ทาน คือการทำกุศลที่ได้บุญ การให้อภัย คือการทำกุศลที่ได้บุญมากกว่า
Group Blog
 
All blogs
 

เปรมมหาโสภามิเอม

เปรมมหาโสภามิเอม

ถ้าหากจะบอกว่ารัฐบาลทักษิณมีอันจะต้องพังคลืนลงด้วยฝีมือของนายสนธิ
ลิ้มทองกุลนั้น ก็คงเป็นการให้ราคาค่างวดคนอย่างนายสนธิมากเกินไป
แต่หากบนความเป็นจริงกว่าหนึ่งปีนับตั้งแต่มีปรากฏการนายสนธิ ลิ้มทองกุล
ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร
ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสามารถสร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลทักษิณ
ได้อย่างยาวนานจนเหลือเชื่อแต่ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ย่อมมีเหตุและปัจจัยหนุนส่งด้วยกันทั้งสิ้นลำพังนายสนธิคนเดียวคงไม่มีความกล้าหาญชาญชัยที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับคนระดับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรอย่างแน่นอน
ถ้าหากไม่มีคนให้ท้ายหรือสนับสนุนอยู่เบื้องหลังและแน่นอนที่สุดคนที่จะสนับสนุนในการนี้ได้จะต้องเป็นคนที่นายสนธิประเมินแล้วว่าสามารถปกป้องคุ้มครองให้พ้นภัยได้
หรืออย่างน้อยอิทธิพลและบารมีต้องไม่เป็นรอง พ.ต.ท.ทักษิณ
ซึ่งขณะนี้ทุกคนก็คงจะทราบดีแล้วว่าบุคคลที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

พล.อ.เปรม
ก้าวขึ้นมามีอำนาจเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมาด้วยความกังขาของคนทุกวงการ
แม้วงการทหารเองก็ยังมีการตรวจสอบความเป็นมาของเส้นทางสู่อำนาจในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกก่อนที่จะทยานขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พล.อ.เปรมมาแรงแซงโค้งแบบชนิดที่นายทหารดังยุคสมัยนั้นต้องหลีกทางให้แทบไม่ทัน
ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.เสริม ณ นคร พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หรือแม้แต่
พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรี
ก็ยังต้องยอมก้าวลงจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ พล.อ.เปรม เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน

การเป็นผู้นำบนตำแหน่งสูงสุดของ พล.อ.เปรม
ก็ใช่ว่าจะมีความราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
ในทางตรงกันข้ามกับมีปัญหาอุปสรรค์จนส่งผลให้เกิดการรัฐประหารถึงสองครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จึงกลายเป็น กบฏเมษายน ๒๕๒๔ โดย พ.อ.มนูญ รูปขจร และการก่อความไม่สงบ ๙ กันยายน ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นการก่อการโดยคนเดิมคือ
พ.อ.มนูญ เจ้าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้มีน้องชาย น.ท.มนัส รูปขจร เข้าร่วมด้วย (คนเดียวกันกับ พล.อ.อ.มนัส หรือที่ พล.อ.สนธิ เรียกพี่นัส ให้ลงมาจากนครสวรรค์ เพื่อช่วยดูแลกรมอากาศโยธิน ในการทำปฏิวัติ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๙
ที่ผ่านมา)

ยุคพล.อ.เปรม เป็นผู้นำ มีเหตุการณ์รุนแรงไม่เพียงมีการก่อการกบฏเท่านั้น หากแต่ยังมีการลอบสังหารอีกหลายหน
ทำให้เกิดอาการเครียดถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเลยทีเดียว
สมเด็จพระเทพรัตนสุดาสยามบรมราชกุมารีได้อันเชิญกระเช้าดอกไม้พระราชทานจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถไปเยี่ยมถึงบ้านสี่เสา ในเวลาเดียวกันก็มีกระเช้าดอกไม้พระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร
เท่านั้นยังไม่พอ พล.ท.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษได้นำผู้ใต้บังคับบัญชาแต่งชุดทหาร สวมหมวกเบเลย์สีแดง ๔๐๐ นายตบเท้าเข้าให้กำลังใจ อันเป็นการสยบการเคลื่อนไหวของฝ่าย พล.อ.อาทิตย์กำลังเอกโดยสิ้นเชิง

ด้านบริหารราชการแผ่นดินบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรมเข้าดำรงตำแหน่งหลายครั้งหลายหนโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งและไม่เคยยินยอมให้มีการอภิปรายตัวเองอย่างเด็ดขาด
นอกจากอภิปรายเป็นรายบุคคล เมื่อไรก็ตามที่ฝ่ายค้านประกาศจะอภิปรายทั้งคณะ เมื่อนั้น พล.อ.เปรมก็จะประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ และสุดท้ายพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งก็จะไปเชิญให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลอดเวลากว่า ๘ ปี
จนกระทั่งเกิดมีกลุ่มนักวิชาการประกาศรวมตัวกันคัดค้านการเข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ ภายใต้ชื่อ “กลุ่มนักวิชาการ ๙๙” นำโดย ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช จึงเป็นการอวสานตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม

พอพ้นจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาล พล.อ.เปรม ก็ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีและประธานองคมนตรีตามลำดับ
และถึงแม้จะหลุดพ้นจากฝ่ายบริหารแล้ว แต่บนความเป็นจริง พล.อ.เปรม ก็ยังดูแลกำกับงานด้านความมั่นคงอยู่แม้กระทั่งทุกวันนี้ ดังนั้นฤดูโยกย้ายประจำปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามเหล่าทัพ แม้จะผ่านชั้นตอนของการจัดโผซึ่งตามระบบ ผบ
เหล่าทัพจะเป็นผู้จัดทำแล้วส่งขึ้น ผบ.สูงสุด, ปลัดกระทรวงกลาโหมแล้วผ่านไปรัฐมนตรีกลาโหม ตามลำดับ
สุดท้ายนายกรัฐมนตรีจะต้องลงนามเห็นชอบซึ่งถือว่าสิ้นสุดและสมบูรณ์แล้ว แต่สำหรับเมืองไทยยังต้องผ่านประธานองคมนตรีเห็นชอบและถ้าหากไม่เป็นที่สบอารมณ์ก็อย่าได้หวังว่าโผในปีนั้นจะคลอดได้อย่างที่เคยปรากฏมาแล้ว

ดังนั้นถ้าหากจะให้เข้าใจการเมืองไทยแล้วละก็ ต้องเข้าใจว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารนั้น
ที่จริงแล้วยังมีสูงขึ้นไปอีกคือนายกรัฐมนโท นักข่าวเคยสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคราวแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อปีที่แล้วว่า “แน่ใจไหมว่าโผทหารจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง” คำตอบที่ได้รับคือ “นายกรัฐมนตรีเซ็นไปแล้วใครจะเปลี่ยน”
จึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะโผถูกดองจนสุดท้ายต้องเปลี่ยนโผทหารอากาศให้
พล.อ.อ. ชลิต ผุกผาสุข ขึ้นแทน พล.อ.อ. ธเรศ บุญศรี

ปรากฏการกระทบกระทั่งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณและประธานองคมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการดัน พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์
จากผู้บัญชาการทหารบกขึ้นไปบนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยไม่ผ่าน พล.อ.เปรม ในครั้งนั้น
ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับ พล.อ.เปรม เป็นอย่างยิ่ง เพราะนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
เป็นต้นมา ไม่ปรากฏว่ามีรัฐบาลไหนที่กล้าลูบคมด้วยการนำโผทหารขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก พล.อ.เปรม
ดังนั้นสัมพันธภาพของรัฐบาลทักษิณกับประธานองคมนตรีในครั้งนี้ซึ่งเกิดเป็นรอยร้าวชนิดบาดลึก
รอวันแค้นที่ต้องชำระ

ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยมีผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการเอาคืนเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาลทักษิณ
โดยมีพรรคการเมืองเก่าแก่ให้ความร่วมมืออย่างลับๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการโค่นล้ม ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็คงทราบดี
ดังนั้นการลงพื้นที่จึงเป็นไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะยุติการลงพื้นที่ในที่สุด ด้วยเกรงอุบัติเหตุจากการต่อสู้แบบดำน้ำ จึงมีข่าวสพัดว่ามีการตั้งค่าหัวให้เด็ดชีพ พ.ต.ท.ทักษิณ

เกมเอาคืนด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้นหวังผลสองด้านคือ เด็ดชีพแบบดำน้ำให้เป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายหากสามารถฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ถึงจุดนั้น
ก็จะเป็นหน้าที่ของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญออกมายุติปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นการแสดงถึงบารมีที่สามารถทำให้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ
แต่การไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เพราะต้องไม่ลืมว่าปัญหาชายแดนภาคใต้นั้นมีมานานแล้ว เมือไรที่รัฐบาลมีความเข้มแข็ง ภาคใต้ก็เกิดความร่มเย็น แต่ถ้าหากการเมืองอ่อนแออันสืบเนื่องจากมีความขัดแย้ง ปัญหารุนแรงก็กลับมาให้รัฐบาลต้องกุมขมับอีก
และยิ่งมีการแอบสนับสนุนในทางลับ ก็เปรียบเสมือนเตะชิ้นหมูไปเข้าปากหมานั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจในกรณีที่ผู้มีบารมีนอกจากไม่สามารถแสดงบารมีได้อย่างที่คิดไว้แล้ว แถมยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งอีกต่างหาก พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ผู้ซึ่งอยู่บนตำแหน่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านความมั่นคง จึงต้องหลุดพ้นจากวงจรอำนาจด้วยประการฉะนี้

เมื่อไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลทักษิณด้วยปัญหาความรุนแรงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหรือที่คนอย่าง พล.อ.เปรมจะยุติความแค้นที่ต้องชำระ จึงหันมาสนับสนุนให้มีการโค่นล้มแบบดาวกระจาย โดยผ่านไปในหลายช่องทางแบบร่วมด้วยช่วยกัน
ทั้งสถาบันการศึกษาต่างๆและเครือข่ายของสื่อมวลชน เริ่มจาก “รายการเมืองไทยรายสัปดาห์” ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเปิดประเด็นเรื่องลูกแกะหลงทาง เป็นการเปิดประเด็นอย่างจงใจที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไปที่ไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังเป็นการหยิบยื่นความตายให้เหมือนเมื่อครั้ง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร
เคยกล่าวโทษหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุาภาพในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเคยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา

ประเด็นลูกแกะหลงทางทำให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของนายสนธิถูกแบน
แต่ก็มีรายการร่วมด้วยช่วยอุ้ม จาก ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช
ผู้อำนวยการโรงเรียนวิชราวุธ ส่วนทางด้าน หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก
ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี
ด้วยการเปิดห้องประชุมให้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรได้
จากนั้นก็เกิดมีขบวนการนักวิชาการออกมาร่วมสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เป็นที่น่าสังเกตุว่า กลุ่มคนที่ออกมาโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรนั้น ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับบุคคลผู้ได้ชื่อว่า รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาททั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น

- พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่เที่ยวไปปลุกระดมตามสถาบันต่างๆ และโรงเรียนทั้งสามเหล่าทัพ

- ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสามารถรวบรวมกลุ่มก้วนนักวิชาการและคณาจารย์ โดยผ่านทาง ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

- ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช ผู้อำนวยการ รร.วิชราวุธ ซึ่งเป็นผู้รวบรวมรายชื่อบุคคลชั้นสูงยื่นถวายฏีกาขอนายกฯพระราชทาน
อีกทั้งนายชัยอนันต์ยังมีลูกชายที่ทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่ในกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของนายสนธิ ลิ้มทองกุล

นอกจากนี้แล้วยังมีกลุ่มขาประจำอันประกอบด้วยกลุ่มนักวิชาการที่ผันตัวเองไปเป็นนักจัดรายการแล้วถูกแบนอย่าง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ตลอดจนพวกที่เป็นนักวิชาการอยากดังที่ต้องการให้ตัวเองเป็นข่าว แต่ถูกเรียกเหมารวมว่าขาประจำอย่างเช่น นายธีรยุทธ บุญมี
นายสังศิต พิริยะรักสรร และอาจารย์ตุ้งติ้งเสรี วงค์มณฑา ตลอดจนนายไชยันต์ ไชยพรอาจารย์ฉีกบัตร เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มก้วนผูกกันเป็นเครือข่ายกับกลุ่มบุคคลที่ได้ชื่อว่ารับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท

ตอน เปรมาธิปไตย ๒๙ พ.ย. ๒๕๔๙

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา ประเทศไทยหรือดิน แดนสยามแห่งนี้ก็ดูเหมือน
ไม่เคยว่างเว้นจากการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มทหารด้วยกันสลับกับการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน นับรวมได้ ๒๔ ครั้ง
ในจำนวนทั้งหมดนี้มีอยู่เพียง ๒ ครั้งที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ นั่นก็คือ ปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิไตย และปฏิวัติ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหารมาสู่ระบอบประชา ธิปไตยอีกครั้ง นอกนั้นเป็นการทำรัฐประหารสลับกับกบฎและการก่อความไม่สงบ

๗๔ ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง
ความเป็นประชาธิปไตยไม่เคยมีความมั่งคงในดินแดนแห่งนี้ ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยดูเหมือนจะมีอยู่เพียงครั้งเดียวคือ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ส่วน ๖
ตุลาคม ๒๕๑๙ ผมถือว่าเป็นการเอาคืนหลังจากสูญเสียอำนาจของกลุ่มขุนนางเก่า
ที่ต้องการรื้อฟื้นระบอบอมาตยาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่าพรรคข้าราชการ
ส่วนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมจะไม่ขอออกความเห็นเพราะนั่นเป็นการเรียกร้องที่ไร้สาระว่า “นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง”
แต่บนความเป็นจริงเป็นการต่อสู้ช่วงชิงเพื่อลบรอยแค้นระหว่างนายทหาร จปร.๗ ซึ่งมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ จปร
๕ ที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร แล้วก็มี จปร ๑ นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุธ เข้าร่วมแจมแบบหมาหวงก้าง
สุดท้ายลงเอยด้วยประชาชนมีอันจะต้องไปตายแทนบนความขัดแย้งของนายทหาร ๓ รุ่นดังกล่าว

การล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจตนาต้องการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับนาๆ อารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
แต่เนื่องจากมีการชิงไหวชิงพริบเพื่อครอบครองอำนาจโดยเด็ดขาดจากนายทหารสองกลุ่ม
จึงมีการแบ่งคั่วและซ่องสุมกำลังเพื่อจัดการอีกฝ่ายจนกลายมาเป็นระบอบเผด็จการ
โดยมีจุดเริ่มต้นที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต่อเนื่องมายุคจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์
และสืบทอดต่อมายังจอมพลถนอม กิติขจร ก่อนที่จะถูกนักศึกษาประชาชนโค่นล้มเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
อันเป็นการอวสานยุคเผด็จการทหาร

เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
ผมคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้นจนจบ
การต่อสู้ในครั้งนี้มีผู้คนโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ตายได้ชื่อว่าวีรชนเป็นการตอบแทน
มีหลายคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สุดท้ายได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีก็หลายคน
ส่วนที่แยกย้ายกันไปทำมาหากินสร้างครอบครัวโดยที่ไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็มีกระจายไปอยู่ทั่วประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องปรกติ คนรุ่นนี้จะมีอายุประมาณ ๕๐ ปีขึ้นไป

ส่วนที่ไม่ปรกติคือกลุ่มคนที่เป็นแกนนำในการต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ซึ่งบัดนี้หลายคนเป็นนักวิชาการและอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ
กลับทำหลงลืมออกมาช่วยต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แถมยังกวักมือและเปิดทางให้มีการยึดอำนาจ อันเป็นการกระทำที่ผมยอมรับไม่ได้
เพราะผมถือว่าเป็นการหักหลังพวกวีรชนที่อุส่าห์ต่อสู้จนแม้อุทิศชีวิตให้กับความเป็นประชาธิปไตย
ซึ่งผมจะยังไม่ลงในรายละเอียดในตอนนี้
แต่ขอสัญญาว่าคนพวกนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนายธีรยุทธ บุญมี นายสังษิต (แซ่โล้ว) พิริยะรังสรรค์
และอีกหลายคนที่ช่วยกันเคลื่อนไหวในการล้มล้างรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

เผด็จการจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เข่นฆ่ากวาดล้างผู้คนเป็นจำนวนมาก
แต่นั่นส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่อยู่ซีกนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีนายถวิล อดุล
นายทองอิทนร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง และดร.ทองเปลว ชลภูมิ เป็นต้น
ส่วนจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ก็มีวิธีกวาดล้างอีกรูปแบบหนึ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย
นั่นคือ จับขังลืมโดยไม่ผ่านขบวนการยุติธรรม
จอมพลแต่ละท่านมีอิทธิพลบารมีมากล้นที่จะทำอะไรได้ตามที่ใจปรารถนา
นั่นเป็นเพราะว่าแต่ละท่านอยู่บนตำแหน่งที่กุมอำนาจมาอย่างยาวนาน

จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๘๑
จวบจนกระทั่งถูกจอลพลสฤษดิ์ ทำการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๐๐
เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่อยู่บนอำนาจ (มีช่วงที่ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ) จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเถลิงอำนาจจริงๆ เมื่อปี ๒๕๐๑ จวบจนถึงแก่อสัญกรรม
เมื่อปี ๒๕๐๖ จากนั้นจึงถึงคิว จอมพลถนอม
จนกระทั่งถูกโค่นล้มจากพลังนักศึกษาและประชาชนเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นแล้วว่าการที่บุคคลอยู่บนตำแหน่งที่ทรงอำนาจมายาวนานนั้นสามารถบ่มเพาะอิทธิพลบารมีได้อย่างสุดประมาณ

เมืองไทยมีบุคคลหนึ่งที่ทุกคนมองข้าม แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ก็ประเมินผิด คนนั้นก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทุกคนมองเพียงว่าถึงบุคคลผู้นี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีและควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาก่อน
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจว่าขิงแก่อย่าง
พล.อ.เปรม นั้นถึงแม้ลงจากตำแหน่งที่มีอำนาจก็จริงอยู่ แต่พลันก็เข้ารับตำแหน่งที่มีบารมีสูงมาทดแทนในทันใด นั่นก็คือตำแหน่งองคมนตรี และไม่นานหลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

ตำแหน่งรัฐบุรุษอันเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนโทแห่งประเทศไทยที่ทุกคนมองข้าม เพราะความเป็นรัฐบุรุษของพล.อ.เปรม
จึงได้มีการก่อตั้งมูลนิธิรัฐบุรุษขึ้นมาเพื่อเสริมอำนาจบารมี
ด้วยการกวาดต้อนผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เพิ่งเกษียณมาช่วยงาน ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่าการที่จะเสนอใครขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่นั้นก็ต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้บัญชาการคนเก่าที่กำลังจะเกษียณ
ที่เรียกกันว่าจัดทำโผโยกย้ายนั่นแหละ
ดังนั้นบุญคุณระหว่างผู้บัญชาการทั้งใหม่และเก่าซึ่งยังคงมีความผูกพันธ์กันอยู่ จึงอย่าได้แปลกใจเลยว่าแหล่งข้อมูลทางทหาร พล.อ.เปรม เอามาจากที่ไหน

ในอดีตที่ผ่านมา
เรามีกลุ่มขุนนางรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นกุมอำนาจฝ่ายบริหาร โดยมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับ จนมีการเรียกขานกันว่า พรรคข้าราชการหรือระบอบ “อมาตยาธิปไตย” แต่พลันที่เกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ที่ผ่านมานี้
และมีการรวบรวมข้าราชการที่เกษียณเข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีคนเข้าใจว่าระบอบอมาตยาธิปไตยนั้นได้หวนกลับ
แต่ส่วนตัวผมกลับมีความเห็นว่า มีสิ่งบ่งบอกว่ามันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่าตัว นั่นก็คือระบอบ “เปรมธิปไตย”
เพราะเป็นการกินรวบอันเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆเดียว นอกนั้นล้วนแต่เป็นร่างทรงที่ต้องทำตามคำบัญชา แม้คณะปฏิรูปฯ ก็ไม่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ที่ว่ามานี้ ดังจะเห็นได้จากความไม่เป็นเอกเทศในการปฏิบัติ งานต้องคอยหันรีหันขวางโยนกันไปมาระหว่างรัฐบาลสุรยุทธ์และ คมช. อันมี พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลินเป็นหัวหน้า ซึ่งดูไปแล้วผิดกับคณะรัฐประหารคณะอื่นๆ ที่ผ่านมา ที่มีหน้าที่ดูแลและคุ้มครองรัฐบาล แต่กับคณะของ พล.อ.สนธิ กลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม ต้องอยู่ในความดูแลของรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ เป็นนายใหญ่ตามคำเรียกขานของบิ๊ก คมช.

ผมไม่ได้หลงไหลคลั่งไคล้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ถึงกับต้องลงทุนเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะคุณทักษิณไม่ได้เป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของผมให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง
หากแต่ผมทนดูไม่ได้กับวิธีการอันต่ำช้าเลวทรามในการโค่นล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษ
แต่กลับตาขาวทำตัวเป็นอีแอบ เที่ยวบอนเซาะให้เกิดความเกลียดชังในตัวผู้นำที่มาจากการเลือตั้งตามกฏกติกาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างปราศจากคุณธรรม

การพูดขยายความจากเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
จากเรื่องเท็จก็พยายามเป่าร้องกระพือให้เป็นเรื่องจริงด้วยความจงใจแบบร่วมด้วยช่วยกัน
โดยมีจุดมุ่งหมายในการโค่นล้มให้สมอารมณ์แค้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ
ผมในฐานะเคยร่วมเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย
ผมย่อมต้องไม่ยินยอมพร้อมใจในการกระทำของกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตยอย่างแน่นอน

ถ้าหาก พล.อ.เปรม ส่องกระจกดูเงาตัวเองสักหน่อย
คงจะได้เห็นภาพของตัวเองก็ไม่ต่างไปจากผู้นำคนอื่นๆ
ที่มีการเอาพรรคพวกตัวเองเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างเช่น พล.อ. ประจวบ สุนทรางกุล เป็นต้น
และก็ด้วยเหตุที่เล่นพรรคเล่นพวกนี่แหละนำพาไปสู่การทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ ถึงสองครั้งสองครา
ตลอดจนมีการลอบสังหารอีกต่างหาก แถมยังมีนักศึกษาสติเฟื่องกระโดดเข้าชกดั้งจมูกที่สนามกีฬาหัวหมากด้วยความหมั่นไส้

นอกจากนี้แล้ว พล.อ.เปรมยังถนัดในการบริหารด้วยวิธีแยกแล้วปกครอง ส่งผลให้สถาบันทหารแตกร้าวจนยากประสานจวบจนทุกวันนี้ พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธและพล.อ.พิจิตร กุลวานิช ก็เป็นคู่แคนดิเดท จนไม่มองหน้ากันถึงทุกวันนี้
ศึกสายเลือดระหว่าง จปร.๗ และ ๕ ก็เกิดในยุคเปรมนี่แหละ ยังมีอีกคู่คือ บิ๊กเต้ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และบิ๊กอู๊ด พล.อ.อ. วรนาจ อภิจารี ก็มีการพลิกโผเปลี่ยนจาก พล.อ.อ.เกษตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ทอ. จ่อคิวขึ้นเป็น ผบทอ. มาเป็น พล.อ.อ.วรนาจ ที่อยู่บนตำแหน่ง เสธ.ทอ. ส่งผลให้ทุ่งดอนเมืองร้อนระอุในบันดล ความสับสนจนบานปลายไปสู่ความขัดแย้งของคนทั้งประเทศก็เกิดจากการกล่าวร้ายให้เท็จ จนเป็นที่กังขาของคนทั่วไปทำให้เกิดการแบ่งขั่ว โดยฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นจริงด้วยการให้เครดิต เนื่องเพราะเห็นว่าอยู่บนตำแหน่งประธานองคมนตรี
ส่วนอีกฝ่ายไม่เชื่อเพราะผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณนั้นเห็นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้
แต่เนื่องจากรัฐบาลถูกโจมตีมายาวนาน
จน***ส่วนของคนที่เชื่อว่าเป็นจริงดังที่กล่าวหามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยรัฐเองก็ไม่ได้ชี้แจงเท่าที่ควร
อันเนื่องจากมวลสมาชิกซีกรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเปลืองตัว
อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งนี้
กลุ่มคนที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบเปรมาธิปไตยกลับโยนความผิดให้เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงผู้เดียว

ในที่นี้ผมจะยังไม่พูดถึงในรายละเอียด
เพราะใกล้หมดหน้ากระดาษสำหรับบทความชิ้นนี้ คงต้องยกยอดไปว่ากันในตอนต่อไป
แต่ก่อนจากกันในวันนี้ใคร่อยากชี้แจงให้ท่านผู้อ่านได้ประจักษ์ในความเป็นจริงสักเรื่องหนึ่ง
อันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ พล.อ.เปรม
ตามที่ท่านได้เรียกร้องให้ผู้คนอย่าไหว้คนที่มีเงินหรืออย่าไปนับถือคนรวยนั้น แต่บนความเป็นจริงนั้น พล.อ.เปรม
เวลานี้ก็มีฐานะร่ำรวยเกินกว่าที่คนๆหนึ่ง ซึ่งรับราชการมาตลอดชั่วอายุจะพึงมี
เอากันแค่เศษเงินที่บำรุงบำเรอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งที่เป็นนักมวยและนักร้อง
เฉพาะรายของหนุ่มเสกได้ข่าวว่ารายเดียวหมดไปนับร้อยล้าน
เรื่องจริงอย่างนี้ปิดมิดหรือ พี่-น้อง
ดังนั้นจึงอย่าได้ไว้วางใจผู้คนอันสืบเนื่องจากเห็นว่ามีตำแหน่งใหญ่โต
พร้อมกันนี้สังคมควรที่จะต้องช่วยกันประนามและยุติที่จะยกย่องนับถือคนอย่างพล.อ.เปรมถึงจะถูกต้อง

ตื่นเถอะชาวไทย

อาคม ซิดนีย์
----------------------------------------------------------------------




 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 15:39:45 น.
Counter : 3473 Pageviews.  

เรื่องทะหาน

ทหารวงศ์เทวัญ
ก่อนหน้านี้อำนาจในทบ. จะอยู่ในมือทหารรักษาพระองค์ หรือทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่เติบโตมาจาก กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ และ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) ซึ่งล้วนเป็นหน่วยคุมกำลังปฏิวัติกลางกรุงสำคัญของกองทัพภาคที่ 1 หรือที่ถูกเรียกขานว่าเป็น "ทหารวงศ์เทวัญ" ที่ล้วนเป็นลูกหลานบิ๊กทหารนามสกุลใหญ่โตทั้งสิ้น เพราะถือว่าเป็นกรมหรือกองพลที่สำคัญที่สุดของ ทบ.


ถ้าหากทหารคนไหนไม่เก่งจริงก็จะไม่มีวันแทรกเข้ามาอยู่ในที่ของบรรดาลูกหลานบิ๊กๆ ของวงศ์เทวัญได้


แต่เวลานี้ อำนาจในทบ. เปลี่ยนไปสู่มือทหารเสือราชินี และทหารจากบูรพาพยัคฆ์ เสียมากกว่า[1]


ความเป็นมา
มีความพยายามนับแต่การก่อตั้งกองทัพไทย ให้สร้างกลุ่มท่มีวรรณะคล้ายทหาร นายทหารที่ประสบความสำเร็จได้รับการส่งเสริมให้ส่งบุตรชายของตนเข้าเรียนในโณงเรียนทหาร ภายในสองชั่วอายุคนจึงเกิดตระกูลทหารที่มีลักษณะเด่นขึ้น


จอมพล ผิน ชุณหะวัณ ผู้เป็นแม่ทัพนำทหารไปเชียงตุงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ส่งบุตรชายคือพลเอก ชาติชาย เข้ารับราชการทหาร บุตรสาวทั้งสามล้วนแต่งงานกับนายทหารที่ประสบความสำเร็จ (พล.ต. ประมาณ อดิเรกสาร, พล.อ. ศิริ สิริโยธิน และ พล.ต.อ. ละม้าย อุทยานนท์)[2]


ตัวอย่างนามสกุลดังในปัจจุบัน
อัตตะนันท์
คงสมพงษ์
หนุนภักดี
กรานเลิศ




บูรพาพยัคฆ์


บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะขึ้นจาก เสธ.ทบ. มาเป็น รอง ผบ.ทบ. ครองอาวุโสในอัตราจอมพล จ่อคิวเป็น ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.อ.อนุพงษ์ หลังเกษียณในปลายเดือนกันยายนปีหน้าที่ใครๆ ก็รู้กันดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทายาทอำนาจ คมช. ทายาทอำนาจ 3 ป. แต่ด้วยความที่เขาเป็น "ทหารเสือราชินีตัวจริงพันธุ์แท้" เขาจึงจะเป็น ผบ.ทบ. ที่อยู่ยาวจนปี 2557 เพื่อนำกองทัพค้ำราชบัลลังก์ ในยามที่สังคมกำลังเชื่อว่า มีความพยายามจะล้มระบอบการปกครองเท่านั้น


แต่ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) ยังมีการดัน บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ จากที่ปรึกษาพิเศษ บก.ทท. ขึ้นมาเป็นประธานที่ปรึกษา บก.ทท. ครองอัตราจอมพล ที่ทำให้เขาถูกจับตามองว่า ถูกวางตัวไว้เป็น ผบ.สส. ต่อจาก บิ๊กตุ้ย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ จะเกษียณในปี 2554
พล.อ.ธนะศักดิ์ นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารเสือราชินีคนสำคัญ ที่ชีวิตของเขาถวายเป็นราชพลี ตั้งแต่ยังไม่เป็นนายทหารเต็มตัว เพราะเมื่อครั้งที่เขายังเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ท่ามกลางการเมืองวิกฤติจนเกิดตุลามหาวิปโยคนั้น เขาเป็นคนหนึ่งที่สมัครใจร่วมกับทีมทหารเสือ ภายใต้การนำของ พล.อ.ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ที่ยังเป็นแค่นายร้อยหนุ่ม ไปถวายอารักขาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 12 ในเวลานั้น อยู่ในทีมด้วย อันเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานทหารเสือ
ชีวิตเขาเติบโตมาในบทบู๊ตลอด เพราะเขายังเป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ของกองทัพไทย มาก่อนอีกด้วย เขาก็เป็นนายทหารที่เคยรับใช้ใกล้ชิด อีกทั้งมีอายุราชการถึงปี 2556 พล.อ.ธนะศักดิ์ จึงจะเป็นผู้นำกองทัพ ที่จะจับมือแน่นกับเพื่อนตู่ ในการปกป้องและค้ำราชบัลลังก์ด้วยชีวิต
แม้ ว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ เป็นนายทหารรบพิเศษ ที่อยู่ใน
ระดับแนวหน้าของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เคยเป็นผู้
บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 90 หรือ ฉก.90 อันลือลั่น คนแรก ที่
ก่อตั้งหน่วยมาแล้ว
ชีวิตเขาเติบโตมาในบทบู๊ตลอด เพราะเขายังเป็นหัวหน้า
ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ของกองทัพไทย มา
ก่อนอีกด้วย
แต่ เขาก็เป็นนายทหารที่เคยรับใช้ใกล้ชิด อีกทั้งมีอายุ
ราชการถึงปี 2556 พล.อ.ธนะศักดิ์ จึงจะเป็นผู้นำกองทัพ ที่จะ
จับมือแน่นกับเพื่อนตู่ ในการปกป้องและค้ำราชบัลลังก์ด้วย
ชีวิต
ในขณะที่โยกย้ายนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ปล่อยมือให้ พล.อ.
ประยุทธ์ จัดวางตัวคนที่จะมารองรับการขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ในปี
หน้า ทั้งการให้ บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เพื่อน ตท.
12 ขึ้นมาเป็น รอง เสธ.ทบ. เพื่อจ่อเป็น เสธ.ทบ.
พล.ต.โปฎก บุนนาค ขยับจาก รอง ผบ.นสศ. เป็น ผบ.
นสศ. คุมทหารรบพิเศษหมวกแดง บิ๊กเยิ้ม พล.ต.ธวัชชัย
สมุทรสาคร ขยับจากรองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็น แม่ทัพน้อยที่ 2
จ่อเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ในปีหน้า
บิ๊กเต่า พล.ต.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ขึ้นจาก เจ้ากรมกิจการ
พลเรือน ทบ. เป็น ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน ส่วนที่วาง
รอไว้เลยคือ พล.ต.จิระเดช สิทธิประณีต เพื่อน ตท.12 ออกจาก
กรุมาเป็น เลขานุการ ทบ.

แต่ในส่วนของเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 นั้น พล.อ.อนุ
พงษ์ ก็เลือกที่จะดูแลเฉพาะที่สนิทสนม
เช่น บิ๊กต้อย พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยะประดับ ยังคงเป็น
ผช.ผบ.ทบ. ต่อไป เพื่อดูแลเรื่องงบประมาณและการจัดซื้อ
อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต่อคิวยาว โดยดัน พล.ท.ธานินท์ เกตุทัต
จากกรุมาเป็น ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายส่งกำลังบำรุง แล้วยังให้ พล.ต.
เอกชัย วัชรประทีป จาก รองเจ้ากรมสรรพาวุธ ทบ. ขึ้นเป็นพล
โท เจ้ากรม สพ.ทบ. อีกด้วย
แถมโบนัสให้ พล.ต.ทวี แจ่มจำรัส ที่ยังคงให้เป็น
เจ้ากรมพลาธิการ ทบ. ต่อ แต่ปรับโครงสร้างหน่วยให้เป็นพล
โทอีกด้วย ส่วน พล.ต.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ ได้ขึ้นจากแม่ทัพน้อย
ที่ 2 เป็นแม่ทัพภาคที่ 2
ส่วนพวกที่ยอม จำนน ไม่ต่อสู้ในการปฏิวัติ 19 กันยายน
ที่ผ่านมา ก็ได้ดี ได้เป็น พลเอก ก่อนเกษียณ ทั้ง บิ๊กเมา พล.ท.
ศานิต พรหมมาศ อดีต ผบ.พล.ม.2 รอ. พล.ท.ณรงค์ศักดิ์ ภู่
อารีย์
แต่คนที่ต่อสู้ไม่ยอมแพ้ เพราะใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชิน
วัตร อย่าง บิ๊กโอ๋ พล.ท.พฤณท์ สุวรรณทัต อดีต ผบ.พล.1 รอ.
ก็ยังอยู่ในกรุ ที่เจ็บช้ำไม่น้อยคือ บิ๊กต้น พล.ท.จิรสิทธิ์ เกษะ
โกมล อดีต ผบ.พล.1 รอ. ต้องลาออกก่อนเกษียณ เพื่อได้ยศพล
เอก เพราะเพื่อนป๊อกไม่ยอมช่วย เช่นเดียวกับ บิ๊กปู พล.ท.เรือง
ศักดิ์ ทองดี อดีต ผบ.พล.ปตอ. ที่ต้องลาออกเพื่อได้ยศพลเอก
ส่วน บิ๊กตู่ พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ก็ยังอยู่ในกรุสำนักปลัด
กลาโหม ที่คาดว่าจนเกษียณ แม้มีข่าวลุ้นเป็นจเรทหารทั่วไป
หรือประธานที่ปรึกษา ทบ. อัตราจอมพล แต่ก็ถูกสกัด ทั้งๆ ที่
เป็นเพื่อนซี้ของ พล.อ.อนุพงษ์ ตั้งแต่เรียนประถมที่พันธศึกษา
แล้วก็ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปาดตัดหน้าชิงเป็น ผบ.ทบ. หลังปฏิวัติ
19 กันยายน นั่นเอง
ฝ่าย บิ๊กต่าย พล.ท.ภุชงค์ รัตนวรรณ นั้น เพราะเหตุที่โดด
เด่นด้านยุทธการ แถมเป็นเพื่อนรักของ พล.อ.อนุพงษ์ แต่เพราะ
มีอายุราชการถึงปี 2555 พล.อ.ประยุทธ์ จึงกีดกันไม่ให้ขึ้นห้า
เสือ ทบ. เพราะหวั่นจะมาแย่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. จึงต้องเด้งไปเป็น
พลเอก ผบ.สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (ผบ.สปท.) บก.
ทท. ด้วยใจระทม อันเป็นการสะท้อนว่า พล.อ.อนุพงษ์ เลือก
พล.อ.ประยุทธ์ เลือกอำนาจ มากกว่าเพื่อน
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของ เสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์
อินทรทัต แกนนำรุ่นคนดังที่กำลังจะเกษียณ พร้อมม็อตโต้ เสธ.
ไอซ์ไม่เคยเปลี่ยน นั้น เห็นใจเพื่อน
"ผมเป็นนักเลง เพื่อนก็คือเพื่อน รักเพื่อนก็รักเพื่อน
เมื่อโตมาแล้วจะขาดคำว่าเพื่อน มาวันหนึ่งเพื่อนมองต่างกัน
แล้ว เพื่อนจะต้องเป็นศัตรู เพราะที่สุดแล้ว เมื่อเกษียณ เราหมด
อำนาจ ชีวิตเราก็จะมีแต่ครอบครัวและเพื่อนเท่านั้น อย่าเอา
เรื่องการเมืองมาเกี่ยวกับความเป็นเพื่อน" เสธ.ไอซ์ กล่าว
" แม้แต่อดีตนายกฯ ทักษิณ นั้นก็เป็นคนธรรมดา มีทั้ง
บวก ลบ มีขาวมีดำ ไม่ใช่ว่าจะเลวเต็มร้อย หรือจะดีเต็มร้อย
อย่ามองคนด้านเดียว" เสธ.ไอซ์ ย้ำ
ใน อดีต ตท.10 เคยโด่งดังเป็นที่จับตามอง เพราะรุ่งเรือง
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ส่วนสำคัญคือ
ความสามารถของแต่ละคน
" มาตอนนี้ บางคนอาจจำเป็นต้องเปลี่ยน เพื่อนอาจจะ
แตกแยกกันเป็นคนละกลุ่มคนละขั้ว แต่ขอให้ระลึกไว้ว่า เมื่อ
หมดอำนาจ ก็กลับมาเป็นคนธรรมดา เมื่อนั้นก็จะมีแต่เพื่อนที่
คอยดูแลกันไปตลอดชีวิต" พล.อ.ไตรรงค์ กล่าว
ที่ ต้องจับตาคือ บิ๊กแผ้ว พล.ท.พิรุณ แผ้วพลสง รอง เสธ.
ทบ. ที่ขยับเป็นพลเอก ในตำแหน่ง เสธ.ทบ. ที่จะเป็น เสธ. คู่ใจ
เพื่อนป๊อก และจะเป็นเลขาธิการ กอ.รมน. ด้วย
แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะขยับขึ้นไปจ่อเป็น รอง ผบ.ทบ.
และอาวุโสกว่าไปแล้ว จนคนอื่นๆ หมดหวังก็ตาม แต่ พล.อ.
พิรุณ ก็มีอายุราชการถึงปี 2554 เช่นเดียวกับ บิ๊กน้อย พล.อ.
วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ตท.11 เพื่อนรุ่นน้องวัยเด็กของ
พล.อ.อนุพงษ์ ที่ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. ที่ก็ยังมีสิทธิ์ลุ้นเก้าอี้ ผบ.
ทบ. ขัดตาทัพเสมอ ยิ่งหากอำนาจเปลี่ยนมือหลังการเลือกตั้ง
พล.ท.พิรุณ ก็อาจเป็น ผบ.ทบ. ส้มหล่น ในฐานะเพื่อน ตท.10
ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นกัน เขาจึงเป็นหมากตัวที่ปลอดภัย ที่
พล.อ.อนุพงษ์ วางเผื่อเอาไว้

แต่ หากเล็งให้ดี โผนี้มีการเปลี่ยน ผบ.หน่วยที่ภาคอีสาน
และภาคเหนือ ยกแผง บ้างก็เพราะจะเกษียณ และอยู่มา 2 ปี แต่
บางคนก็ถูกเด้ง เพราะผลจากการเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ ที่
ปล่อยให้พรรคเพื่อไทยชนะ จึงต้องเตรียมรับมือการเลือกตั้งใน
พื้นที่สีเสื้อแดง
พล.ต. พจน์ เหรียญมณี เด้งจาก ผบ.มทบ.21 เป็น ผบชร.
2 พล.ต.ต่อศักดิ์ เหลืองตระกูล จาก ผบ.จทบ.สุรินทร์ เป็น ผบ.
มทบ.21 พล.ต.ชยันต์ หวยสูงเนิน จาก ผบ.จทบ.ร้อยเอ็ด เป็น
ผบ.มทบ.22 พล.ต.สุชาต วายโสกา ผบ.จทบ.นครพนม เป็น
ผบ.มทบ.25 พล.ต.พิจิตร ลักษณะละหม้าย จาก เสธ.ทภ.3 เป็น
ผบ.มทบ.31
ที่ สำคัญให้ทหารเสือราชินี อย่าง พ.อ.วิชัย แชจอหอ เป็น
ผบ.จทบ.บุรีรัมย์ พ.อ.ไชยพร รัตแพทย์ เป็น ผบ.จทบ.ร้อยเอ็ด
พ.อ.สเน่ห์ ทองคำใส เป็น ผบ.จทบ.สุรินทร์ พ.อ.วิษณุ ไตรภูมิ
เป็น ผบ.จทบ.นครพนม พ.อ.อาธิศักดิ์ สุขสวัสดิ์วงศ์ เป็น ผบ.
ชบร.๓ พ.อ.ธานี พูนสวัสดิ์ เป็น ผบ.พล.พัฒนาที่ 3
แต่ ที่มีเสียงซุบซิบคือ โผที่ผ่านมือ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม
ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทำให้มีการ
ถ่วงดุลกันระหว่าง ทหารวงศ์เทวัญ กับบูรพาพยัคฆ์ ที่ได้เติบโต
ร่วมกัน ไม่ใช่มีแต่ทหารเสือ หรือพวกที่โตจาก พล.ร.2 รอ.
ฝ่ายเดียว ตามที่มีเสียงร้องเรียนเข้าหูป๋า
เช่น ทั้ง บิ๊กต๊อก พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผบ.พล.1 รอ.
และ บิ๊กหมู พล.ต.ธรชัย นาควานิช บิ๊กโด่ง พล.ต.อุดมเดช สีต
บุตร ผบ.พล.ร.9 ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้งคู่ เพื่อชิงเก้าอี้
แม่ทัพภาคที่ 1 แทน บิ๊กอ๊อด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ ที่คาดว่าจะ
ขยับขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. ในปลายปีหน้า ที่ต้องไม่มองข้าม
ทหารวงศ์เทวัญ ลูกหม้อ พล.1 รอ. อย่าง บิ๊กอ๋อย พล.ท.จิระเดช
โมกขสมิต แม่ทัพน้อยที่ 1
ส่วนขุมกำลัง ปฏิวัติยังเป็นของทหารวงศ์เทวัญ บิ๊กโชย
พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ขึ้นเป็น ผบ.พล.1 รอ. บิ๊กตึ๋ง พล.ต.
อุทิศ สุนทร ข้ามจาก ผบ.มทบ.11 เป็น ผบ.พล.ร.9
ที่ ทัพเรือ ฮือฮาตรงที่ พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป
ลูกป๋าได้ขึ้นเป็นพลเรือเอก แต่คงไม่อาจหวังจะเป็น ผบ.ทร. แม้
จะเกษียณ 2555 ก็ตาม เพราะว่ากันว่า ตั้งแต่เป็นเรือโท อยู่
ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ตามป๋าเปรม ครั้งเป็น
นายกรัฐมนตรี พล.ร.ท.พะจุณณ์ ก็ไม่กลับไปเหยียบ ทร. เลย
ไปวันไหนก็เดิมพันกันว่า หลง
พล.ร.ท.พะจุณณ์ นี้ได้ชื่อว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่าง พล.อ.
เปรม กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อนรัก เพราะเขาจะคอยโทร.เรียก
ให้เพื่อนตู่เข้ามาพบป๋าบ่อยๆ
ขณะที่กองทัพอากาศนั้น บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุ
ภวงศ์ ผบ.ทอ. มีต้องนั่งนานถึงปี 2555 นั้นก็ดันเพื่อน ตท.11
ขึ้นมา
แต่ ดาวจรัสแสงที่ถูกมองว่าจะเป็น ผบ.ทอ. คนต่อไปก็
คือ บิ๊กจิน พล.อ.ท.ประจิน จั่นตอง รอง เสธ.ทอ. ที่ขึ้นเป็น เสธ.
ทอ. เขาเป็น ตท.13 ที่มีอายุราชการถึงปี 2557 ที่สามารถสอด
รับจากบิ๊กเฟื่องได้เป็นอย่างดี
ท่าม กลางสถานการณ์ที่ถูกมองว่า เกิดรอยร้าวระหว่าง
ทหารกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากกรณี บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.
พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ถูกการเมืองตามเล่นงานมานานเป็นเดือน
ที่สุดก็ต้องลาออก ทันทีที่มีคำสั่งเด้งไปประจำสำนัก
นายกรัฐมนตรี หลังจากที่ ป.ป.ช. ตัดสินว่ามีความผิดจากกรณี
สลายม็อบพันธมิตรฯ 7 ตุลาคม 2551 นั้น ส่งผลต่อจิตใจและ
ความรู้สึกของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.
กลาโหม พี่ชายอย่างแรง
จนทำให้เกิดข่าวลือการปฏิวัติเกิด ขึ้น ประกอบกับเป็น
ช่วงครบรอบ 3 ปี ปฏิวัติ 19 กันยายน ที่นายอภิสิทธิ์จะต้องไป
ประชุมสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา ที่เกรงว่าจะซ้ำรอย
พ.ต.ท.ทักษิณ แถมมีแรงเสี้ยมจากแกนนำเสื้อแดง
"ไม่มี ไม่มี ใครจะปฏิวัติ ผมไม่ทำอยู่แล้ว ไม่เคยคิด
มันมีอะไรให้ต้องปฏิวัติล่ะ" บิ๊กป๊อก กล่าว
เพราะ แม้ว่าจะเข้าใจหัวอกพี่ชาย อย่าง พล.อ.ประวิตร
แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ยอมรับว่า "จะไปทำอะไรได้ ในเมื่อ ป.ป.ช.
มีมติมาอย่างนั้น"
"ผมก็ทำได้แค่ให้กำลังใจพี่ป้อมแค่นั้น? บิ๊กป๊อก กล่าว
แต่ ที่หวาดหวั่นคือ เกรงว่าจะทำให้ตำรวจไม่ทำหน้าที่
อย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นผู้รับผิด ซึ่งไม่ต่างจากฝ่าย
ทหารเช่นกันที่ก็เสี่ยงต่อการรับผิดทางกฎหมาย จากการปฏิบัติ
หน้าที่เพื่อความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะม็อบเสื้อแดง 19
กันยายน ที่อาจต้องมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ใช่แค่ด้วย
วาจา

"ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ให้ชัดเจน เรื่องคำสั่ง และการ
ปฏิบัติ" บิ๊กป๊อก กล่าว

แม้ ขั้วอำนาจ 3 ป. จะแข็งปึ้กที่สุด แต่ก็ใช่ว่า เมื่อ พล.อ.
ประวิตร ไม่พอใจรัฐบาล อาจถึงขั้นลาออก แล้วจะต้องมีการ
ปฏิวัติ เพราะแม้ พล.อ.ประวิตร จะเป็นพี่ใหญ่ ก็ใช่ว่าจะเอาการ
ปฏิวัติมาสนองปัญหาส่วนตัว

ที่ สำคัญ พล.อ.อนุพงษ์ มีจุดยืนชัดเจน เพราะจะทำทุก
อย่างเพื่อปกป้องสถาบันเท่านั้น อีกทั้งไม่ใช่คนกล้าได้กล้าเสีย
ที่จะเอาเก้าอี้ ผบ.ทบ. ในปีสุดท้ายไปเสี่ยง
ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยแล้ว แม้จะเข้าใจหัวอก พล.อ.
ประวิตร แต่ส่วนรวมต้องมาก่อน เพราะทหารเสือราชินีอย่าง
เขารู้ดีว่า ยังหาใครมาแทนนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ อีกทั้งมีสัญญาณ
บางอย่างที่สื่อมาว่า ต้องให้นายอภิสิทธิ์อยู่ต่อไป
อันตรง กับข่าวกรองของนายอภิสิทธิ์เองที่เช็กสถานภาพ
ตัวเองแล้ว ทำให้มั่นใจว่า พร้อมที่จะต่อกรกับทั้งตำรวจ หรือ
แม้แต่ทหารผู้มีพระคุณในการตั้งรัฐบาล เพราะขนาดที่เขากล้า
ปฏิเสธใบสั่ง ให้ บิ๊กจุ๋ม พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย เป็น ผบ.ตร. ก็
แสดงว่า นายอภิสิทธิ์เป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อน เพราะเป็นทั้งหมู
ดีและมีเส้น
ดังนั้น แม้ พล.อ.ประวิตร อยากจะให้ปฏิวัติ แต่ก็ใช่ว่า
น้องๆ จะเอาด้วย เพราะเงื่อนไขยังไม่เพียงพอ สถานการณ์ยัง
ไม่ถึงขั้น พี่ใหญ่จึงต้องอดทนไปก่อน อย่างน้อยก็ให้เลยการ
ประชุมผู้นำอาเซียนที่หัวหิน ในเดือนตุลาคมนี้ไปเสียก่อน

แต่กระนั้น ข่าวลืออีกชิ้นก็ยังกระหึ่ม เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์
พร้อมภริยาและเพื่อนซี้ ตท.10 กลุ่มหนึ่งเดินทางไปงานรับ
ปริญญาน้องปุ๊ก วิมลิน เผ่าจินดา ลูกสาวคนเดียว ที่กรุง
ลอนดอน ประเทศอังกฤษ อันเป็นช่วงเดียวกับที่ เสี่ยเป็ด นาย
เนวิน ชิดชอบ ผู้มีบารมีนอกพรรคภูมิใจไทย ก็ไปส่งลูกเรียน
ต่อที่ลอนดอนพอดี จึงมีข่าวทั้งคู่ได้พบกัน ร่วมโต๊ะอาหารหรู
ด้วยกัน

ร่ำลือกันถึงว่า นายเนวินไปคุยเรื่องม็อบเสื้อแดง 19
กันยายน และตอกย้ำสัญญาลูกผู้ชาย ที่ พล.อ.อนุพงษ์ เคยให้ไว้
ตอนชวนให้มาหนุนพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาล ในเรื่อง
คดีทุจริตกล้ายางของเขา ที่กำลังจะตัดสิน 21 กันยายนนี้

"ไม่มี ไม่ได้พบกัน ไม่รู้ด้วยว่าเขาไป จะเจอกันเรื่อง
อะไร ผมไปงานลูกสาว เสร็จแล้วก็รีบกลับ ไม่ได้ไปไหน" บิ๊
กป๊อก ยัน

เป็นอันว่า ไม่ว่าจะ ป.ปฏิวัติ หรือ ป.เป็ด ณ ลอนดอน นั้น
บิ๊ก ป.ป๊อก คนนี้ ก็ขอ Say No ไว้ก่อน

พี่ป้อม ก็พี่ป้อม เถอะ...


.....มติชนสุดสัปดาห์




//politicalbase...%B8%B1%E0%B8%8D
//www.panyathai...%B8%B2%E0%B8%A3


//www.parliamen...php?prid=229832






Free TextEditor




 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 23:36:29 น.
Counter : 3914 Pageviews.  

นพดลถามจุดยืนอภิสิทธิ์ ทวงคืน 'พระวิหาร' อย่างไร

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

นพดลถามจุดยืนอภิสิทธิ์ ทวงคืน 'พระวิหาร' อย่างไร

ที่โรงแรมมิราเคิล วันนี้ (26 ธ.ค.) นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงทวงถามท่าทีที่ชัดเจนกรณีปราสาทพระวิหาร จากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมนำ พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดบริเวณที่ดินป่าพระวิหาร มาแสดงประกอบ โดยระบุว่า พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ออกในปี 2541 สมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และ นายอภิสิทธิ์เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

"ในพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มีความชัดเจนว่า พื้นที่เขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารมีขอบเขตเท่าใด แต่นายอภิสิทธิ์กลับอภิปรายในสภาฯ ว่า แผนที่ชุด L 7017 บริเวณปราสาทพระวิหาร ไม่ใช่เส้นเขตแดนไทย ทั้งที่หากย้อนกลับไปสมัยรัฐบาลนายชวน มีการรับรองแผนที่ดังกล่าวไว้แล้ว ข้อเท็จจริงจึงตรงข้ามกับที่นายอภิสิทธิ์อภิปราย แสดงให้เห็นว่าการอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ เพียงแค่ต้องการจุดกระแสรักชาติ ไม่ได้นำข้อเท็จจริงออกมาเปิดเผยด้วย" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวต่อว่า จะให้เจ้าหน้าที่นำเอกสารดังกล่าวไปมอบหมายให้นายอภิสิทธิ์ เพื่อสอบถามท่าทีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ว่ารัฐบาลชุดนี้มีนโยบายอย่างไร เพราะที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์เคยพูดว่า ยังสามารถทวงคืนสิทธิ์ได้ และยังบอกว่า ตัวปราสาทเป็นของรัฐบาลกัมพูชา แต่ที่ดินรอบปราสาทเป็นของรัฐบาลไทย ดังนั้น จึงต้องการให้รัฐบาลชี้แจงให้ชัดเจนว่า รัฐบาลจะเจรจาขอที่ดินคืน หรือจะคิดค่าเช่าอย่างไร เพื่ออธิบายให้สาธารณชนรับทราบ

นายนพดล กล่าวต่ออีกว่า ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ จะมอบให้พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่ตรวจสอบรัฐบาล ทราบว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ พรรคเพื่อไทย ได้เตรียมข้อมูลที่จะอภิปรายเรื่องนี้ไว้แล้ว ในการอภิปรายที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ส่วนจะทำให้นายกรัฐมนตรี หรือ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องหยุดทำหน้าที่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคล แต่ในต่างประเทศเขาจะรับผิดชอบกับคำพูด ในส่วนของไทยคงไม่สามารถคาดหวังอะไร หรือล้มล้างรัฐบาลได้

อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ขอฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า จะต้องรู้จักคิดก่อนพูด ไม่กลับกลอก ไม่ใช้คำหยาบคาย และไม่ควรโยนความรับผิดชอบ หรือความผิดให้กับข้าราชการ เช่น กรณีที่อ้างว่าข้าราชการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเอง ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งๆ ที่ทราบดีว่า ใครเป็นต้นเหตุให้ต้องปิดสนามบิน ส่วนความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนี้ พ.ต.ท.ยังพำนักอยู่ในประเทศแถบเอเชีย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นประเทศใด เพราะมีข่าวเรื่องการถูกลอบทำร้าย




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2551    
Last Update : 27 ธันวาคม 2551 21:54:03 น.
Counter : 405 Pageviews.  

เปิดปมลึก "เนวิน"สะบั้น"ทักษิณ"

รอยร้าวภายใน "พลังประชาชน" เป็นสาเหตุสำคัญลำดับแรกๆ ที่ทำให้ "เนวิน ชิดชอบ" ตัดสินใจ "ฆ่าน้อง ฆ่านาย ฆ่าเพื่อน" ยกพลกลับหลังหัน 180 องศา หัก "ทักษิณ" มาช่วย "ประชาธิปัตย์" จัดตั้งรัฐบาล หากย้อนกลับไปในช่วง "รัฐบาลสมัคร" ฉายาที่คนใน พปช.ขนานนามว่า "แก๊ง ออฟ โฟร์" ประกอบด้วย "สมัคร สุนทรเวช" "เนวิน ชิดชอบ" "สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" และ "ธีรพล นพรัมภา" ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในพรรค เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแยกตัวออกจาก "พปช." ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ และหักหลัง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เจ้าของพรรคที่อยู่แดนไกล จนมีคำสั่งจากแดนไกล ให้ลงขันสกัด "สมัคร" กลางสภาผู้แทนราษฎร ที่เปิดประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์นั้นทำให้ "เนวิน" พร้อมด้วย 72 ส.ส. "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่เพียงแค่สูญเสียอำนาจ จากการที่ "สมัคร" ต้องพ้นจากเก้าอี้ "นายกรัฐมนตรี" แต่เป็นการ "เสียเหลี่ยมการเมือง" ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของบรรดา "แก๊ง ออฟ โฟร์" ซึ่ง "ผลลัพธ์" จากคำบัญชา "นายใหญ่" ครั้งนั้น ทำให้ "เพื่อนเนวิน" เริ่มคิดถึง "รังใหม่" ในช่วงหลังจาก "แก๊ง ออฟ โฟร์" ถูกโค่นลง บรรดา "เลือดแท้" นายใหญ่ ได้ประกาศ "ชัยชนะ" เหนือ "เพื่อนเนวิน" อย่างไม่ไว้หน้า ไล่ตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง,คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์,ยงยุทธ ติยะไพรัช ,พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล และเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องรัก "ทักษิณ" จึงไม่แปลกที่ "เนวิน ชิดชอบ" ซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกที่ออกมาประกาศต่อสู้เพื่อ "ทักษิณ" ด้วยการสถาปนา "กองกำลังเสื้อแดง" ในนามของ "พีทีวี" " แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" (นปก.) และ "กลุ่มคนรักทักษิณไม่เอาเผด็จการ" รวมถึงกลุ่มอื่นๆ อีกนับสิบกลุ่ม จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะ "เพื่อนเนวิน" สภาพไม่ต่างจาก "โคถึก" ที่ "เสร็จนา" แล้วถูกฆ่าอย่างไร้ปรานี ซ้ำช่วงนั้นยังมีข่าวลือหนาหูจาก "กลุ่มวังบัวบาน" ของ "เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" ที่เข้าไปบุกเบิก "พรรคเพื่อไทย" ว่าจะคัดกรอง "ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน" แล้วอนุญาตให้เข้าร่วมพรรคเฉพาะบางคน โดยจะมีการกัน "หัวขบวน" อย่าง "เนวิน" และ "ส.ส.บุรีรัมย์" อีก 4-5 คน ไม่ให้เข้าสังกัด จึงเป็นจังหวะที่ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" จาก "ประชาธิปัตย์" เข้าแทรกแซงและร่วมเป็น "เพื่อน" กับ "เนวิน" จนมีข่าวกระเส็นกระสายว่า พบ "คู่หูการเมืองใหม่" ร่วมโต๊ะอาหารกันบ่อยครั้ง และแล้วประตูแห่งโอกาสก็เปิดกว้างให้ "เนวิน" ได้ทบทวนทิศทางการเมืองของตัวเอง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชน "สุเทพ" ได้พูดคุยกับ "เนวิน" พร้อมเสนอให้เลือกเดินถนนการเมืองเส้นใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสในการ "ล้างมือในอ่างทองคำ" ให้สิ้นกลิ่นอาย "ระบอบทักษิณ" ซึ่งระหว่างนั้น "ทุกสีสัน" ในประเทศทั้งกล่อมทั้งขู่ ด้วยเรื่องของ "คดีความ" หนักๆ อย่าง "กล้ายาง" และ "เซ็นทรัลแล็บ" ที่ยังคาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงอนาคตทางการเมือง ที่อาจจะต้องเผชิญกับการ "รัฐประหาร" อีกครั้ง หากไม่มีการสลับขั้ว จนสุดท้าย "เนวิน" ต้องตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขความอยู่รอดในระยะยาว ที่ใคร่ครวญแล้วว่า "ทักษิณ ชินวัตร" มีโอกาส "แพ้" สูงกว่า "ชนะ" ดังนั้น "สีหน้า" และ "น้ำตา" บวกกับ "คำพูด" ที่ว่า "พ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นนาย และเคารพรักอยู่เสมอ" จึงเป็นเพียงกระบวนท่าทางการเมืองหนึ่งของ "ชายหลายพรรค" ผู้นี้ หน้า 11




Free TextEditor




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2551    
Last Update : 12 ธันวาคม 2551 0:34:19 น.
Counter : 2314 Pageviews.  

@@@@ATTENTION@@@@@

//www.state.gov/images/xpt_shim.gif



You are in: Under Secretary for Public Diplomacy and Public Affairs > Bureau of Public Affairs > Bureau of Public Affairs: Press Relations Office > Press Releases (Other) > 2008 > November








Washington, DC
November 28, 2008



Thailand: U.S. Calls for End to Airport Seizures


The United States is deeply concerned about the actions of the People’s Alliance for Democracy (PAD) in seizing Bangkok's international and domestic airports, preventing the free movement of people and goods. While we respect the right to freedom of expression, seizing an airport is not an appropriate means of protest. We urge the PAD to walk away from the airports peacefully. We hope that this situation can be resolved without violence and in accordance with the law.

 

Released on November 28, 2008


 

2008/996





 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2551 21:33:17 น.
Counter : 537 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

drunkcat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว ในที่สุดองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใกล้จะถึงวาระที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ควรจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

ในวันหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ก็ทรงพบเด็กเกิดใหม่ วันต่อมาทรงพบคนแก่ คนป่วย แล้วก็คนตาย วันสุดท้ายทรงพบสมณะ

ความจริงเวลานั้นพระที่แต่งตัวแบบนี้ ไม่มีในโลก แต่ว่าเทวทูตทั้ง ๕ ที่เรียกกว่า เทวทูต คือ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนป่วยก็ดี คนตายก็ดี พระก็ดี ที่ปรากฏกับสายพระเนตรขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เมื่อยังเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ท่านบอกว่า เวลานั้นเทวดาแสดงขึ้นให้ปรากฏ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นคนเกิดยังเด็กเล็ก แล้วต่อมาพบคนแก่ แล้วก็พบคนป่วย แล้วก็พบคนตาย น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า

"โลกนี้ทุกข์หนอ ไม่มีอะไรเป็นสุข หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้"

ต่อมาวันสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเห็นสมณะวิสัยก็เข้าใจว่าทางนิพพานมีอยู่ ทางนี้เป็นทางสิ้นทุกข์ เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตัดสินพระทัยออกบวช นี่ขอเล่าลัดๆ นะ แต่ความจริงเรื่องนี้ยาวมาก
Friends' blogs
[Add drunkcat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.