1. ดูฐานภาษีที่เราเสีย
ง่ายๆเราก็ดูภาษีที่เราเสียชองปีก่อนว่าเราเสียภาษีสูงสุดที่เท่าไหร่
ยิ่งเราเสียภาษีฐานสูง เราก็ยิ่งได้ประโยชน์จากการซื้อ LTF
เช่น ปิติมีรายได้เดือนละ 60,000 บาทค่อเดือน ทั้งปี 720,000
หักค่าใช้จ่ายได้ 40% แต่ไม่เกิน 60,000 สำหรับ 40(1)
หักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ 30,000 บาท
เงินได้สุทธิของปิติ 630,000 บาท
ภาษีที่ต้องเสีย
150,000 แรก ยกเว้น
150,001-300,000 เสีย 5% เสีย 7,500
300,001-500,000 เสีย 10% เสีย 20,000
500,001-720,000 เสีย 15% เสีย 33,000
รวมภาษีที่เสีย 60,500
ปิติสามารถซื้อ LTF ได้สูงสุด 15% ก็คือ 108,000
ก็จะประหยัดภาษีได้ 16,200 บาท
และอาจหาค่าลดหย่อนอื่นเพิ่มเติม เช่น RMF ประกันชีวิต
คำแนะนำ คือ ควรจะพยายามลดฐานภาษีที่เราต้องเสียสูงสูดลงมา
แต่ก็ต้องเอาแต่พอดี ไม่ใช่ซื้อ LTF RMF ประกัน จนไม่มีเงินไว้ใช้จ่ายอื่นๆ
ยังไงเราเป็นคนไทยที่มีรายได้ การเสียภาษีบ้างไม่ใช้เรื่องเสียหาย
2. วางแผนการซื้อ
ก่อนอื่นก็ควรเลือก LTF โดยดูว่าเราชอบแบบมีปันผลหรือไม่มีปันผล
อันนี้แล้วแต่คนชอบ ไม่มีถูกผิด
หลังจากนั้นก็เลือกกองทุนที่ใช่ โดยดูค่าธรรมเนียม และผลงานที่ผ่านมา
เลือกยังไง ดูยังไง ลองดูในโพสเก่าๆนะ
พอเลือกกองทุนที่ใช่ได้แล้ว
ก็มาดูว่าแต่ละเดือนจะทยอยซื้อประมาณเดือนละเท่าไหร่
อย่างปิติก็อาจทยอยซื้อเดือนละ 9,000 บาท
หรือถ้าใครคอยติดตามตลาดหุ้นตลอด
ก็อาจค่อยซื้อตอนตลาดลงก็ได้
3. ปฏิบัติตามเงื่อนไข
อย่างในโพสก่อนๆ
จะเห็นว่าถ้าเราซื้อเกินก็วุ่นวายที่เราต้องนำกำไรที่ได้จากการขายมาคิดภาษีด้วย
หรือถ้าไม่ทำตามเงื่อนไข ขายคืนก่อน
ก็ต้องคืนเงินภาษีที่ได้ลดหย่อนไปพร้อมดอกเบี้ย
และค่าธรรมเนียมการขายคืนที่มากกว่าปกติ
ทางที่ดีอย่าซื้อเกิน และอย่าขายก่อนเวลาดีสุด
การซื้อ LTF นอกจากได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษี
เราอาจยังได้กำไรจากการขายคืนด้วยนะ
ลองดูนะ Let's get started