εїз ต้นธรรม εїз เติบโตงดงามด้วยคุณธรรม
แหงนหน้ามองขึ้นใปจากโคนต้น เห็นรูปทรงแผ่ระย้ากิ่งสาขา จากร่มเงาแต่ละใบที่ได้มา เกิดจากว่าผู้มีใจไฝ่ในบุญ
Group Blog
 
All blogs
 
โกรธ 490819

ถ้า โกรธ ก็ ซวย แน่ๆ

รองเท้าแตะสุดที่รักของผมโดนป้าในรถตู้เหยียบขาด
ป้าแค่ขอโทษเท่านั้นเหรอ


วันนี้ผมซวยไปทั้งวันแน่ๆ


ไปดูว่าเขาคุยอะไรกันบ้างเกี่ยวกับความโกรธ

Chatธรรมวันเสาร์ เรื่องความคิดที่ควรเกิดขึ้นเมื่อเราเสียของรัก (เมื่อวันที่ ๑๙ ส.ค. ๒๕๔๙)
อารัมภบทที่มาของกระทู้สนทนาธรรม

วันนี้ออก 2 คน says:
กราบเรียนนะครับ... มีบุคคลทำให้รองเท้าแตะซึ่งผมรักมาก ชำรุดจนไม่สามารถใช้ได้ แต่ด้วยความที่เขาไม่ตั้งใจ และเป็นอุบัติเหตุ สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้น จึงมีแต่กิริยาที่ว่า ขอโทษ แต่ผมนั้นเป็นทุกข์ไปแล้ว เพราะว่าผมรักรองเท้ามาก
ผมก็ไม่ได้อยากโกรธเขานะครับ ... แต่อยากให้เขารับรู้บ้างว่าผมเสียใจ หลังจากนั้นตลอดวันที่เหลือ ... ผมก็เก็บเรื่องนี้ไว้ตลอด ผมควรจะคิดอย่างไร กับสิ่งที่เกิดขึ้น คือผมก็ไม่อยากจะโกรธเขา แต่ผมควรจะทำอย่างไรให้เขารับรู้ ผมอยากให้เขารับรู้นะครับ ประเด็นคือตรงนั้นอะครับ
แต่อันที่จริง ผมก็ไม่ได้รับคำว่าขอโทษนะครับ แค่กิริยาที่บอกว่าเสียใจ ด้วยการผงกหัว อยากให้เขาแสดงอาการรับรู้ในการเสียใจของเรามากกว่านั้น มันเฉย ๆ สงสัยกำลังอึ้ง ๆ อยู่
อยากให้เขารับรู้ เหมือน ช่วยรู้สึกกะผมหน่อยได้ไหม ว่าผมรักรองเท้าผมนะ คู่กรณีผม เป็นคุณป้ามีอายุแล้วนะครับ เหมือนแบบว่า เหยียบเท้าเหรอ ... ขอโทษนะ
ครับ วันนั้นผมเลยคิดว่าเป็นวันซวย แต่ตอนนี้ไม่อะไรแล้วอะครับ ขอโทษนะครับ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเกี่ยวกะธรรมะเท่าไหร่ ฮุ ฮุ

Angel says:
จริงๆ มันก็เกี่ยวนะครับ เป็นผม คิดถึงนิทานเรื่องหนึ่ง เรื่องที่พระ 2 องค์ไปเจอผู้หญิงตกน้ำ นะครับ พระองค์ที่อาวุโสกว่า ลงไปช่วย ผู้หญิงที่ตกน้ำ ส่วนพระอีกองค์ ยืนดูนะครับ แล้วระหว่างทางกลับวัดองค์ที่ไม่ได้ช่วย ก็คิดว่าพระองค์ที่ลงไปช่วยว่าต้องอาบัติหรือเปล่า พอกลับถึงวัด พระองค์ที่ลงไปช่วยก็บอกกับพระองค์ที่ไม่ได้ช่วยว่า เราวางผู้หญิงคนนั้นลงแล้วแต่ท่านยังไม่วาง

รดา says:
อื ม เนื้อหาดีจังคะ

ผมพาลไปคิดว่า ผมจะแจ้งความด้วยดีไหม เพราะว่าเขาทำให้ผมเสียทรัพย์ เขาต้องชดใช้ มันจะผิดหลักธรรมะไปไหมครับ อันที่จะแจ้งความนี่คิดตอนที่คุยกับพี่เป้ครับ ผมบอกพี่เป้ไปด้วย ผมว่าผมมีสิทธิจะแจ้งความนะครับ ... แต่ว่ามันอาจจะกึ่ง ๆ กับการจองเวรหรือเปล่าครับ?
ก็ถ้า มันทำให้สูญเสียทรัพย์ ขนาดต้องแจ้งความ ก็มองซะว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้คนอื่นไม่โดนอย่างที่เราโดน แต่ก็ต้องพิจารณาในหลักพรหมวิหาร แล้วเราต้องไม่ทำเช่นนั้นด้วยความโกรธ เราต้องทำเพราะหวังว่าเขาจะดีขึ้น หรือไม่ให้เขาทำให้คนอื่นเดือดร้อนครับ
เราสามารถแยกออกเป็นคนล่ะประเด็นได้ใช่ไหมครับ ... คือเรื่องที่เราต้องจัดการกับจิตใจของเรา กับเรื่องที่เราต้องจัดการกับทรัพย์สินของเรา วันนั้นผมบอกพี่เป้เลยล่ะครับ ว่าจริง ๆ แล้ว ผมก็ยังเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอยู่ ที่คุยธรรมะกับพี่เป้มาเกือบ 2 ปีนั้นคงแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แค่รองเท้าผมพังผมจะเสียใจเอาได้ขนาดนั้น
จำนิทานได้อีกเรื่อง เรื่องยึดติด คือ ครอบครัวหนึ่ง ก็อยู่ในบ้านเดียวกัน ลูกเล่นของเล่นอยู่ แล้วพ่อมาเดินเหยียบ ลูกร้องไห้ พ่อก็ด่าว่าลูกโง่ ของเล่นชิ้นนิดเดียว ทำไมต้องเสียใจ, พอมีโทรศัพท์เข้ามา พ่อก็ไปรับสาย นายโทรมาบอกว่า งานที่พ่อทำอยู่น่ะมันเสียหายอาจถึงขั้นไล่ออก พ่อก็ร้องไห้ คำถามว่า ระหว่างพ่อกับลูก ใครโง่กว่ากัน
[ N ] o [ R ] t [ H ] says:
ขอบคุณสำหรับนิทานดีๆครับ

คุณส้ม says:
วันนี้มีสนทนาธรรมใช่ไหมค่ะพี่เป้ เรื่องอะไรค่ะ

น้ำตาที่เราสูญเสียมีมากมายนับปริมาณไม่ได้อยู่แล้ว เราอยากเสียมันไปอีกหรือ เราอยากจมอยู่ในทุกข์อีกเหรอ says:
ค่ะ กำลังสนทนากันอยู่ค่ะ เรื่อง ความคิดที่ควรเกิดขึ้นเมื่อเราเสียของรัก

ผมขอตัวก่อนนะครับ ยินดีครับที่ได้สนทนากัน นมัสการพระคุณเจ้า และ ราตรีสวัสดิ์ครับ
.................................................................................

S i e w says:
มาแล้วครับขออภัย เชิญต่อกันได้ครับ
แต่วันนี้เอ็มของพระท่านมีปัญหามากเลยค่ะ ตอนนี้ก็พวกเราเองให้ธรรมะกัน
พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร says:
ตอนนี้อยู่กันกี่คนแล้วนี่

ยังลุยกันต่อได้เจ้าค่ะ
ทวนประเด็นกันหน่อยมั้ยคะ
พี่สรุปเลยดีกว่าเอาประเด็นว่า เมื่อเราเสียของรัก เราควรใช้อะไรมาเป็นอาวุธในการต่อสู้กับความทุกข์ในการสูญเสียดี คิดยังไงดีเมื่อเสียของรัก
เมื่อสักครู่รู้สึกว่า จะคุยกันเรื่อง รองเท้าขาด อะไรทำนองนี้ใช่ไหม
เจ้าค่ะ เสียรองเท้าแสนรักแสนหวงไป
รองเท้าขาดก็ธรรมดานะ แต่เราอย่าศีลขาดก็แล้วกัน
ศีลไม่ขาด แต่โคตรทุกข์เลยล่ะเจ้าคะ
ทีนี้คนที่รองเท้าขาดเขาก็รักรองเท้าเขา คนทำขาดก็ขอโทษ แต่คนที่รองเท้าขาดเขารู้สึกว่า ขอโทษแบบขอไปที
อะไรจะเสียก็เสียไป แต่อย่าให้เสียใจ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเรา ก็คือ ใจ นะคุณ
รองเท้าจะหายก็ให้หายไป แต่เราอย่าทำใจหล่นหายก็แล้วกันครับ
ตอนนั้น คงเป็นว่า เขามองเห็นแต่ของที่เขาเสีย เขาไม่ได้มองเห็นว่าเขาเสียใจ อยู่เป็นได้เจ้าค่ะ
ถ้าเราไม่รักษาใจ มัวแต่มุ่งมองไปข้างนอก เราจะไม่ได้อะไร นอกจากความเสียใจ แล้วก็เสียความเป็นคนดีของเราไปด้วย
พระพุทธเจ้าทรงเสียสละทั้งสมบัติจักรพรรดิ์ บุตร ภรรยา และทั้งชีวิตก็ยอมสละให้ ก็เพื่อรักษาใจเอาไว้ มิให้จิตใจต้องเศร้าหมองไปเลยนะคุณ แล้วเราเสียเพียงรองเท้าเก่าๆ ของเราไป แต่เรายอมทำร้ายจิตใจของเรา มันจะดีหรือคุณ

เราเสียความสุขที่เราเคยมีมั้งเจ้าคะ
การโกรธเป็นการประทุษร้ายจิตใจของเราเอง ซึ่งไม่มีใครทำให้ เราทำลายสิ่งที่มีค่าที่สุดของเราไป เพียงเพื่อรองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่ง แล้วเรายังจะพอใจทำอย่างนั้นอยู่อีกหรือ
คุณชินา says:
Phra Khun Chao Ka.. You mean that whatever that causes pain in our mind, we should just let it go, even when it is an important things, is it ?

yes khun shin
it's a simple things
สิ่งทั้งหลายในโลก ล้วนรวมลงมาที่ใจของเรา ความทุกข์ ความสุข ก็รวมลงที่ใจของเรา เราทำร้ายใจของเรา อย่างที่ไม่มีใครเคยทำร้ายได้ เราโกรธเขา แค้นเขา แล้วเราก็ต้องทุกข์ใจ ทั้งสร้างบาปกรรมแก่ใจของเรา อย่างนี้มันดีหรือ
the most important things are ur mind
ครับพระคุณเจ้า
เป้ว่าสภาพของจิตในขณะนั้นคือไม่ตระหนักถึงว่า สภาวะโกรธอยู่นั้นมันเป็นทุกข์นะ ถ้ามันรู้มันคงไม่ถือไว้หรอก
คนเราเวลาโกรธ ก็หน้ามืดตามัว ไม่เห็นอรรถเห็นธรรม คิดอะไรก็คิดแต่เรื่องไม่ดี พูดอะไรก็พูดแต่เรื่องไม่ดี ทำอะไรก็ทำแต่เรื่องไม่ดี ฉะนั้น เราจึงต้องเริ่มกลับมาเรียนรู้ และศึกษาวิธีการควบคุมจิตใจ
ถ้าเรารู้ได้ว่า เราโกรธก็พึงเร่งรีบระงับความโกรธนั้นเสีย มิใช่มุ่งมองไปหาผู้ผิด หรือจ้องจะให้ร้ายผู้อื่น ซึ่งนั่นก็หมายถึง ใจของเราจะเริ่มขุ่นมัวมากขึ้นทุกที

do we still have to let go that is so important to us and it might cause us death ? like someone took away your medicine that can cure our cancer ?
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคุณชิน คุณก็รู้ว่า ถ้าเราทำความดีแล้ว ถ้าอะไรจะเกิดขึ้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ล้วนแต่เป็นกรรมของเราเอง
อย่างกรณีพระเวสสันดรใช่มั้ยคะ ให้แม้กระทั่งสิ่งที่คนทั่วไปสละได้ยาก
ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังโกรธ -> ผมคงหายโกรธไปกว่าครึ่งแล้วล่ะครับ ปัญหาคือไม่รู้ว่าโกรธเนี่ยสิครับ ต้องมีสติเยอะๆ
ที่สำคัญคือ แม้เราจะรู้ว่าเราโกรธ แต่เราก็ยังพอใจให้ความโกรธเกิดขึ้นอีก นั่นล่ะคือปัญหา แม้จะมีผู้ตักเตือน ก็ยังไม่ใส่ใจที่จะแก้ไข มัวแต่สาละวนอยู่กับความพยายามปรุงแต่งหาเหตุผลว่า สมควรโกรธ อยู่นั่นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อกุศลธรรมเกิดขึ้นในขณะใด ก็พึงเร่งรีบระงับในขณะนั้น ดั่งไฟไหม้ศีรษะตน

OK.. that means whatever the hell is, just let go, even it is near death.
พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเป็นโพธิสัตว์ แม้โจรจะตัดจมูกท่าน ตัดหูท่าน เลื่อยมือท่านจนขาด กรีดฝ่าเท้าท่าน ท่านก็ยังไม่ทำความโกรธ ต่อโจรนั้นแม้แต่น้อยเลย
so hard to ยอม
โห พระคุณเจ้าครับ และเราเป็นปุถุชนธรรมดาจะมีความอดทนอดกลั้นได้ขนาดนั้นหรือครับ?
พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเธอกระทำความโกรธให้เกิดขึ้นแม้ต่อโจรผู้ที่กำลังเลื่อยหนังและเนื้อ และแม้เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกของเธอ , ถ้าเธอมีประทุษร้ายต่อโจรนั้น ก็ชื่อว่า เธอไม่ใช่คนของเรา และไม่พึงกล่าวว่าเป็นสาวกของเรา
โห ผมจะเป็นสาวกได้ไหมครับ? ทำไมยากจัง ผมคงต้องฝึกฝนอีกมากแน่ๆเลย
อืมมม เหตุสมควรโกรธไม่มีในโลก เสียของก็จะแย่อยู่แล้ว(จิต) นี่โดนทำร้ายร่างกายเลย จะทนไหวเหหรอ, ต้องตั้งท่าทีในความคิดใหม่ หรือมองโลกในมุมที่เราไม่เคยมองมาก่อน
oh my goodness.. I have to change. So hard to let go. so hard
บางครั้ง เราถูกกระแสของสังคมที่เต็มไปด้วยคนไม่ดี แนะนำพร่ำสอนให้เห็นแก่ตัว ขาดความอดทนอดกลั้น ไม่เห็นคุณค่าและความสำคัญของการพัฒนาจิตใจและปัญญา จนทำให้เรา ลืมมองไปว่า คนดีๆ เขาทำกันอย่างไร สัตบุรุษ นักปราชญ์ ผู้มีความรู้ เขาคิดกันอย่างไร เราเห็นแต่ตัวเราเป็นใหญ่ ไม่เห็นคุณธรรมต่างๆ ที่ควรประพฤติปฏิบัติ มีแต่จะเพ่งมองไปที่สิ่งภายนอก ไม่ใส่ใจต่อการศึกษาเพื่อพัฒนาตัวเราเอง

มองเห็นความสุขเราเป็นใหญ่หรือเปล่าเจ้าคะ แต่เราเข้าใจผิดๆ ในเงื่อนไขของการเกิดความสุข
บางครั้ง เมื่อเราเกิดความโกรธขึ้น ก็เป็นเหตุที่ทำให้เรามองไม่เห็นเหตุเห็นผลนะคุณ, อย่างพระภิกษุนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า ถ้าพระภิกษุยังละความคิดประทุษร้ายในเพื่อนพรหมจรรย์ไม่ได้ ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าถึงธรรมเลย ท่านว่าเปรียบเหมือนสนิมของใจ
ในหลักของการเจริญภาวนานั้น พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงธรรมที่ขัดขวางต่อการพัฒนาจิตใจที่สำคัญก็คือ โทสะ ความคิดโกรธประทุษร้ายในบุคคลอื่น

ที่นี่ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจริงๆเลยครับ
จะต้องยอมรับว่าความโกรธไม่ดี ถ้าไม่ยอมรับ ก็ยังพอใจที่จะโกรธอยู่ ถึงจะรู้ว่ามีคนบอกว่าไม่ดี แต่ในใจก็ยังชอบที่จะโกรธ ปัญหาก็ยังแก้ไม่ได้
ถ้าเราฝึกสังเกตนะ เราจะรู้ว่า ทุกครั้งที่เราโกรธ เราจะพยายามหาเหตุผลมารองรับความโกรธของเรา นั่นล่ะคือปัญหาสำคัญที่เราต้องเริ่มแก้ไข
ถ้าเราไม่สามารถละความพอใจในการปรุงแต่งเหตุผลเพื่อทำให้โกรธได้ ทำอย่างไรมันก็ยังโกรธอยู่นั่นเอง

เหตุผลสมควรโกรธไม่มีในโลก แต่คนโกรธจะบอกว่ามีเหตุผลที่จะโกรธเสมอๆ
เราจะต้องเริ่มต้นที่
๑. การรู้ตัวก่อนว่าเราเริ่มโกรธแล้วนะ
๒. จงระลึกไว้เสมอว่า ความโกรธนั้นไม่ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
๓. จงระงับความคิดโกรธนั้นทันที ดั่งคนตัดใบหญ้าด้วยมีดที่คบกริบ ไม่ให้เหลือ
๔. เมื่อเราพยายามตัดความโกรธนั้นแล้ว ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม เราก็ควรจะรู้อีกอย่างหนึ่งว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมมีกรรมเป็นของของตน คือ คนทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว เราควรสงสารเขาด้วยซ้ำไป

พิ้ง says:
ท่านคะ แล้วสมมติถ้าเราจับได้ว่าเค้าโกหกเรา เราสมควรโกรธมั๊ยคะ เช่นพ่อแม่ โกหกเรา

การจะตัดความโกรธได้นั้น เราต้องรู้ว่า ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีเหตุผลให้พึงโกรธเพียงใดก็ตาม แต่การคิดประทุษร้ายต่อผู้อื่น นั่นล่ะ ที่แท้ก็คือการประทุษร้ายใจของเราก่อน
เราไม่รักตัวเราหรือ เราไม่รักใจของเราหรือ แล้วทำไมเรายอมให้ใครเขามาทำร้ายจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสว่า สำหรับปุถุชนแล้ว ความโกรธนั้น มีรากเป็นพิษ แต่มียอดหวาน

อืมม รากเป็นพิษ แต่มียอดหวาน เคยได้ยินคำว่า ความโกรธเหมือนขนมหวาน
ดูจากภายนอกแล้ว เวลาปรุงแต่งความโกรธ แรกๆ ก็เหมือนจะสนุกดีที่ได้คิดอย่างนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราปล่อยให้เขาลุกลามออกไป ดั่งไฟที่ไหม้เชื้อ ก็ลุกลามเผาผลาญจิตใจของเรา จนระงับไว้ไม่ได้เสียแล้วในภายหลัง
เวลาเรามีความโกรธแล้วนะ เราไม่อาจเข้าใจแม้ในเหตุผลง่ายๆ ได้เลย อย่างเช่น ความโกรธนั้นไม่ดี เราก็จะบอกว่า ไม่ดีแล้วยังไง ถึงจะไม่ดี แต่ตอนนี้ขอโกรธก่อนก็แล้วกัน

๕๕๕๕ ใช่เลย มันอร๊อยอร่อย เหมือนจิตเราชอบเสพอารมณ์เลยเจ้าค่ะ
หรือบางครั้งเราก็จะบอกตัวเราว่า อย่างไงซะมันก็สมควรโกรธอยู่นั่นเอง เพราะเขาเลวอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งความจริง เราไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเราเลยนะที่พูดน่ะ แต่มันคือมารที่กำลังสอนเรา
พอเย็นลงจะคิดได้ว่าเอ๊ะ เรื่องมันไม่ใหญ่โตอะไร แต่ต้องรอให้หายโกรธก่อนงัยคะ ตอนนั้นคิดรักตัวเอง คิดอะไรก้อไม่ทัน
:) (แอบอ่านอยู่นานแล้ว) (ดีจังเลย)
I think I learn something from this Dhamma Talk. Thank to you K. Poopeh for holding on this chatroom.
พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า
“ดูก่อนภิกษุททั้งหลาย ภิกษุรูปใดยังสลัดทิ้งตอในใจ ๕ อย่างไม่ได้ ภิกษุนั้นจะถึงความเจริญงอกงามในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่ได้เช่นเดียวกัน ตอในใจ ๕ อย่าง คือ
- ภิกษุเคลือบแคลงสงสัยไม่เลื่อมใสแนบสนิทในพระศาสดา ๑
- ภิกษุเคลือบแคลงสงสัยไม่เลื่อมใสแนบสนิทในพระธรรม ๑
- ภิกษุเคลือบแคลงสงสัยไม่เลื่อมใสแนบสนิทในพระสงฆ์ ๑
- ภิกษุเคลือบแคลงสงสัยไม่เลื่อมใสแนบสนิทในสิกขา ๑
และสุดท้าย
- ภิกษุโกรธเคืองน้อยใจ มีจิตกระทบกระทั่ง เกิดความกระด้างเป็นเหมือนตอ เกิดขึ้นในเพื่อนพรหมจรรย์ ๑,
ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความหมั่นฝึกอบรม เพื่อการลงมือกระทำ ด้วยความพยายาม เหล่านี้ ย่อมเป็นตอในใจของภิกษุนั้น เป็นเหตุให้จะไม่ถึงซึ่งความเจริญงอกงาม ในธรรมวินัยนี้”
ซึ่งในสี่ข้อแรกนั้น เป็นเรื่องทั่วไปที่สำคัญซึ่งมักรู้กันอยู่แล้ว แต่ในข้อสุดท้าย พระพุทธเจ้าทรงเน้นในเรื่องของการขจัดความโกรธ ว่าถ้ายังทำไม่ได้ ยังผูกใจเจ็บ จะไม่สามารถก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเลย(๑)

จบแล้วค่ะ ท่านออนไม่ได้แล้วค่ะ เครื่องมีปัญหา
thankyou na ka. K. Poopeh.
อ๋อค่ะ ขอบคุณคุณปูเป้
ครับสวัสดีครับ
๑ องฺ.ปญฺจ.๒๒/๒๐๕/๒๒๒ (เจโตขีลสูตร)



Create Date : 10 ตุลาคม 2549
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 21:47:19 น. 0 comments
Counter : 301 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กลุ่มต้นธรรม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อันเวลาอันนับไม่ได้ที่เราหมักหมมมานานแสนนานแล้วนั้นถ้าเราไม่เริ่มรู้เราก็ไม่เริ่มตัด ถ้าไม่ตัดก็ไม่เห็นปลาย และเวลาอันนับไม่ได้นั้นก็เป็นปลายที่ยังอยู่
web site hit counter
We keep fighting fires because we keep adding fuel.
We truly putout fires only when we remove their fuel.

ถึงโลกกว้างไกล ใครๆ รู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
มองโลกภายนอก มองออกไป
มองโลกภายใน คือใจเรา

Friends' blogs
[Add กลุ่มต้นธรรม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.