องล่ะครับ ?"
"ก็เหมือนกับรถยนต์นี่แหละคะ เวลาจะแซงกันก็ต้องกินเลนอื่น แล้วไหล่ทางเองก็ไม่ได้
กว้างพอให้รถมอเตอร์วิ่งได้สองคัน นอกจากนี้รถมอเตอร์ไซค์ยังต้องกลับรถบ้าง เลี้ยว
เข้าออกจากซอยบ้าง ห้ามกันไม่ได้หรอก สุดท้ายอุบัติเหตุก็ยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิม"

นั่นสินะ คงจะเป็นการยากที่จะจำกัดการสัญจรของรถมอเตอร์ไซค์แบบนั้น

"พอไอ้ที่กำหนดไว้ไม่เป็นผล อุบัติไม่ลดลง ทางราชการก็สั่งห้ามรถมอเตอร์ไซค์วิ่งบน
เส้นทางนี้"
"อ้าว แล้วเขาจะไม่ประท้วงกันเหรอครับ"

เธอยิ้มก่อนพยักหน้าตอบรับ
"ค่ะ ประท้วงกันใหญ่โตเลย รถมอเตอร์ไซค์จำนวนมากมายมาปิดถนนไม่ยอมให้รถอื่น
ผ่าน บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม การประท้วงรุนแรงจนแทบจะเกิดจราจลเลยคะ"
"แล้วทำยังไงเรื่องถึงได้คลี่คลายครับ"
"ตอนแรกก็จัดการประชุมร่วมหาทางแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้ได้ข้อตกลงอะไร มีการจัด
ประชุมไปหลายครั้งก็ยังไม่ได้เรื่อง จนสุดท้ายมีคนเสนอให้รถทุกคันขับถอยหลัง โดย
อ้างว่ารถที่ขับถอยหลังจะมีความระมัดระวังสูงกว่าปกติ ทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ยาก"
"อ้าว มอเตอร์ไซค์เขายอมกันเหรอครับ รถมอเตอร์ไซค์ขี่ถอยหลังไม่ได้นี่"
"ใช่คะ มอเตอร์ไซค์ก็เถียงไม่ยอม แต่เขาคนนั้นก็บอกว่าถ้าปรับแต่งรถสักหน่อยก็
สามารถขับถอยหลังได้และยังบอกให้ทางราชการช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดัด
แปลงรถ"

มิน่าล่ะ ผมถึงได้เห็นรถมอเตอร์ไซค์ติดซาเล้งวิ่งถอยหลังกันให้ขวักไขว่ ที่แท้ที่มาก็เป็น
อย่างนี้นี่เอง

"แล้วทั้งสองฝ่ายยอมเหรอครับ ผมว่ามันฟังดูไม่ขึ้นยังไงก็ไม่รู้"
"นั่นสิคะ แต่ก็น่าแปลกที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับข้อเสนอนี้ คงเป็นเพราะอยากให้เรื่องนี้
รีบจบๆ ลงไปซะทีละมั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถนนเส้นนี้ต้องขับรถถอยหลัง แล้วเชื่อไหม
คะว่า ตั้งแต่เริ่มขับรถถอยหลังกัน อุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยครั้งมากๆ อย่างดีก็แค่ตกข้าง
ทางแค่นั้น ไม่มีการชนกันเลย น่าตลกดีจัง"
"อืม อย่างนี้หรอกเหรอ ก็น่าแปลกดีนะครับ"

คุยกับเธอจนชาหมดกา ผมก็เลยจ่ายเงินพร้อมกับขอบคุณที่เธอเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เธอยิ้มให้
บอกกับผมว่าถ้ามีโอกาสก็แวะมาอีกนะ ผมเลยหยอดคำหวานไปว่า แน่นอน ผมจะมา
ที่นี่อีกเมื่อมีโอกาส

ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางกันต่อบนถนนเส้นนี้ ยังหรือระยะทางให้ปวดคออีก
ประมาณสองโลครึ่ง รู้สึกรำคาญใจยังไงก็ไม่รู้ แต่อยู่ดีๆผมก็ขำพรืดออกมา

เรากำลังเดินทางด้วยก้นของหนูมินท์นี่ ฮ่ะๆๆ





 

Create Date : 11 ธันวาคม 2551    
Last Update : 11 ธันวาคม 2551 17:17:08 น.
Counter : 455 Pageviews.  

ถนนที่หมาพากันเดินข้าม

จำไม่ได้แล้วล่ะว่าตอนที่ผมกับหนูมินท์เริ่มออกเดินทางด้วยกัน เราตั้งใจจะไปที่ไหน
ตอนแรกเราอาจจะมีเป้าหมายไปที่ใดที่หนึ่งนี่แหละ แต่พอออกเดินทางได้ซักพัก
เป้าหมายของเราก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุด เป้าหมายก็
หายไปพร้อมกับจุดเริ่มต้น แต่ช่างมันเถอะ ถึงผมจะไม่รู้จุดหมายว่าจะไปที่ไหน ผมก็
พอใจที่จะเดินทางกับหนูมินท์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

หนูมินท์เป็นรถไดฮัทสุ รุ่น มิร่า สีขาวนวล คันเล็กน่ารัก บางทีผมก็เรียกหนูมินท์ว่า
กระป๋องแป้ง ซึ่งดูเหมือนเธอจะงอนหน่อยๆ เวลาที่ผมเรียกชื่อนี้ เพราะเวลาเรียกเธอ
แบบนั้นทีไร จะเร่งเครื่องไม่ค่อยขึ้นทุกที

เรากำลังขับไปบนถนนเส้นหนึ่ง ถนนเส้นนี้แปลกมาก ป้ายบอกทางที่วิ่งถอยหลังหนี
เราไปตลอดสองข้างล้วนแต่เหมือนกันไปหมด

ป้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีเหลืองที่มีรูปหมากำลังเดินข้ามถนน

"หมายความว่าไงเนี่ย ?"
ผมถามหนูมินท์ แต่ก็เหมือนที่เคยเป็น เธอไม่ได้ตอบผมกลับ ผมก็เลยต้องสงสัยต่อไป
เราเดินทางต่อได้อีกไม่นาน ความสงสัยของผมได้คลี่คลายลง เมื่อได้เห็นภาพที่อยู่
ตรงหน้า

หมาห้าตัวกำลังพากันเดินเรียงแถวข้ามถนนอยู่

แม้ว่าผมจะบีบแตรเตือนพวกมันไปแล้วแต่พวกมันก็ไม่ได้สนใจพวกมันยังคงพากันข้าม
ถนนกันต่อไป ผมก็เลยต้องหยุดรอจนพวกมันพากันข้ามเสร็จถึงเดินทางต่อได้

เราไปต่อกันได้สักหน่อยก็เจอหมาอีกตัวกำลังจดๆ จ้องๆ ตรงไหล่ทาง ทำท่าเหมือน
กำลังจะข้ามถนน พอมันหันมาเห็นพวกเรา มันก็หยุดนิ่งจ้องมอง ผมเลยเบาใจว่าคิดว่า
มันคงไม่วิ่งตัดหน้า พอขับผ่านเลยไป ผมแอบมองมันผ่านทางกระจกหลัง มันหันซ้ายที
ขวาทีอีกครั้งก่อนรีบวิ่งตัดถนนไปอีกฟาก

ผมลอบยิ้มนิดๆ เออ หมามันมองซ้ายขวาก่อนข้ามถนนแฮะ ทำเหมือนกับคนเลย

สายลมโกรกผ่านกระจกข้างที่ผมเปิดเอาไว้ ลมพัดเอาความเย็นสบายมาให้ผมและ
หนูมินท์ เราเดินทางอย่างอารมณ์ดี



"เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ? "
ผมถามชายผู้หนึ่งที่กำลังเดินงุ่นง่านไปมารอบรถ

รถของเขาแหกลงข้างทาง ล้อหน้าจมลงไปในหล่มโคลน ไม่ว่าเขาจะเร่งเครื่องยังไง
รถก็ไม่ยอมหลุดออกมา เขาจึงลงจากมารถอย่างหัวเสีย ผมมาเห็นเข้าก็เลยหยุด
หนูมินท์แล้วลงมาดู

"หมาวิ่งตัดหน้าผม ผมหักหลบมันจนลงข้างทาง แล้วนี่ดูสิ รถดันติดหล่มอีก ซวยจริงๆ
ไอ้หมาเวรเอ้ย !"
เขาบ่นอย่างมีอารมณ์ พร้อมกับสบถให้กับตัวการของเรื่อง

ผมกับเขาช่วยกันกอบก้อนกรวดและหินที่อยู่ไหล่ทางมาถมล้อข้างที่จมลงในหล่มโคลน
พอได้ปริมาณเพียงพอกับการตะุกุย เขาก็ขึ้นขับรถเร่งเครื่องเต็มกำลังโดยมีผมช่วยดัน
รถอีกแรง ในที่สุดรถของเขาก็กลับขึ้นมาบนถนนได้เหมือนเดิม

"ขอบคุณมากเลยครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วย มีหวังผมได้ติดอยู่นี่อีกนานแหงๆเลยครับ
ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี ตอนนี้ผมเองก็ไม่อะไรติดตัวซะด้วย ถ้ายังไงขอที่อยู่ของคุณ
หน่อยสิครับ ผมจะได้ส่งของมาขอบคุณคุณ"
"ฮ่ะๆ ผมไม่มีที่อยู่หรอกครับ ตอนนี้ผมกำลังออกเดินทางเลยไม่ได้อยู่เป็นหลักแหล่ง
แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณอะไรมากมายหรอกครับ ช่วยๆกัน"

เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งด้วยดวงตาที่มีแววของความตั้งใจ ก่อนจะเปิดกระเป๋าเงิน
หยิบเอานามบัตรยื่นให้ผม
"ถ้าคุณมีปัญหาอะไรหรือต้องการความช่วยเหลือ ติดต่อผมได้ตามนี้เลยนะครับ"

หลังจากช่วยรถติดหล่ม เราเดินทางกันมาได้สักพักใหญ่ ระหว่างทางที่ผ่านมาเจอพวก
มันข้ามถนนกันหลายตัวมาก ข้ามไปมาจากสองฟากถนน บางตัวก็ข้ามอยู่ไกลๆ บางตัว
ก็ชอบวิ่งตัดหน้ารถ ผมรู้สึกเหนื่อยในการระวังพวกมันจนต้องยอมขับรถช้าๆ

อะไรของพวกมัน ?

ผมมีความสงสัยใหม่ขึ้นมา ทำไมถนนเส้นนี้ถึงมีได้มีหมาข้ามถนนเยอะแยะขนาดนี้ มัน
คิดอะไรของมันกันหนอ บางทีถนนเส้นนี้อาจจะตัดขวางเส้นทางของพวกมันมั้ง ?
สงสัยว่านี่คงจะเป็นสี่แยกของถนนคนและหมาก็ได้

ผมเดินทางต่อไปพร้อมกับข้อสงสัยในใจ



ผมบีบแตรเตือนเจ้าหมาที่กำลังจดๆจ้องจะข้ามถนนอยู่ พอมันได้ยินเสียงแตรมันก็สะดุ้ง
แต่แทนที่มันจะหยุด มันกลับวิ่งข้ามถนนไปในทันที

โครม !
เอี๊ยดดดด !

รถที่วิ่งตามหลังผมมากำลังตีคู่ขนาบข้างหนูมินท์เพื่อที่จะแซง แต่แล้วก็ชนเข้ากับหมา
ตัวที่วิ่งตัดหน้าเราไปแล้วอย่างเต็มแรง เจ้าของรถเหยียบเบรคอย่างเต็มกำลังจนทำให้
ถนนมีเส้นขนานสีดำเป็นทางยาว

ผมพาหนูมินท์แอบข้างทาง เดินไปดูรถคันที่เกิดอุบัติเหตุ กันชนและหม้อน้ำของรถพัง
ยับเยิน ไอน้ำร้อนๆพุ่งออกมาจนเป็นควันสีขาว เจ้าของรถกำลังบริภาษหมาผู้โชคร้าย
ตัวนั้นอย่างรุนแรง

"เป็นอะไรรึเปล่าครับ ?"
ผมถามเขา

แต่เขาไม่ตอบกลับ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสาย เขาคุยโทรศัพท์โดยไม่ได้
สนใจผมเลย น้ำเสียงและคำพูดคำจาค่อนข้างจะแรงและกระแทก ดูเหมือนว่าเขากำลัง
ถกเถียงกับใครสักคนหนึ่งอยู่

ผมมองรอบๆที่เกิดเหตุ ไม่เห็นร่างของหมาที่โชคร้ายตัวนั้นเลย ไม่ว่าจะข้างหน้าหรือ
ข้างหลังรถก็ไม่เห็น ผมเลยชะโงกดูใต้ท้องรถ หมาตัวนั้นนอนนิ่งอยู่ใต้ท้องรถ ร่างของ
มันหันพลิกอย่างผิดธรรมชาติ

มันคงตายแล้วล่ะ

ผมเดินไปเปิดหลังหนูมินท์ หยิบเอากรวยจราจรออกมา 2 อัน วางไว้ทั้งข้างหน้าและ
หลังรถคันนั้นเพื่อเตือนรถที่ขับผ่านไปมาให้ระวัง เพราะดูท่าเจ้าของรถจะไม่สนใจอะไร
อย่างอื่นอีกแล้วนอกจากโทรศัพท์มือถือ

รถที่ผ่านไปมาบางคันก็ขับช้าๆผ่านเลยไป บางคันก็หยุดถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผมยืน
บอกพวกเขา พวกเขาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะแสดงเห็นใจกับผม ก่อนขับจากไป

เจ้าของรถยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ ไม่ได้มารับฟังความเห็นใจแต่อย่างใด

ต่อมาไม่นานนัก รถเปิดไซเรนคันหนึ่งก็มุ่งมาที่เรา พอมาถึงเจ้าหน้าที่สามคนก็ลงมา
จากรถ หนึ่งในนั้นเดินเข้าไปถามและพูดกับเจ้าของรถที่หยุดคุยโทรศัพท์แล้ว สองคนที่
เหลือเข้ามาถามหาหมา พอผมบอกไป พวกเขาก็รีบมุดเข้าใต้ท้องรถเพื่อช่วยเหลือหมา
ทันที ร่างของหมาถูกนำออกมาจากใต้ท้องและถูกทำการกู้ชีพทันที เจ้าหน้าที่สองคน
นั้นทำการกู้ชีพอยู่นานพอสมควรก่อนจะยอมถอดใจเอาผ้าขาวห่อร่างเจ้าหมาไว้
หลังจากที่ไม่มีการตอบสนองจากสัญญาณชีพบนเครื่องช่วยหายใจภาคสนาม

รถตำรวจมาถึง ผู้คนจำนวนหนึ่งที่ดูท่าว่าจะเป็นชาวบ้านแถบนี้ต่างทยอยกันเข้ามาถาม
ไถ่กับเจ้าหน้าที่สองคนนั้น พอพวกเขาทราบข่าวว่าเจ้าหมาได้ตายไปแล้ว สีหน้าของ
พวกเขาก็ดูสลดลง เด็กน้อยบางคนมีน้ำรื้นๆอยู่ในดวงตาของพวกเขา

"อะไรนะ ! นี่มันบ้าไปแล้ว ! ทำไมผมต้องจ่ายค่าปรับข้อหาชนหมาตายด้วย มันมีที่ไหน
กฎหมายบ้าๆแบบนี้ !"
เจ้าของรถคันเกิดเหตุอุทานด้วยเสียงอันดัง

ดูเหมือนว่าพอมาถึงตำรวจก็แจ้งข้อหากับเขา ซึ่งเขาไม่ยอมรับ แม้ว่าตำรวจจะพยายาม
อธิบายให้เขาเข้าใจ แต่เขาก็ไม่สนใจ โวยวายใหญ่โตบอกกับตำรวจให้รอคุยกับตัวแทน
ประกันภัยที่กำลังจะมา

ผมละความสนใจจากทางนั้น มองไปที่เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มา พวกเขากำลังทำการ
ฝังศพหมาในหลุมที่พวกเขาขุดขึ้นมา เมื่อทำการฝังศพหมาเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็นำป้าย
สุสานที่เขียนว่า "ผู้จากไปขอจงไปสู่สุขคติ" มาปักไว้เหนือหลุมศพ ทุกคนต่างยืนสงบ
นิ่งไว้อาลัยครู่หนึ่ง พอเสร็จสิ้นพิธีเจ้าหน้าที่ก็ขับรถจากไป ชาวบ้านบางส่วนก็แยกย้าย
กันกลับ บางส่วนก็จับกลุ่มคุยกัน

ผมเดินไปหาพวกเขาแล้วถามผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้น
"เอ่อ ขอโทษครับ ทำไมถึงใส่ใจกับหมาจังเลยครับ ?"

หญิงคนนั้นหันกลับมามองที่ผมครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายให้ฟัง
"คืออย่างงี้ แต่ก่อนเราก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก หมาพวกนี้ก็ไม่ใช่หมาที่พวกเราเลี้ยง
มันมาจากที่ไหนเราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกมันเดินข้ามถนนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว รถที่ผ่านไป
มาชนพวกมันบ่อย เจ็บบ้างตายบ้าง บางครั้งก็มีหมาตายขึ้นอืดเกลื่อนข้างทาง แต่ก็
ไม่มีใครสนใจ จนวันหนึ่งมีคนขับรถผ่านมาเห็นเข้า เขาก็เริ่มจัดการฝังหมาที่ตายตาม
ข้างทาง พอฝังเสร็จเขาก็มาเข้ามาถามพวกเรา พอเขารู้ว่าไม่มีใครจัดการทำอะไร
เกี่ยวกับหมาพวกนี้ เขาก็เลยเริ่มรณรงค์ให้เราเห็นความสำคัญของพวกมัน พวกเราจึง
เริ่มตื่นตัว หน่วยงานต่างๆก็เข้ามามีส่วนร่วม ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับพวกมัน จนมา
เป็นอย่างที่เห็นนี่แหล่ะ"

ผมพยักหน้าเข้าใจในเรื่องที่เธอพูด คุยกับเธอต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวออกมา
ผมเดินไปเก็บกรวยจราจรใส่หลังหนูมินท์ไว้เหมือนเดิม

เราออกเดินทางกันต่อกันอย่างเอื่อยเฉื่อย ยังเหลือระยะทางอีกไกลกว่าจะพ้นถนนเส้นนี้
ผมเหม่อมองนอกหน้าต่าง มีหลุมฝังศพประปรายเรียงรายตลอดสองข้างทาง

พวกหมาก็ยังคงข้ามถนนผ่านหน้าพวกเราอยู่เรื่อยๆ





 

Create Date : 10 ธันวาคม 2551    
Last Update : 10 ธันวาคม 2551 11:49:22 น.
Counter : 799 Pageviews.  


garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.