เมื่อผมต่อยกับยมทูต



เสียงเดินของใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง ผมละสายตาสิ่งที่กำลังจ้องมองอยู่ หันหน้า
ไปเผชิญกับเจ้าของฝีเท้า

" หือ มาแล้วเหรอ ตรงเวลาเหลือเกินนะ "
" ก็มันเป็นงานนี่นา "
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำสนิททั้งตัว เอาฮู้ดคลุมศรีษะโผล่ให้เห็นแค่ใบหน้ายักไหล่พร้อมกับ
พูดตอบ

" เอาล่ะ ได้เวลามาเอาชีวิตแล้ว "
เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์และความรู้สึก ผมมองหน้าเขา ใบหน้าของเขา ก็ไม่แสดง
อารมณ์ใด ๆ เช่นกัน ไม่ใช่แค่ไม่แสดงอารมณ์ แต่ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเขาโดนผมต่อยซะไม่เลี้ยงขนาดนั้น
แต่วันนี้กลับไม่มีบาดแผลอะไรให้เห็นเลย ในขณะที่โหนกแก้มของผมปูดและปากยังคงแตกอยู่

" ไม่แฟร์เลยว่ะ "
" อะไรไม่แฟร์ "
" โดนต่อยไปตั้งเยอะตั้งแยะ แต่วันนี้ไม่มีแผล ไม่แฟร์เลย "
" ใครบอก ผมนี่แหล่ะแฟร์ที่สุดแล้ว "
" แฟร์ตรงไหน ? "
" ก็แฟร์ตรงที่ไม่ว่าจะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน แต่พอถึงฆาต ผมก็มาเอาชีวิตเหมือนกันหมดทุกคน "
" เฮอะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย ถ้าแฟร์จริง ก็เจ็บตัวให้เท่ากับที่โดนต่อยหน่อยเซ่ นี่อะไร แผลเผอไม่มี
เกินไปป่าว "

เขายักไหล่อีกครั้ง ท่าทางชวนให้หมั่นไส้และถวายกำปั้นให้รับประทาน
" ก็ให้ทำไงได้ ผมเป็นยมทูต จะให้มีแผลแบบมนุษย์ธรรมดาไม่ได้หรอก ต่อให้คุณอัดผมหนักแค่ไหน
ผมก็ไม่มีแผลหรอก "

ฮื่อ

ผมพ่นลมหายใจออกจากจมูกแรง ๆ อย่างไม่สบอารมณ์ เชอะ ยมทูตมีแผลไม่ได้ เอาเปรียบกันเกินไป
แล้วนะ ไอ้ยมทูต

" เดี๋ยวจะเลยเวลา ครั้งนี้ผมเอาจริง "
" ถือคติครั้งที่สามของจริงเหรอ "
" ก็ประมาณนั้น "
เเววตาของเขาลุกวาวอยู่หลังฮู้ดสีดำสนิท เราจ้องตากัน

ผมละสายตาจากเขา หันกลับไปมองข้างหลัง ร่างหนึ่งกำลังนอนหายใจเข้าออกอย่างรวยรินอยู่บน
ผ้าห่ม บ่งบอกให้ทราบถึงสมรรถภาพทางชีวภาพที่กำลังถดถอย ใกล้จบสิ้นลงทุกที

" ยังไม่ใช่ตอนนี้ "
ผมหันหน้ากลับมาคุยกับเด็กหนุ่มที่เป็นยมทูตอีกครั้ง

" แต่ผมต้องทำงาน งั้นก็คงต้องใช้กำลัง "
" ก็คงต้องออกกำลังมากหน่อยนะ "
เราทั้งสองจ้องตากัน กำหมัดแน่น สืบเท้าเข้าหากัน

************************************************************

สักห้าวันก่อน หลังจากที่ป่วยเสาะแสะมานาน ในที่สุด นังส้มก็ทิ้งร่างอันอ้วนกลมของมันล้มหมอน
นอนเสื่อจนได้ มันหายใจรวยริน ตัวกระเพื่อมแค่ทีละน้อย ๆ เท่านั้น

แน่นอนอยู่แล้วว่า ผมซึ่งเติบโตมาพร้อมกับมัน แทบจะเรียกได้ว่าพี่น้องคลานตามกันมาย่อมต้อง
กระวนกระวายใจอย่างเป็นที่สุด อยากจะช่วยเหลือมันอย่างเหลือเกิน แต่ว่าบ้านนอกซะขนาดนี้ จะมี
สัตวแพทย์จากไหนมาเปิดร้านรักษาสัตว์ แม้แต่ในตัวอำเภอก็เถอะ ผมยังไม่เคยเห็นคลินิกรักษาสัตว์
เลย ทางเดียวคือต้องไปตัวจังหวัด แต่มันก็ทั้งไกลและต้องใช้เงินเท่าไรก็ไม่รู้

บ้านผมไม่มีเงินมากพอขนาดนั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทางเดียวที่ทำได้คือปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ผมจึงจัดที่นอนให้มัน เอาผ้าห่ม
เก่า ๆ มาปู อุ้มมันมานอน หาข้าวและน้ำมาวางให้มัน แต่มันไม่ยอมกินอะไร นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ตัว
แทบไม่เขยื้อน ไม่มีแม้แต่เสียงคราง

มันกำลังใกล้จะตาย

ผมนั่งเฝ้าไข้มันตลอด มองดูลมหายใจที่ค่อยอ่อนแรงลงทีละน้อย จนพ่อกับแม่ต้องด่าให้ผมไปทำงาน
บ้าน ไปกินข้าว ไปนอน แต่ทันทีที่ผมว่าง ผมจะรีบนั่งเฝ้ามัน พับผ่าสิ ผมทำได้แค่เฝ้ามัน มองมันที่
กำลังค่อย ๆ ตาย ทำอะไรให้ดีกว่านี้ไม่ได้เลย บ้าเอ๊ย

และเมื่อสองวันก่อน ตอนเกือบ ๆ สี่โมง เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำมีฮู้ด อายุก็น่าจะรุ่นราวคราว
เดียวกันกับผมก็ปรากฎตัวขึ้นมา

ทันทีที่ผมเห็นเขา ผมก็ถามเขาว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน และเขาก็ตอบกลับมาว่า เขาคือยมทูต
" อะไรของแก เมายาเรอะ "
" เปล่า เป็นยมทูตจริง ๆ นะ "
" เฮ้ย ๆ ออกไป เข้ามาทางไหนออกไปทางนั้นเลย "
" ไม่ได้หรอก ผมต้องทำงาน "
" งานอะไร ? "
" มาเอาชีวิต หมาตัวนั้นถึงฆาตแล้ว "

ผมหันหลังกลับไปมองนังส้มทันที มันยังคงนอนหายใจพะงาบ ๆ อยู่ที่เดิม
" เฮ้ย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ออกไปได้แล้ว ไป๊ "
" เดี๋ยวขอทำงานก่อน พอเสร็จงานแล้วจะรีบออกไปทันที "

พอพูดจบ เขาก็เดินดุ่มไปหานังส้ม ผมตกใจ รีบเอื้อมมือไปจับแขนพร้อมกับออกแรงกระชากจนตัว
ของเขาหมุนคว้าง
" ทำอะไร ! "
" ก็จะเอาชีวิตมันไง "
" ชีวง ชีวิต อะไร ออกไปได้แล้ว ! "
" ก็มันถึงฆาตแล้ว ผมต้องมาเอา ... "

พล่อก !

ร่างของเขาล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ผมกำหมัด ยืนตระหง่านต่อหน้า ตะเบ็งเสียงใส่
" บอกให้ออกไป ก็ออกไปเซ่ ! พูดไม่รู้เรื่องรึไง ! เมายามาจากไหนว่ะ ! "

เขาลุกขึ้นยืน แล้วก็มองหน้าผม
" ตอนนี้เลยเวลาสี่โมงสี่นาทีแล้ว "
" บ่นบ้าอะไร บอกให้ออกไป "
" เพราะคุณมาขวางผมไว้ ทำให้ผมไม่สามารถเอาชีวิตของมันได้ตามกำหนดเวลา เวลาตายของมันเลย
ต้องคลาดเคลื่อน "
" บอกให้ออกไปก็ออกไปสิวะ ! "
" งั้นพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่อีกครั้งตอนสี่โมงเย็น "
" ไปได้ได้แล้ว ไป๊ ! "

เขาไม่ตอบอะไร หันหลังให้กับผมแล้วก็หายร่างไปอย่างทันทีทันใด

ผมตะลึงงันอยู่กับที่

******************************************************************************

หลังจากเวลานั้นจวบกระทั่งวันรุ่งขึ้น ผมเฝ้าบอกกับตัวเองว่า มันคือภาพหลอน ไม่ใช่ภูติผีปีศาจมา
จากไหน มันเป็นแค่ภาพหลอน อุปทาน จิตฟุ้งซ่าน ประสานหลอนไปเองเท่านั้น ไม่ใช่ยมทูตอย่าง
แน่นอน ไม่เห็น ไม่ได้เห็น ไม่ใช่ยมทูต ตาฝาด แต่ถึงผมจะเฝ้าบอกตัวเองจนเข้าข่ายที่แทบจะเรียกได้
ว่าสะกดจิตตัวเอง แต่พอสี่โมงตรงของเมื่อวานนี้ ผมก็ถูกย้ำเตือนให้ได้รู้ว่า สิ่งที่เห็นเมื่อวานน่ะ
มันคือความจริง

เด็กหนุ่มยมทูตคนเดิมปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าอีกครั้ง

" เอาล่ะ ได้เวลาแล้วล่ะ ผมต้องเอาชีวิตหมาตัวนั้นแล้ว "
เขายังพูดด้วน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิม

ความกลัวสั่นไหวอยู่ในดวงตาของผม ยอมรับเลยว่าผมกลัวมาก ใครจะไม่กลัว ยมทูตนะนี่ ยมทูตที่
ทำหน้าที่พรากชีวิต มอบความตายให้ ไม่กลัวก็บ้าแล้ว ร้อยทั้งร้อยวิ่งกันป่าราบแน่นอน แต่ผมกลับ
ขาสั่น วิ่งไม่ออก ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่

" ขอโทษที ช่วยหลบหน่อยได้ไหม "
" มะ ไม่ได้ จะเอาชีวิตนางส้มไปไม่ได้ "
ผมปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้แล้วว่าคนพูดกำลังกลัว

เขาเอียงคอ มองผมด้วยความสงสัย
" ทำไมถึงไม่ได้ ทุกชีวิตมีเกิดก็ต้องมีตาย และหมาตัวนี้ก็ถึงเวลาตายของมันแล้ว "
" มะ ไม่ใช่ "
" ทำไมไม่ใช่ นี่คือความจริง สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธ สิ่งที่เป็นสัจธรรม ทุกผู้ทุกนามล้วนแต่ต้องอยู่ภายใต้
ความจริงข้อนี้ทั้งนั้น ถึงไม่ตายวันนี้ อีกไม่นานก็ต้องตายอยู่ดี ฝืนไม่ได้หรอก "

ผมนิ่งงัน ไร้คำพูดต่อต้าน

" และหมาตัวนั้นก็ถึงเวลาตาย "
" มะ ไม่ใช่ ตอนนี้ ! "
เสียงของผมยังคงสั่นอยู่

" สี่โมงสี่นาทีคือเวลาตายของหมาตัวนี้ ผมต้องเอาชีวิตมันแล้วล่ะ "
" ยังไม่ได้ "
" คุณจะยื้อ ไว้ทำไม คิดจะฝืนกฏของธรรมชาติอย่างนั้นเหรอ "
" ไม่ได้ฝืน "
" ถ้าไม่ได้ฝืน ก็หลบทางให้สิ "
" ไม่ได้ "
" ทำไมล่ะ ในเมื่อคุณไม่คิดจะฝืนกฏของธรรมชาติที่ทุกชีวิตต้องตาย แต่คุณกลับปฎิเสธไม่ยอมให้ผม
เอาชีวิตของหมาตัวนั้น การกระทำของคุณขัดแย้งกันเกินไปแล้ว "

เขาพูดถูกทุกอย่าง ความคิด คำพูดและการกระทำของผมมันขัดแย้ง ใจที่ยอมรับ ใจที่ไม่ยอมรับ กำลัง
หักล้างกันไปมาอย่างหาความชัดเจนไม่ได้ ผมอธิบายอะไรไม่ถูก บอกเขาได้แค่อย่างเดียว
" ไม่ใช่ตอนนี้ "

ดูท่าเขาไม่สบอารมณ์เท่าไร จึงได้ทำเสียงจิจ๊ะก่อนจะพูดขึ้นมา
" งั้นก็ขอโทษทีที่ไม่สุภาพ แต่ผมต้องทำงาน "

เขาเดินเข้ามาใกล้ผม ใช้มือทั้งสองข้างผลักผมจนถอยหลัง ก่อนจะเดินเข้าไปหานังส้ม
ทันทีที่ผมตั้งหลักได้ ผมก็ปราดเข้าไปหาเขาทันที

ผั่วะ พลั่ก ตุบ ตับ ผั่วะ ผั่วะ ผั่วะ ตุบ พลั่ก พลั่ก !!!

เราต่อยกันอยู่นานมาก ไม่รู้สิอาจจะแค่ไม่กี่นาที แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันนานเอามาก ๆ ผมซัดเจ้ายมทูต
ไปตั้งมากมายหลายหมัดแต่ก็โดนสวนกลับมาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ในที่สุดหมัดสุดท้ายของผมก็จิ้ม
เข้าไปที่กึ่งปากกึ่งจมูก เขาเซถลาเป็นนกปีกหัก ก่อนจะร่วงลงไปนั่งกับพื้น

เลือดไหลออกจากจมูกและปากของเขา ส่วนผมโหนกแก้มแดงก่ำ

เขาหยัดตัวลุกขึ้นยืน เช็ดเลือดออกจากจมูก
" เลยเวลาสี่โมงสี่นาที เวลาการตายคลาดเคลื่อนอีกแล้ว "
" ช่างหัวแกสิ "
" งั้นพรุ่งนี้เวลาสี่โมงตรงผมจะมาใหม่ "

และเขาก็หายตัวไป

ผมก้มลงใช้มือชันเข่าทั้งสองข้าง หอบหายใจ พอหายเหนื่อยก็เหลียวมองข้างหลัง นังส้มยังนอนหายใจ
ด้วยแรงอันน้อยนิดของมันอยู่ข้างหลัง

หายใจต่อไปเถอะ ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ฉันก็จะจิ้มเจ้ายมทูตให้ร่วงเหมือนวันนี้นั่นแหล่ะ

*****************************************************************

ไม่มีใครเอาชนะความตายได้

และผมได้รับรู้ถึงความหนักแน่นของคำกล่าวด้วยร่างกายของผมเองอยู่ในตอนนี้

แทบจะเรียกได้ว่าหนังคนละม้วนกับเมื่อวาน พอเราเริ่มต่อยกัน ผมก็โดนพายุหมัดของยมทูตรัวใส่ไม่
มียั้ง ผมพยายามตอบโต้ ชกสวนออกไปบ้างแต่ก็วืดจั่วลม เจ้ายมทูตมันแทบจะเป็นคนละคนกับ
เมื่อวาน เจนจัดราวกับเป็นนักมวยอาชีพ

" ตั้งการ์ดสิวะ ๆ โหย โง่ชิบหาย "
ถ้อยคำที่ผมและพ่อตะโกนด่านักมวยเวลาดูมวยตู้ด้วยกัน เวลาที่นักมวยฝ่ายหนึ่งเมาหมัด ตอบโต้ฝ่าย
ตรงข้ามอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเป้านิ่งให้ฝ่ายตรงข้ามไป ดังก้องในหัวของผม

ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสภาพเดียวกับนักมวยเหล่านั้น

ผมคิดว่าต้องการ์ด แต่ไม่ไหว มือมันยกไม่ขึ้น พอชก หมัดก็เชื่องช้าจนเขาหลบได้ พอจะการ์ด
ก็ไม่ทันโดนต่อยก่อน ตอบโต้ไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ กลายเป็นกระสอบทรายเคลื่อนที่

พล่อก !

หมัดซ้ายเข้าที่คางผมอย่างจัง ดาวเดือนระยิบระยับ แข้งขาอ่อนแรง ไม่สามารถทรงตัว ผมทรุดฮวบลง
ไปกองที่พื้น โลกหมุนวนเวียนจนภาพต่าง ๆ บิดเบี้ยวไปหมด

พอเด็กหนุ่มยมทูตน็อกผมได้ เขาก็เดินผ่านผมไป ตรงดิ่งไปยังนังส้ม
ผมพยายามควบคุมสติที่เลอะเลือน พยายามหยัดกายให้ลุกขึ้นมาขวางหมอนั่นใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ไหว
ลุกไม่ขึ้น ไม่มีแรงแล้ว แค่จะครองสติก็ยังยากเลย

" ปล่อย "
ยมทูตก้มมองมาที่ผม ดวงตาที่ดำสนิทของเขากำลังจ้องมองผมอย่างไร้ความรู้สึก

ผมรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีอยู่ เอื้อมมือไปคว้าขากางเกงของเขาเอาไว้ พยายามรั้งเท่าที่จะมีแรงและ
ปัญญาจะทำได้ แต่ดูท่าไม่เป็นผล ถึงปากของเขาจะพูดว่าให้ผมปล่อย แต่แค่เขาออกแรงก้าวต่อ มือ
ของผมก็หลุดจากขากางเกงของแล้ว ผมจึงทำได้แค่จ้องมองยมทูตที่กำลังเดินไปหานังส้มเท่านั้น

ภาพที่ปรากฏให้เห็นต่อหน้าใบหน้าที่บวมปูด ตาแทบปิด ก็คือเด็กหนุ่มสวมชุดดำคลุมฮู้ด นั่งยอง ๆ
ลงข้างนังส้มที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรี่ยวแรงงัดหัวของมันให้พ้นพื้นขึ้นมาเลียลูกหมาน้อยตัวสีส้ม ๆซึ่งเป็น
สีเดียวกับแม่ของมันอยู่ เจ้าตัวสีส้มน้อย ๆ ทั้งสี่ร้องครางอูด ๆ ในลำคอเมื่อโดนโดนแม่มันเลีย

ในที่สุดก็คลอดแล้วสินะ

พอนังส้มเลียลูกของมันเสร็จเรียบร้อย ราวกับภาระจบสิ้นลงแล้ว มันก็ทิ้งหัวลงบนพื้น ครางเบา ๆ
ตัวกระตุกเล็กน้อย พอเป็นเช่นนั้น ยมทูตก็เอื้อมมือไปลูบหัวของมันอย่างเบา ๆ

แล้วมันก็ไม่หายใจอีกเลย

ผมพลิกตัวนอนหงาย หายใจเอาอากาศเข้าปอด สติสตังเริ่มกลับมาแล้วแถมไม่กลับมาเปล่า ๆ ยังพา
อารมณ์และความรู้สึกบางอย่างมาเป็นเพื่อนด้วย

ยมทูตเดินมายืนข้าง ๆ และจ้องมองผม แต่ผมไม่อยากมองเขาจึงหันหน้าหนี แต่พอหันหน้าไปก็เจอ
นังส้ม ใช่แล้วล่ะ ถึงรูปร่างของมันจะโปร่งแสงและเลือนลาง ตาของผมก็บวมจนปิดไปข้างแล้ว แต่
สิ่งที่ผมเห็นคือนังส้มไม่ผิดเพี้ยนไปแน่นอน

มันกำลังยืนอยู่ ยื่นหน้ามาใกล้ แลบลิ้นออกมาเลียผมเหมือนกับที่เลียลูกของมัน ไม่เอาน่า บอกกี่ครั้ง
แล้วว่าไม่ชอบให้เลียหน้า มันเหนียวแล้วก็เหม็น

แต่ครั้งนี้กลับไม่เหนียว ไม่เหม็น ไม่ได้แม้แต่จะได้สัมผัสจากปลายลิ้นของมัน

" เอาล่ะไปได้แล้ว "
ยมทูตเอื้อมมือมาลูบหัวมันแล้วจึงออกเดิน นังส้มหยุดเลีย หันหน้ามองผม สีหน้ามันละห้อย แต่
สุดท้ายมันก็หันหลังให้แล้วก็เดินเคียงคู่ไปกับเด็กหนุ่มชุดดำ

" ขอบใจ ที่รอจนกว่าจะคลอด "
ผมเค้นเสียงพูดออกมาจากปากที่บวมเจ่อและแตกจนเลือดย้อย น้ำเสียงอาจไม่ได้บ่งบอกถึงความซึ้ง
ในน้ำใจเท่าไรนัก

" เจ้านายแกนี่บ้าเนอะ ดันขอบคุณคนที่ต่อยตัวเองซะหน้าแหก "
ยมทูตไม่หันมามองผม แต่กลับก้มลงไปคุยกับนังส้มแทน แต่ก็ไม่มีคำตอบจากนังส้มหรือคำพูด
เพิ่มเติมใด ๆ เพราะทั้งสองหายตัวไปแล้ว

ผมนอนนิ่งอยู่ที่เดิมจนกระทั่งเรี่ยวแรงกลับคืนมาจึงค่อยหยัดกายลุกขึ้น หันหน้าไปมองชีวิตที่ดับไป
แล้วกับชีวิตที่กำลังเริ่มต้นใหม่อีกสี่ตัว ผมนั่งลงกับพื้นมองลูกหมาน้อยทั้งสี่ตัวที่นอนเคียงข้างศพแม่
ของมัน

น้ำตาไหลออกมาจากตาที่บวมปิด หยดน้ำตาลากผ่านปากที่บวมเจ่อแต่ก็พอจะดูออกได้ว่ากำลังยิ้ม




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2552 8:21:50 น.
Counter : 471 Pageviews.  

เมื่อผมกลายเป็นแมลงสาบ

หลังเลิกเรียนมา ผมพบว่าตัวเองไม่มีอะไรจะทำ
และด้วยนิสัยอันไม่ค่อยเอาการเอางานของผมบอกว่า การบ้านก็งั้นๆ ไม่ด่วนเท่าไร
เอาไว้ตอนใกล้จะส่งค่อยทำดีกว่า ผมก็เลยคว้าเอาเบียร์ที่ดองไว้ในตู้เย็นออกมา
ลิ้มรส

อืม...เย็น ขม กลมกล่อม เอิ้ก...

ตอนแรกว่าจะกินแค่กระป๋องเดียว ไปๆ มาๆ จำนวนกระป๋องก็เพิ่มขึ้นมารายรอบตัว
อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เมาสุดๆ

ด้วยความเมาทำให้ผมไม่สามารถครองสติสัมปะชัญญะได้ไหว ผมเลยฟุบหลับไป
เวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าพอตื่นขึ้นมาก็มีบางอย่างผิดปกติ

ทำไมของรายรอบตัวผมถึงได้ดูผิดสังเกต

หมอนที่หนุนนอนกลายเป็นเนินเขาย่อมๆ ตุ๊กตาหมีตัวที่นอนกอดนอนประจำกลาย
เป็นหมียักษ์ หันไปมองรอบตัวทุกสิ่งทุกอย่างใหญ่มหึมาไปหมด

"เฮ่ย ! เฮ้ย ! เฮ้ยยยย ! มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย !"
หัวสมองเตลิดเปิดเปิง สติสตังไม่อยู่กับตัว ผมวิ่งพล่านวนไปวนมาบนเตียง แต่พอ
วิ่งมาถึงขอบเตียงกลับต้องหยุดกึก ขอบเตียงกลายเป็นหน้าผาที่สูงชันไปซะแล้ว

ผมหยุดนิ่ง ไร้ความคิด

ผมชะโงกหน้าลงไปมองที่ก้นหน้าผา ประมาณความลึกโห... มันลึกเอาเรื่องเลยล่ะ
แล้วอย่างนี้จะลงจากเตียงยังไงเนี่ย มีหวังติดแหง็กอดตายอยู่ที่นี่แน่ ผมเริ่มคิดวิตก
กังวลและฟุ้งซ่าน ยืนอ้าปากค้าง สายตาของผมทอดมองไปยังก้อนหินก้อนเบ้อเริ่ม
ที่อยู่ตรงพื้นข้างล่าง รูปทรงและสีสันมันช่างเหมือนขี้จิ้งจกซะจริงๆ

ยืนไร้สมองที่ขอบเตียงอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ผมเห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่
บ้างบนหัวของผม มันเป็นเส้นยาวๆสองเส้นที่ส่ายขึ้น ลง พอผมเงยหน้าขึ้นไปดู
มันก็เคลื่อนที่ขึ้นหนี หันไปซ้าย มันก็ไปซ้ายตาม หันไปขวา มันก็ยังไปขวาตาม
ผมสงสัยอย่างเป็นที่สุดเลยเอื้อมไปคว้ามาดู แต่พอเห็นมือตัวเอง ผมก็ชะงัก

มือผมมันเปลี๊ยนไป๋

มันเรียวเล็กเป็นปล้องสีน้ำตาลแถมมีเงี่ยงด้วย ผมตกใจ รีบยกมืออีกข้างขึ้นมาดู
มันก็เป็นเหมือนกัน พอสำรวจตัวเองพบว่ามีขาเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ข้าง เนื้อตัว แขน
ขา สีเดียวกันไปหมด ลักษณะอย่างนี้ชัดเลย

เมาค้างนี่เอง นอนต่อดีกว่า
.
.
.

โครก !

เสียงท้องร้องปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่ตื่น ผมรีบสำรวจร่างกายตัวเองก่อน
เป็นอันดับแรก โดยไม่สนใจอาการโวยวายของกระเพาะ มันยังเหมือนเดิม แขน ขา
เป็นปล้องสีน้ำตาลที่ดูคุ้นๆ เหมือนจะเห็นอยู่เรื่อยๆ

ว้ากกกก ! ตูกลายเป็นแมลงสาบไปซะแล้ว !!!

ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่ต้องเป็นฝัน ใช่ ฝันแน่ๆ ผมพยายามบอกตัวเองว่านี่คือฝัน
ก่อนจะเอามือมาตบหน้าตัวเอง แต่มือผมมันไม่มีฝ่ามือซะแล้ว ผมเลยตบหน้า
ตัวเองไม่ได้ ต้องใช้การเคาะหน้าแทน แต่ผลที่ได้คือมันเจ็บ ไม่ว่าจะเคาะกี่ทีก็เจ็บ
อ้าวเวรไม่ใช่ฝันซะแล้ว แล้วมันอะไรล่ะ ผมนิ่งงันพยายามๆหาเหตุผลมาตอบตัวเอง

อ้อ ! แมททริกซ์ไง ตอนนี้ผมอยู่ในแมททริกซ์แมลงสาบ
... บ้าแล้ว ! มันใช่ซะที่ไหน มันเรื่องจริงแน่นอน ผมกลายเป็นแมลงสาบไปแล้ว !

"ทำไมล่ะ ทำไม ทำไม ทามม๊าย !!!"
ผมเงยหน้าขึ้น แหกปากกู่ตะโกนกึกก้อง มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย มันเป็นได้ยังไง
ผมหันรีหันขวางไปมา พอมองเห็นกำแพง (เตียงนอนของผมชิดกำแพง) ผมเลยวิ่ง
เข้าใส่ กะจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตื่นจากความฝันหรือไม่ก็ทำลายระบบแมททริกซ์
เผื่อว่าเอ็นทรี่ปลั๊กจะหลุด แต่ด้วยว่าวิ่งมาเร็วเกินไป ผมก็เลยหยุดไม่อยู่ พอไปถึง
กำแพง ตัวของผมก็ยังพุ่งต่อไปอีก ผมใช้ทั้งแขนและขาสี่ข้างยันผนังไว้ก็ยั้งไม่อยู่
จนในที่สุดร่างของผมก็ถลำขึ้นไปวิ่งต่อบนผนัง

เฮ้ย ! ผมไต่ผนังได้เว้ยเฮ้ย !

ใช่แล้ว ! ผมกลายเป็นแมลงสาบไปแล้วนี่ ดังนั้นผมก็น่าจะสามารถทำอะไรได้เหมือน
แมลงสาบสิ ผมเลยลองไต่ผนังสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ดู มันไต่ได้แฮะ แต่พอหันกลับลง
มาข้างล่าง มันสูงซะจนพาลใจหวิว แข้งขาสั่น ผมเลยไต่ลงกลับมาที่เตียงคืน ผม
ลองไต่ไปมาทั้งบนผนัง หัวเตียงและลองไต่ลงจากเตียง โอ้ว ! ผมทำได้แฮะ ตอนนี้
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสไปเดอร์แมนกลายๆเลยแฮะ

เป็นแมลงสาบเนี่ย มันก็ดีไปอีกแบบ

โครก !

ท้องผมส่งเสียงเตือนอีกคนั้งเพื่อดับความฟุ้งซ่าน ผมต้องออกหาอะไรใส่ท้องซะ
ก่อนที่มันจะโวยวายมากกว่านี้ ผมก็เลยไต่ขึ้นโต๊ะญี่ปุ่น ยำปลากระป๋องที่ทำไว้แกล้ม
กับเบียร์เมื่อคืนยังเหลืออยู่ ผมกินเศษชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งก็อิ่มเสียแล้ว เป็นแมลงสาบ
นี่ช่างประหยัดอาหารดีเสียจริงๆ

พออิ่ม สมองก็เริ่มทำงาน ผมเริ่มกลับมาคิดหาสาเหตุที่ทำให้ตัวเองกลายเป็น
แมลงสาบ แม้ว่าจะย้อนไล่ทบทวนยังไงก็ไม่เห็นจะมีสิ่งใดที่สมเหตุสมผลที่จะมา
อธิบายถึงการที่ผมแปลงร่างแบบนี้เลย

ผมมืดแปดด้าน

ช่างหัวมันดีกว่า มันเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้ที่มาแล้วผมจะรู้วิธีกลับคืนร่างเดิมได้ยังไง
คิดมากไปก็ไม่มีอะไรงอกเงย สู้ออกสำรวจดูรอบๆ ดีกว่า เผื่อจะเจอเบาะแสอะไร
บ้างก็ได้ ผมเลยออกเดินสำรวจไปทั่วห้อง ห้องกลายเป็นพื้นที่มหึมา ของที่เคยใช้
อยู่ทุกวันก็ใหญ่โตมโหฬาร สร้างความตื่นตาตื่นใจและอาการเหงื่อตกให้แก่ผมไป
พร้อมๆ กัน

กินเวลาและแรงกายอยู่นาน ในที่สุดผมก็สำรวจจนทั่วห้อง ได้ผลสรุปว่ามันก็เป็นห้อง
ของผมเหมือนเดิม ไม่มีวงกลมปริศนา เครื่องมือวิทยาศาสตร์ล้ำยุค ขวดยาพิลึก ๆ
หรือสิ่งอื่นใดที่น่าสงสัยว่าจะทำให้ผมกลายเป็นแมลงสาบแต่อย่างใด แม้ว่าผมลอง
กินเบียร์ที่เหลือค้างตามขอบกระป๋็องดูแล้ว แม้ว่าจะเมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกลับคืน
ร่างคน ไอ้ครั้นจะลงไปอาบในกระป๋องเลย ก็กลัวว่าตัวเองจะกลับขึ้นมาไม่ได้ กลาย
เป็นแมลงสาบกระป๋องไป ผมก็เลยหยุดทำทุกอย่าง ทอดอาลัยอย่างหมดหวัง

แต่ทันใดนั้น แสงสว่างก็ทอมาที่ผม

ผมมองไปที่แหล่งกำเนิด มันเป็นช่องว่างระหว่างประตูกับพื้น พอผมเห็นเข้า ผมก็
เลยตัดสินใจออกไปสำรวจข้างนอก

พอออกมาก็พบว่าระเบียงทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตา ผมรู้สึกท้อแท้และห่อเหี่ยวขึ้น
มาทันที แล้วแบบนี้ตูจะไปไหนรอดฟ่ะเนี่ย แต่พอมองดูที่วางรองเท้าหน้าห้อง ผมก็
ขนลุกซู่ขึ้นมา

รองเท้าผมหายไป !

นี่หมายความว่า ร่างของผมออกไปข้างนอกสิท่า รึว่าผมสลับร่างกับแมลงสาบ !
ไม่น่าใช่ เพราะถ้าแมลงสาบอยู่ในร่างผม มันก็ไม่น่าจะรู้จักการใส่รองเท้าก่อนออก
ไปเดินข้างนอก นี่แสดงว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับตัวของผมแน่นอน

ฮื่อออ ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ที่เหลือก็รอแค่ให้ร่างของผมกลับ
เข้าห้องมาอีกทีแค่นั้นแหล่ะ ถ้ามันกลับมาเมื่อไรก็ค่อยหาทางกลับเข้าร่างอีกที
อาจจะเอาหัวโขกกัน หรือไม่ก็กัดมัน หรือไม่ก็บางทีอาจคุยกันสื่อสารกันรู้เรื่องก็ได้
มั้ง

ระหว่างที่ผมหมุนตัวกลับเข้าห้องอีกครั้ง สายตาก็ดันไปเห็นรองเท้าผู้หญิงขนาด
มหึมา จอดอยู่หน้าห้องที่ถัดจากห้องของผมไปสองห้อง ดูท่าเจ้าของห้องน่าจะอยู่
ในห้อง ผมเองก็เคยเห็นเธออยู่บ่อยๆ น้องเขาเป็นนักศึกษาหน้าตาน่ารักซะด้วยสิ

ความจังไรก็ผุดขึ้นมาในหัว

ตอนนี้ตูเป็นแมลงสาบซึ่งเป็นแมลงที่น่ารังเกียจอยู่แล้ว ถึงทำทุเรศขนาดไหน ก็ไม่
น่ารังเกียจมากไปมากกว่าเดิมได้หรอก คิดได้ดังนั้น ผมก็หัวเราะฮี่ ๆๆ ออกมาอย่าง
ชั่วร้าย

แอบไปดูน้องเขาดีกว่า

ผมวิ่งตุปัดตุเป๋เนื่องไม่ชินกับการที่มีขาถึงหกขา มุดลอดช่องใต้ประตูเข้าไปในห้อง
เป้าหมาย พอเข้าไปได้ก็เห็นเจ้าของแต่งชุดนักศึกษาตามแบบสมัยนิยม นั่งห้อยขา
ลงมาจากเตียง เจ้าตัวกำลังโทรศัพท์ส่งเสียงคิกคัก ๆ อย่างสนุกสนานโดยไม่ได้
สนใจสิ่งแปลกปลอมที่ลักลอบเข้าไปในห้องของเธอแต่อย่างใด

ผมมองที่ข้อเท้าขึ้นไล่สายตาโลมไล้เนื้อขาวนวลเนียนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ผิวสาวนี่ดีจัง
เมื่อได้มองทีไรก็ทำให้เกิดอารมณ์สุนทรีทุกที อา... น่าเคลิบเคลิ้มเสียจริง

วี้ดดดดดดด !

จู่ๆ เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้น ร่างของผมลอยละลิ่วกระแทกเข้ากับตัวตู้เย็น
ก่อนจะร่วงลงเข้าไปใต้มัน ผมหงายท้องชักแหงก ๆ เนื่องจากจุกอย่างแรง

ตะเกียกตะกายอยู่พักใหญ่ ผมจึงสามารถคว่ำตัวกลับมาเป็นปกติได้ เมื่อตั้งหลักได้
ผมก็สบถให้ตัวเอง นี่เป็นเพราะว่ามัวแต่เคลิ้มอยู่แท้ๆ เลยไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้เดินเข้า
ไปใกล้จนเผลอไต่ขึ้นขาน้องเขา พอเขารู้สึกตัวก็เลยสะบัดขาหนีอย่างแรง จนต้อง
มาเจ็บตัวแบบนี้

สถานการณ์เริ่มไม่ดีซะแล้ว ผมต้องรีบหาทางออกไปโดยด่วน ไม่เช่นนั้นอาจจะโดน
อะไรร้ายแรงจนถึงตายก็ได้ เมื่อคิดได้ผมก็รีบซอยขาทั้งหกวิ่งออกจากใต้ตูเย็นทันที
แต่ก่อนที่จะออกมาได้ อยู่ๆ ผมก็เห็นมือน้องเขาถือชอล์กสีขาวกำลังลากเส้นบนพื้น
ขวางหน้าผมไว้ ผมหันหน้าหนีกะจะวิ่งไปทางอื่น น้องเขาก็ยังตามขีดเส้นขวางหน้า
ไว้ จนในที่สุดตู้เย็นก็ถูกล้อมด้วยเส้นสีขาวนั้น

ทำอะไรของเธอ ? ผมรู้สึกสงสัยว่าเธอขีดเส้นนั้นขึ้นมาทำไม ก็เลยเดินเข้าไปหามัน
แต่แค่เข้าใกล้แค่นั้นผมก็ได้กลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนยาฆ่าแมลงไม่มีผิด รู้สึกถึง
อันตรายจากเส้นนั้นทันที มันคืออะไรเนี่ย สมองผมปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ชอล์กสีขาว ขีดรอบตู้เย็น กลิ่นเหมือนยาฆ่าแมลง ...

มันชอล์กอีหล่านี่นา !

เวรแล้ว น้องเขาคิดจะขังผมให้อดตายใต้ตู้เย็นนี้หรือไง ไม่ใช่ น้องเขาต้องไม่ได้คิด
แค่จะขังอมไว้ใต้ตู้เย็นอย่างเดียวแน่ๆ หัวสมองผมเริ่มคิดถึงสิ่งที่ผมเคยทำกับ
แมลงสาบเอาไว้ เช่น ใช้เท้าเตะ ใช้ไม้กวาดทุบแล้วค่อยกวาดทิ้ง ใช้ยาฆ่าแมลงพ่น
ใส่ตัวมันแล้วนับว่าจะตายเมื่อไร

สิ่งเลวร้ายที่เคยทำกับแมลงสาบจะย้อนกลับมาหาผมงั้นเรอะ

ไม่ได้การแล้ว ผมต้องรีบหาทางออกจากนี่ แต่จะทำยังไงดี ผมไม่สามารถผ่านเส้น
ชอล์กไปได้ สัญชาตญาณของแมลงสาบมันยังรุนแรงอยู่ มันไม่ยอมให้ผมวิ่งผ่าเส้น
นั้นเลย และก็ดูท่าผมไม่สามารถกระโดดข้ามมันได้ เพราะระยะปลอดภัยที่ผมสามารถ
ยืนห่างเส้นนั้นได้ก็อยู่ไกลเกิน ผมต้องหาสะพานข้ามหรือไม่ก็ตรงที่เส้นขาดตอน
แต่พอสำรวจรอบตัว มันไม่มีช่องโหว่เลย เส้นต่อเนื่องไม่ขาดตอน ผมโดนซีซ่าร์
ทำกำแพงล้อมซะแล้ว เหลือทางฝ่าออกไปได้ทางเดียวเท่านั้นนั่นคือต้องเหาะข้าม
แต่ผมเหาะไม่ได้นี่ ตอนนี้ผมเป็นแมลงสาบไม่ใช่ซุปเปอร์แมน ทำได้อย่างเก่งก็แค่
บินเท่านั้น .....บิน ?

ใช่แล้ว ! บินไง ! ตอนนี้ตูเป็นแมลงสาบ ตูก็ต้องบินได้สิ

ผมรู้สึกลิงโลด รีบวิ่งไปข้างหน้าราวกับเครื่องบินกำลังทะยานอยู่บนรันเวย์ ก่อนจะ
กางปีกกระพือพร้อมกับกระโจนออกบินจากใต้ตู้เย็นข้ามเส้นชอล์กสีขาวไป

วี้ดดดดดดด !

เนื่องจากไม่ชินกับสภาพความเป็นแมลงสาบ ผมก็เลยไม่สามารถควบคุมการบินได้
ผมเลยพาร่างบินเข้าไปใส่หน้าน้องเขา ทำให้เธอตกใจ ส่งเสียงร้องหวีดออกมา
พร้อมกับลนลานหนี แถมไม่หนีปล่าว คุณเธอใช้ชอล์กอีหล่าที่อยู่ในมือวาดเป็นรูป
ไม้กางเขนขึ้นมากลางอากาศ เพื่อกันไม่ให้ผมเข้าใกล้

พี่เป็นแมลงสาบนะหนู ไม่ใช่ผีฝรั่ง

ผมพยายามบินหนีออกจากน้องเขา แต่ควบคุมการบินได้ยากมาก แทนที่จะหนีออก
ห่าง กลับกลายเป็นบินฉวัดเฉวียนรอบตัวแทน พอมันอย่างนั้น น้องเขาก็ยิ่งหวีดร้อง
ลนลาน ทุรนทุรายอย่างน่าสงสาร แต่แล้วจู่คุณเธอก็คว้าหมอนได้ แล้วก็เอามาหวด
เข้าใส่ผมเต็มแรง ร่างผมถูกฟาดจนลงมากระแทกที่พื้น ความเจ็บปวดจากทุกส่วน
ของร่างกายระดมโจมตีผม แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสำออย ทันทีที่ได้สติ ผมรีบกระเสือก
กระสนออกจากห้องโดยทันที โดยที่น้องเขายังคงหลับตาหวดหมอนไปมาอยู่

โอ้ก... ทั้งจุกทั้งเจ็บ

ผมหอบหายใจ เกือบเอาชีวิตไปทิ้งห้องนั้นเสียแล้ว โอย เจ็บไปทั่วทั้งตัวเลย แข้ง
ขาหักหรือเปล่าเนี่ย ผมสำรวจร่างกายยังดีที่ข้างนอกไม่มีส่วนไหนบุบสลาย แต่
ข้างในนี่สิ คงจะช้ำเอาเรื่องเลยล่ะ

ผมพักจนพอมีแรงสักหน่อย จึงค่อยตะกายกลับเข้าห้อง คิดในใจ สงสัยเวรกรรมติด
จรวด ถึงได้ตามมาเร็วถึงขนาดนี้ โอย เข็ดจนวันตาย จะไม่คิดจังไรแบบนี้อีกแล้ว
ผมลากตัวเพื่อกลับ แต่ก่อนจะถึงห้อง จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับไขกุญแจ
เปิดประตูหายเข้าไปในห้องของผม

นั่นมันตัวผมนี่ !

ผมรีบวิ่งกลับเข้าห้อง พอลอดประตูเข้าไปได้ ผมก็เห็นร่างของผมยืนตะหง่านอยู่ใน
ห้อง ผมดีใจมากรีบวิ่งไปหาทันที



ผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีใครจ้องมอง พอหันไปข้างหลังก็เห็นแมลงสาบตัวหนึ่งวิ่ง
เข้ามาใส่ผม ผมก็เลยเตะมันเต็มแรง ร่างของมันพุ่งผ่านลอดใต้ช่องประตูออกไป
นอกห้องอย่างรวดเร็ว

มาจากไหนฟ่ะ ไอ้แมลงสาบ

ผมคิดในใจ ปกติห้องผมไม่มีกระจั๊วมาเพ่นพ่าน แต่พอผมมองไปที่โต๊ะญี่ปุ่น ก็เห็น
กับแกล้มและกระป๋องเบียร์ที่ดื่มเมื่อคืนเกลื่อนกลาด สงสัยมันคงได้กลิ่นอาหารก็เลย
เข้ามาหากิน ผมจึงจัดเก็บกวาดโต๊ะ เอาขยะทิ้งใส่ถัง แช่จานชามเตรียมจะล้าง
แต่อยู่ๆ ห้องก็ถูกคนเคาะ

"พี่คะ ช่วยหนูหน่อยคะ แมลงสาบเข้าห้องหนู พี่ช่วยฆ่ามันให้หน่อยสิคะ"
น้องนักศึกษาที่พักอยู่ถัดไปสองห้องมาขอช่วยเหลือผม

"ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปดูให้"
ผมรับคำ ก่อนจะออกจากห้องของตัวเองเพื่อไปล่าแมลงสาบที่ห้องของน้องเขา
โดยลืมแมลงสาบที่ตัวเองเตะออกมาเสียสนิท




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2551    
Last Update : 17 ธันวาคม 2551 3:03:21 น.
Counter : 535 Pageviews.  

เมื่อผมทะเลาะกับผม ภาค 2

เหตุเกิดที่หน้ากระจก

"ไม่สบายรึเปล่า ?"

"ไม่นี่"

"ไม่สบายแหงๆ"

"สบายดี ไม่เป็นไรหรอก"

"ไม่มั้ง ไม่สบายแน่ๆ"

"ก็บอกว่าสบายดีๆ ฟังไม่รู้เรื่องรึไง"

"ถ้า สบายดี ทำไมร่วงเยอะขนาดนี้ล่ะ"

"ก็ปกตินี่ แค่ร่วงนิดๆหน่อยๆเอง"

"นิดๆหน่อยๆ บ้าอะไร ! ติดเต็มหวีขนาดนี้ มันนิดๆ
หน่อยๆตรงไหน"

"ของเก่าค้างติดหวีมั้ง หัดรูดออกบ้างสิ อย่าสักแต่หวี"

"ของเก่าอะไรเล่า ! หวีเมื่อกี้นี้ก็ติดมากระจุกหนึ่งแล้ว
ดูซิ ! บางลงไปตั้งขนาดนี้ มันจะไม่ร่วงจนหมดหัวเรอะ"

"ขึ้นเสียงเหรอ อยากร่วงมากกว่านี้ใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้
เอาซักหย่อมดีๆมั๊ย ?"

"ชะอุ๋ย..."

"บ่นอยู่ได้ ! ที่ผ่านมาคิดว่าดูแลดีไม๊ กินแต่ของมัน
สระผมก็สามวันครั้ง เวลาเครียดก็เกาแต่หัว มันจะ
ไม่ร่วงได้ไง"

"ก็ไม่ได้เกาหัวบ่อยเท่าไหร่นิ ผักก็กินอยู่ สระบ่อยๆ
มันก็ไม่ดีนะ"

"ทำแค่นั้นคิดว่าพอเหรอ ใส่ใจให้มากกว่านี้หน่อยเซ่"

"ถ้ามันดูแลยากนัก ก็โกนมันทิ้งดีมั๊ย ไม่ต้องวงไม่ต้อง
ไว้มันแล้ว สกินเฮดไปเลย ! ดูแลง่ายดี !"

"ชะอุ๋ย..."

"พอเริ่มร่วงก็ซื้อทั้งยาซื้อทั้งแชมพูบำรุงให้ ยังหาว่า
ไม่บำรุง โกนมันทิ้งดีกว่า"

"เออ !โกนไปเลย จะได้ไม่ต้องขึ้นอีก หัวจะได้ใส
กลมเกลี้ยงไร้เหลี่ยมบาดมือ โกนเซ่ ! โกนเลย"

"อย่ามาท้านะ"

"เอาเซ่ ! โกนเลย ! จะได้ล้านไปเลย"

"ไม่กลัวเว้ย ! ดีซะอีกจะได้เซ็กส์จัด"

"เอาดี้ ! ถ้าคิดว่าพอหัวล้านจะหาคนมาเซ็กส์จัดด้วยได้"

"ชะอุ๋ย..."

"ฮึ..."

"..."

"..."

"เมื่อกี้พูดแรงไปหน่อย ขอโทษ ไม่อยากจากกัน"

"อืม เหมือนกัน ขอโทษนะ"

"ต่อไป จะดูแลรักษาดีๆนะ ช่วยอยู่ด้วยนานๆหน่อยๆนะ"

"อืม จะพยายาม"

"อืม...หึหึหึ"
"ฮิฮิฮิ"
"ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ! "

ผมค่อยๆบรรจงหวีผมอย่างถนุถนอม ส่องมองดูซ้ายขวา
พลางคิดในใจว่า เดี๋ยวจะออกไปหาซื้อแชมพูบำรุงรากผม
ยี่ห้อดีๆมาใช้ดีกว่า จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2551 16:03:07 น.
Counter : 309 Pageviews.  

เมื่อผมทะเลาะกับผม

"กูทนไม่ไหวแล้วว้อย !"
ผมตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความรู้สึกอันเหลืออด ก่อนจะเดิน
ไปที่โต๊ะทำงาน กระชากลิ้นชักออกมาจนสุด หย่อนขาเข้าไปนั่ง
บนไทม์แมชชีนที่จอดรออยู่ในนั้น กดปุ่มเปิดเครื่อง พอสัญญาณ
ไฟสีเขียวที่แสดงว่าเครื่องพร้อมทำงานขึ้น ผมก็เซ็ทเวลาที่ต้องการ
จะย้อนไปเป็นวันที่นี้ของเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ตั้งสถานที่ที่จะไปโผล่
เป็นหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนจบ เมื่อตั้งเรียบร้อย
แล้ว ผมจึงเริ่มเดินเครื่อง ไทม์แมชชีนออกตัวเคลื่อนที่ไปในอุโมงค์
กาลเวลาอันบิดเบี้ยว ใช้เวลาประมาณ 3 นาที ก็ถึงปลายทางที่
เปิดออก ผมกระโดดออกจากไทม์แมชชีนเข้าสู่โลกที่ต้องการผม
ย้อนเวลามา

ผมเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปบนหอพัก มุ่งหน้าไปยังห้องที่เคยซุกหัวนอน
ตอนสมัยเรียน พอไปถึง ก็พบว่ามันล็อกไว้ ผมชะโงกมองผ่าน
บานเกล็ด มองเข้าไปในห้อง ไม่มีใครอยู่เลย สงสัยมันคงจะออก
ไปข้างนอก ผมเลยเดินลงจากหอเพื่อไปหามัน มันหาตัวไม่ยาก
หรอกไอ้เวรนี่ ผมรู้ดีว่ามันจะอยู่ที่ไหน

ผมเดินเข้าไปในร้านเกมส์หลังมอ นั่นไง มันกำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่
ู่ยกขาพาดบนโต๊ะที่เขาใช้วางเครื่องเกมส์ จานข้าวที่มันสั่งเข้ามา
กินก็วางอยู่ข้างๆ มันกำลังเล่นเกมส์อย่างเมามันอยู่ ผมเดินเข้า
ไปหามัน

ผัวะ !

"เฮ้ย ! เลิกเล่นได้แล้ว ออกมากับกูเดี๋ยวนี้ ! "
ผมตบหัวมันไปหนึ่งทีพร้อมกับออกคำสั่ง

มันตกใจจนสะดุ้งสุดตัว จอยเกมส์หลุดจากมือร่วงลงพื้นเสียง
ดังเคร้ง เจ้าของร้านที่ฟุบหลับอยู่ที่เคาท์เตอร์งัวเงียตื่นขึ้นมา
มองผม แต่ผมไม่สนใจ

มันหันขวับกลับมามองผม ตามันเบิกค้าง สงสัยจะตกใจ ผมเลย
ยื่นมือไปจับแขนมันก่อนออกแรงฉุดมัน ผมลากมันออกมานอก
ร้าน หน้าตาของมันบอกอารมณ์ไม่ถูกว่าจะตกใจหรือจะกลัวกันแน
่เราหยุดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าร้านเกมส์ ผมหันกลับไปแล้วระเบิด
คำด่าใส่มัน

"เชี้ย ! มึงเลิกเล่นเกมส์ได้แล้ว ไอ้สาด มึงไปเรียนเลยไป
มึงรู้ไม๊ กูเดือดร้อนแค่ไหน หา ! "
"เอ่อ.. อะไรของพี่ครับ พี่มาด่าผมทำไมครับ เราไม่เคยรู้จัก
กันนะครับ"
"ตีนกูนี่ กูก็คือมึงนั่นแหละ กูมาจากอนาคต มาด่ามึงโดยเฉพาะ"

มันทำหน้าหมาสงสัย มองดูหน้าผมพักหนึ่ง ผมรำคาญท่าทางของ
มัน เลยควักบัตรประชาชนออกมาให้ดู
"เอ้า ! แหกตาดูซะ"

ตัวปรัศนีย์บนใบหน้ามันลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ดูท่ามันจะ
เข้าใจและเชื่อว่าผมคือตัวมันที่มาจากอนาคต ก็สมควรอยู่หรอก
ถึงจะดูแก่ไปหน่อยแต่ผมหน้าตาเหมือนมันออกขนาดนี้บัตรประชาชน
ก็ชื่อเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน

"แล้วมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ ?"
"กูอยากให้มึงเลิกเล่นเกมส์ แล้วก็รีบๆเรียนวิศวะให้จบ จะได้ไป
หางานทำเร็วๆ มึงรู้ไหมตอนกูสัมภาษณ์งาน กูอายเขาแค่ไหน
อายุตั้งเยอะแต่แม่งเพิ่งเรียนจบ พอเข้าทำงาน เจ้านายก็ว่ากู
บอกว่ากูอายุก็เยอะแล้วแต่ยังทำงานไม่เป็นอีก ด่ากูว่าเมื่อไหร
่จะรู้เรื่อง มึงรู้ไหม กูเจ็บใจแค่ไหน เพราะมึงทำตัวเชี้ยๆแบบนี้
นี่แหละ กูเลยต้องมาลำบากอยู่ทุกถึงวันนี้"

"เอ่อ แล้วเรียนจบไหม ?"
มันย้อนถามผม

"จบ"
"จบแล้วได้งานทำไม๊ ?"
"ได้"
"มีแฟนรึยัง ?"
"มีแล้ว"
"อ้าว อนาคตดีตั้งขนาดนี้แล้วจะเอาอะไรอีก"

ผัวะ !

ผมตบบ้องหูจนมันเซไปตามแรงตบ พอมันตั้งหลักได้ มันก็ง้าง
จะมาต่อยผม แต่เห๊อะ ไอ้ลิงแห้งติดเกมส์อย่างมันจะมาเอา
ชนะอดีตนักกีฬาอย่างผมได้ยังไง ผมหลบหมัดมัน ก่อนจะปัด
รวบมันลงพื้น แถมลูกเตะให้มันสองที โดนแค่นี้ยังน้อยไป
ดีแค่ไหนที่ผมไม่โอโซโตใส่มัน

"สาด กว่ามึงจะจบก็ตั้ง 10 ปี เรียนทำส้นตีนอะไรตั้ง 10 ปี
ชาวบ้านชาวช่อง เขาแต่งงานอุ้มลูกกันแล้ว กูเพิ่งมารับ
ปริญญา ทำไมมึงไม่พยายามให้เหมือนชาวบ้านเขาวะ แค่มึง
พยายาม มึงก็จะสบายในอนาคต"
อัดมันเสร็จผมก็ด่ามันซ้ำ

มันลุกขึ้นมานั่งบนพื้นถนน เงยหน้าขึ้นมาสู้กับผมด้วยคำด่า
"ไอ้เชี้ย ถ้ามึงอยากจะสบาย ก็อย่ามาอ้างว่าให้กูพยายามเพื่อ
อนาคตจะได้สบาย ถ้ามึงอยากสบาย มึงก็พยายามของมึง
เองสิวะ"
"ไอ้สาด กูพูดก็เพื่อตัวมึงเองนะโว้ย ! มึงมันเป็นคนขาด
ความพยายาม มึงรู้ตัวไม๊ ! "
"ถ้ากูเป็นคนขาดความพยายาม แล้วทำไมมึงเรียนจบ ทำไม
มึงมีงานทำ ทำไมมีแฟน และที่สำคัญทำไมมึงถึงเป็นมวยด้วย
ทั้งที่กูไม่เคยฝึกมวยเลย มึงเป็นขนาดนี้แล้วยังหาว่ากูไม่พยายาม
ได้เหรอวะ ! มึงที่เป็นขนาดนี้ได้ก็เพราะกูนี่แหละ !"

ผมสะอึก จริงของมัน ผมมีวันนี้ได้ ก็เพราะมัน ถึงแม้ที่ผ่านมา
ผมรู้สึกตัวเลยว่า ผมไม่เคยทำอะไรให้มันเต็มที่สักอย่าง แต่สิ่งที่
ี่เหลาะๆแหล่ะๆเล็กๆน้อยๆนี่แหละที่ก่อร่างสร้างตัวจนมาเป็น
ผมในวันนี้

แต่มันก็ยังขัดใจผมอยู่ดี

"ไอ้เวร มึงก็พยายามซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้สิ มึงจะได้สบายเร็วๆ"
"ไม่ต้องให้มาบอก กูทำเมื่อกูอยากจะทำ ไม่ต้องมาเสือก"

ถูกของมัน คนอย่างผมถ้าไม่อยากทำต่อให้พูดให้ด่าแทบตาย
ขนาดไหน ก็อย่าหวังว่าผมจะทำ แต่พอถึงเวลาที่อยากทำ
ผมก็ปุบปับทำด้วยตัวเอง คงเป็นสันดาน เปลี่ยนไม่ได้หรอก

ผมถอดหายใจดัง เฮ้ออออ ออกมายาว ก่อนเตะมันเข้าไป
อีกสองป้าบ หันหลังให้มัน มุ่งหน้าไปที่ไทม์แมชชีน ก่อนจะไป
ผมพูดใส่มัน
"มึงนี่สมกับชื่อ เด็กชายส้นตีนจริงๆ"

"เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป หวยงวดหน้าออกอะไร"
มันถามไล่หลังผมมา

ผมด่ามันโดยไม่หันไปมอง
"สาด ถามทำไม มึงเคยซื้อหวยซะที่ไหน"

ผมนั่งไทม์แมชชีนกลับมายังเวลาปัจจุบันของผม ทิ้งให้มันทำ
ส้นตีนของมันต่อไป โดยไม่สนใจเสียงที่มันด่าไล่หลังตอนผม
เดินจากมันมา



"วิน ทำ Cap SMT เสร็จแล้วเอามาให้พี่ดูหน่อย เดี๋ยววันนี้
ลูกค้าเข้ามา เขาจะขอดู Cap SMT ของเรา รีบๆทำนะ"
หัวหน้าเดินมาพูดกับผมถึงโต๊ะทำงาน

"ครับพี่ คิดว่านะจะเสร็จก่อนบ่ายสองครับ เดี๋ยวพอเสร็จแล้ว
ผมจะเอาไปให้พี่ Review ครับ"
ผมตอบเขาไป ก่อนหันกลับมาทำงานต่อ

หลังจากกลับมาจากอดีต ผมก็คงต้องพยายามเพื่อไม่ให้ตัวผม
ในอนาคตย้อนเวลามาด่าผมได้ ส่วนเรื่องในวันนี้ กูขอโทษนะ
ตัวกูในอดีต กูรักมึงหรอกกูถึงได้กลับไปด่ามึง กูรู้ เพราะมีมึง
ในวันนั้นถึงมีกูในวันนี้ได้ กูรักมึงนะ ถึงมึงจะเป็นเด็กชายส้นตีน
ก็เหอะ

ผมยิ้มให้กับตัวเองก่อนทำงานต่อ




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2551 12:20:36 น.
Counter : 284 Pageviews.  


garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.