|
เปรมมหาโสภามิเอม
เปรมมหาโสภามิเอม
ถ้าหากจะบอกว่ารัฐบาลทักษิณมีอันจะต้องพังคลืนลงด้วยฝีมือของนายสนธิ ลิ้มทองกุลนั้น ก็คงเป็นการให้ราคาค่างวดคนอย่างนายสนธิมากเกินไป แต่หากบนความเป็นจริงกว่าหนึ่งปีนับตั้งแต่มีปรากฏการนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสามารถสร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลทักษิณ ได้อย่างยาวนานจนเหลือเชื่อแต่ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ย่อมมีเหตุและปัจจัยหนุนส่งด้วยกันทั้งสิ้นลำพังนายสนธิคนเดียวคงไม่มีความกล้าหาญชาญชัยที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับคนระดับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่มีคนให้ท้ายหรือสนับสนุนอยู่เบื้องหลังและแน่นอนที่สุดคนที่จะสนับสนุนในการนี้ได้จะต้องเป็นคนที่นายสนธิประเมินแล้วว่าสามารถปกป้องคุ้มครองให้พ้นภัยได้ หรืออย่างน้อยอิทธิพลและบารมีต้องไม่เป็นรอง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้ทุกคนก็คงจะทราบดีแล้วว่าบุคคลที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
พล.อ.เปรม ก้าวขึ้นมามีอำนาจเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมาด้วยความกังขาของคนทุกวงการ แม้วงการทหารเองก็ยังมีการตรวจสอบความเป็นมาของเส้นทางสู่อำนาจในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกก่อนที่จะทยานขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรมมาแรงแซงโค้งแบบชนิดที่นายทหารดังยุคสมัยนั้นต้องหลีกทางให้แทบไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.เสริม ณ นคร พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หรือแม้แต่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรี ก็ยังต้องยอมก้าวลงจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ พล.อ.เปรม เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน
การเป็นผู้นำบนตำแหน่งสูงสุดของ พล.อ.เปรม ก็ใช่ว่าจะมีความราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ในทางตรงกันข้ามกับมีปัญหาอุปสรรค์จนส่งผลให้เกิดการรัฐประหารถึงสองครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จึงกลายเป็น กบฏเมษายน ๒๕๒๔ โดย พ.อ.มนูญ รูปขจร และการก่อความไม่สงบ ๙ กันยายน ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นการก่อการโดยคนเดิมคือ พ.อ.มนูญ เจ้าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้มีน้องชาย น.ท.มนัส รูปขจร เข้าร่วมด้วย (คนเดียวกันกับ พล.อ.อ.มนัส หรือที่ พล.อ.สนธิ เรียกพี่นัส ให้ลงมาจากนครสวรรค์ เพื่อช่วยดูแลกรมอากาศโยธิน ในการทำปฏิวัติ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา)
ยุคพล.อ.เปรม เป็นผู้นำ มีเหตุการณ์รุนแรงไม่เพียงมีการก่อการกบฏเท่านั้น หากแต่ยังมีการลอบสังหารอีกหลายหน ทำให้เกิดอาการเครียดถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเลยทีเดียว สมเด็จพระเทพรัตนสุดาสยามบรมราชกุมารีได้อันเชิญกระเช้าดอกไม้พระราชทานจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถไปเยี่ยมถึงบ้านสี่เสา ในเวลาเดียวกันก็มีกระเช้าดอกไม้พระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร เท่านั้นยังไม่พอ พล.ท.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษได้นำผู้ใต้บังคับบัญชาแต่งชุดทหาร สวมหมวกเบเลย์สีแดง ๔๐๐ นายตบเท้าเข้าให้กำลังใจ อันเป็นการสยบการเคลื่อนไหวของฝ่าย พล.อ.อาทิตย์กำลังเอกโดยสิ้นเชิง
ด้านบริหารราชการแผ่นดินบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรมเข้าดำรงตำแหน่งหลายครั้งหลายหนโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งและไม่เคยยินยอมให้มีการอภิปรายตัวเองอย่างเด็ดขาด นอกจากอภิปรายเป็นรายบุคคล เมื่อไรก็ตามที่ฝ่ายค้านประกาศจะอภิปรายทั้งคณะ เมื่อนั้น พล.อ.เปรมก็จะประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ และสุดท้ายพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งก็จะไปเชิญให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลอดเวลากว่า ๘ ปี จนกระทั่งเกิดมีกลุ่มนักวิชาการประกาศรวมตัวกันคัดค้านการเข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ ภายใต้ชื่อ กลุ่มนักวิชาการ ๙๙ นำโดย ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช จึงเป็นการอวสานตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม
พอพ้นจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาล พล.อ.เปรม ก็ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีและประธานองคมนตรีตามลำดับ และถึงแม้จะหลุดพ้นจากฝ่ายบริหารแล้ว แต่บนความเป็นจริง พล.อ.เปรม ก็ยังดูแลกำกับงานด้านความมั่นคงอยู่แม้กระทั่งทุกวันนี้ ดังนั้นฤดูโยกย้ายประจำปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามเหล่าทัพ แม้จะผ่านชั้นตอนของการจัดโผซึ่งตามระบบ ผบ เหล่าทัพจะเป็นผู้จัดทำแล้วส่งขึ้น ผบ.สูงสุด, ปลัดกระทรวงกลาโหมแล้วผ่านไปรัฐมนตรีกลาโหม ตามลำดับ สุดท้ายนายกรัฐมนตรีจะต้องลงนามเห็นชอบซึ่งถือว่าสิ้นสุดและสมบูรณ์แล้ว แต่สำหรับเมืองไทยยังต้องผ่านประธานองคมนตรีเห็นชอบและถ้าหากไม่เป็นที่สบอารมณ์ก็อย่าได้หวังว่าโผในปีนั้นจะคลอดได้อย่างที่เคยปรากฏมาแล้ว
ดังนั้นถ้าหากจะให้เข้าใจการเมืองไทยแล้วละก็ ต้องเข้าใจว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารนั้น ที่จริงแล้วยังมีสูงขึ้นไปอีกคือนายกรัฐมนโท นักข่าวเคยสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคราวแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อปีที่แล้วว่า แน่ใจไหมว่าโผทหารจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง คำตอบที่ได้รับคือ นายกรัฐมนตรีเซ็นไปแล้วใครจะเปลี่ยน จึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะโผถูกดองจนสุดท้ายต้องเปลี่ยนโผทหารอากาศให้ พล.อ.อ. ชลิต ผุกผาสุข ขึ้นแทน พล.อ.อ. ธเรศ บุญศรี
ปรากฏการกระทบกระทั่งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณและประธานองคมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการดัน พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ จากผู้บัญชาการทหารบกขึ้นไปบนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยไม่ผ่าน พล.อ.เปรม ในครั้งนั้น ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับ พล.อ.เปรม เป็นอย่างยิ่ง เพราะนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา ไม่ปรากฏว่ามีรัฐบาลไหนที่กล้าลูบคมด้วยการนำโผทหารขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก พล.อ.เปรม ดังนั้นสัมพันธภาพของรัฐบาลทักษิณกับประธานองคมนตรีในครั้งนี้ซึ่งเกิดเป็นรอยร้าวชนิดบาดลึก รอวันแค้นที่ต้องชำระ
ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยมีผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการเอาคืนเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาลทักษิณ โดยมีพรรคการเมืองเก่าแก่ให้ความร่วมมืออย่างลับๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการโค่นล้ม ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็คงทราบดี ดังนั้นการลงพื้นที่จึงเป็นไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะยุติการลงพื้นที่ในที่สุด ด้วยเกรงอุบัติเหตุจากการต่อสู้แบบดำน้ำ จึงมีข่าวสพัดว่ามีการตั้งค่าหัวให้เด็ดชีพ พ.ต.ท.ทักษิณ
เกมเอาคืนด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้นหวังผลสองด้านคือ เด็ดชีพแบบดำน้ำให้เป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายหากสามารถฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ถึงจุดนั้น ก็จะเป็นหน้าที่ของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญออกมายุติปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นการแสดงถึงบารมีที่สามารถทำให้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ แต่การไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เพราะต้องไม่ลืมว่าปัญหาชายแดนภาคใต้นั้นมีมานานแล้ว เมือไรที่รัฐบาลมีความเข้มแข็ง ภาคใต้ก็เกิดความร่มเย็น แต่ถ้าหากการเมืองอ่อนแออันสืบเนื่องจากมีความขัดแย้ง ปัญหารุนแรงก็กลับมาให้รัฐบาลต้องกุมขมับอีก และยิ่งมีการแอบสนับสนุนในทางลับ ก็เปรียบเสมือนเตะชิ้นหมูไปเข้าปากหมานั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจในกรณีที่ผู้มีบารมีนอกจากไม่สามารถแสดงบารมีได้อย่างที่คิดไว้แล้ว แถมยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งอีกต่างหาก พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ผู้ซึ่งอยู่บนตำแหน่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านความมั่นคง จึงต้องหลุดพ้นจากวงจรอำนาจด้วยประการฉะนี้
เมื่อไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลทักษิณด้วยปัญหาความรุนแรงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหรือที่คนอย่าง พล.อ.เปรมจะยุติความแค้นที่ต้องชำระ จึงหันมาสนับสนุนให้มีการโค่นล้มแบบดาวกระจาย โดยผ่านไปในหลายช่องทางแบบร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งสถาบันการศึกษาต่างๆและเครือข่ายของสื่อมวลชน เริ่มจาก รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเปิดประเด็นเรื่องลูกแกะหลงทาง เป็นการเปิดประเด็นอย่างจงใจที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไปที่ไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังเป็นการหยิบยื่นความตายให้เหมือนเมื่อครั้ง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เคยกล่าวโทษหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุาภาพในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเคยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา
ประเด็นลูกแกะหลงทางทำให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของนายสนธิถูกแบน แต่ก็มีรายการร่วมด้วยช่วยอุ้ม จาก ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช ผู้อำนวยการโรงเรียนวิชราวุธ ส่วนทางด้าน หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี ด้วยการเปิดห้องประชุมให้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรได้ จากนั้นก็เกิดมีขบวนการนักวิชาการออกมาร่วมสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เป็นที่น่าสังเกตุว่า กลุ่มคนที่ออกมาโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรนั้น ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับบุคคลผู้ได้ชื่อว่า รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาททั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น
- พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่เที่ยวไปปลุกระดมตามสถาบันต่างๆ และโรงเรียนทั้งสามเหล่าทัพ
- ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสามารถรวบรวมกลุ่มก้วนนักวิชาการและคณาจารย์ โดยผ่านทาง ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช ผู้อำนวยการ รร.วิชราวุธ ซึ่งเป็นผู้รวบรวมรายชื่อบุคคลชั้นสูงยื่นถวายฏีกาขอนายกฯพระราชทาน อีกทั้งนายชัยอนันต์ยังมีลูกชายที่ทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่ในกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของนายสนธิ ลิ้มทองกุล
นอกจากนี้แล้วยังมีกลุ่มขาประจำอันประกอบด้วยกลุ่มนักวิชาการที่ผันตัวเองไปเป็นนักจัดรายการแล้วถูกแบนอย่าง ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ตลอดจนพวกที่เป็นนักวิชาการอยากดังที่ต้องการให้ตัวเองเป็นข่าว แต่ถูกเรียกเหมารวมว่าขาประจำอย่างเช่น นายธีรยุทธ บุญมี นายสังศิต พิริยะรักสรร และอาจารย์ตุ้งติ้งเสรี วงค์มณฑา ตลอดจนนายไชยันต์ ไชยพรอาจารย์ฉีกบัตร เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มก้วนผูกกันเป็นเครือข่ายกับกลุ่มบุคคลที่ได้ชื่อว่ารับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
ตอน เปรมาธิปไตย ๒๙ พ.ย. ๒๕๔๙
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา ประเทศไทยหรือดิน แดนสยามแห่งนี้ก็ดูเหมือน ไม่เคยว่างเว้นจากการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มทหารด้วยกันสลับกับการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน นับรวมได้ ๒๔ ครั้ง ในจำนวนทั้งหมดนี้มีอยู่เพียง ๒ ครั้งที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ นั่นก็คือ ปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิไตย และปฏิวัติ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหารมาสู่ระบอบประชา ธิปไตยอีกครั้ง นอกนั้นเป็นการทำรัฐประหารสลับกับกบฎและการก่อความไม่สงบ
๗๔ ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ความเป็นประชาธิปไตยไม่เคยมีความมั่งคงในดินแดนแห่งนี้ ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยดูเหมือนจะมีอยู่เพียงครั้งเดียวคือ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ส่วน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ผมถือว่าเป็นการเอาคืนหลังจากสูญเสียอำนาจของกลุ่มขุนนางเก่า ที่ต้องการรื้อฟื้นระบอบอมาตยาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่าพรรคข้าราชการ ส่วนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมจะไม่ขอออกความเห็นเพราะนั่นเป็นการเรียกร้องที่ไร้สาระว่า นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่บนความเป็นจริงเป็นการต่อสู้ช่วงชิงเพื่อลบรอยแค้นระหว่างนายทหาร จปร.๗ ซึ่งมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ จปร ๕ ที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร แล้วก็มี จปร ๑ นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุธ เข้าร่วมแจมแบบหมาหวงก้าง สุดท้ายลงเอยด้วยประชาชนมีอันจะต้องไปตายแทนบนความขัดแย้งของนายทหาร ๓ รุ่นดังกล่าว
การล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจตนาต้องการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับนาๆ อารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เนื่องจากมีการชิงไหวชิงพริบเพื่อครอบครองอำนาจโดยเด็ดขาดจากนายทหารสองกลุ่ม จึงมีการแบ่งคั่วและซ่องสุมกำลังเพื่อจัดการอีกฝ่ายจนกลายมาเป็นระบอบเผด็จการ โดยมีจุดเริ่มต้นที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต่อเนื่องมายุคจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ และสืบทอดต่อมายังจอมพลถนอม กิติขจร ก่อนที่จะถูกนักศึกษาประชาชนโค่นล้มเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นการอวสานยุคเผด็จการทหาร
เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผมคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้นจนจบ การต่อสู้ในครั้งนี้มีผู้คนโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ตายได้ชื่อว่าวีรชนเป็นการตอบแทน มีหลายคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สุดท้ายได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีก็หลายคน ส่วนที่แยกย้ายกันไปทำมาหากินสร้างครอบครัวโดยที่ไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็มีกระจายไปอยู่ทั่วประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องปรกติ คนรุ่นนี้จะมีอายุประมาณ ๕๐ ปีขึ้นไป
ส่วนที่ไม่ปรกติคือกลุ่มคนที่เป็นแกนนำในการต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งบัดนี้หลายคนเป็นนักวิชาการและอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ กลับทำหลงลืมออกมาช่วยต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แถมยังกวักมือและเปิดทางให้มีการยึดอำนาจ อันเป็นการกระทำที่ผมยอมรับไม่ได้ เพราะผมถือว่าเป็นการหักหลังพวกวีรชนที่อุส่าห์ต่อสู้จนแม้อุทิศชีวิตให้กับความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งผมจะยังไม่ลงในรายละเอียดในตอนนี้ แต่ขอสัญญาว่าคนพวกนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนายธีรยุทธ บุญมี นายสังษิต (แซ่โล้ว) พิริยะรังสรรค์ และอีกหลายคนที่ช่วยกันเคลื่อนไหวในการล้มล้างรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
เผด็จการจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เข่นฆ่ากวาดล้างผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่นั่นส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่อยู่ซีกนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีนายถวิล อดุล นายทองอิทนร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง และดร.ทองเปลว ชลภูมิ เป็นต้น ส่วนจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ก็มีวิธีกวาดล้างอีกรูปแบบหนึ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย นั่นคือ จับขังลืมโดยไม่ผ่านขบวนการยุติธรรม จอมพลแต่ละท่านมีอิทธิพลบารมีมากล้นที่จะทำอะไรได้ตามที่ใจปรารถนา นั่นเป็นเพราะว่าแต่ละท่านอยู่บนตำแหน่งที่กุมอำนาจมาอย่างยาวนาน
จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๘๑ จวบจนกระทั่งถูกจอลพลสฤษดิ์ ทำการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๐๐ เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่อยู่บนอำนาจ (มีช่วงที่ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ) จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเถลิงอำนาจจริงๆ เมื่อปี ๒๕๐๑ จวบจนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปี ๒๕๐๖ จากนั้นจึงถึงคิว จอมพลถนอม จนกระทั่งถูกโค่นล้มจากพลังนักศึกษาและประชาชนเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นแล้วว่าการที่บุคคลอยู่บนตำแหน่งที่ทรงอำนาจมายาวนานนั้นสามารถบ่มเพาะอิทธิพลบารมีได้อย่างสุดประมาณ
เมืองไทยมีบุคคลหนึ่งที่ทุกคนมองข้าม แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ประเมินผิด คนนั้นก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทุกคนมองเพียงว่าถึงบุคคลผู้นี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีและควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาก่อน แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจว่าขิงแก่อย่าง พล.อ.เปรม นั้นถึงแม้ลงจากตำแหน่งที่มีอำนาจก็จริงอยู่ แต่พลันก็เข้ารับตำแหน่งที่มีบารมีสูงมาทดแทนในทันใด นั่นก็คือตำแหน่งองคมนตรี และไม่นานหลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ตำแหน่งรัฐบุรุษอันเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนโทแห่งประเทศไทยที่ทุกคนมองข้าม เพราะความเป็นรัฐบุรุษของพล.อ.เปรม จึงได้มีการก่อตั้งมูลนิธิรัฐบุรุษขึ้นมาเพื่อเสริมอำนาจบารมี ด้วยการกวาดต้อนผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เพิ่งเกษียณมาช่วยงาน ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่าการที่จะเสนอใครขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่นั้นก็ต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้บัญชาการคนเก่าที่กำลังจะเกษียณ ที่เรียกกันว่าจัดทำโผโยกย้ายนั่นแหละ ดังนั้นบุญคุณระหว่างผู้บัญชาการทั้งใหม่และเก่าซึ่งยังคงมีความผูกพันธ์กันอยู่ จึงอย่าได้แปลกใจเลยว่าแหล่งข้อมูลทางทหาร พล.อ.เปรม เอามาจากที่ไหน
ในอดีตที่ผ่านมา เรามีกลุ่มขุนนางรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นกุมอำนาจฝ่ายบริหาร โดยมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับ จนมีการเรียกขานกันว่า พรรคข้าราชการหรือระบอบ อมาตยาธิปไตย แต่พลันที่เกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ และมีการรวบรวมข้าราชการที่เกษียณเข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีคนเข้าใจว่าระบอบอมาตยาธิปไตยนั้นได้หวนกลับ แต่ส่วนตัวผมกลับมีความเห็นว่า มีสิ่งบ่งบอกว่ามันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่าตัว นั่นก็คือระบอบ เปรมธิปไตย เพราะเป็นการกินรวบอันเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆเดียว นอกนั้นล้วนแต่เป็นร่างทรงที่ต้องทำตามคำบัญชา แม้คณะปฏิรูปฯ ก็ไม่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ที่ว่ามานี้ ดังจะเห็นได้จากความไม่เป็นเอกเทศในการปฏิบัติ งานต้องคอยหันรีหันขวางโยนกันไปมาระหว่างรัฐบาลสุรยุทธ์และ คมช. อันมี พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลินเป็นหัวหน้า ซึ่งดูไปแล้วผิดกับคณะรัฐประหารคณะอื่นๆ ที่ผ่านมา ที่มีหน้าที่ดูแลและคุ้มครองรัฐบาล แต่กับคณะของ พล.อ.สนธิ กลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม ต้องอยู่ในความดูแลของรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ เป็นนายใหญ่ตามคำเรียกขานของบิ๊ก คมช.
ผมไม่ได้หลงไหลคลั่งไคล้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับต้องลงทุนเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะคุณทักษิณไม่ได้เป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของผมให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง หากแต่ผมทนดูไม่ได้กับวิธีการอันต่ำช้าเลวทรามในการโค่นล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษ แต่กลับตาขาวทำตัวเป็นอีแอบ เที่ยวบอนเซาะให้เกิดความเกลียดชังในตัวผู้นำที่มาจากการเลือตั้งตามกฏกติกาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างปราศจากคุณธรรม
การพูดขยายความจากเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จากเรื่องเท็จก็พยายามเป่าร้องกระพือให้เป็นเรื่องจริงด้วยความจงใจแบบร่วมด้วยช่วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการโค่นล้มให้สมอารมณ์แค้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ ผมในฐานะเคยร่วมเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย ผมย่อมต้องไม่ยินยอมพร้อมใจในการกระทำของกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตยอย่างแน่นอน
ถ้าหาก พล.อ.เปรม ส่องกระจกดูเงาตัวเองสักหน่อย คงจะได้เห็นภาพของตัวเองก็ไม่ต่างไปจากผู้นำคนอื่นๆ ที่มีการเอาพรรคพวกตัวเองเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างเช่น พล.อ. ประจวบ สุนทรางกุล เป็นต้น และก็ด้วยเหตุที่เล่นพรรคเล่นพวกนี่แหละนำพาไปสู่การทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ ถึงสองครั้งสองครา ตลอดจนมีการลอบสังหารอีกต่างหาก แถมยังมีนักศึกษาสติเฟื่องกระโดดเข้าชกดั้งจมูกที่สนามกีฬาหัวหมากด้วยความหมั่นไส้
นอกจากนี้แล้ว พล.อ.เปรมยังถนัดในการบริหารด้วยวิธีแยกแล้วปกครอง ส่งผลให้สถาบันทหารแตกร้าวจนยากประสานจวบจนทุกวันนี้ พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธและพล.อ.พิจิตร กุลวานิช ก็เป็นคู่แคนดิเดท จนไม่มองหน้ากันถึงทุกวันนี้ ศึกสายเลือดระหว่าง จปร.๗ และ ๕ ก็เกิดในยุคเปรมนี่แหละ ยังมีอีกคู่คือ บิ๊กเต้ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และบิ๊กอู๊ด พล.อ.อ. วรนาจ อภิจารี ก็มีการพลิกโผเปลี่ยนจาก พล.อ.อ.เกษตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ทอ. จ่อคิวขึ้นเป็น ผบทอ. มาเป็น พล.อ.อ.วรนาจ ที่อยู่บนตำแหน่ง เสธ.ทอ. ส่งผลให้ทุ่งดอนเมืองร้อนระอุในบันดล ความสับสนจนบานปลายไปสู่ความขัดแย้งของคนทั้งประเทศก็เกิดจากการกล่าวร้ายให้เท็จ จนเป็นที่กังขาของคนทั่วไปทำให้เกิดการแบ่งขั่ว โดยฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นจริงด้วยการให้เครดิต เนื่องเพราะเห็นว่าอยู่บนตำแหน่งประธานองคมนตรี ส่วนอีกฝ่ายไม่เชื่อเพราะผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณนั้นเห็นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ แต่เนื่องจากรัฐบาลถูกโจมตีมายาวนาน จน***ส่วนของคนที่เชื่อว่าเป็นจริงดังที่กล่าวหามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยรัฐเองก็ไม่ได้ชี้แจงเท่าที่ควร อันเนื่องจากมวลสมาชิกซีกรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเปลืองตัว อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งนี้ กลุ่มคนที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบเปรมาธิปไตยกลับโยนความผิดให้เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงผู้เดียว
ในที่นี้ผมจะยังไม่พูดถึงในรายละเอียด เพราะใกล้หมดหน้ากระดาษสำหรับบทความชิ้นนี้ คงต้องยกยอดไปว่ากันในตอนต่อไป แต่ก่อนจากกันในวันนี้ใคร่อยากชี้แจงให้ท่านผู้อ่านได้ประจักษ์ในความเป็นจริงสักเรื่องหนึ่ง อันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ พล.อ.เปรม ตามที่ท่านได้เรียกร้องให้ผู้คนอย่าไหว้คนที่มีเงินหรืออย่าไปนับถือคนรวยนั้น แต่บนความเป็นจริงนั้น พล.อ.เปรม เวลานี้ก็มีฐานะร่ำรวยเกินกว่าที่คนๆหนึ่ง ซึ่งรับราชการมาตลอดชั่วอายุจะพึงมี เอากันแค่เศษเงินที่บำรุงบำเรอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งที่เป็นนักมวยและนักร้อง เฉพาะรายของหนุ่มเสกได้ข่าวว่ารายเดียวหมดไปนับร้อยล้าน เรื่องจริงอย่างนี้ปิดมิดหรือ พี่-น้อง ดังนั้นจึงอย่าได้ไว้วางใจผู้คนอันสืบเนื่องจากเห็นว่ามีตำแหน่งใหญ่โต พร้อมกันนี้สังคมควรที่จะต้องช่วยกันประนามและยุติที่จะยกย่องนับถือคนอย่างพล.อ.เปรมถึงจะถูกต้อง
ตื่นเถอะชาวไทย
อาคม ซิดนีย์ ----------------------------------------------------------------------
Create Date : 20 เมษายน 2553 |
Last Update : 20 เมษายน 2553 15:39:45 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3471 Pageviews. |
|
|
|
โดย: kiky IP: 125.24.210.124 วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:11:27:56 น. |
|
|
|
โดย: kk IP: 222.123.109.54 วันที่: 13 กันยายน 2553 เวลา:20:20:57 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
กตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว ในที่สุดองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใกล้จะถึงวาระที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ควรจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในวันหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ก็ทรงพบเด็กเกิดใหม่ วันต่อมาทรงพบคนแก่ คนป่วย แล้วก็คนตาย วันสุดท้ายทรงพบสมณะ
ความจริงเวลานั้นพระที่แต่งตัวแบบนี้ ไม่มีในโลก แต่ว่าเทวทูตทั้ง ๕ ที่เรียกกว่า เทวทูต คือ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนป่วยก็ดี คนตายก็ดี พระก็ดี ที่ปรากฏกับสายพระเนตรขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เมื่อยังเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ท่านบอกว่า เวลานั้นเทวดาแสดงขึ้นให้ปรากฏ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นคนเกิดยังเด็กเล็ก แล้วต่อมาพบคนแก่ แล้วก็พบคนป่วย แล้วก็พบคนตาย น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า
"โลกนี้ทุกข์หนอ ไม่มีอะไรเป็นสุข หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้"
ต่อมาวันสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเห็นสมณะวิสัยก็เข้าใจว่าทางนิพพานมีอยู่ ทางนี้เป็นทางสิ้นทุกข์ เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตัดสินพระทัยออกบวช นี่ขอเล่าลัดๆ นะ แต่ความจริงเรื่องนี้ยาวมาก
|
|
|
|
|
|
|