อทินนาทาน ลิขสิทธิ์ และอาชีพค้าขายที่ชาวพุทธไม่ควรทำ 490916
ธรรมวันเสาร์ เรื่องอทินนาทาน ลิขสิทธิ์ และอาชีพค้าขายที่ชาวพุทธไม่ควรทำ (เมื่อวันที่ ๑๖ ก.ย. ๒๕๔๙) Oar != Aor says: นมัสการพระคุณเจ้าครับ สวัสดีทุกๆ ท่านครับ Power = Value x Flow --> //www.wealth says: นมัสการพระคุณเจ้า และสวัสดีครับ Mee สิ่งเดียวที่ทำให้คนๆหนึ่งถลำลงไปสู่ความชั่ว คือการพลาดทำผิดแล้วไม่ยอมรับว่าผิด กับไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้น says: นมัสการพระคุณเจ้าครับ เป้-ถ้าคิดผิดทาง การวางตัวต่อกันก็จะผิด says: กราบนมัสการท่านปิยะลักษณ์ เจ้าค่ะ เทิดเกียรติ์-เทิด says: กราบนมัสการท่านพระปิยะลักษณ์ ครับ พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร says: สวัสดีจ๊ะ วันนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ ชินา-LET GOooooooo ! says: What is the topic today มีสิ่งหนึ่งอยากถามได้ไหมครับ การที่เราเอาของรักของคนอื่น ถือว่าผิดศีลข้อ 2 ใช่ไหมครับ แต่ถ้าของสิ่งนั้นไม่ได้หายไป ถือว่าผิดไหมครับ เช่น การที่เรา copy file จากคนอื่นมาเก็บไว้ที่เครื่องเรา ของๆคนนั้นยังอยู่ แต่ก็มาอยู่ที่เราด้วย ถือเป็นการผิดศีลไหมครับ (รอฟังคำตอบครับ) ขอเขาหรือยังคะ ไม่ได้ขอครับ เขาเคยบอกหรือเปล่าว่าเอาไปได้เลย ไม่เคยครับ เรื่องนี้ก็น่าสนใจครับ "การที่เรา copy file จากคนอื่นมาเก็บไว้ที่เครื่องเรา" หรือ Download program จากไวป์ไซด์ Emule หรือใช้ Bittorran ในเรื่องของลิขสิทธิ์ใช่ไหม ที่คุณอยากจะรู้น่ะ เรื่องของลิขสิทธิ์ด้วย และเรื่องความถูกต้องในศีลธรรมด้วยครับ ในเรื่องของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือลิขสิทธิ์นี่นะ เป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนเล็กน้อย เช่น นาย ก มีรูปที่ถ่ายไว้ดูส่วนตัว แต่ นส ข อยากได้ จึง copy เก็บไว้ โดยไม่บอกให้นาย ก รู้ แต่นาย ก ไม่ได้เสียรูปไป เพราะยังอยู่ในเครื่อง นส ข จะผิดศีลข้อ 2 ไหมครับ ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง says: สวัสดีทุกคนค่ะ คือว่า วันจะคุยเรื่องธรรมมะหัวข้ออะไรค่ะ คุณเทิด กับคุณนอร์ธ เรื่อง "การที่เรา copy file จากคนอื่นมาเก็บไว้ที่เครื่อง โดย file ยังอยู่ที่เครื่องเขา (ไม่ได้หายไปไหน) เราผิดหรือไม่" ผมว่าเรื่องเกี่ยวกับการ Download โปรแกรมมาใช้โดยไม่ได้ซื้อ ก็น่าจะดีนะครับ เพราะเราส่วนใหญ่ก็จำเป็นต้องทำอย่างงั่นเพราะว่าสู้ราคาค่าโปรแกรมไม่ไหว มีวัตถุประสงค์ต้องการให้ท่านปิยะลักษณ์ เอาธรรมะตอบเรื่องนี้หรือค่ะ สอบถามเพื่อนๆ พี่ๆ เฉยๆ ครับ (แค่อยากรู้ครับ) บางตัวตัวราคา ๒ หมื่นถ้าซื้อมาใช้โดยไม่ได้ทดลองก่อนว่าเหมาะกับเรา หรือมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือ ก็จะเป็นการเสียเปล่า ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะตั้งเป็น topic ก็สามารถผ่านไปได้เลยครับ ตกลงจะคุยหัวข้อเรื่องธรรมะกันหรือเปล่าค่ะ คือ ว่ารออยู่ค่ะ มีใครเสนอหัวข้อค่ะ ครับ (ขออภัยที่นอกเรื่องครับ) ธรรมะคือ ความเป็นจริงตามธรรมชาตินะ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระไม่ใช่หรือ ถ้าพระท่านสามารถไขปัญหาได้เราทุกคนก็จะได้สบายใจ นั่นสิครับ (ตอนนี้มีคนกังวลมาก) ตกลงจะเอาเรื่องอะไรล่ะ จะได้ตอบเป็นข้อๆ ไป เชิญตั้งหัวข้อกันได้เลยครับ มีใครเสนอหัวข้อใดบ้างครับ ถ้าถามในเรื่องนี้จริงๆ ก็จะได้ยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นหัวข้อในการสนทนา "อย่างไร เข้าข่ายการขโมย" ok ka this topic ตกลงว่า จะคุยกันเรื่องของ 'อทินนาทาน' ใช่ไหม ขอรับพระคุณเจ้า การอทินนาทานนั้น มีความหมายว่า การถือเอา(นำเอา)สิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ไปโดยอาการแห่งการขโมย เมื่อเขายังหวงแหนอยู่ , การอทินนาทานนั้น มีทั้งที่เป็นวัตถุสิ่งของและที่เป็นมนุษย์ ถ้าเป็นวัตถุสิ่งของ ก็เป็นลักษณะของการลักทรัพย์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็ถือเป็นการละเมิดในเรื่องการครอบครองในสิ่งอันเป็นที่รัก เช่น คู่ครอง เป็นต้น ซึ่งถือเป็น กาเมสุมิจฉาจาร file ถือเป็นวัตถุไหมครับ เรื่องของไฟล์ลิขสิทธิ์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น ถือได้ว่าเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง แต่ file ของเขาไม่ได้หายไปแต่อย่างใดนะครับ เราจะเข้าใจลักษณะของการอทินนาทานได้ เราจะต้องเข้าใจความหมายหรือความมุ่งหมายของการอทินนาทานก่อนนะ การอทินนาทานนั้น ป้องกันมิให้คนเราล่วงละเมิดในสิทธิของบุคคลอื่น ในสิ่งที่บุคคลอื่นเขาเป็นเจ้าของ เมื่อเขาไม่ต้องการให้เราครอบครองสิทธินั้น ครับ (ฟังต่อครับ) สิทธิในสิ่งของนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า มีเฉพาะกับสังคมหรือกลุ่มบุคคลผู้มีอารยธรรมเท่านั้น เช่น ในสังคมมนุษย์ และเทวดา ที่มีการตกลงร่วมกันในเรื่องของสิทธิหรือความเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นการยอมรับหรือตกลงร่วมกันว่าสิ่งนี้ๆ เราหรือเธอเป็นผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ (๑) แต่โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งทั้งหลายทั่วผืนปฐพีนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองมิได้มีเจ้าของ มิได้มีใครสร้างขึ้น ล้วนแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้อุปกรณ์ทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นก็นำมาจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น จะว่าโดยแท้แล้วการงานที่มนุษย์กระทำขึ้นนี้ต่างหากที่เป็นผลผลิตของบุคคลนั้น แต่ธรรมชาติก็ยังคงเป็นของกลางที่มนุษย์หยิบยืมมาใช้ มิอาจมีผู้ใดถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในธรรมชาตินั้นได้อย่างแท้จริง เช่น เราไม่สามารถกล่าวได้ว่า ผืนแผ่นดินนี้เป็นของเรา เรามีสิทธิ์ในผืนแผ่นดินนี้ เช่นว่า เมื่อน้ำท่วม แผ่นดินไหว ธรรมชาตินั้นที่ว่าเป็นของเรา ก็กลับมิใช่ของเราขึ้นได้ทุกเมื่อ แล้วอย่างนี้สัตว์แย่งอาหารจากสัตว์ ก็ไม่ผิดสิ นั่นสิครับ อือ.. น่าคิดจัง ธรรมดาสัตว์เดรัจฉานย่อมมีการแก่งแย่งกันและกัน สัตว์ทั้งหลายไม่เข้าใจในเรื่องสิทธิ จึงไม่อาจกระทำการสมมติตกลงร่วมกันได้ ว่าสิ่งนี้เป็นของใคร เพราะเขาไม่เข้าใจ สัตว์ทั้งหลายต่างแย่งชิงกันและกันอยู่เสมอ อย่างที่เรียกว่า ไม่รู้จักสิทธิหรือความเป็นเจ้าของใดๆ ดังนั้น สัตว์ที่แข็งแรงกว่าก็ขับไล่สัตว์ที่อ่อนแอกว่าออกนอกพื้นที่ สัตว์ใหญ่แย่งชิงอาหารจากสัตว์เล็ก ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สุนัขสมสู่กันโดยไม่รู้ว่าเป็นแม่เป็นลูก เป็นต้น ฉะนั้น การตกลงร่วมกันเพื่อแบ่งปันทรัพยากร หรือการจัดสรรแบ่งแยกสิทธิการครองครองนั้น จึงเป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ผู้มีอารยธรรมเท่านั้นที่จะตกลงร่วมกัน เรียกว่า สมมติร่วมกัน (สํ=ร่วมกัน+มติ=ข้อตกลง) คือตกลงร่วมกันว่า ใครจะมีสิทธิในสิ่งใด ด้วยวิธีการเช่นใด แต่ไม่ได้หมายความว่าการแย่งนั้นเขาไม่ได้ขโมย จะใช้ว่ายึดเอาสิ่งนั้นเป็นของตนโดยเขาไม่อนุญาต อย่างนี้เป็นการลักทรัพย์ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ การแย่งเอาสิ่งของหรือกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นมาทั้งที่เขารู้ เมื่อเขาไม่ยินยอมพร้อมใจ เรียกว่า การกรรโชกทรัพย์ P^ i +n *K He is a Hero says: นมัสการพระคุณเจ้า สวัสดีค่ะทุกคน สวัสดีครับ คุณพิ้งค์ ขออ่านก่อนค่ะ เชิญสนทนากันต่อค่ะ โดยสรุปในขั้นต้นก่อนว่า การอทินนาทานนั้น มีเฉพาะในหมู่มนุษย์และเทวดาผู้รู้จักสมมติหรือการตกลงร่วมกันเท่านั้น เพื่อแบ่งสิทธิในสิ่งทั้งหลายเพื่อการครอบครองกรรมสิทธิ์ ถ้าบุคคลใดไม่รู้จักกระทำสมมติ เมื่อนั้นก็ไม่เข้าข่ายการกระทำการอทินนาทาน ตอนนี้สิ่งที่จะเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งการถือสิทธินั้น จึงสุดแต่ว่ามนุษย์จะสมมติตกลงร่วมกันแค่ไหน อย่างไร แสดงว่า สัตว์ และคนที่เป็นโรคประสาท (คนบ้า) ก็ไม่เข้าข่ายสินะครับ เพราะไม่รู้จักกระทำสมมติร่วมกัน ใช่ เข้าใจแล้วขอรับ เอ แล้วเขาไม่ทำกรรมไม่ดีเหรอคะ คือไม่รู้จักเรื่องการมีสิทธิในสิ่งของ ก็เลยลักหรือยึดของคนอื่นโดยไม่สนใจ อย่างนี้คนไม่มีสติเผลอไปขโมยก็ไม่ผิดสิครับ เพราะไม่รู้จักกระทำสมมติร่วมกัน (ชั่วขณะนึง) เอ อย่างนี้เกิดมาไม่รู้อะไรเลยดีกว่า แล้วก็เอาของเขามาเป็นของตัว อย่างนี้จะได้ไม่ทำกรรมไม่ดี อันนั้นแน่นอน เมื่อสัตว์ทั้งหลายไม่รู้จักสมมติก็ย่อมทำการเบียดเบียนกัน เป็นเหตุที่ทำให้จิตใจของเขานั้นเกิดความเศร้าหมอง เกิดความบีบรัด เกิดความคับเครียดภายในจิตใจ และไม่มีความรู้สึกมั่นใจในการดำรงชีวิต รวมถึงไม่ได้รับความเบิกบานผ่องใสที่เกิดขึ้นได้จากการเสียสละ จิตใจของเขานั้นย่อมรู้อยู่ถึงสภาพของการเบียดเบียนและความกดดันทั้งหลาย นี่ล่ะผลของบาปที่แท้จริง คือ ความทุกข์ภายในจิตใจนั่นเอง อย่างเช่นว่า ถ้าในอนาคตเกิดคนเราสมมติร่วมกันว่า อากาศในประเทศนี้ ก็เป็นของคนในประเทศนี้เท่านั้น ก็ถือเป็นสิ่งซื้อขายกันได้ เป็นต้น เช่นว่า ใครที่มาที่ประเทศไทยเรา จะต้องเสียค่าอากาศหายใจ วันละ ๒๔ บาท เป็นต้น จนกว่าจะออกไปนอกอาณาจักร อย่างนี้ก็ทำได้นะ เพราะว่าสิทธิในสิ่งทั้งหลายทั่วผืนปฐพีนี้ อย่างที่ได้กล่าวว่า ไม่มีใครมีสิทธิ์ครอบครองแต่ต้น แต่มีขึ้นเมื่อมนุษย์-เทวดาผู้มีอารยธรรมนั้น เริ่มมีการตกลงร่วมกันเท่านั้น ฉะนั้น ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเห็นได้ชัด คือ เมื่อมนุษย์เราเมื่อมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ก็เริ่มใช้อำนาจในการกำหนดสิทธิ์ในสิ่งต่างๆ ว่าห้ามการล่วงละเมิด ทั้งที่บางทีสิ่งนั้นไม่ควรห้ามสิทธิ์ก็มี เช่นว่า เราห้ามพูดว่า "ถูกต้องแล้วคราบบบบบบบ" ออกทีวี มิฉะนั้นอาจถูกปรับว่า ละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิทางปัญญาได้ หมายความว่า ไม่ผิดทางธรรมชาติ แต่ผิดตามกฎกติกาที่เรากำหนดเอง เพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันใช่ไหมค่ะ ใช่จ๊ะ เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นของใคร หรืออย่างเช่น มนุษย์เราตกลงร่วมกันว่า น้ำและปลาในมหาสมุทรนี้เป็นของประเทศฉัน เธอห้ามล่วงล้ำเขตเข้ามาจับปลาในเขตของฉัน ถ้าเข้ามาก็ถือว่าผิดกฏหมายต้องชดใช้ อย่างนี้ก็ได้นะ อย่างในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า สิทธินั้นเป็นสิ่งถูกสมมติขึ้นมา ซึ่งจะมีประโยชน์แท้จริงก็ต่อเมื่อรู้จักใช้ให้เกิดความพอดี หรือตั้งอยู่บนความชอบธรรมเท่านั้น แบบนี้คนที่ไม่เจตนาจะลักทรัพย์ เช่น เดินเรือไปจับปลาเลยน่านน้ำของตนไป แบบนี้ผิดหรือเปล่าค่ะ ไม่ผิดศีลธรรม แต่อาจผิดกฏหมาย อย่างที่คุณเทิดและคุณนอร์ธถามในตอนแรกเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในสิ่งของที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของอยู่นั้น จึงขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นเจ้าของเขาหวงแหนหรือไม่ และกฏของสังคมที่ตกลงร่วมกันนั้น อนุญาตให้บุคคลนั้นมีสิทธิในสิ่งนั้นๆ ด้วยหรือไม่ แบบนี้การแย่งแฟนคนอื่น ผิดไหมค่ะ ต้องถามว่าผิดอะไรครับ กฏหมาย ประเพณี ศีลและธรรม ถ้าสังคมไม่ยอมรับให้มีสิทธิในสิ่งนั้น แม้บุคคลนั้นจะหวงแหนก็ตาม ก็อาจไม่มีสิทธิในการหวงแหนก็ได้ เช่น เพื่อนกันไม่มีสิทธิ์หวงห้ามเพื่อนของตนไปคบเพื่อนใหม่ อย่างนี้ถ้าคนๆ นั้นเกิดหวงห้ามสิทธิ์ขึ้นมา ก็จะไม่ถูกต้องเพราะไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นสามีหวงห้ามสิทธิในภรรยาของตนมิให้ไปมีชายคนใหม่หรือไปมีความสัมพันธ์กับชายอีกคน อย่างนี้มีสิทธิที่จะหวงห้ามได้ เพราะสังคมยอมรับในสิทธินั้นของสามี-ภรรยาที่จะพึงมีต่อกัน ถ้าหากว่าเขายังไม่แต่งงานกันถูกต้องตามกฏหมายหรือเขาไม่ได้มีอะไรกันถึงขั้นที่เกินกว่าประเพณี ผมว่าจะผิดก็คงตรงผิดธรรมนี้ละครับ การอทินนาทานนั้น มีความหมายว่า การถือเอา(นำเอา)สิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ไป เมื่อเขายังหวงแหนอยู่ (ถามตามความหมายของคำนี้ค่ะ) ต้องขอโทษครับนอกเรื่องนิดหนึ่ง พอดีตัวเองก็กำลังทำอยู่ ก็คือ ต้องแต่ง. กันก่อน ถ้ายังไม่แต่ง ก็ไม่ผิด แต่รู้สึกว่าเราเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้เขาได้พิจารณาก่อนที่เขาจะตัดสินใจ เพราะเราก็มั่นใจในตัวเราว่าดีที่สุดคนหนี่งในประเทศไทย ฉะนั้น สังคมจึงตั้งกฎสมมติขึ้นมาเป็นกฎหมายว่า ผู้ใดต้องการให้ตนมีสิทธิโดยชอบธรรม จะต้องจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้อง เพื่อรักษาสิทธิของตนในสิ่งที่ตนเห็นว่าควรหวงห้ามไว้ อย่างนี้เป็นต้น เพื่อให้สังคมให้สิทธินั้น ครับ แต่ที่ยังไม่แน่ใจก็คือจะผิด ธรรมะ ข้อไหนหรือเปล่า ที่พูดมานี่เป็นทางสังคมบัญญัติ แล้วทางพุทธล่ะเจ้าคะ หมาไปลักไก่ก็ไม่ถึงว่าเป็นบาปเหรอ สำหรับสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีการตกลงร่วมกันในด้านสิทธิในสิ่งของอะไรต่างๆ ฉะนั้นจึงมีแต่การแย่งชิงกันไม่รู้จักจบสิ้นด้วยกำลังของตนเท่าที่จะทำได้ ฉะนั้น จึงไม่มีการลักทรัพย์กันและกัน แต่สภาพจิตที่กระทำก็เป็นอกุศล เรียกว่า เป็นบาป เพราะจิตใจนั้นเศร้าหมองด้วยอกุศลจิต เช่น ประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะ เป็นต้น เกิดอกุศลจิต มีเจตนาไม่ดีในการกระทำ เอาล่ะ จะเริ่มเข้าสู่เนื้อหากันต่อไป หลังจากได้กล่าวถึงความหมายของ อทินนาทาน แล้ว ครับ ในอรรถกถาพระไตรปิฎก ได้กล่าวจำแนกถึง การอทินนาทานว่ามีด้วยกันถึง ๑๓ ลักษณะ แต่อาจจะละเอียดไปก็ได้นะ หรือว่ายังไงพวกเรา โห เยอะจัง แต่ก็สนใจครับ จะฟังไหม หรือจะข้ามไป คนอื่นว่ายังไงเอ่ย jaja...ไม่มีอะไรต้องกลัว says: ฟังด้วยเจ้าค่ะ เอาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ok ka ละเอียดไปหน่อยค่ะ ฟังได้ค่ะ เอาเลยเจ้าค่ะ ละเอียดสิดี จะได้รู้จักแยกแยะออก ไม่งั้นก็สงสัยกันอยู่นั่นล่ะ การอทินนาทานจำแนกออกได้เป็น ๑๓ ลักษณะ คือ (๒) ๑. ลัก ได้แก่ อาการถือเอาทรัพย์ที่เคลื่อนจากฐานได้ ด้วยไถยจิต (จิตคิดจะลัก) อันเป็นอาการแห่งขโมย ๒. ชิงหรือวิ่งราว ได้แก่ อาการที่ชิงเอาทรัพย์ที่เขาถืออยู่ ๓. ลักต้อน ได้แก่ อาการที่ขับต้อนหรือจูงปศุสัตว์ หรือสัตว์พาหนะไป ๔. แย่ง ได้แก่ อาการที่เข้าแย่งเอาของซึ่งคนถือทำตก ๕. ลักสับ ได้แก่ อาการสับสลากชื่อตนกับชื่อผู้อื่นในกองของด้วยหมายจะเอาสลากที่มีราคา ๖. ตู่ ได้แก่ อาการกล่าวตู่เพื่อจะเอาที่ดินเป็นของตัว แม้เจ้าของจะขอคืนก็ไม่ยอม ๗. ฉ้อ ได้แก่ อาการที่รับของฝากแล้วเอาเสีย ๘. ยักยอก ได้แก่ อาการที่บุคคลผู้เป็นภัณฑาคาริก มีหน้าที่รักษาเรือนคลังนำเอาสิ่งของที่รักษานั้น ไปจากเขตที่ตนมีกรรมสิทธิ์รักษาด้วยไถยจิต ไถยจิต??? ไถยจิต แปลว่า มีจิตคิดที่จะขโมย ๙. ตระบัด ได้แก่ อาการที่นำของต้องเสียภาษี เมื่อจะผ่านด่านที่เก็บภาษี ก็ซ่อนของเหล่านั้นเสีย ๑๐. ปล้น ได้แก่ อาการชักชวนกันไปทำโจรกรรม ลงมือบ้าง มิได้ลงมือบ้าง ๑๑. หลอกลวง ได้แก่ อาการที่ทำของปลอม เช่น ทำธนบัตรปลอม ๑๒. กดขี่หรือกรรโชก ได้แก่ อาการที่ใช้อำนาจข่มเหงเอาทรัพย์ของผู้อื่น ดังราชบุรุษเก็บค่าอากรเกินพิกัด ๑๓. ลักซ่อน ได้แก่ อาการที่เห็นของเขาทำตก แล้วเอาของมีใบไม้เป็นต้นปกปิดเสีย ถึงที่สุดขณะทำสำเร็จ มีทั้งหมด ๑๓ ลักษณะนี้นะ เรียกรวมๆ ว่าการอทินนาทานทั้งหมดเลย (จบแล้ว) อ่ะนะ ต้องระวังตนเองให้หลีกเลี่ยงได้ครบทั้งหมดนี่ ค่ะ ครับ สรุป ก็คือต้องรักษาศีล. อ่านกันทันหรือเปล่าล่ะ สงสัยข้อไหนบ้างไหม คุ้นๆ เหมือนอยู่ในหนังสือนักธรรมตรีน่ะครับ ช่วยสรุป13ข้อนี้มาเป็นข้อเดียวได้ป่ะเจ้าคะ ก็สรุปว่า ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้นั่นล่ะ
อาชีพค้าขายที่ชาวพุทธไม่ควรทำ ขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหมค่ะ ไม่เกี่ยวกับหัวข้อก่อนหน้านี้ค่ะ อยากถามว่า การที่เราเลี้ยงสัตว์ เช่น นก หนู สุนัข ไว้ขาย นี่เป็นบาปหรือเปล่าค่ะ ขายสิ่งมีชีวิตน่าจะบาปนะ น่าสงสารออก การเลี้ยงไว้ขายนั้นเป็นบาปแน่ๆ ถ้าเป็นอาชีพของพ่อแม่ แล้วลูก ก็บาปด้วยเหรอค่ะ พระพุทธองค์ตรัสถึงอาชีพค้าขายที่ชาวพุทธไม่ควรกระทำเพราะเป็นบาปไว้ ๕ อย่างนะ ๑. เลี้ยงสัตว์ไว้ เพื่อขายเป็นอาหาร ๒. ค้าขายมนุษย์เรา เช่น ค้าทาส หรือค้าผู้หญิง ๓. ค้าขายอาวุธ เพื่อการต่อสู้หรือเพื่อการสงคราม ๔. ค้าสุรา ยาเสพติด ๕. ค้ายาพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง หรือยาทำให้แท้งบุตร เป็นต้น อาชีพค้าขาย ๕ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น มิจฉาวณิชชา คือ อาชีพเกี่ยวด้วยการค้าขายที่เป็นบาป ชาวพุทธไม่ควรกระทำ ขอโทดค่ะท่าน นู๋พึ่งไปฉีดยาป้องกันหนอนกินใบไม้มาเมื่อกี๊บาปมั๊ยคะ บุญต่างกับบาปตรงไหน บุญเจตนาดี บาปเจตนาร้าย ที่คุณพ่อคุณแม่ท่านค้าขายสัตว์ก็เพราะว่าเป็นอาชีพของท่าน ซึ่งถือว่า ท่านต้องมาชดใช้กรรมที่ท่านทำไว้ที่ชาติปางก่อนและสัตว์เหล่านั้นที่ท่านขายก็ได้ทำกรรมกับท่านไว้เช่นเดียวกันนะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือ สร้างฐานะเราให้ดีแล้วถึงเวลาก่อน พยายามเกลี่ยกล่อมให้ท่านปล่อยวางซะ อาจจะขายกิจการไปให้กับคนอื่นหรือเลิกทำก็ได้ อาชีพเป็นสิ่งที่เราแต่ละคนเป็นผู้เลือกนะ คนเราสามารถเลือกอาชีพได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า เราจะทำบาปโดยอ้างว่า ทำเพื่อบุตรธิดา ภรรยาสามี บิดามารดา เพราะความยากจน หรือแม้เพราะประเทศชาตินั้นไม่ได้ ท่านกล่าวว่า เรามิอาจอ้างด้วยคำนี้ต่อหน้าพญายมราช การที่เราค้าสัตว์เป็นอาหารนั้น ถูกต้องแล้วที่ว่า ส่วนหนึ่งมาจากผลกรรมของสัตว์นั้นที่ได้กระทำไว้เอง แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญกว่า ก็คือ บุคคลผุ้กระทำย่อมเป็นบาป เพราะมีเจตนาในการทำลายชีวิตสัตว์ หรือมีส่วนร่วมในการทำลายชีวิตสัตว์นั้น แบบนี้ก็ทำบาปร่วมกันซิค่ะ หนอนกินไบไม้หมดบ้านเลยค่ะ บาปสิครับคุณพิงค์ หนอนตายป่าวละ ไม่เห็นตัวหนอน อ้าว ไปฉีดป้องกันไว้ก่อนค่ะ งั้นไม่เป็นไรครับ (หนอนไม่ตาย) ใบไม้เป็นรู ตอนเช้าค่ะ แต่ใช้สูตรชีวภาพค่ะ แล้ว การที่เราใช้ รองเท้าหนัง (วัว) กระเป๋าหนัง (ปลากระเบน) แบบนี้เราบาปเปล่าค่ะ ไม่น่าบาปนะครับ (มันตายแล้วนี่) แล้วเราก็ไม่ได้ไปบังคับให้คนไปฆ่านี่นา แบบนี้โรงงานที่ทำน้ำปลา ทำจากปลาที่ตายแล้ว ก็ไม่บาปใช่ไหมค่ะ การใช้รองเท้าหนัง เก้าอี้หนัง หรือของใช้ใดๆ ที่เกี่ยวด้วยชีวิตสัตว์นั้น จะเป็นบาปก็ต่อเมื่อ เรามีเจตนาหรือมีส่วนร่วมในการฆ่าเท่านั้น เช่นว่า เรามีเจตนาฆ่า หรือเราสั่งให้เขาฆ่า หรือเรามีส่วนร่วมในการฆ่านั้น ชีวิตของคนในโลกนี้มีอยู่ ๓ ทาง ทางที่แข็ง ทางสายกลางและทางที่หย่อน ทางเดินในความเป็นจริงสำหรับคนที่ยังเป็นปถุชนนั้นมี ๓ ทาง ทางสีขาว ทางสีเทาและทางสีดำ น่าคิดแหะ สนับสนุนการฆ่าด้วยการซื้อ อิอิ โรงงานฟอกหนังสัตว์ รับหนังสัตว์มาทำ ก็ไม่บาปหรือค่ะ ทำให้เกิดการฆ่า.. ถ้าเป็นเพียงการซื้อของที่เขาทำมาจากสัตว์ โดยเราซื้อของที่เขาทำมาแล้วจากสัตว์ที่ตายไปแล้วก็ไม่บาป อย่างเช่นว่า เราซื้อหมู ไก่ ปลา มากิน ซึ่งเป็นสัตว์ที่เขาฆ่ามาแล้ว อย่างนี้ก็ไม่มีบาป เราไม่ได้ส่งเสริม การทำบาปหรือค่ะ แบบนี้เค้ากิน มังสวิรัติ. กันทำไหมค่ะ แต่ถ้าเราไปชี้ให้เขาฆ่า อย่างนี้จึงจะเป็นบาป เช่นว่า เราไปร้านอาหารแล้วไปที่ตู้ปลา สั่งว่าเอาตัวนี้นะ อย่างนี้จะเป็นบาป เพราะสั่งให้เขาฆ่ามาเป็นอาหาร คำว่า "บาป" คืออะไรเจ้าคะ บาปคือการที่ทำไปแล้วทำให้จิตใจเศร้าหมอง (มั้งครับ) พระท่านนั้นนับได้จะยืนอยู่แต่บนทางสีขาวเท่านั้นจะไม่ออกมาจากทางนี้เลยเป็นอันขาด ส่วนพวกเราๆนี้ก็ต้องเข้าๆออกๆทางสีขาวกับทางสีเทาอยู่เป็นประจำ แต่อย่าเผลอไปเข้าทางสีดำเป็นอันขาด ถ้าเราอยู่บนทางสีขาวได้มากเท่าใด จิตใจของเราก็จะเป็นสุขมากเท่านั้นแต่ตามธรรมดาแล้วทุกคนก็ยังอยู่ในสงสารวัฏ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าอะไรเป็นทางสีขาว ทางสีเทาและทางสีดำ ผมเพียงแต่คิดว่า การดำเนินชีวิตสิ่งสำคัญที่สุด ต้องไม่ประมาท ถ้าเราคิดแต่เชิงบวกตลอดเวลา เราก็จะมีแต่มือขวาซึ่งจะไม่สามารถต่อสู้กับคนที่ใช้ทั้งมือขวาและมือซ้ายได้ สำหรับผมแล้วซึ่งเป็น ฆราวาสอยู่ จำเป็นต้องมีทั้งสองมือครับ นั้นคือเดินทางสายกลาง การอุปมาอย่างนี้ไม่ถูกนะ ที่เปรียบว่าการทำความดีเป็นมือขวา การทำความชั่วเป็นมือซ้าย ฉะนั้น เราต้องทำทั้งความดีและความชั่วเพื่อจะได้มีทั้งมือซ้ายและมือขวา อันนี้เป็นอุปมาที่ใช้ไม่ได้ เรากลับต้องอุปมาให้ถูกต้องเสียใหม่ว่า เราทำความดีก็ด้วยมือทั้งสองข้าง เราทำความชั่วก็ด้วยมือทั้งสองข้าง ฉะนั้น คนเราจะดีหรือจะชั่วก็ขึ้นกับจะใช้มือทั้งสองข้างไปทำอะไรต่างหากจึงจะถูกต้อง และการที่กล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็คือการไม่ประมาทนั้นถูกต้องแล้ว แต่ทว่า เมื่อไรที่เราไปทำความชั่วเสียหายเข้านั่นล่ะ เรียกว่า เรานั้นประมาทแล้ว คือ ทำไปโดยไม่มีสติสัมปชัญญะ เพราะตามธรรมดาคนที่ทำความชั่วคือคนที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ และพระพุทธเจ้าเรียกคนที่ไม่มีสติ(กระทำความชั่ว) ว่าคนประมาท ฉะนั้น คำว่า ความไม่ประมาทมิใช่หมายถึงการระมัดระวังผู้อื่นหรือเพียงการรู้เท่าทันผู้อื่นเพื่อไม่ให้เสียเปรียบผู้อื่นเท่านั้น แต่กลับหมายถึง การมีชีวิตอยู่อย่างมีสติรู้เท่าทัน มีความรู้เนื้อรู้ตัว เพื่อไม่ให้ตนต้องตกไปสู่การทำความชั่วนั่นเอง พระพุทธองค์ตรัสว่า สัจธรรมความจริงเป็นอย่างนี้ คนทำดีย่อมได้ดี คนทำชั่วย่อมได้ชั่ว เมื่อเราทำบาป บาปนั้นย่อมจะต้องตกแก่เรา เรารู้ในสัจธรรมนี้ไว้ เพื่อให้เรายอมรับความจริงว่า เราจะเอาอย่างไร ดี-ชั่ว เจริญหรือเสื่อม อยู่ที่เราเลือกหนทางชีวิตของเราเอง แต่ถ้าจะให้บอกว่าสิ่งผิดเป็นสิ่งถูกนั้นเป็นไปไม่ได้ ครับ รับ. วิบากกรรม งงอ่ะ คุยอะไรกันอยู่อ่ะ ไม่บอก. แป่ว นั้นคือ โลกมนุษย์ ครับ เราทุกคนก็ยังอยู่ใน โลกธรรมอยู่ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์กัน เหมือนกับว่า ถ้าเรายินดีเอามือข้างหนึ่งจุ่มลงในกะทะที่กำลังเดือดจัด กับมืออีกข้างหนึ่งกลับประพรมด้วยของหอมลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมระเหยต่างๆ อย่างนี้เราจะได้รับทั้งความทุกข์และความสุขระคนกันไป เราจะยินดีเช่นนั้นหรือ หมายความว่า ด้านหนึ่งคุณเทิดเป็นด้านมืด อีกด้านหนึ่งเป็นด้านสว่างเหรอค่ะ เปล่าครับ ผมเรียนรู้ว่า เราต้องรู้ทั้งสองด้านและใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นผลดีกับคนทุกคนหรือไม่และสังคมจะเกิดสันติภาพหรือไม่ พระพุทธองค์ตรัสถึงบุคคลในโลกว่า ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำไว้ การศึกษาพระธรรมก็เพื่อให้รู้ว่าอยู่อย่างไรเราจะมีความเจริญขึ้นถ่ายเดียว โดยไม่มีความเสื่อมเลย มิใช่การยอมรับความเจริญและความเสื่อมไปพร้อมๆ กัน ถ้าอย่างนั้น การศึกษาพระธรรมจะมีค่าอะไร เพราะไม่อาจให้ชีวิตพ้นจากความเสื่อมได้ ดั่งเช่น ความหมายของพระธรรมว่า สิ่งที่พยุงสัตว์ไว้ไม่ให้ตกลงสู่โลกที่ชั่วช้าเลวทราม ผมเพียงแต่ยึดหลักขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่บอกว่า "เราทำให้คนทุกคนเป็่นคนดีไม่ได้แต่เราต้องส่งเสริมให้คนดีปกครองบ้านเมืองก็เท่านั้น" หมายความว่า ชีวิตเราต้องเลือกเดินทางไหน ทางหนึ่ง ใช่เปล่าค่ะ ไม่ใช่สีเทา ในหลวงบอกให้ไปทางสีดำงั้นเหรอคะ ตีความอย่างไรเนี่ย
.....................................................................
อทินนาทาน ลิขสิทธิ์ ในเรื่องของการลักทรัพย์ที่คุยกันในวันนี้ เป็นการกล่าวถึงความหมายและลักษณะของสิ่งที่เรียกว่า การลักทรัพย์ เท่านั้น ซึ่งต้องการให้เราได้รู้ว่า สิ่งใดที่อาจตกลงร่วมกันและได้รับการยอมรับในสังคม การถือเอาสิ่งนั้นที่เจ้าของมิได้ให้ ถือเป็นการขโมยทั้งสิ้น การลักทรัพย์นั้น ย่อมมีผลต่อจิตใจของผู้กระทำไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งแม้ว่าสัตว์จะไม่รู้จักสมมติ แต่ทว่า การแย่งชิงนั้นย่อมกระทำให้จิตนั้นเกิดความเศร้าหมอง ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่าเป็นบาปแล้ว เกิดจิตเป็นอกุศล. ก็บาปแล้ว แต่สำหรับสังคมมนุษย์ผู้รู้จักการสมมติตกลงร่วมกันนั้น บาปจะเกิดมีขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ในส่วนแห่งการละเมิดในกฏของสังคม ซึ่งตนนั้นเข้าใจในความหมายนั้นอีกชั้นหนึ่ง การที่รู้ว่า การลักทรัพย์นั้นไม่ดี ไม่ถูกต้อง ตามครรลองของสังคม จะทำให้จิตใจของผู้กระทำนั้น เกิดความเศร้าหมองยิ่งขึ้นด้วยเจตนาที่รุนแรงด้วยอำนาจความถือตัว ซึ่งเป็นเหตุให้กล้ากระทำแม้จะรู้ว่าไม่ควร (ซึ่งต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้) ค่ะ นั่น. คือบทสรุป today ..................................................................... แล้วการ Download โปรแกรมมาลองใช้ดูก่อนที่จะตัดสินใจซื้อละครับ ปกติเขาจะให้ทดลองใช้ไม่ใช่หรือ trial version โปรแกรมบางตัวไม่มีแบบให้ลองใช้ก่อนนะครับ เราเลยต้องไปใช้โปรแกรมพิเศษสำหรับ Download ตัวโปรแกรมนั้นเช่น Emule, Bitcomet, หรือจากเวป์ไซด์ที่คนทั่วไปทำไว้ ถ้าจะให้ถูกต้องแท้จริง เราจะต้องทราบว่า เจ้าของลิขสิทธิ์เขายินดีให้เราใช้นะ ถ้าเรารู้ว่า เขาไม่ยินดีให้เราใช้ ก็คงจะใช้ไม่ได้ บางครั้งรู้สึกว่ามันเสี่ยงแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าโปรแกรมบางประเภทมีให้เลือกเยอะมากๆ ไม่รู้จะเอาอันไหนดี แต่ถ้าเป็นตัวที่เราคิดว่าจะได้ใช้แน่นอน เราก็ตัดสินใจซื้อได้เลยถึงแม้มันจะแพง ผมก็เพิ่งจะเสียเงินซื้อโปรแกรม MathCad ราคา ห้าพันบาทไป ในแง่นี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ในด้านหลักธรรมความถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในส่วนที่เราจะเอาอย่างไรตามที่เห็นความเหมาะสมนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในแง่ของลิขสิทธิ์นั้น ความจริงก็เป็นกฏสมมติในทางโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนมาก เพราะตัวมันเองก็ไม่ได้มีอยู่โดยความเป็นสิ่งที่เจ้าของนั้นต้องสูญเสียไป คล้ายกับเป็นสิ่งที่คนหวงแหนไว้ ทั้งที่มันก็ไม่มีวัตถุที่ต้องเสียไป ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากที่ในปัจจุบัน เรายอมรับให้นำเอาปัญญาหรือความรู้มาซื้อขายกัน ทั้งที่มันไม่มีของที่ต้องเสียไปจากเจ้าของนั้นเลย วัฒนธรรมตะวันตกหวงกั้นแม้แต่ภูมิปัญญา สอนให้คนรู้จักแต่การแย่งชิงผลประโยชน์ คิดแต่ผลประโยชน์เฉพาะตน ไม่เห็นถึงประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ที่ควรส่งเสริมความสะดวกสบายแก่กันและกัน ซึ่งตนก็มิได้เสียผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติไปเลย หมายถึงว่า ตนก็ได้รับประโยชน์จากความรู้และเทคโนโลยีนั้นอยู่แล้ว แต่กลับหวงสิทธิ์นั้นมิให้ผู้อื่นได้รับรู้ตาม จริงอยู่ แม้ว่าในระหว่างกระบวนการผลิตคิดค้นพัฒนานั้น จะต้องใช้ความพยายามและทุนทรัพย์ไปบ้าง แต่ก็ควรตระหนักถึงประโยชน์ที่แท้จริงอันจะพึงเกิดมีขึ้นต่อสังคมเป็นที่ตั้ง และแม้ต้องคิดมูลค่าต่อการสูญเสียระยะเวลาและความเหนื่อยยากในการคิดค้น ก็ควรจำกัดมูลค่าไว้พอควรโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขต่อสังคมมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ และมีกำหนดระยะเวลาเพียงเพื่อให้คุ้มกับทุนที่ต้องเสียไปแล้วเท่านั้น มิใช่มุ่งแต่จะหาประโยชน์จากผลกำไรทางการค้า มิฉะนั้น มนุษย์จะไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉานเลย ที่มุ่งแต่กอบโกยผลประโยชน์ แก่งแย่งซึ่งกันและกัน ครับ การที่มนุษย์เรารู้จักแต่การแก่งแย่งฉกฉวยผลประโยชน์ เป็นเหตุให้สังคมขาดการพัฒนา ต่างก็เกรงกลัวกันและกัน ดั่งเช่น ชาติตะวันตก-ตะวันออก สหรัฐ-โซเวียต สหรัฐ-จีน ซึ่งคอยแต่จะเบียดเบียน และปกป้องความรู้ของกันและกันตลอดเวลา ในปัจจุบันทำอะไรนิดหนึ่งก็ต้องมีลิขสิทธิ์ เสียค่าลิขสิทธิ์อะไรต่างๆ นั่นเพราะอะไร ก็เพราะสังคมมนุษย์ยังไม่มีการพัฒนาคุณสมบัติในทางจิตใจนั่นเอง มัวแต่กีดกันช่วงชิงผลประโยชน์ สรุปเรื่อง โปรแกรมที่ Download มาจาก Internet คือ ใช้ได้แต่ต้องเพื่อการทดลองว่าเหมาะสมกับเราและงานที่เราทำหรือไม่ โดยอาจมีช่วงระยะเวลาที่จำกัดไว้ เมื่อคิดว่าดีพอที่แล้วจะก็ควรที่เสียสละเงินเพื่อเป็นทุนให้นักพัฒนาโปรแกรมต่อไปหรือนำใช้เพื่อทำให้เกิดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในเชิงสร้างสันติภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสังคมโดยร่วม มิใช่เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน เป็นอย่างไงครับ พอจะนำมาเป็นหลักยึดในการปฏิบัติได้ไหมครับ ? ขออนุโมทนาคุณเทิดเกียรติ์ที่คิดอย่างนั้น จะทำให้คุณใช้โปรแกรมได้อย่างสบายใจจริงๆ ครับนั้นคือ โลกของความเป็นจริงซึ่งก็คงต้องอาศัยพวกเราๆ ที่อยู่ในที่นี้ละครับเป็นกำลังสำคัญในการชักนำ ชี้ทางและแจกแจงให้คนรอบข้างหันมาใส่ใจกับการพัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีครับ ? ขออนุโมทนาทุกคนนะสำหรับวันนี้ สัปดาห์หน้าคงได้คุยกันใหม่ ขอไปนั่งสมาธิก่อนนะ ครับ อนุโมทนาครับ กราบพระคุณท่านพระปิฯที่ให้ความกระจ่างในเรื่องของ อทินนาทานและลิขสิทธิ์ ขอบคุณค่ะที่ให้ความรู้ทางธรรม
๑ วิ.ม.๑/๑๒๕/๒๕๘ อทินนาทานสิกขาบท ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ ๑-๔.. ๕. ถือเอาทรัพย์ที่สัตว์ดิรัจฉานครอบครอง ๒ วิ.ม.๒ หน้า ๑๐๘-๑๑๑ มมร.
Create Date : 10 ตุลาคม 2549 | | |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 21:29:43 น. |
Counter : 682 Pageviews. |
| |
|
|
|