ทาน คือการทำกุศลที่ได้บุญ การให้อภัย คือการทำกุศลที่ได้บุญมากกว่า
Group Blog
 
All blogs
 
นกสองหัว ที่คนไทยรู้จัก มิใช่สัตว์ประหลาด หากแต่เป็นสัตว์อัปมงคล ที่ไม่ควรคบหาและเข้าใกล้ จะนำเภท

นกสองหัว ที่คนไทยรู้จัก มิใช่สัตว์ประหลาด หากแต่เป็นสัตว์อัปมงคล ที่ไม่ควรคบหาและเข้าใกล้ จะนำเภทภัยมาสู่ตัวเอง


นกสองหัว คือคำเปรียบเทียบคนที่ไม่ซื่อสัตย์ คบไม่ได้ เดี๋ยวอยู่ข้างโน้น เดี๋ยวอยู่ข้างนี้ หรืออยู่ทั้งสองข้าง แล้วหาประโยชน์จากทั้งสองฝ่าย ร้ายที่สุด นกสองหัว พร้อมที่จะเข้ากับอีกฝ่ายเข่นฆ่าอีกฝ่าย เมื่อสบโอกาสทันที

นกสองหัว ไม่มีอยู่จริง แต่ คนจำพวกนกสองหัว มีอยู่จริง

คนจำพวกนกสองหัว เป็นคนอันตราย ที่ไม่ควรเข้าใกล้

คนจำพวกนกสองหัว คือ คนที่น่ารังเกียจ ชิงชังที่สุด สำหรับคนไทย และวัฒนธรรมไทย ไม่ให้ราคากับคนจำพวกนกสองหัว ไม่ว่าจะเป็นคนเก่งฉกาจขนาดใดก็ตาม เพราะค่านิยมแรกที่ต้องนับของสังคมไทย ในการคบหากันฉันท์มิตร ก็คือ ความซื่อสัตย์ ที่มีต่อกัน มิใช่ ความเก่ง หรือ ความกล้า

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นคนจำพวกนกสองหัว ในสายตาของประดาบ

ใช่แล้ว... สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่กำลังเป็นหัวเรือใหญ่ให้กับนักการเมือง “ขี้หมูไหล” ที่ไปรวมกันอยู่ใน ว่าที่พรรคการเมืองรวมใจไทย นั่นล่ะครับ

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จัดได้ว่าเป็น นกสองหัวตัวใหญ่ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริงในสังคมการเมืองไทย และ สังคมไทยในทุกวงการ ด้วยซ้ำไป

สืบสาวราวเรื่องความเป็นมาของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จากอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลไทยรักไทย ก่อนจะก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ต้องหัวคะมำ เพราะการรัฐประ หาร แต่ก็ยังอาสานำนักการเมืองขี้หมูไหล กลับสู่อำนาจทางการเมือง แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะได้รู้ว่าทำไมเขาจึงคู่ควรกับตำแหน่งนกสองหัว เป็นยิ่งนัก

วันหนึ่งในขณะที่ยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งมีรายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วยการเป็นคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ก็ได้รับการชักชวนจากสนธิ ลิ้มทองกุล ให้มาเป็นกรรมการบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ เดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มาช่วยกันสร้างสรรค์ และสยายปีกอาณาจักรธุรกิจของสนธิ ลิ้มทองกุล ให้เติบใหญ่ ด้วยการนำเงินประชาชนที่เข้าไปเสี่ยงโชคในตลาดหุ้นออกมาเป็นทุน ด้วยเกมปั่นหุ้น

กว่า 10 ปี กับการรับหน้าที่กรรมการบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สร้างความร่ำรวยและมั่งคั่งให้กับสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างคุ้มค่ากับค่าตอบแทนในฐานะผู้บริหารบริษัทคนหนึ่ง

กำไรมากมายจากตลาดหุ้น เงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามาจากการออกหุ้นกู้ เงินกู้จำนวนมากที่ได้มาจากการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ทั้งกรุงไทย กสิกรไทย นครหลวงไทย ทหารไทย ไหลเข้ากระเป๋าสนธิ ลิ้มทองกุล ในวันนั้น และกลายมาเป็นหนี้เน่าที่รัฐบาลต้องเอาภาษีประชาชนไปชดใช้แทน ในวันนี้

กระทั่งเงินกู้จำนวน 151 ล้านบาทที่ เป็นต้นเหตุให้ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ฟ้องล้มละลายสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะผู้ค้ำประกันให้กับบริษัทเดอะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ก็เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่นายสม จาตุศรีพิทักษ์ พี่ชายของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารหลวงไทย และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็น กรรมการบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้แนะนำให้สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้รู้จักกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และสนับสนุนให้เข้าไปทำงานกับพ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทำธุรกิจ และเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ วางมือจากธุรกิจ เข้ามาทำงานการเมือง จัดตั้งพรรคไทยรักไทย จึงชักชวนสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาร่วมทำงานการเมืองด้วยกัน เพราะเห็นว่า สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สนใจทำงานการเมืองอยู่แล้ว

เมื่อเข้าสู่เวทีการเมือง ในฐานะรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จึงได้รับตำแหน่งใหญ่โต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อพรรคไทยรักไทย ได้เป็นรัฐบาล

งานแรกที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ มิใช่ การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน และพักหนี้สินเกษตรกร ดังที่ผู้คนทั้งหลายเข้าใจกัน เพราะประชาชนมิได้เป็นผู้มีพระคุณแก่เขา หากแต่เป็นการเร่งรัดตัดหนี้ให้กับกลุ่มธุรกิจเดอะ เอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวนกว่า 6,000 ล้านบาท ลดภาระหนี้สินให้กับ สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้านายเก่าผู้มีพระคุณ ต่างหากเล่า โดยอ้างว่าเป็นนโยบายรัฐบาล ที่จะตัดหนี้เน่าภาคเอกชนออกจากระบบธนาคาร แล้วให้รัฐไปรับภาระแทน

วีรกรรมของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่เลือกปฏิบัติตัดหนี้ให้กับสนธิ ลิ้มทองกุล ทำให้เขาถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากพรรคประชาธิปัตย์ และ ถูกตั้งคำถามจากสื่อมวลชน และนักธุรกิจทุกคน ว่าเลือกปฏิบัติ ใช้การพิจารณาลดหนี้แบบสองมาตรฐาน

มีแต่ สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้านายเก่าของเขา ที่ได้ประโยชน์ แต่กลุ่มธุรกิจอื่น ไม่ได้รับอานิสงส์ ไปด้วย แต่ด้วยมือจำนวนมากมายเกินกว่ากึ่งหนึ่งของพรรคไทยรักไทย ในสภาผู้แทน ราษฎร ทำให้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เอาตัวรอดมาได้ ชนิดที่ไม่น่ารอด

ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ รองนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลไทยรักไทย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ใช้อำนาจสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ในกำกับดูแลของเขา โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ให้แก่ธุรกิจสื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และ เวปไซต์

ไม่มีรัฐวิสาหกิจแห่งใด ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ จะรอดพ้นจากเตารีดและคันไถ ในมือสนธิ ลิ้มทองกุล ไปได้

แม้กระทั่งการก่อตั้งโทรทัศน์ ASTV ก็ได้เงินสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจ ในกำกับดูแลของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

ปตท. ถูกไถไป 60 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ของสนธิ ลิ้มทองกุล

การบินไทย องค์การโทรศัพท์ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคาร SME และรัฐวิสาหกิจชั้นนำ ที่มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ ไม่มีรอดแม้แต่รายเดียว

โดยเฉพาะ ธนาคารกรุงไทย เจ้าหนี้รายใหญ่ของสนธิ ลิ้มทองกุล โดนสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ข่มขืนกระทำชำเราหนักที่สุด ถูกบังคับให้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เป็นการรับชำระหนี้ ในอัตราค่าโฆษณาหน้าละ 3 แสนบาท แต่ต้องไปจ่ายเงินสดให้กับสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ในอัตราค่าโฆษณานาทีละ 3 แสนบาท และต้องซื้อหนังสือ พิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันละกว่า 1,000 ฉบับ ด้วยเงินสด

เบ็ดเสร็จแล้ว ในระยะเวลา 5 ปี ที่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มีอำนาจเหนือกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย เพียงรายเดียว จ่ายเงินค่าโฆษณาให้สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท และ รับชำระหนี้ด้วยหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ไปหลายร้อยล้านบาท

กระทั่งเวปไซต์ แมเนเจอร์ออนไลน์ ที่เขียนข่าวโจมตีให้ร้ายนายกฯทักษิณ ชินวัตร ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทย ไปเดือนละกว่า 1 ล้านบาท เป็นเวลาติดต่อกันนานนับปี

นี่คือ วีรกรรมที่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กระทำด้วยความเต็มใจเพื่อตอบสนองต่อสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้านายเก่า ผู้มีพระคุณ

เหตุที่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กระทำเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความเต็มใจ และไม่แคร์ต่อสายตาผู้ใดทั้งสิ้น แม้แต่คำเตือนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เพราะว่า หนี้สินของเดอะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวนรวมกันมากกว่าหมื่นล้านบาท นั้น เกือบครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทฯ และเป็นผู้ลงนามในสัญญากู้เงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่เอาไปวางไว้ในสถาบันการเงินต่างๆ นั่นเอง จึงเป็นเหตุให้สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต้องเร่งชดใช้หนี้สิน ที่ตัวเองเคยทำไว้ ในขณะเป็นลูกน้องใต้อาณัติของสนธิ ลิ้มทองกุล

มีเรื่องเล่ากันว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ศรีมิตร ที่ล้มครืนไปในวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 นั้น กว่าครึ่งของหนี้เน่า เป็นหนี้ที่มีลูกหนี้ชื่อเดอะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และผู้ลงนามกู้เงินของเดอะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ที่ต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีคำสั่งให้ลดหนี้ของเดอะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ในภาวะวิกฤติของรัฐบาลไทยรักไทย เพราะน้ำลายของหมาบ้าเช่น สนธิ ลิ้มทองกุล ก็เห็นจะมี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนเดียวเท่านั้น ที่ไม่ถูกกัด ไม่ถูกฟัดไปด้วย แม้แต่ ทนง พิทยะ เพื่อนรักและซี้เก่าของสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ยังไม่รอดคมเขี้ยวของเพื่อนเก่าร่วมรั้วอัสสัมชัญ ศรีราชา

ว่ากันว่า ข้อมูลจำนวนมากที่ถือเป็นข้อมูลชั้นความลับ และข้อมูลภายใน ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของรัฐบาลไทยรักไทย ทั้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และวงประชุม หารือต่างๆ หลุดรอดไปถึงสนธิ ลิ้มทองกุล เกือบทุกคำพูด โดยมีเอกสารหลักฐานแทบจะครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนกับเอกสารที่อยู่ในแฟ้มห้องประชุม แล้วกลับมาทำร้ายรัฐบาล และนายกฯทักษิณ ชินวัตร นั้น ด้วยลีลาวาจาที่บิดเบือน จากจริงเป็นเท็จ จากเท็จเป็นจริง ของสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไปช่องทางที่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำไว้นั่นเอง มิใช่เป็นความสามารถชั้นพิเศษแต่อย่างใด ของสนธิ ลิ้มทองกุล และนักข่าวผู้จัดการ อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน แต่อย่างใด

ในช่วงปลายรัฐบาลไทยรักไทย มีความพยายามอย่างแรงกล้าของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ยื่นข้อเสนอว่า พร้อมจะหยุดการขับเคลื่อนกลุ่มประชาชนผู้หลงเชื่อ และหยุดการขับไล่นายกฯทักษิณ ชินวัตร หากรัฐบาลยอมรับข้อเสนอ “ทักษิณ ลาออก สมคิด เป็นนายกฯคนใหม่”

ข้อเสนอของสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นการกระชากหน้ากากสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ว่าเขาไม่ได้มีความซื่อสัตย์ต่อพรรคไทยรักไทย ต่อรัฐบาลที่ตัวเองร่วมทำงานอยู่ด้วย และ ที่สำคัญ เขาไม่มีความซื่อสัตย์ต่อ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ให้ความไว้วางใจเขาดำรงตำแหน่งสำคัญที่สุดของรัฐบาล และมอบอำนาจในการสั่งราชการ บริหารบ้านเมือง อย่างเต็มที่

เมื่อข้อเสนอของ สนธิ ลิ้มทองกุล ถูกปฏิเสธ หน้ากากของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถูกกระชากออกมา ก็ถึงเวลาที่ต้องตัดขาดจากกัน วาระที่ต้องแยกทางกันระหว่างนายกฯทักษิณ ชินวัตร กับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

หลังการรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกปล้นตำแหน่ง และ อำนาจ ต้องไปใช้ชีวิตในต่างแดน ระหกระเหินไปมาหลายประเทศ อดทนกล้ำกลืนฝืนยิ้มด้วยความยากลำบาก ชีวิตพลิกผัน จากคนที่มีแต่งานเพื่อบ้านเมืองและประชาชนคนไทย วันละ 24 ชั่วโมง ต้องกลายเป็นคนว่างงาน ห่างไกลบ้านเมือง และประชาชนคนไทย ไปนานนับเนื่องถึงวันนี้ก็เกือบ 1 ปี

ในขณะที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็มุดหัวกลับเข้าไปซุกอยู่ใต้รักแร้ของสนธิ ลิ้มทองกุล ศัตรูหมายเลข 1 ของ รัฐบาลไทยรักไทย ซึ่งสนธิ ลิ้มทองกุล ทำพิธีต้อนรับการกลับบ้านของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อย่างอบอุ่น ยิ่งนัก

แต่กับ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ผู้ให้ชีวิตและโอกาสทางการเมืองแก่เขานั้น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นั้น บอกว่าไม่เคยคุยกันมานานแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นรัฐบาล ก็ไม่ได้คุยกันแล้ว

แม้จะไม่มีสถานะใดๆ กำกับต่อท้ายชื่อ แต่ประเพณีแบบไทยๆ คนเคยอยู่ร่วมกัน คำสอนที่ว่า “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” ต้องท่องจำให้ได้ แต่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นอกจากจะไม่เคยยกหูโทรศัพท์ถามไถ่ความทุกข์ที่อยู่ในหัวอกของคนที่ต้องห่างบ้านไกลเมือง ยังกลับ ไปเสนอตัวไปทำงานรับใช้รัฐบาลเผด็จการทหาร ที่ปล้นอำนาจไปจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ โค่นล้มรัฐบาลที่มีตัวเอง ร่วมอยู่ด้วย

แทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินข่าว สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจและต่างประเทศ

แทบจะไม่เชื่อสายตาเมื่อได้ชมข่าว สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พูดจาให้สัมภาษณ์ว่า เสนอตัวเข้ามารับใช้รัฐบาลเผด็จการทหาร ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่มีใครชักชวน

แทบจะไม่อยากเชื่อว่าวันนี้ คนอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังมีเครดิตมากพอที่นักการเมือง “ขี้หมูไหล” ทั้งหลาย จะไปเชื้อเชิญมาเป็นผู้นำทางความคิด และผู้นำทางการเมืองให้แก่กลุ่มก้อนของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า รวมใจไทย และ มัชฌิมาธิปไตย

คนอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในสำนวนไทยๆ ต้องเรียกเป็นคนจำพวก “นกสองหัว” หรือ “ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย”

คนจำพวกนี้ ไม่ซื่อสัตย์กับใครทั้งสิ้น ใช้ลิ้นเป็นบันไดไต่หาสิ่งที่ต้องการ ภักดีและสัตย์ซื่อต่อความต้องการในหัวใจของตนเองเพียงผู้เดียวเท่านั้น “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์หนีเอาตัวรอด” น่าจะเป็นคติประจำใจของคนคนนี้

คนอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อย่าว่าแต่จะมาเป็นผู้นำประเทศเลย เพียงแค่เป็นผู้นำครอบครัว และองค์กรที่ตนเข้าไปอยู่ด้วย ยังไม่รู้จะประสบความสำเร็จหรือไม่

พฤติกรรมที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แสดงออกมาทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร นั้น ไม่อาจเข้าใจเป็นอื่นได้ นอกจากว่าคนคนนี้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการทำร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนสำคัญในการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลที่ตัวเองร่วมอยู่ด้วย มีบทบาทสำคัญในการเข้ายึดอำนาจและก่อการรัฐประหาร ของ เผด็จการทหารคมช. ไม่เช่นนั้น คงไม่กล้าเสนอตัวเข้าไปรับใช้รัฐบาลเผด็จการทหาร

ในไทยรักไทยมีเพียงคนคนนี้คนเดียวเท่านั้น ที่กล้าทำถึงขนาดนี้ ไม่ได้ละอายต่อสาย ตาประชาชนผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย ไม่ได้เกรงกลัวต่อการลงโทษของประชาชนที่จะมีขึ้นในเวทีเลือกตั้งครั้งถัดไป

เพราะการให้โอกาสของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงทำให้สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถือกำเนิดและมีหน้าตาในเวทีการเมือง

เพราะการล่มสลายของพรรคไทยรักไทย จึงทำให้สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นนักการเมืองที่ได้รับการยอมรับจากเผด็จการทหารคมช.

เพราะความทุกข์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่สามารถอยู่ในประเทศไทย ได้ จึงทำให้สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มีความสุข และภาคภูมิใจที่ได้รับการคาดหมายให้เป็นผู้นำประเทศคนใหม่ที่จะมาแทนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย และ ประชาชนผู้ยังรัก ศรัทธา ชื่นชม นายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องสั่งสอนและให้บทเรียนแก่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนจำพวก “นกสองหัว” ที่กำลังยืนเป็นหัวแถวให้กับนักการมือง “ขี้หมูไหล” ให้ได้รู้สำนึกว่าคนที่ทรยศต่อประชาชน จะมีจุดจบเช่นไร

“ข้าสองเจ้า - บ่าวสองนาย” อย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นอกจากตัวเองแล้ว อย่าได้หวังว่าจะซื่อสัตย์ต่อประชาชน และประเทศชาติ

ขอให้จำคำ “ประดาบ” ไว้
...............................................................
ก๊อปมาอีกแล้ว ขอบคุณประชาไทยครับ



Create Date : 26 สิงหาคม 2550
Last Update : 28 สิงหาคม 2550 13:35:03 น. 0 comments
Counter : 1499 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

drunkcat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว ในที่สุดองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใกล้จะถึงวาระที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ควรจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

ในวันหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ก็ทรงพบเด็กเกิดใหม่ วันต่อมาทรงพบคนแก่ คนป่วย แล้วก็คนตาย วันสุดท้ายทรงพบสมณะ

ความจริงเวลานั้นพระที่แต่งตัวแบบนี้ ไม่มีในโลก แต่ว่าเทวทูตทั้ง ๕ ที่เรียกกว่า เทวทูต คือ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนป่วยก็ดี คนตายก็ดี พระก็ดี ที่ปรากฏกับสายพระเนตรขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เมื่อยังเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ท่านบอกว่า เวลานั้นเทวดาแสดงขึ้นให้ปรากฏ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นคนเกิดยังเด็กเล็ก แล้วต่อมาพบคนแก่ แล้วก็พบคนป่วย แล้วก็พบคนตาย น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า

"โลกนี้ทุกข์หนอ ไม่มีอะไรเป็นสุข หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้"

ต่อมาวันสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเห็นสมณะวิสัยก็เข้าใจว่าทางนิพพานมีอยู่ ทางนี้เป็นทางสิ้นทุกข์ เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตัดสินพระทัยออกบวช นี่ขอเล่าลัดๆ นะ แต่ความจริงเรื่องนี้ยาวมาก
Friends' blogs
[Add drunkcat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.